ผมเป็นคนนิ่งเงียบ ไม่พูดคุยกับใคร นานแล้วที่ผมไม่มีเพื่อนคุย ตอนแรกๆก็มีคนชวนผมไปคุยไปเที่ยวอยู่บ้าง แต่เมื่อผมปฏิเสธไปหลายครั้งเข้า พวกเขาก็ไม่ชวนผมคุยเล่นหรือไปเที่ยวอีกเลย ผมรู้สึกเหงาและว้าเหว่มาก ราวกับถูกทิ้งให้อยู่บนโลกเพียงลำพัง เพราะไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนมาตลอดชีวิตของผม ผมคิดว่าชีวิตของผมคงจะเป็นเช่นนี้เรื่อยไป เมื่อผมเรียนจบ เข้ามหาวิทยาลัย เข้าทำงาน ผมก็จะมีชีวิตเปล่าเปลี่ยวอยู่คนเดียวเสมอ เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ว่าช่วยไม่ได้จริงๆ
แต่แล้ว พอขึ้นชั้นม.หก เธอก็มา... วันแรกที่เปิดเรียน เธอก็มานั่งที่นั่งข้างผม แล้วคุยกับเพื่อนอีกแถวอย่างสนุกสนาน ผมมองเธอคนนั้นที่คุยกับเพื่อนอยู่นาน เหมือนกับว่าเธอมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่าง เพื่อนของเธอสะกิดเธอแล้วมองมามาทางผม ผมจึงรู้ตัวว่าเผลอมองเธอนานไปแล้ว เลยแกล้งทำเป็นอ่านหนังสือเรียน
พอคาบแรกมาถึง เธอก็แกล้งสะกิดขาผม ผมแกล้งทำเป็นไม่สนใจ แต่เธอก็สะกิดผมแล้วมองผม ผมรีบเบือนหน้าหนี แต่เธอก็พยายามสบตาผม พอผมก้มหน้าเธอก็ก้มตาม เพื่อจะมองหน้าผมแล้วยิ้ม พอผมบอกว่าอย่ามองหน้าผม เธอก็ทำปากยื่นแล้วหันหน้าไปทางอื่น ผมคิดว่าเธอคงจะไม่ยุ่งกับผมอีกเหมือนคนกับคนอื่นๆ แต่ผมคิดผิด
หลังจากคาบนั้น เธอก็คอมสะกิดผมอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าผมจะแสดงท่าทีรำคาญขนาดไหน เธอก็ไม่สนใจ ยิ่งผมบอกให้เธอหยุดมากเท่าไหร่ ก็กลายเป็นว่าผมพูดคุยกับเธอมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดเธอก็กลายเป็นเพื่อนคุยเพียงคนเดียวของผมไปซะอย่างนั้น ผมเริ่มคุ้นเคยกับการมีเพื่อนทีละน้อย พอรู้ตัวอีกที เธอก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ขาดไม่ได้ไปซะแล้ว
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมจะมองหาเธอตลอดเวลา บางครั้งเวลาเห็นเธอคุยกับเพื่อนคนอื่น ผมรู้สึกร้อนใจ กลัวว่าเธอจะไม่คุยกับผมอีก และเวลาที่ผมเบื่อหน่ายกับชีวิต น่าแปลกว่าผมจะนึกถึงเธอก่อนเสมอ บางครั้งท่าทางของเธอทำให้ผมหัวเราะออกมา... ใช่แล้ว... ผมหัวเราะ หลังจากที่ไม่เคยหัวเราะมาก่อน ในที่สุดผมก็สามารถหัวเราะได้
เธอมักจะพาผมเดินไปทั่วโรงเรียน พยายามทำให้ผมสามารถเข้ากับเพื่อนคนอื่นๆได้ เพื่อนคนอื่นๆก็นึกสนุกและเริ่มคุยกับผม แรกๆผมมักจะตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก แต่ระยะหลังๆ ผมเริ่มจะชินเสียแล้ว
บางครั้ง เวลาถึงคิวผมต้องออกไปรายงานหน้าชั้นเรียน ผมที่พุดอะไรไม่ค่อยออกก็จะได้เธอคอยยิ้มให้กำลังใจเสมอ และพอผมรายงานจนจบ น่าแปลกที่ทุกคนกลับปรบมือให้ พอผมกลับที่นั่ง เธอก็ชมผมว่าทำได้ดีมาก ถ้าตั้งใจทำจริงๆละก็ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก
ดูเหมือนว่าระยะหลังๆ ผมจะไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีเธอ เวลาผมอยู่ที่บ้านผมจะรู้สึกเหงามากจนทนไม่ไหว แต่เพราะผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นการเบอร์มือถือของเธอจึงเปล่าประโยชน์ แต่ผมก็รวบรวมความกล้าในเย็นวันหนึ่งเพื่อถามเบอร์โทรศัพท์บ้านของเธอ ดูเหมือนเธอจะลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้เบอร์โทรศัพท์บ้านมา
หลังจากนั้นพวกเราก็คุยกันมากขึ้น ผมเริ่มพูดคุยเก่งขึ้น แต่นั่นทำให้ผมรู้สึกเหงาและเจ็บปวดมากขึ้นไปอีก เพราะเวลาที่เธอไม่อยู่ทำให้ผมรู้สึกเหงาและรวดร้าวยิ่งกว่าก่อนที่เธอจะเข้ามาในชีวิตของผมเสียอีก การได้ผูกพันกับใครสักคนและต้องแยกจากกันมักให้ความรู้สึกเศร้าเสมอ บางครั้งเธอก็แสดงทีท่าว่าไม่สะดวกที่จะคุยกับผมเพราะต้องอ่านหนังสือ ทำให้ผมที่ระยะนี้โทรไปหาเธอทุกคืน รู้สึกคล้ายถูกด่าว่ารบกวนเวลาของเธอ นั่นทำให้ผมหวาดกลัวและเจ็บปวดจนไม่โทรไปหาเธออีกเลยนับแต่นั้นมา
ถ้าเธอแสดงท่าทีรำคาญผมออกมาแม้เพียงนิดเดียว ผมจะกลัวมากจนพยายามถอยห่างจากเธอ ผมไม่อยากให้เธอรำคาญ ผมไม่อยากให้เธอเกลียดผม ยิ่งได้ใกล้เธอมากขึ้นเท่าไหร่ ผมยิ่งเจ็บปวดใจมากขึ้นเท่านั้น และผมก็ไม่สามารถถอยหลังกลับไปเป็นตัวคนเดียวได้เหมือนเดิมอีก ผมเริ่มไม่คุยกับเธอ หากแต่ผมกลับรู้สึกเหงาและหนาวเหน็บจนไม่อาจทนไหว ในช่วงเวลาที่เธอเข้ามาถามผมว่าทำไมหมู่นี้ผมไม่คุยกับเธอเลย ทำให้ผมดีใจมากจนแทบจะร้องไห้ออกมา
ผมมันน่าสมเพช เป็นผู้ชายที่ทุเรศและน่ารำคาญ อ่อนแอและขี้แพ้เป็นที่สุด แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับตัวเองดี ยิ่งพักนี้เวลาเห็นเธอเข้าใกล้ผู้ชายคนอื่นนอกจากผม หัวใจของผมจะเจ็บแปลบและเริ่มตกอยู่ในความหวาดกลัวและวิตกกังวลอย่างไม่ทราบสาเหตุ และนั่นนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
หัวหน้าห้องของผมเป็นผู้ชายที่สุภาพเรียบร้อย แต่ก็จัดว่าเป็นคนที่หน้าตาดีทีเดียว พักหลังๆผมเห็นหัวหน้าคนนี้มาคุยกับเธอบ่อยขึ้น แม้จะเป็นเรื่องงานแต่ผมก็ไม่สามารถสะกดกลั้นอารมณ์ร้อนรุ่มในหัวใจได้ ผมทำสิ่งที่น่ารังเกียจลงไปหลายต่อหลายครั้งเพื่อไม่ให้เธอกับเขาได้คุยกัน จนพักหลังๆนี้เธอได้แสดงท่าทีออกมาว่ารำคาญผม แม้ผมจะหวาดกลัวแต่ความรู้สึกที่ไม่อยากให้เธอสนิทสนมกับหัวหน้าห้องได้ครอบงำจิตใจผมเสียแล้ว
ดังนั้น ตอนที่หัวหน้าห้องคนนั้นมาสารภาพรักเธอ และผมได้ข่าวลือนี้ ผมแทบจะเป็นบ้า และหวาดกลัวว่าเธอจะตอบหมอนั่นไปว่าอย่างไร แต่ผมเห็นเธอกับหัวหน้าห้องจูงมือกันเข้ามาในห้อง ใจของผมก็แตกสลายทันที
ผมไม่สามารถควบคุมจิตใจได้อีกต่อไป ผมลุกจากที่นั่งเดินไปหาคนทั้งคู่แล้วปัดมือของเขากับเธอให้ออกห่างจากกัน ก่อนจะกระชากคอเสื้อของหัวหน้าห้องแล้วต่อยมันเต็มแรง แม้ผมจะร่างกายอ่อนแอ แต่เพราะแรงโทสะทำให้ผมมีเรี่ยวแรงพลุกพล่าน ทว่าถึงอย่างไรผมก็สู้แรงของหัวหน้าห้องไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นผมจึงแกล้งล้ม หลอกให้มันตายใจ แล้วลอบโจมตีมันจากทางด้านหลัง การโจมตีครั้งนั้นทำเอาหัวหน้าห้องมีบาดแผลทั่วทั้งตัว
ผมมาได้สติตอนที่เธอตบหน้าผมทั้งน้ำตาและต่อว่าผม จากนั้นเธอก็พูดคำพูดที่ผมไม่อยากจะได้ยินจากปากของเธอมากที่สุด เธอบอกออกมาว่าเธอเกลียดผม
ไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงกลายเป็นคนน่าสมเพชได้ถึงขนาดนั้น หลังจากนั้นแม้ผมจะขอโทษเธอสักเท่าไหร่เธอก็ไม่พูดคุยกับผมเลย ซ้ำร้ายคนอื่นๆที่เริ่มจะพูดคุยกับผมก็พร้อมใจกันเกลียดผมหมด ผมถูกกีดกันไม่ให้ร่วมงานกลุ่มและต้องทำงานคนเดียวจนดึกดื่น แม้กระทั่งอาจารย์ที่ได้ข่าวว่าผมทำร้ายร่างกายหัวหน้าห้องก็ชอบตัดคะแนนผมโดยไร้เหตุผมทันที
ผมรับรู้ว่าได้ทำสิ่งที่น่าสมเพชและไม่น่าให้อภัยไปเสียแล้ว แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรเธอก็ไม่ยอมยกโทษให้ พอโทรไปที่บ้าน เอจะรับสาย แต่พอรู้ว่าเป็นผม เธอจะวางสายทันที เธอถึงขั้นขอย้ายที่นั่งไปนั่งหลังห้อง และไม่มีใครนั่งคู่กับผมเลยแม้แต่คนเดียว และผมยังถูกเพื่อนคนอื่นๆแกล้งต่างๆนานา แต่นั่นไม่เจ็บปวดเท่าการที่เธอไม่เห็นผมในสายตาเลยแม้แต่น้อย
การที่ผมทำร้ายหัวหน้าห้องทำให้ผมถูกพักการเรียน แต่ผมก็ยังแวะเวียนมาที่โรงเรียนทุกวัน มาเพื่อขอโทษเธอ... และขอให้เอยอมยกโทษให้ แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะยกโทษให้ แม้ผมจะใช้วิธีขู่ว่าจะข่าตัวตายถ้าเธอไม่ยอมยกโทษให้ผม แต่เธอก็ตอกกลับมาว่าอย่างผมน่ะ ตายๆไปซะได้ก็ดี และเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองผมเลย
ไม่ว่าจะทำอย่างไร... เธอก็ไม่หันกลับมามองผม
ผมเริ่มสิ้นหวังกับชีวิต และในเย็นวันนั้น ฝนก็ตกลงมา
ผมที่เริ่มคิดว่าน่าจะจบชีวิตที่น่าสมเพชของตัวเอง เริ่มเดินลงไปกลางถนน หวังจะให้รถสักคันพุ่งผมชนผมให้ตายๆไปเสีย แต่ในตอนนั้นเอง ที่ผมเห็นเธอกำลังเดินข้ามถนน
และ... มีรถคันหนึ่งกำลังพุ่งเข้าหาเธอ
ผมขยับตัวตามสัญชาตญาณเข้าไปช่วยเธอทันที เพราะยังไงตัวผมเองก็ตั้งใจจะตายอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ร่างกายของผมอ่อนแอเกินกว่าจะผลักร่างของเธอให้พ้นจากวิถีทางของรถคันนั้น ผมก็คือร่างของเราทั้งคู่ถูกรถชนพร้อมกัน หากแต่เธอได้รับบาดเจ็บสาหัส...
หมอบอกว่าบางทีเธออาจจะต้องตาย...
ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกแบบนี้
ผมไปที่โรงเรียนและคุกเข่าขอโทษหัวหน้าห้องที่ผมไม่สามารถปกป้องเธอได้ ผมคุกเข่าที่หลังห้องเรียนตลอดทั้งวัน แม้พวกอาจารย์และคนอื่นๆจะดึงร่างของผมให้ยืนขึ้น แต่ผมก็ไม่ยอมลุก ยิ่งผ่านไปหลายวันเข้าผมก็เริ่มเมื่อยล้า แต่ผมก็ไม่ยอมกลับบ้านแม้จะเมื่อยขนาดไหนก็ตาม แต่พอหัวหน้าห้องมาบอกผมว่า เธอพ้นขีดอันตรายแล้ว ผมก็รู้สึกโล่งใจ ร้องไห้ฟูมฟายออกมา และหมดสติไปแทบจะในทันที
กำหนดการพักการเรียนหมดลงพอดีกับที่เธอสามารถกลับมาเรียนได้ แต่ผมมองหน้าเธอไม่ติด ผมไม่กล้าแม้แต่จะไปเยี่ยมไข้เธอที่โรงพยาบาล ผมมันน่าสมเพชเกินกว่าที่จะทำเช่นนั้น เอมองมาทางผมด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม ทันทีที่ผมสบตาเธอ ผมก็ร้องไห้ออกมา ....ดีใจจริงๆที่เธอรอดตาย
ความรักนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อ เราทำทุกอย่างได้เพื่อคนที่เรารัก
ใช่แล้ว... แม้เธอจะไม่รักผมก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เอยังมีชีวิตต่อไปก็พอแล้ว
ขอให้เธอมีความสุขกับหัวหน้าห้อง ขอให้เธอลืมคนที่น่าสมเพชอย่างผมไปซะ คนอย่างเธอสามารถมีชีวิตที่ดีในอนาคตแน่นอน
เพื่อนคนอื่นๆเริ่มกลับมาคุยกับผมอีกครั้ง แต่ผมก็แค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าตอบคำถามพวกเขาไปเท่านั้น ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะไปเริ่มต้นใหม่ที่อื่น แม่ของผมที่อยู่ต่างจังหวัดเตรียมเรื่องย้ายโรงเรียนให้ผมแล้ว
ผมจะขอเริ่มต้นใหม่... เมื่อผมพร้อมที่จะคุยกับเธอ และสามารถคุยกับคนอื่น หรือสามารถปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นได้เหมือนคนทั่วไป เมื่อนั้น ผมคงจะกลับมา
ลาก่อน... จนกว่าจะได้พบกันใหม่ ผมจะไม่ลืมเธอเลย
ขอให้เธอมีความสุขกับคนที่รักนะ.......
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น