ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] SF - Only One :: รักหนึ่ง... ของเรา

    ลำดับตอนที่ #9 : เกินเลย ... [YugBam]

    • อัปเดตล่าสุด 19 ธ.ค. 57






    เกินเลย - YugBam 

    BamBam Part :




     

     

     

     

     

    รองเท้าคู่ใหม่ถูกหยิบออกมาจากกล่องสีขาว... เป็นรองเท้าที่เพิ่งไปซื้อมาเมื่อวานเพื่อรับกับบรรยากาศเปิดเทอมใหม่อันน่าสดชื่นแถมยังมีสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้นรออยู่ การกลับมาเป็นนักศึกษาปีหนึ่งเป็นอะไรที่ไม่คิดว่าจะทำมาก่อนแต่ก็เป็นสิ่งที่เลือกแล้ว

     

    เอ้อลืมไป... ผมชื่อแบมแบมครับ เป็นนักศึกษาใหม่ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพิ่งเข้ามาแบบสดๆ ร้อนๆ

     

    ผมรู้สึกไร้แรงบันดาลใจอย่างมากมายหลังจากงานออกแบบที่ส่งประกวดชิ้นโบว์แดงชวดทุกรางวัลเลยคิดว่าการหาแรงบันดาลใจในการคิดมันคงขาดหายไปเลยปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้ จัดการรวบรวมผลคะแนนในการยื่นคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้งและมันก็สำเร็จเสียด้วย การเสียเงินสองหมื่นกว่าเพื่อทริปกิจกรรมสนุกๆ ถึงสองเดือนมันคุ้มกว่าที่จะไปทัวร์ยกแก็งค์ต่างประเทศหรือต่างจังหวัดเพียงแค่ไม่กี่วัน... เสียเงินเท่ากันแต่ความตื่นเต้นยาวนานกว่าเยอะแถมเพื่อนร่วมชะตากรรมก็เพียบ

     

    วันแรกสำหรับการเข้ากิจกรรมวันแรกหลังจากเข้าเรียนมาอาทิตย์กว่าๆ นี่แหละคือสิ่งที่รอคอย

     

    แว่นตากรอบสีดำถูกสวมลงบนใบหน้าเพื่อความเฟรชชี่ แม้ผมอาจจะคิดไปเองแต่ก็นั่นแหละ... จริงๆ คืออยากใส่ ผมด้านหน้าที่ยาวลงมาถูกรุ่นพี่ผู้หญิง(อันมีน้อยนิด)มัดจุกขึ้นไปแถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับเจอสิ่งที่ถูกใจเสียมากมายซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แม้จะพอรู้ตัวหน้าตาดีระดับหนึ่งแต่ก็คงไม่ถึงขั้นสาวกรี๊ดหรอกมั้ง...

    ภายในห้องประชุมขนาดพอประมาณเต็มไปด้วยนักศึกษาปีหนึ่งที่ดูกระตือรือร้น แต่ละคนพูดคุยกันตลอดเวลาซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รู้สึกตื่นเต้นเช่นเดียวกันซึ่งผมได้รู้จักเพื่อนใหม่สองสามคนจากช่วงที่เข้าเรียนทว่ากลับถูกจับแยกกลุ่มเสียไกล พี่ว้ากแต่ละคนดูขึงขังมากกับการทำกิจกรรมจนผมแอบขำก่อนจะกวาดสายตาไล่เก็บรายละเอียดตั้งแต่ริมห้องไปจนทั่วทุกคน

    หลังจากมีการเริ่มแนะนำไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ปรากฏร่างเพรียวของใครบางคนซึ่งสร้างความสนใจได้พอสมควรเพราะความสวยของเธอแถมยังเดินไปหาคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าอย่างไม่สนใจใคร

     

     “คยอมคะ... นิวเยียร์อยากดูหนังคยอมไปกับนิวเยียร์นะคะ รับน้องอะไรเนี่ยให้คนอื่นทำไปเถอะ ไม่เห็นจำเป็นที่คยอมต้องอยู่เลย”  

     

    เสียงรุ่นพี่คนสวยที่นิสัยไม่สวยอย่างหน้าตาทำเอาผมหงุดหงิด แต่ก็คงไม่น้อยไปกว่ารุ่นพี่คนอื่นๆ เพราะทั้งห้องเงียบกริบราวกับรอยคอยเหตุการณ์ตรงหน้าว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร

     

    “ไปไม่ได้หรอก ผมต้องอยู่ดูน้อง”  คำที่ได้ยินทำเอาเกือบหลุดหัวเราะ ทว่ายังดีที่ยั้งทัน ไม่อย่างนั้นคงเป็นเป้าสายตาของทุกคนแทนสองคนนั้นแน่ๆ

     

    “ถ้าคุณไม่ไป เราก็ไม่ต้องคุยกันอีก!”  ดูเหมือนเธอจะทำการบ้านมาดีทีเดียว การงอนระดับนี้สามารถเรียกร้องอะไรก็ได้จากคนรักแล้วยิ่งเป็นคนสวยๆ แล้วหละก็...

     

    “ก็ได้! งั้นก็ไม่ต้องคุยกันอีก!”    คดีพลิกแฮะ...

     

    “ละคร...” 

     

    ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวสมอง แต่ดูเหมือนว่า... ความคิดของผมจะเสียงดังเกินไปหน่อย

     

    “เสียงโคร!?”  รุ่นพี่หน้าหล่อเอ่ยถามเสียงเครียด... เอ่อ... หน้าก็เครียดด้วยเหอะ

    “ชิบหายละ... ไอ้ยูคยอมอารมณ์เสียแล้วไง”  เพื่อนของเขาสบถเบา แต่ผมก็ดันหูดีได้ยินอีก ตอนนี้ได้แต่ก้มหน้า

     

    ตั้งใจมาสมัครที่นี่เพราะอยากรับความบันเทิงจากกิจกรรม... คราวนี้คงได้บันเทิงสมใจหละ

     

    “ผมถามว่าเสียงใคร?”  เขาถามย้ำเสียงดัง จนสุดท้ายเพื่อนของเขาก็อุตส่าห์ยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย

    “ปล่อยไปเหอะ จะเข้ากิจกรรมละ”

    “ผมเอง!

     

    ผมยืนขึ้นเพื่อรับผิดชอบคำพูดของตัวเอง ในเมื่อความคิดแบบนั้นจริงๆ และหลุดปากพูดออกไป...ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหากจะยอมรับ

     

    “คุณมีปัญหาอะไรกับผม?”  คนตรงหน้าถามเสียงนิ่ง

    “ก็ไม่มีครับ”  

    “งั้นโทษฐานที่ปากพล่อย... ผมขอสั่งให้ทุกคนในรุ่นออกไปวิ่งรอบสนามห้ารอบ ปฏิบัติ!

    “ไม่ได้นะ!” 

    ผมกระชากแขนเขาอย่างแรงเพราะลืมตัวเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่คนนั้นกำลังจะเดินกลับไปที่นั่ง เขาหันมาเหลือบตามองด้วยท่าทางที่หาเรื่องสุดๆ ตอนนี้ทั้งห้องเงียบกริบ... เงียบสงัดเลยก็ว่าได้

     

    “อะไรที่ว่าไม่ได้?”

    “ผมทำผิดก็ลงโทษผมคนเดียวสิ! พี่จะลากคนอื่นมายุ่งทำไม?”

    “ได้! เลือกเอาระหว่าง ... ทั้งรุ่นห้ารอบ หรือ คุณคนเดียวเลย... ยี่สิบรอบ?”

    “.....”

    “เดี๋ยวนี้!

     

     

    ผิดอะไรหรือเปล่า หากฉันต้องการเข้าใจ

    เรื่องราวที่ยังเก็บไว้บางอย่าง

    ยิ่งฝืนห้ามใจเท่าไร มันยิ่งหวั่นไหวยิ่งทรมาน

    อยากรู้เธอต้องการอะไร

     

     

    จากความบันเทิงกลายเป็นความหงุดหงิดระดับร้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมเลือกหนทางไหน... จะทางไหนเสียอีกนอกจากการพาตัวเองมาวิ่งรอบสนามเดี่ยวๆ กลางแดดเปรี้ยงๆ ตอนบ่ายสาม เรื่องอะไรผมจะยอมแพ้เจ้ารุ่นพี่นั่น... นั่งเฝ้าได้ก็นั่งเฝ้าไปแล้วกัน!

     

    โชคยังดีที่ไม่ใช่ตอนบ่ายโมง ไม่งั้นอาจใครคงได้หามร่างผมแน่ๆ ถึงจะแข็งแรงแต่ก็ไม่ได้ถึกขนาดนั้นเถอะ

     

    ความเมื่อยล้าเกาะกินจนอยากไถลตัวไปกับพื้นสนามหญ้าแต่เพราะสายตาของคนสั่งการที่จับจ้องอยู่จำให้ต้องเดินอย่างกระฉับกระเฉงราวกับเป็นนักวิ่งมาราธอนมาก่อน รุ่นพี่นั่นหัวเราะหึใส่หน้าก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางอันแสนกวนประสาท

    ทันทีที่แผ่นหลังกว้างๆ นั่นลับสายตาขาที่เคยยืนตรงก็ทรุดลงอย่างอัตโนมัติแต่โชคดีที่ยังเอามือยันไว้ทันไม่อย่างนั้นคงล้มหน้าแหกหมดหล่อกันบ้าง

     

    “แบมแบม!”  เสียงเรียกชื่อผมด้วยความตกใจดังขึ้นไม่ไกล

    “ใครอ่ะ?”  ผมเอ่ยถามออกไปเพราะเกิดอาการหน้ามืดกะทันหันเมื่อครู่ยังไม่หายดี

    “ฉัน...ยองแจไง”

    “อ้อ...”

     

    เขาช่วยพยุงผมมานั่งตรงที่ร่มพร้อมกับโบกสมุดเล่มบางแทนพัดด้วยความเป็นห่วงจนผมอยากจะกระชากมาจูบขอบคุณสักหลายๆ ที ติดอยู่ตรงที่ตอนนี้ผมหมดแรง

     

    “นายนี่น้า... หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ คนอะไรปากเปราะชะมัด”

     

    เขายังคงบ่นไปเรื่อยๆ ทั้งที่ยื่นขวดน้ำมาให้ แต่เดี๋ยวนะ...

     

    “ปากเปราะนี่ใช้กับหมารึเปล่ายองแจ?”

     

    “คนก็ใช้ได้น่า...”

     

    เอาเหอะ! ขี้เกียจเถียง ไหนๆ เพื่อนแสนขี้บ่นก็มีน้ำใจขนาดนี้... อยากว่าอะไรก็ให้พูดเสียให้พอใจ

     

     

     

    กว่าผมจะออกจากมหาวิทยาลัยก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเย็น ความรู้สึกเหนื่อยล้ายังเกาะกินจนแทบไม่อยากเดินไปไหนเลยนั่งหาของอร่อยลงกระเพาะเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปก่อนกลับ ส่วนยองแจนั้นพี่สาวมารับไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้ว

    ด้วยความไม่สบายตัวจึงทำให้ผมดึงชายเสื้อออกจากกางเกงสแลคที่สวมอยู่พร้อมกับถอดเนกไทออกแล้วปลดกระดุมเสื้อสองสามเม็ด ส่วนผมจุกที่เคยถูกมัดก็ดึงออกและจัดทรงใหม่ให้เป็นผู้เป็นคนมากขึ้นพร้อมกับถอดแว่นเพราะรู้สึกสายตาพร่ามัวเหลือเกินก่อนจะเดินสบายๆ ไปรอรถด้านหน้าประตูใหญ่

     

    แม้วันนี้จะมีเรื่องนิดหน่อยแต่ผมก็ยังรู้สึกถึงความปลอดโปร่งมากกว่าเมื่อหลายเดือนก่อน

     

     

     

    วันถัดมาผมก็ยังมาเข้ากิจกรรมหลังเลิกเรียนตามปกติ แม้จะสบตากับรุ่นพี่คู่กรณีเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก... เจ้านั่นหน้านิ่งจะตายไปใครจะอยากมอง เฮอะ!

     

    แต่ความซวยมันไม่เคยเข้าใครออกใครเมื่อสมุดล่าลายเซ็นของรุ่นน้องจำต้องเดินเข้าหารุ่นพี่อย่างเลี่ยงไม่ได้

    ผมผ่อนลมหายใจหนักๆ สองสามทีก่อนจะทำหน้ามึนไปหาเขา

     

    “พี่ฮะ... ขอลายเซ็นหน่อยสิ”   

    “อ๊ะ! นาย...”   รุ่นพี่คู่กรณีเงยหน้าจากกระดาษในมือก่อนจะรับสมุดไปเซ็นต์ให้ง่ายๆ อย่างน่าแปลกใจ

     

                “ขอบคุณครับ ทำไมเซนต์ง่ายจัง”  

                “อยากให้เซนต์ยากๆ หรือไง? ก็ได้นะ”  

                “ไม่อ่ะครับ”  ผมรีบปฏิเสธ ความจริงขี้เกียจมีปัญหากับเขาอีกรอบ... หากโดนสั่งให้วิ่งทุกวันคงไม่ไหว...ผมเหนื่อยพูดเลย

                “เดี๋ยวสิ! ไปด้วยกันหน่อย”

     

                ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกไปเขาก็ดึงสมุดล่าลายเซ็นส่งให้รุ่นพี่อีกคน นั่นไง... จะหาเรื่องผมอีกหรือเปล่า แต่ทว่า...เขาลากผมออกมาข้างนอกตรงดิ่งไปที่ไหนสักทีโดยที่ไม่บอกอะไรสักคำ

                “พี่จะพาผมไปไหนเนี่ย? ที่ผมมาเพราะกิจกรรมนี่เลยนะ” 

                “อะไรนะ?”  เขาหยุดเดินแล้วหรี่ตาถามอย่างจับผิด

                “ปะ...เปล่า... เอ่อ... เราจะไปไหนกันเนี่ย?”  ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง

                “มาเถอะน่า”

     

     

     

                เขาพาผมเดินมาถึงคณะนิเทศศาสตร์ที่จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะลากมาทำไมตั้งไกล

     

                “ฉากเลิฟซีน!

     

                คราวนี้ไม่ได้คิดดัง... แต่เป็นอุทานเสียงดังจนเอามืออุดปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นยัยรุ่นพี่คนสวยผู้เป็นตัวปัญหาของเมื่อวานกำลังทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่ทันทีที่เลี้ยวเข้าคณะและผ่านซอกตึก

     

    ผมเหลือบมองหน้าคนข้างๆ ที่ดูคล้ายจะช็อคก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะไม่ค่อยชอบหน้าเท่าไหร่นัก... แต่เจอเหตุการณ์แบบนี้ต่อหน้าต่อตามันก็น่าเห็นใจอยู่ไม่ใช่เหรอ?

     

                “รุ่นพี่... โอเคไหม?”

                “.....”

     

                แต่เขาคงเสียศูนย์เกินกว่าจะตอบคำถามของผม     

     

     

     

    ผิดอะไรหรือเปล่า หากฉันต้องการเข้าใจ

    เรื่องราวที่ยังเก็บไว้บางอย่าง

    ยิ่งฝืนห้ามใจเท่าไร มันยิ่งหวั่นไหวยิ่งทรมาน

    อยากรู้เธอต้องการอะไร

     

     

    สิ่งที่ตั้งใจดูจะผิดเพี้ยนไปเยอะเมื่อคนที่คิดว่าน่าเห็นใจจับผมยัดใส่รถและขับออกมาจากมหาวิทยาลัยแบบไม่ถามความสมัครใจ ผมอยากจะขัดขืนเขาอยู่เหมือนกันแต่สีหน้าและท่าทางของเขานั้นบ่งบอกว่าหากผมพูดอะไรผิดหูออกไปอาจถูกงับหัวได้ภายในเสี้ยววินาที

     

    ฉะนั้น ปลอดภัยไว้ก่อนแล้วกันในเมื่อมันก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรนักหนากับการอยู่กับเขา

     

    เฮ้! นี่ผมมาเรียนนะ... ไม่ได้มาเป็นศิราณีให้ใคร

     

    แต่ก็... หยวนๆ แล้วกัน

     

     

     

    เธอให้ความสำคัญ เฝ้าหันมามองสบตา

    และทำให้ฉันเองต้องเพ้อไป

    ทุกครั้งที่เราเจอกัน ก็เกิดความหวังขึ้นมามากมาย

    แต่เหมือนว่ามีอะไรไม่ชัดเจน

     

     

    รถมอเตอร์ไซต์รับจ้างเบรกเอี๊ยดทันทีที่ถึงหน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผมรีบกระโดดลงรถพร้อมกับจ่ายเงินด้วยความไวแสงแล้ววิ่งมาหาเพื่อนที่ทำหน้ากระวนกระวายอยู่หน้าตึก สองมือก็รีบตะกุยหัวตัวเองให้อยู่ในสภาพปกติหลังจากโต้ลมจนผมหน้าตั้งเด่

     

    “ไอ้แบม! เร็วๆ เลยมึงอ่ะ... แล้วนี่เป็นเฟรชชี่รึไง... ผูกเนกไททำห่าอะไร?”

     

    ยังไม่ทันถามสารทุกข์สุกดิบเพื่อนตัวดีก็รัวข้อสงสัยพลางลากผมไปที่หน้าลิฟท์เพื่อเตรียมเข้าควิซปากเปล่าคู่กัน ผมรีบถอดเนกไทที่คล้องคออยู่ออกแต่กลับถูกดึงไปจากมือหน้าตาเฉย

     

    “แล้วทำไมมีเข็มมหาวิทยาลัยอื่นที่เนกไท?”  สายตาจับผิดยังคงถูกส่งมาจนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดก่อนจะกระชากสิ่งของเจ้าปัญหากลับมาจากเพื่อนขี้สงสัยแล้วยัดใส่เป้ที่สะพายอยู่

    “ริอาจเป็นพวกขี้เสือกเหรอมึงไอ้ปลื้ม?” 

    “เออ! กูไม่ถามก็ได้ แต่มึงอ่ะ...ตั้งสติตอบคำถามอาจารย์ให้ดีล่ะ กูอยากได้เต็มนะเว้ย!” 

    “รู้แล้วน่ะ!

     

     

     

    โทรศัพท์มือถือถูกหยิบออกมาส่องรอบที่สิบเมื่อเครื่องสั่นเป็นสัญญาณข้อความเข้า

    “ใครวะ?”  ผมมองหน้าจออย่างแปลกใจกับหมายเลขที่ไม่คุ้นก่อนจะเลื่อนนิ้วเพื่อกดเปิดอ่านข้อความ

     

     

    หายไปไหน คิดจะโดดกิจกรรมเหรอเจ้าตัวแสบ?

     

     

    “คิมยูคยอม?”  หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีในเมื่อตอนนี้ยังติดกิจกรรมของมหาวิทยาลัยตัวเองอยู่เช่นกัน

     

    “ไอ้แบม... เซ็นชื่อยากๆ หน่อยนะเว้ย เพราะว่ามึงน่ารัก... เด็กๆ ไม่กล้าโกรธแน่!”   น้ำเสียงของปลื้มดูมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้

    “ไม่ต้องห่วง! กูจัดให้ได้ตามขอ... งั้นตอนนี้กูไปทำตัวให้หายากก่อนนะ ไปหละ”  ผมถือโอกาสปลีกตัวออกมาแต่ก็ได้ยินเสียงแหกปากของไอ้ปลื้มอยู่ด้านหลังแว่วๆ

     

    “เฮ้ย! ไอ้แบม... มึงจะไปไหน? ไอ้แบม...!”   

     

    แต่เรื่องอะไรผมจะหยุด... กว่าจะหาช่องออกมาได้แสนยากเย็น ไม่กลับไปง่ายๆ หรอก!

     

     

     

     

     

     

    พี่วินมอเตอร์ไซต์รับจ้างถูกเรียกใช้บริการอีกรอบแม้จะเป็นคนละวินแต่ความสามารถไม่แตกต่าง... ความเร็วระดับนักแข่ง

     

    ผมสับขาอย่างเร่งรีบไปยังห้องประชุม... นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่โมงสิบห้านาทีทำให้รู้ว่าสายแล้ว ผมรีบคว้าแว่นกรอบสีดำในกระเป๋ามาใส่แล้วผลักประตูเข้าไป

    หลายสายตามองผมแปลกๆ ไม่เว้นแต่ยองแจที่สิงสถิตอยู่ที่ประจำหลังห้อง รุ่นพี่บางคนถึงกับหน้าแดงไม่รู้ว่าเพราะอะไร สุดท้ายก็มารู้ตัวจากเพื่อนเก่าเจ้าประจำ

    “แบมแบม... นายแต่งตัวไม่เรียบร้อย”   เขากระซิบ

     

    ผมทำหน้าไม่เข้าใจก่อนจะก้มมองดูเสื้อผ้าของตัวเองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อกระดุมเสื้อนักศึกษาหลุดไปถึงเม็ดที่สามเผยให้เห็นแผ่นอกแบนราบที่ไม่ได้สวมเสื้อกล้ามไว้อีกชั้น กระเป๋าเป้บนบ่าแทบถูกเหวี่ยงทิ้งในทันที...เมื่อรู้ตัวว่าทำอะไรพลาดไป จากนั้นก็ล้วงเนกไทที่ถอดไว้มาใส่ให้เรียบร้อย

     

    ส่วนในใจน่ะเหรอ?... กลัวถูกจับได้แทบแย่

     

     

     

    อย่าปล่อยให้คิดไปเอง ฝันไปเองว่าเธอน่ะรักกัน

    อย่าทำอย่างนั้น มันทำร้ายเกินไป

    อย่าปล่อยให้คิดไปเอง ฝันไปเองว่าเธอนั้นมีใจ ใกล้เธอเท่าไหร่

    ฉันเองก็หวั่น อย่าให้ฉันต้องคิดอะไรเกินเลย

     

     

     

    ผมว่า...รุ่นพี่คิมยูคยอมดูเปลี่ยนไป เขาไม่เหมือนทีมว้ากเกอร์แต่กลับเป็นพวกขบวนการก่อกบฏมากกว่า หลายครั้งที่เขาใจดีและดูเอาใจใส่เกินเหตุจนถูกเพื่อนเขม่น ผมว่า...มันตลกดี หากให้คิดอีกด้านนายขี้เก๊กนี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ

     

    มหาวิทยาลัยนี้บรรยากาศดีหรือเพราะผมอารมณ์ดีก็ไม่รู้ แม้มันจะเหนื่อยหน่อยที่ต้องวิ่งไปวิ่งมาสองสถาบันแต่มันก็เป็นทางเลือกที่ผมพอใจ

     

    “แบมแบม”   เสียงทุ้มๆ ดังมาจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้ง

    “ฮะ?”  

    “นี่จะสามทุ่มแล้ว... นายกลับยังไง?”  

    “แท็กซี่ครับ”  ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เรื่อยเฉื่อยสุดๆ

    “เดี๋ยวฉันไปส่ง ตามมาสิ” 

    “.....”  อะไรดลจิตดลใจมาอีกละเนี่ย...

    “กลัวหรือไง? ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่ะ”

    “ใครคิดแบบนั้นกัน”  เฮอะ... คิดว่าจะกลัวหรือไงกัน? ไร้สาระน่า...

     

     

     

     

    ช่วงนี้ผมถูกตามติดจนแทบขยับตัวไม่ได้แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีที่อยู่กับเขา แต่มันก็ลำบากนิดหน่อยในการทำตามแผนที่วางไว้ เขาเอาใจใส่ผมจนเริ่มจะเคยตัวที่มีเขาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

     

     

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...

     

     

     

    เสียงเคาะประตูเรียกความสนใจจากหน้าโทรทัศน์ได้เป็นอย่างดี ผมนิ่งคิดเล็กน้อยถึงผู้มาเยือนในเวลาเช้าวันหยุดแบบนี้ก่อนจะก้มมองดูสภาพความเรียบร้อยของตัวเอง

    เบื้องหลังประตูปรากฏร่างของคิมยูคยอมผู้เป็นรุ่นพี่ปีสามยืนยิ้มเผล่พร้อมยกถุงอาหารในมือขึ้นโบกด้วยท่าทางน่ารัก

     

    อะไรนะ!?... ผมเพิ่งบอกว่าน่ารักเหรอ? ตลกน่า...

     

     

    ประตูไม้ถูกเปิดกว้างให้แขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาด้านในแล้วเจ้าของห้องอย่างผมก็เดินไปทิ้งตัวลงที่หน้าโทรทัศน์เช่นเดิม แต่ยูคยอมกลับวางของลงบนโต๊ะเล็กแล้วเดินมานั่งข้างๆ เสียนี่

     

    “แบมแบม... นายเพิ่งตื่นงั้นเหรอ? ชุดน่ารักดีนะ”

     

    ผมมองหน้าเขาอย่างไม่ค่อยไว้ใจแล้วเลื่อนสายตามองชุดตัวเอง... เสื้อคอวีสีขาวแขนสั้นตัวใหญ่กับกางเกงบอลสีดำเนี่ยนะน่ารัก หมอนี่ต้องสายตามีปัญหาแหงๆ

     

    “ผมก็แต่งตัวปกตินะคุณ ไม่ได้ใส่ชุดหมีน้อยเสียหน่อยดูพูดเข้า”   ปากไวตลอด...แก้ไม่เคยหาย

    “หึหึ... ใส่ชุดไหนก็น่ารัก”  ประโยคคำพูดของเขาทำเอาหน้าร้อนผ่าว

    “พูดมากจริง”

     

    ผมบ่นเบาๆ ก่อนจะลุกหนีไปเปิดบรรดาถุงอาหารที่เขานำมาด้วยออกดู แต่ละอย่างน่ากินจนพยาธิในท้องเริ่มมีปฏิกิริยา มือขาวๆ แทรกเข้ามาระหว่างลำตัวและแขนของผมตามด้วยใบหน้าของเจ้าของจนผมนิ่งเป็นหุ่น มันรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกกดบ่าลงให้นั่งที่เก้าอี้เสียแล้ว

    ถ้วยใส่โจ๊กร้อนๆ หอมกรุ่นถูกวางไว้ตรงหน้าแถมกลางโต๊ะยังมีจานปาท่องโก๋อีกต่างหาก

     

    “นี่... ซื้อมาเหรอ?”

    “ใช่... ซื้อมากินด้วยกัน เดาว่าตอนเช้าๆ แบบนี้นายคงยังไม่ได้กินอะไร”  เขาพูดพลางหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกตัว

     

    การกระทำหลายอย่างของเขาที่ผมไม่เข้าใจ รวมถึงไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมต้องใจเต้นแรงเมื่ออยู่ใกล้เขา

     

     

     

    บางทีก็แอบถามตัวเอง... นี่ผมกลัวความลับแตกขนาดนั้นเลยเหรอ?

     

     

     

     

    บอกกับฉันสักคำ ว่าเธอนั้นคิดอย่างไร

    อย่าทำให้เข้าใจอย่างนี้เลย

    รู้ไหมว่าความผูกพัน กำลังทำร้ายใจคนคุ้นเคย

    ช่วยย้ำความจริงในใจเสียที

     

     

     

    หลังจากเรียนคาบเช้าเสร็จก็ได้เวลาออกมาเตร็ดเตร่ข้างนอกบ้าง เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ตีสามเพราะต้องทำงานส่งแถมเมื่อเช้าก็ตื่นแต่ไก่โห่แล้วเอางานไปฝากไอ้ปลื้มส่งที่บ้าน กว่าจะลากสังขารมาถึงมหาวิทยาลัยก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี

     

    ทางเดินไปโรงอาหารผู้คนดูบางตาคงเพราะส่วนใหญ่ยังมีเรียนต่อในคาบถัดไป ทว่าสายตาอันเฉียบคมของผมก็ดันหันไปเจอร่างสูงที่คุ้นตานั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะม้าหินที่อยู่ไม่ไกลจากที่ผมอยู่นัก

     

    “เป็นอะไรอ่ะ... ทำหน้าเหมือนคนอกหัก ยังไม่เลิกเสียใจอีกเหรอ?”  ร่างกายของผมมักไปไวกว่าสมอง และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เป็นแบบนั้นเพราะไม่ทันได้คิดอะไรก็ก้าวมาอยู่ข้างเขาเสียแล้ว

    “เปล่า... แล้วนั่น... จะปีนเกลียวรึไง?” เขาปฏิเสธแต่ก็ยังหาเรื่องแขวะจนได้ ผมเองก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ จะให้บอกหรือไงว่าผมไม่เคยเห็นเขาเป็นรุ่นพี่มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

     

    “มีวิชาไหนไม่เข้าใจไหม?” เขาถาม

    “เด็กๆ ฮะ สบายมาก แค่วิชาพื้นฐานเอง”  

    “ฉันหิวแล้ว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ” 

    “แล้ว... พี่ฮงซอกล่ะ?”  

    “ไม่รู้สิ... หายแต่เช้าแล้ว”

     

    ผมอยากจะเล่นตัวอยู่หรอกนะ แต่ว่า... ท้องไส้รวมถึงกระเพาะที่ร้องโครกครากของผมมันไม่เป็นใจเอาเสียเลยเพราะผมเองก็ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าก็เลยตอบตกลงกลับไปอย่างง่ายดาย

     

    “อืม... ไปสิ”

     

     

    ผมว่า... ผมเห็นเขายิ้มนะ

     

     

     

    คนในโรงอาหารคนน้อยอย่างที่คาด ตอนนี้ผมหิวจนแทบจะเหมาทุกร้านมากินได้อยู่แล้ว เดินเลือกอยู่ไม่นานก็ได้มาสองจาน...นี่ใครจะหาว่าผมตะกละไหมนะ? ช่างเถอะ...ก็ผมหิวนี่นา

    ยูคยอมนั่งรออยู่ที่โต๊ะเรียบร้อยพร้อมกับน้ำสองแก้ว แต่นั่น... เขากำลังสนใจอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมรีบสาวเท้าเข้าไปตรงนั้นทันทีก่อนที่เขาจะทันได้ยุ่งกับหนังสือเรียนของผมไปมากกว่านี้

     

     

    เพี๊ยะ!

     

     

    “ซน!

     

    ปลายนิ้วตวัดลงไม่แรงนักที่มือหนาของเขา ซึ่งคนถูกตีก็ชักมือกลับทันทีเหมือนกัน

     

    “เดี๋ยวจบกิจกรรมแล้วนายก็ไม่เจอฉันบ่อยๆ อีก นายจะคิดถึงฉันไหม?”  เขาเปลี่ยนเรื่อง

    “อาจจะไม่เจออีกเลยก็ได้” 

    “เฮ้ย! อะไรกัน ยังไงก็เรียนคณะเดียวกันนะ นายจะไม่เจอได้ยังไง?” 

    “ใครจะไปรู้...”   จะให้บอกยังไงว่าจะอยู่ที่นี่แค่สองเดือน... ปล่อยมันไปคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แม้ว่าผมอยากจะเจอเขามันคงต้องให้เวลาผ่านไปสักระยะ

    “นายมีอะไรบอกฉันได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว อย่าคิดว่าฉันเป็นคนอื่น...”

    “ให้คิดว่าเป็นอะไรล่ะ?”   คราวนี้ผมเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง

    “......”

    “เป็นแฟนหรือไง?”

     

    เห็นเขาเงียบไปผมเลยแกล้งถามต่อด้วยความหมั่นไส้ แต่เขาถึงกับสำลักข้าวในปาก... สะใจชะมัด!

     

    “แค่ก... แค่ก... นายพะ...พูด ... พูดอะไรออกมา!

    “พูดอะไร? ก็แค่ถาม..”  ผมทำไขสือ

    “ตรงไปนะ” 

     

    ท่าทางเก้ๆ กังๆ ของเขาทำให้ผมนึกขำ ไม่บ่อยนักที่ยูคยอมจะออกอาการมาดหลุดแบบนี้ให้เห็น ปกติเห็นแต่ลุคเจ้าชาย... มีแบบนี้บ้างก็น่ารักดี

     

    “นายเคยมีแฟนไหม?” อยู่ดีๆ เขาก็ถามอะไรแปลกๆ

    “เคยสิฮะ ถามทำไม?” 

    “ผู้หญิงหรือผู้ชาย?” 

    “ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”   แม้ว่าแปลกใจแต่ผมก็ยังคงตอบ แต่ท่าทางเงียบๆ ของเขาทำให้ผมเอะใจเลยรีบพูดต่อไม่ให้เขาคิดไปไกล “นี่... เห็นแบบนี้ผมอยู่ฝ่ายเมะนะคุณ” 

    “เรื่องของนายเหอะ” 

     

    คำพูดราวกับไม่ใส่ใจทว่าริมฝีปากได้รูปกลับยกยิ้มในหน้าก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารในจานต่อและไม่พูดอะไรอีก

     

     

    แต่ทำไม... ผมรู้สึกเหมือนเขากำลังคิดอะไรไม่น่าไว้ใจอยู่เลยแฮะ...

     

     

     

     

    อย่าปล่อยให้คิดไปเอง ฝันไปเองว่าเธอน่ะรักกัน

    อย่าทำอย่างนั้น มันทำร้ายเกินไป

    อย่าปล่อยให้คิดไปเอง ฝันไปเองว่าเธอนั้นมีใจ ใกล้เธอเท่าไหร่

    ฉันเองก็หวั่น อย่าให้ฉันต้องคิดอะไรเกินเลย

     

     

     

    เป็นวันมหาหฤโหดของความเหนื่อยล้าที่นับวันมันจะหนักขึ้นทุกทีเมื่อผมต้องวิ่งไปพรีเซ้นต์ที่มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่และกลับมาสอบควิซวิชาคณิตศาสตร์ของปีหนึ่งต่อด้วยการเข้ากิจกรรมที่ผมตั้งใจเข้าร่วมตั้งแต่แรกในเวลาไม่กี่ชั่วโมงซึ่งตอนนี้อยากจะตีตัวเองแรงๆ หลายทีเพื่อทำโทษข้อหาคิดเล่นอะไรแผลงๆ

     

    ฟ้ามืดไปนานแล้วแต่ตัวผมยังไม่ไปถึงไหนเพราะหมกตัวแอบหลับสัปหงกอยู่ในห้องสมุดเพื่อรอให้รถหายติดเสียก่อนพอลืมตาขึ้นมาก็บิดตัวไล่ความเมื่อยขบเล็กน้อยก่อนจะก้มดูนาฬิกา เวลาเกือบสองทุ่มยังไม่ถือว่าค่ำมากนักสองมือยกขึ้นลูบหน้าให้หายมัวขี้ตาอีกครั้งพร้อมกับลากสังขารกะปลกกะเปลี้ยของตัวเองกลับบ้าน

     

    แรงสะกิดจากข้างหลังที่มาเงียบๆ ทำเอาผมสะดุ้งจนแทบตกฟุตบาธ

     

    “เฮ้ย! เป็นไร?”  

     

    น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสที่จับแขนเอาไว้ไม่ให้หัวทิ่ม พอเงยหน้ามองเห็นเจ้าของเสียงมีท่าทางตกใจอยู่ไม่น้อย

     

    “อ่อ..รุ่นพี่...”

    “ไหวไหม? นายดูเหนื่อยๆ นะ”   น้ำเสียงอบอุ่นที่เอ่ยออกมาดูห่วงใยจนผมรู้สึกได้

    “สงสัยพักผ่อนน้อยไป”  ผมตอบแบบติดตลก

    “ขึ้นรถเถอะ... อย่าให้เป็นห่วง”

     

    ตอนแรกก็ว่าจะปฏิเสธแต่พอเอ่ยประโยคหลังกลับปฏิเสธไม่ลง... การที่ใครๆ มองว่าเขาเป็นเจ้าชายคงจะมีเค้ามูลความจริงไม่มากก็น้อย

     

    ขึ้นรถไปได้ไม่เท่าไหร่ผมก็เผลอหลับคงเพราะโหมเรียนหนักมาทั้งอาทิตย์ ตื่นมาอีกทีก็เห็นตัวเองอยู่บนเตียงที่ห้องเรียบร้อยแล้ว ผมผุดตัวลุกขึ้นนั่งทันทีตามสัญชาตญาณก็พบกับยูคยอมนั่งฟุบอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ

    สองขาก้าวลงจากเตียงแล้วแตะตัวเขาเบาๆ ร่างหนาขยับตัวและหันมายิ้มให้เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นผมยืนอยู่ข้างเขา

     

    “ตื่นแล้วเหรอ? หิวมั้ย?”

     

    ผมพยักหน้าให้เขาเบาๆ คงปฏิเสธไม่ได้แล้วหละว่า... ผมรู้สึกดีกับเขาจริงๆ

     

     

     

     

     

     

    หากแม้ความจริงต้องเจ็บเพียงใด ถ้ารู้ว่าเธอไม่รักกัน

    ก็อยากจะฟังคำนั้น จะไม่คิดอะไรไปเกินกว่านี้

     

     

    บรรยากาศห้องกิจกรรมเต็มไปด้วยความมาคุเมื่อรุ่นพี่ว้ากเกอร์หน้าโหดบังเอิญเดินชนกับผมหน้าตึกและเก็บใบลาออกของผมไว้ได้ ตอนนี้ผมเป็นเป้าสายตาของรุ่นพี่ทุกคนในห้องกิจกรรมจนแทบอยากระเบิดตัวเป็นผุยผงเสียให้รู้แล้วรู้รอด ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าการที่เฟรชชี่สักคนจะลาออกต้องทำราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น

     

    รุ่นพี่หน้าโหดเทศนายาวยืดเกี่ยวกับความสัมพันธ์รุ่นพี่รุ่นน้อง ความไว้เนื้อเชื่อใจ การช่วยเหลือเกื้อกูล ตลอดจนถึงเรื่องเลือดสถาบัน

     

    ยูคยอมก้าวเข้ามาในห้องกิจกรรมก่อนจะเดินไปหารุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทั้งคู่คุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ร่างสูงก็เดินตรงมาหาก่อนจะดึงผมให้ลุกยืนขึ้น เสียงของรุ่นพี่หน้าโหดหายไป ไม่สิ... มันเงียบกริบไปทั้งห้องต่างหาก

     

    “ทำไมจะลาออก... มีปัญหาอะไร?”

    “มันจบแล้วยูคยอม...”

    “จบ? คืออะไร...?”   เขาขมวดคิ้วแน่น คงไม่เข้าใจคำพูดของผม

    “ฉันมาแค่นี้... แล้วก็ต้องกลับไปแล้ว”

     

    ผมพูด... โดยมีสายตาของเขามองอย่างเต็มไปด้วยคำถามมากมาย คำถามที่ผมไม่รู้จะเริ่มตอบจากตรงไหน

     

    “ไม่! นายจะไปไหนไม่ได้!  ยูคยอมเค้นเสียงกร้าวใส่

    “อย่าสิ... นายกำลังทำให้ฉันลำบากใจ เดี๋ยวจะโทรมาหาบ่อยๆ”

    “......”   เขาไร้คำตอบโต้

    “พรุ่งนี้... ฉันคงไม่ได้มาแล้ว ไปนะ ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็... ขอบคุณทุกคนที่ดูแลผมมาตลอด”

     

     

    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมบอกกับเขาและทุกคน จากนั้นก็เดินไปที่หน้าห้องพร้อมกับดึงใบลาออกใบเดิมจากมือของรุ่นพี่หน้าโหด

     

     

     

                ทริปแอดเวนเจอร์ทริปนี้ของผม.... จบลงแล้ว

     

     

    อย่าปล่อยให้คิดไปเอง ฝันไปเองว่าเธอน่ะรักกัน

    อย่าทำอย่างนั้น มันทำร้ายเกินไป

    อย่าปล่อยให้คิดไปเอง ฝันไปเองว่าเธอนั้นมีใจ ใกล้เธอเท่าไหร่

    ฉันเองก็หวั่น อย่าให้ฉันต้องคิดอะไรเกินเลย

     

     

     

    ผมกลับมาเป็นรุ่นพี่ปี 3 ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์อีกครั้งในมหาวิทยาลัยเดิมที่เรียนอยู่ การไม่ต้องหลบซ่อนราวกับโจรผู้ร้ายเป็นลาภอันประเสริฐแถมยังไม่เหนื่อยสาหัสเท่าสองเดือนก่อนด้วย ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ เมื่อหวนนึกถึงวันที่ตัดสินใจยื่นใบสมัครเขาเรียนปีหนึ่งอีกครั้งเพื่อความสนุกในชีวิตที่หายไป

     

    ทุกอย่างล้วนเป็นความทรงจำที่ดี... บอกตามตรงผมยังไม่ได้ลายองแจเลยกะว่าผ่านไปสักหน่อยจะกลับไปหาเขาอีกครั้ง เขาเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง แต่ก่อนที่สมองของผมจะนึกถึงหน้าคนอีกคนที่คิดถึงมาตลอดหลายวันเสียงของเพื่อนตัวดีก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน

     

    “ไอ้แบม... รถจะออกแล้ว ไปเร็ว!

     

    มันตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะวิ่งขึ้นรถไปก่อน ตอนนี้สาขาวิชาของผมกำลังจะไปทัศนศึกษาที่ต่างจังหวัด และคงไม่ได้ติดต่อกับใครเพราะทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ห้องโดยพกมาแค่เครื่องเล่นไอพอด หากผมหายไประหว่างทัศนศึกษาก็แจ้งตำรวจตามหาได้เลย

     

    ภาพรอยยิ้มของใครบางคนปรากฏเด่นชัดตอนที่ผมหลับตา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องอยู่ในหูเมื่อเครื่องเล่นเลื่อนมาถึงเพลงที่เขาเคยร้องเพื่อล้อเลียนผม แต่น้ำเสียงอบอุ่นกลับทำให้ผมอุ่นใจทั้งที่นอนอยู่บนรถแท้ๆ

     

    ห้าวันสำหรับทัศนศึกษาที่มีแต่สถาปัตยกรรมโบราณทำเอาผมเอียนตามด้วยอาการสมองล้ารู้สึกคิดผิดที่ตัดสินใจไปเพราะมันเหนื่อยมากกับการเดินทางไปทุกทีในเวลาจำกัด สุดท้ายปลื้มก็ลากผมไปนอนบ้านมันได้สำเร็จเพราะเป็นห่วงเห็นว่าอยู่คนเดียว

     

    มันให้เหตุผลว่า... ขี้เกียจเรียกมูลนิธิไปเก็บศพหากผมตายไปโดยไม่มีใครรู้

     

     

     

    เอ่อ... นี่แค่เหนื่อย ไม่ได้ป่วยหนักใกล้ตาย

     

     

     

    กว่าจะได้กลับห้องตัวเองปาไปวันจันทร์หลังเลิกเรียน

     

     

     

     

    ผมถือชีตหลายวิชาที่ยืมมาไปถ่ายเอกสารพร้อมกับเข้าเล่มผมสีดำสนิทที่เริ่มยาวทำเอาหงุดหงิดจนต้องหยิบแว่นกรอบสีดำมาสวมเพื่อกันผมเข้าตา

     

     

    “แบมแบม!!!” 

     

     

    เสียงนั่นทำเอาชีทปึกใหญ่ในมือแทบร่วงหล่นแต่ดีที่ผมยังจับไว้ทัน ผมค่อยๆ หันไปมองตามเสียงที่ได้ยินแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นเขา

     

     

    คิมยูคยอม...

     

     

     

    เขามาที่นี่... ได้ยังไง?

     

     

     

    ร่างหนาสาวเท้าเขามาหาผม ตอนนี้ขาของผมขยับไม่ออกทั้งที่อยากจะเดินเข้าไปหาเขาอยู่เหมือนกันหรือเพราะความกล้าของผมมีไม่พอ...

     

    “นายหายไปไหนมา? ฉันตามหานายอยู่รู้ไหม?”   มือหนาถูกส่งมาสัมผัสข้างแก้ม ฝ่ามือร้อนๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่อกจนแทบหายใจไม่ออก

     

    “ฉัน... ขอโทษ”   ผมพูดได้แค่นั้น

     

    “ช่างมันเถอะ... ถึงยังไงฉันก็เจอนายแล้วนี่”  เขายิ้ม... ซึ่งเป็นรอยยิ้มเจ้าชายที่ผมไม่เห็นมาสองอาทิตย์เต็มๆ

    “มาทำอะไรเหรอ?”  

     

    บางทีผมก็คิดว่าที่เราได้เจอกันเป็นเรื่องบังเอิญ และหากเป็นอย่างนั้นผมจะไม่ต้องดีใจเก้อ

     

    “ฉันมาหานาย... มีบางอย่างอยากจะบอก”

    “อะไร?”

     

     

    ... ถามออกไปทั้งที่ใจก็กังวล

     

     

    ... ถามออกไปทั้งที่รู้สึกแปลกๆ

     

     

    ... ถามออกไปแม้ว่าคำตอบอาจทำให้ต้องผิดหวัง

     

     

     

    แต่คำตอบที่ได้รับจากเขาทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก

     

     

     

     

    รักกันรึเปล่าไม่เคยเข้าใจ อย่าให้ฉันต้องคิดอะไรเกินเลย

     

     

     

     

     

    “ฉันชอบนาย...แบมแบม”

     

     

     

     

     

     

      

     

     

    -END-



     

    #เรื่องทำให้งงไว้ใจผม 5555555

    เซตนี้จบแล้วววววว ฮิ้ววววว... 

    อยากบอกว่าไม่ค่อยถนัดเขียนเรื่องสว่างๆ แบบนี้เท่าไหร่(มั้ง?) แต่พยายามอยู่ค่ะ ^^

    รีดเดอร์งงตรงไหนบอกได้นะคะ เราจะมาไขความกระจ่างให้ชัดๆ กันไปเลย คึคึ...




    ....................................
     

    Talk ::: 
              

             จุดเริ่มของเรื่องนี้... เกิดจากแบมแบมคิดเล่นเอาสนุกแค่นั้นจริงๆ 
             เลยทำให้รุ่นพี่ปี 3 อย่างแบมแบมไปสมัครเป็นเฟรชชี่พร้อมกับเรียนที่เดิมไปด้วยถึงได้มาเจอยูคยอมค่ะ ^^





             



      

     

     










     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×