คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : คนที่ใช่ ... [YugBam]
คนที่ใช่ - YugBam
Yugyeom Part
เจอะบางคนเหงาๆ บอกอยากเป็นแฟนเรา
แต่ก็มีตัวเลือกมากมาย
เจอะคนคอเดียวกัน แบบว่าใจตรงกัน
แต่ดันมีเจ้าของหัวใจ
“เฮ้! ว่าไงยูคยอม พร้อมหรือยัง?” เพื่อนตัวดีแกล้งถาม มันรู้ดีว่าผมลำบากใจแค่ในที่ต้องอยู่ในกลุ่มพี่ว้ากตัวร้ายทั้งที่ผมไม่ใช่แนวนั้นด้วยซ้ำ... เอางี้... ถ้าให้ไปเป็นบาทหลวงยังจะเหมาะกว่า
“ยัยนิวเยียร์บอกจะมาหานายด้วยนะ อย่าลืม!”
เพื่อนคนเดิมเอ่ยเตือนดูเหมือนมันจะมีความสุขที่ผมต้องเจอกับผู้หญิงคนนั้น คนที่บอกว่าอยากคบกับผมนักหนาแต่ว่าเธอก็ยังอัธยาศัยดีเกินเหตุแก่คนทั่วไป
... น่าจะไปประกวดนางงามจริงๆ
ครับ... ผมคิมยูคยอม นักศึกษาปี 3 สถาปัตย์ฯ ภาคอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังในประเทศไทย เป็นชาวต่างชาติอย่างแท้จริงไม่มีครึ่งไทยหรือใดๆ ผสม
แม้ใครๆ มักเรียกผมว่า‘เจ้าชาย’ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ ผมว่าผมก็แค่ใช้ชีวิตปกติ เวลาโหดก็มีเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ... แม้ฮงซอกจะบอกว่าจริงๆ ผมน่ะเป็นพวกน่ากลัวเลยจับไปรวมกลุ่มพี่ว้ากก็เถอะ
ส่วนนั่น... ยางฮงซอก เพื่อนสนิทผมเองเป็นคนเกาหลีเหมือนกัน เจอกันตอนเรียนวิชาพื้นฐานตอนปีหนึ่ง สาเหตุเพราะมันต้องย้ายเวลาเรียนเนื่องด้วยมาไม่ทันวิชาเช้า คือ.. มันน่ะมาสาย สายมาก... สายที่สุด! จนบัดนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่..
นี่ไม่ใช่นิสัยละ... มันเป็นสันดาน...
แต่มันหล่อ... เอ้า!หรือจะเถียง
“คิดอะไรไอ้เจ้าชาย... ไปเร็ว!” เสียงฮงซอกเร่งผม ... อ่า.. ต้องแอ๊บโหดสินะ
“เออ... ไปเดี๋ยวนี้แหละ”
มีกิจกรรมว้ากเพื่อรับน้องและสร้างความสามัคคีรวมถึงทำความรู้จักกัน ผมว่ามันก็ไม่มีอะไรนะ แต่ยอมรับแหละว่าหนักข้อและใช้อารมณ์มากขึ้นทุกที เด็กๆ ดูเหมือนจะมากันครบแล้วแต่ละคนหน้าใสมาเชียว เอ่อ...หมายถึงแจ่มใสน่ะครับ
เมื่อเดินมาถึงกิจกรรมก็เริ่มไปแล้ว ผมได้แต่นั่งทำหน้านิ่งมองไปเรื่อยๆ ให้มานั่งให้มันครบๆ ก็ทำอยู่นี่ไง อย่าคิดว่าผมจะเป็นตัวตั้งตัวตีเลยนะ...ไม่มีทาง!
แต่... มันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้
ไม่ใช่กับกิจกรรม
...เรื่องส่วนตัวผมเอง
“คยอมคะ... นิวเยียร์อยากดูหนังคยอมไปกับนิวเยียร์นะคะ รับน้องอะไรเนี่ยให้คนอื่นทำไปเถอะ ไม่เห็นจำเป็นที่คยอมต้องอยู่เลย”
ถ้าพูดเบาๆ จะไม่ว่าสักคำ แต่นี่... ได้ยินกันทั้งห้องเลย
สายตาของหัวหน้าพี่ว้ากจ้องผมตาแทบหลุด พอหันไปหาฮงซอกก็เจอสีหน้าอันกวนอวัยวะเบื้องล่างของมัน
ส่วนรุ่นน้องที่นั่งกันหน้าสลอนนี่มองกันตาแป๋วเลยเชียวหละ
“ไปไม่ได้หรอก ผมต้องอยู่ดูน้อง”
“ถ้าคุณไม่ไป เราก็ไม่ต้องคุยกันอีก!” นิวเยียร์ยื่นคำขาด คราวนี้ทั้งห้องที่ตอนแรกพอจะมีเสียงซุบซิบอยู่บ้างถึงกับเงียบกริบ
“ก็ได้! งั้นก็ไม่ต้องคุยกันอีก!” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้ผมตัดสินใจพูดออกไปแบบนั้นทั้งที่ชอบเธอมาก แต่ก็นะ... เดี๋ยวค่อยง้อละกัน
นิวเยียร์จ้องผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนจะเดินปึงปังออกไป ผมทำหน้าเซ็งแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่เดิม
“ละคร...” เสียงที่ดังเล็ดลอดมาให้ได้ยินทำเอาขมวดคิ้ว
“เสียงโคร!?”
“ชิบหายละ... ไอ้ยูคยอมอารมณ์เสียแล้วไง” ฮงซอกทำหน้าตาปุเลี่ยนก่อนจะรีบเข้ามาเคลียร์
“ผมถามว่าเสียงใคร?” ผมยังถามย้ำพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง
“ปล่อยไปเหอะ จะเข้ากิจกรรมละ” ฮงซอกรีบเข้ามาเคลียร์
“ผมเอง!”
ไม่ทันขาดคำเสียงเดิมที่เคยได้ยินก็ปรากฏพร้อมรุ่นน้องท้ายแถวที่ยืนขึ้น
เด็กผู้ชายตัวบางสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ที่มีใบหน้าหวานแต่สวมแว่นสายตากรอบสีดำเอาไว้บนใบหน้า มัดผมจุก ดูท่าทางไม่น่าจะปากดีหาญกล้าด่ารุ่นพี่เอาเสียเลย
“คุณมีปัญหาอะไรกับผม?” ผมเดินเข้าไปหาแล้วถามเสียงเข้ม
“ก็ไม่มีครับ”
เขาตอบโดยไม่สบตา ดูเหมือนตอนนี้คนในห้องจะจับจ้องเหตุการณ์นี้ตาแทบไม่กระพริบ
“งั้นโทษฐานที่ปากพล่อย... ผมขอสั่งให้ทุกคนในรุ่นออกไปวิ่งรอบสนามห้ารอบ ปฏิบัติ!”
“ไม่ได้นะ!”
เด็กนั่นโพล่งขึ้นพร้อมกับกระชากแขนผมที่กำลังจะหมุนตัวเดินกลับไปนั่งที่เดิมท่ามกลางเสียงโอดโอย... ย้ำเลยนะว่ากระชาก แต่พอสิ้นเสียงเด็กนั่นเท่านั้นแหละ เงียบกริบอีกรอบ
“อะไรที่ว่าไม่ได้?” ผมเหลือบตามองมือของเด็กนั่นแต่เขาก็ยังไม่ปล่อย
“ผมทำผิดก็ลงโทษผมคนเดียวสิ! พี่จะลากคนอื่นมายุ่งทำไม?”
“ได้! เลือกเอาระหว่าง ... ทั้งรุ่นห้ารอบ หรือ คุณคนเดียวเลย... ยี่สิบรอบ?”
“.....”
“เดี๋ยวนี้!”
คนโดนโดนดีดี อยากมีรัก
ฉันรู้จักมาหลายราย
แต่ไม่มีใครคนไหน
เข้ามารักฉันจริง
เด็กคนนั้นทำผมโมโหจริงๆ ท่าทางเหนียมๆ คล้ายเด็กเรียนแต่กลับป่วนประสาทผมได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ผมกะว่าจะปล่อยให้วิ่งสักรอบสองรอบก็ยกเลิกและให้กลับมานั่งด้วยซ้ำ คราวนี้เลยต้องนั่งเฝ้าตัวแสบถึงยี่สิบรอบ... น่าเบื่อชะมัด
โชคยังดีที่เด็กนั่นก็รอดมาได้โดยที่ไม่เป็นลมไปเสียก่อนเมื่อวิ่งเสร็จ
“ไง... พี่ว้าก จัดหนักตั้งแต่วันแรกเลยนะ” ฮงซอกเอ่ยแซวผมทันทีที่เข้ามานั่งในรถ
“คิดว่าฉันตั้งใจรึไง? เพราะนิวเยียร์หรอก” ผมเถียง
“ก็บอกแล้วไงว่าจะมา... ไม่ระวังเองนี่หว่า” ฮงซอกพูดพลางเลือกซีดีในกล่องไปด้วยท่าทางสบายๆ
“อะไรนะ!” ผมถึงกับเสียงดังลั่น จนเจ้าเพื่อนตัวดีสะดุ้งใช้นิ้วยาวๆ ทะลวงเข้าไปในหูเพราะเสียงดังเกินระดับกฎหมายกำหนด
“ขี้หูเต้นระบำหมดละเนี่ย เสียงดังว่ะ! ก็ละครไง แต่เหมือนจะถูกโกรธจริงนะ หึหึ...”
“...ฉัน”
เป็นครั้งแรกที่ผมต้องอึ้ง...มันเป็นละครจริงๆ ด้วย แต่เป็นละครที่ผมไม่รู้มาก่อน ความรู้สึกผิดเกาะกินจิตใจในทันทีเมื่อสำนึกได้ว่าตัวเองใช้อำนาจรุ่นพี่เกินขอบเขตเพราะละครหลอกเด็กฉากหนึ่ง
งั้น... เด็กนั่นก็ไม่ได้กวนประสาทซะทีเดียวสินะ
ผมไล่ฮงซอกลงรถก่อนจะขับออกไปทางที่เห็นเด็กนั่นเพิ่งเดินผ่านไม่นาน กะว่าจะไปส่งบ้านสักหน่อย...ถือว่าไถ่โทษแล้วกัน
แต่เด็กนั่นหายไปแล้ว... เร็วชะมัด
สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับไปรับฮงซอกอยู่ดี... ไร้สาระได้อีก
วันรุ่งขึ้นเด็กนั่นยังมาเข้ากิจกรรมปกติแต่เหมือนผมจะถูกเมิน นั่งไปสักพักฮงซอกก็ยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ผมแต่ผมเองก็ไม่ได้สนใจนักเลยเอามาม้วนเล่นแก้เซ็ง สายตายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าน่ารักกับแก้มป่องๆ นั่นนิ่งเฉย แค่เรื่องเมื่อวานรุ่นน้องก็คงยกผมขึ้นหิ้งไปแล้วหละครับ ก็ดี... จะได้ไม่ต้องเฟคเยอะ
ตอนที่แยกกลุ่มเพื่อเล่นเกมส์สายตาของผมก็สบเข้ากับดวงตาโตใต้กรอบแว่นสีดำเข้าอย่างจัง หมอนั่นจิกตาและเบ้ปากใส่ก่อนจะหันไปสนใจเพื่อนข้างๆ ทันที ทิ้งให้ผมได้แต่เข่นเขี้ยวที่ถูกท้าทายอยู่ในใจตงิดๆ
“มัวแต่จ้องน้องมันน่ะ... ดูในกระดาษที่ให้ไปซะบ้างเถอะวะ น้องคนนั้นชื่อ... แบมแบม จำไว้นะ เอ้อ... แล้วก็น่ารักมากด้วย ไอ้พวกพี่ว้ากหลุดแอ๊บกันเป็นแถว หึหึ”
ฮงซอกเดินเข้ามานั่งข้างๆ แล้วเริ่มทำการฮาร์ดเซลล์อย่างสนุกปาก แต่มันลืมไปหรือเปล่าว่าผม... ไม่ได้ชอบเด็กนั่น
กระดาษสีขาวที่ตอนแรกเอามาม้วนเล่นถูกคลี่ออกก่อนจะพิจารณาข้อความต่างๆ ที่อยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเล่น ชื่อจริง เบอร์โทรศัพท์ ไอดีไลน์ รวมถึงทะเบียนรถและอื่นๆ อีกมากมายทำเอาผมตาลาย นี่คงฝีมือยางฮงซอกอีกแล้วสินะ เจ้าเพื่อนตัวดีสู่รู้จัดการแน่ๆ กี่คนไปแล้วที่ทำอีหรอบนี้ทุกที สงสัยจริงๆ ว่าเจ้านี่อยากเห็นเพื่อนมีแฟนขนาดนั้นเชียวหรือ
“พี่ฮะ... ขอลายเซ็นหน่อยสิ” เสียงใสๆ ดังขึ้นใกล้ๆ ทำให้ผมต้องเงยหน้าจากกระดาษแผ่นนั้น
“อ๊ะ! นาย...”
ผมเงยหน้ามาก็เจอกับเด็กนั่น... เอ่อ... หมายถึงแบมแบมน่ะครับ แต่เขามองเมินไปทางอื่นท่าทางจะไม่ค่อยอยากเจอผมเท่าไหร่ ผมรับสมุดมาเซนต์ให้แต่โดยดีแล้วยื่นคืนให้
“ขอบคุณครับ ทำไมเซนต์ง่ายจัง” ประโยคหลังคล้ายจะเอ่ยกับตัวเองแต่บังเอิญหูดีได้ยิน
“อยากให้เซนต์ยากๆ หรือไง? ก็ได้นะ” ผมพูดไปอย่างนั้น แค่รู้สึกผิดนิดหน่อยเรื่องเมื่อวานเท่านั้นแหละ
“ไม่อ่ะครับ” แบมแบมรีบรับของคืนก่อนจะเดินหนีไปหารุ่นพี่คนอื่นแต่ผมก็ดึงไว้
“เดี๋ยวสิ! ไปด้วยกันหน่อย”
เด็กนั่นไม่ได้ตอบโต้แล้วก็ไม่ได้อิดออดปฏิเสธเพียงแค่ยกสมุดล่าลายเซ็นให้ดูเท่านั้น ผมคว้ามันมาจากมือก่อนจะลากเขาไปทางฮงซอกก่อนจะส่งให้เจ้าเพื่อนตัวดีไป เจ้านั่นยิ้มแบบมีเลศนัยแล้วโบกมือไล่ ผมจึงออกมาข้างนอกพร้อมรุ่นน้องตัวแสบ
“พี่จะพาผมไปไหนเนี่ย? ที่ผมมาเพราะกิจกรรมนี่เลยนะ” เขาโวย
“อะไรนะ?” ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ปะ...เปล่า... เอ่อ... เราจะไปไหนกันเนี่ย?” เขาเอ่ยถาม
“มาเถอะน่า”
ผมเดินมาถึงคณะนิเทศศาสตร์ของนิวเยียร์กะว่าจะทำให้เด็กนี่รู้สักหน่อยว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ละคร แม้มันจะงี่เง่าแต่ผมก็ไม่อยากให้เจ้านี่เข้าใจผิด แต่ผิดคาดเมื่อดันมาเจอละครฉากใหม่ของนิวเยียร์กับเดือนคณะวิศวะปี 3 เข้าให้
“ฉากเลิฟซีน!”
เด็กแบมแบมหลุดปากออกมาพร้อมกับยกสองมือขึ้นอุดปากที่อ้าค้างของตัวเองเอาไว้โดยที่มือของผมยังติดอยู่ที่แขนข้างหนึ่งของเขาก่อนจะนึกได้และหันมามองผมเมื่อเห็นฉากจูบเรท 18+
“รุ่นพี่... โอเคไหม?”
“.....”
ผมพยักหน้าหงึกๆ รู้สึกดีนิดหน่อยที่แบมแบมยังมีแก่ใจถาม ไม่ว่าจะเป็นเพราะห่วงหรือสมเพชก็ตามเถอะ
ผมลากแบมแบมกลับโดยที่ไม่ได้เข้าไปด้านใน
แต่สำหรับนิวเยียร์... คงต้องลาขาด
ฟ้าช่วยให้เจอซักคน เป็นคนที่ใช่ที
ที่มาให้ชีวิตดีดี ไม่มาทิ้งมาหนีไป
ฟ้าให้โอกาสซักวัน ให้ฉันได้เจอ
คนที่ใช่ แล้วจะไม่เจ้าชู้ ไม่ดูใครอีกเลย
(ไม่เจ้าชู้ ไม่เจ้าชู้ )
หลายอาทิตย์ผ่านไปถือว่าผมคืนร่างเจ้าชายอย่างถาวร แม้เข้ากิจกรรมก็มีแต่จิตโอบอ้อมอารี ดูแลน้อง ยิ้มแย้ม ช่วยน้อง ไม่แกล้งใครทั้งนั้นแถมแอบเถียงเป็นบางทีด้วยแน่ะ จนเจ้าพวกนั้นเกือบจะไล่ผมออกจากห้องประชุมไปหายหน มีแต่ฮงซอกที่เอาแต่ส่ายหัวและขำอยู่นั่น
“แบมแบม” ผมเรียกเจ้าเด็กหน้าหวานเสียงไม่เบานักให้พอได้ยิน
“ฮะ?”
“นี่จะสามทุ่มแล้ว... นายกลับยังไง?” ผมเอ่ยถาม โอเคๆ ก็แค่เป็นห่วง
“แท็กซี่ครับ” เขาตอบง่ายๆ
“เดี๋ยวฉันไปส่ง ตามมาสิ” ผมบอกออกไป ทว่าเขาดูมีท่าทีลังเล
“.....”
“กลัวหรือไง? ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่ะ”
“ใครคิดแบบนั้นกัน” เขายู่หน้าใส่ จะเป็นไรไหมถ้าผมจะเห็นว่าเขา...น่ารัก
ช่วงนี้ฮงซอกหายหัวไปเลย ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันไปไหนเลยกลายเป็นว่าผมอยู่กับแบมแบมตลอดเวลาที่ว่าง
ไม่ว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ดูหนังด้วยกัน วันหยุดก็ออกไปเที่ยว เดินซื้อของ แม้แต่เขาต้องตากแดดซ้อมเชียร์ ซ้อมร้องเพลง รวมถึงถูกพี่ว้ากนั่นก็คือเพื่อนผมทำโทษให้วิ่งรอบสนาม แทงปลาไหล ลุกนั่ง สก๊อตจัมพ์ ก็ยังแอบเอาผ้าเช็ดเหงื่อและน้ำส่งให้
เจ้าชายอย่างผมก็แค่สงสาร... ตัวบอบบางขนาดนั้น เดี๋ยวป่วยขึ้นมาแล้วจะลำบาก
ศีรษะกลมเอนพิงที่ไหล่ผมอย่างเหนื่อยอ่อนทั้งที่นี่ก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว ดูท่าแบมแบมจะเพลียมากเพราะต้องตากแดดทั้งวัน ผมใช้ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มใสเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ถอดแว่นกรอบสีดำที่เขาใส่อยู่ออกเพราะเกรงว่าจะเจ็บหากนอนทับนานๆ ใบหน้าเนียนใสที่อยู่ภายใต้แว่นทำเอาผมใจเต้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
อีกสองอาทิตย์ก็จะจบกิจกรรมเชียร์แล้ว ผมก็คงไม่ได้เจอเขาบ่อยๆ เหมือนตอนนี้แม้จะอยู่คณะเดียวกันก็เถอะ จริงๆ ก็น่าแปลกเขามักหายไปและรีบออกจากมหาวิทยาลัยหลังเรียนเสร็จบางวิชาอยู่เสมอ บางครั้งเขาก็มาสายด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
ผมเคยบังเอิญเห็นเขากับใครบางคนที่มหาวิทยาลัยอื่นเพราะต้องไปธุระที่นั่น แบมแบมยิ้มสดใสกับคนคนนั้นแถมยังดูสนิทกันมากถึงขนาดโคลงหัวกลมๆ นั่นเล่นอีกต่างหาก ผมก็ไม่รู้ว่าภาพนั้นทำให้หงุดหงิดได้อย่างมากมายระคนเจ็บจุกไปในเวลาเดียวกัน
ผมก็แค่รู้จักแบมแบมเหมือนรุ่นน้องที่สนิทคนหนึ่ง และหากจะถามว่าเขาเป็นอย่างไรล่ะก็... คำตอบก็คงเป็น...
แบมแบม... เด็กแว่นที่มาที่มีดวงตากลมโตซ่อนอยู่
แบมแบม... เด็กแก้มป่องที่ขี้งอนและขี้เหวี่ยง
แบมแบม... เด็กช่างอ้อนที่ชอบทำท่าน่ารักแบบไม่รู้ตัว
แบมแบม... เด็กจอมแสบที่แสนสดใส
นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ...
เธอเป็นคนดูดี และมีความจริงใจ
แต่เป็นคนที่ใช่หรือเปล่า
ตั้งแต่มองตากัน จนมาเดินจูงมือ
อยากให้เธอคือรักของเรา
“เป็นอะไรอ่ะ... ทำหน้าเหมือนคนอกหัก ยังไม่เลิกเสียใจอีกเหรอ?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ ผมเพิ่งจะรู้สึกว่าเขาเรียกผมว่า ‘พี่’ หรือ ‘รุ่นพี่’ แทบจะนับครั้งได้
“เปล่า...” ผมตอบ “แล้วนั่น... จะปีนเกลียวรึไง?”
เหมือนเขาจะรู้ว่าหมายถึงอะไร เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้าหงึกหงักราวกับจะบอกว่ารับรู้แล้ว
“มีวิชาไหนไม่เข้าใจไหม?” ผมถามอย่างเป็นห่วง เพราะรู้ว่าบางครั้งเขาก็ไม่ได้เข้าเรียน
“เด็กๆ ฮะ สบายมาก แค่วิชาพื้นฐานเอง” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี จากน้ำเสียงอันแสนมั่นใจ ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
“ฉันหิวแล้ว ไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“แล้ว... พี่ฮงซอกล่ะ?”
เรียกยางฮงซอกว่าพี่ตลอด แต่กับผมกลับทำเป็นเฉยๆ บ้าง เรียกชื่อบ้าง... หรือบางทีก็เรียกแบบเสียไม่ได้ น่าน้อยใจชะมัด! เอ๊ะ... แล้วผมจะใส่ใจทำไมนักนะ! บ้าใหญ่ละ...
“ไม่รู้สิ... หายแต่เช้าแล้ว”
เป็นประโยคสุดท้ายที่ตอบไปส่งๆ โดยที่หลังจากนั้นแบมแบมก็เป็นคนไปนั่งกินข้าวเป็นเพื่อนที่โรงอาหารหลักอยู่ดี
อีกอาทิตย์เดียวก็จบกิจกรรมแล้ว ผมคงได้เจอแบมแบมไม่บ่อยนัก สายตาเหลือบไปเห็นกองหนังสือสองสามเล่มที่ซ้อนกันอยู่ของเขา หนึ่งในนั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับออกแบบตกแต่งภายในสภาพใหม่มากแต่อะไรบางอย่างบอกว่ามันผ่านการใช้งานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ผมส่งนิ้วชี้ไปดันหนังสือเล่มบนที่บังอยู่ออกเพื่อจะได้ดูให้ชัดๆ แต่ไม่ทันไรเจ้าของก็ดันมาเห็นเข้าเสียก่อน
เพี๊ยะ!
“ซน!”
แบมแบมฟาดลงบนนิ้วผมพร้อมกับเอ่ยดุเสียงเข้มทันทีที่เดินกลับมาที่โต๊ะ ผมจึงทำท่ายักไหล่อย่างไม่รู้ไม่ชี้
“เดี๋ยวจบกิจกรรมแล้วนายก็ไม่เจอฉันบ่อยๆ อีก นายจะคิดถึงฉันไหม?”
“อาจจะไม่เจออีกเลยก็ได้” แบมแบมตอบ
“เฮ้ย! อะไรกัน ยังไงก็เรียนคณะเดียวกันนะ นายจะไม่เจอได้ยังไง?”
“ใครจะไปรู้...” เขาตอบแล้วเขี่ยข้าวในจานไปมา แต่นั่นทำให้ผมเป็นห่วงเขาขึ้นมา
“นายมีอะไรบอกฉันได้นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว อย่าคิดว่าฉันเป็นคนอื่น...”
“ให้คิดว่าเป็นอะไรล่ะ?” เขาเงยหน้าขึ้นถาม ส่วนผมเองก็ได้แต่อึ้งไป
“......”
“เป็นแฟนหรือไง?”
ตอนแรกก็อึ้งนะ แต่ประโยคหลังแทบทำเอาข้าวพุ่งออกจากปาก... พอพยายามกลั้นไม่ให้พุ่งได้ก็ถึงกับสำลักน่ะแหละ
“แค่ก... แค่ก... นายพะ...พูด ... พูดอะไรออกมา!”
“พูดอะไร? ก็แค่ถาม..” เขายังตอบหน้าตาเฉย แต่ผมสิหน้าร้อนผ่าว
“ตรงไปนะ”
เขาหัวเราะเบาๆ ราวเป็นเรื่องสนุกที่เห็นผมทำอะไรไม่ถูก ใช่สิ! ผมไม่เคยเจอใครพูดตรงขนาดนี้มากก่อนไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามหรือผมก็ควรเป็นแบบนั้น อ่า... สับสนไปหมดแล้ว
“นายเคยมีแฟนไหม?”
“เคยสิฮะ ถามทำไม?”
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย?”
“ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
คำตอบของเขาทำเอาผมคิดหนัก ก็ไม่ได้แอนตี้อะไรเพียงแค่คิดว่าไอ้ตอนมีแฟนเป็นผู้ชายน่ะเขาอยู่ตำแหน่งไหน
“นี่... เห็นแบบนี้ผมอยู่ฝ่ายเมะนะคุณ”
เหมือนเขาจะรู้ความคิดแฮะ ผมเงยหน้าขึ้นพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าหวานๆ ร่างกายบอบบาง แต่เป็นเมะ!? เมะมุ้งมิ้งเนี่ยนะ... ไม่อยากจะเชื่อ
“เรื่องของนายเหอะ”
ผมตอบไปแบบนั้น ต่อด้วยความคิดของผมที่ไม่ได้พูดออกไป ...ถ้านายคบกับฉัน นายได้เปลี่ยนตำแหน่งแน่!
คนโดนโดนดีดี อยากมีรัก
ฉันรู้จักมาหลายราย
แต่ไม่มีใครคนไหน
เข้ามารักฉันจริง
ห้องกิจกรรมยังคงเหมือนเดิม เสียงรุ่นพี่ขาโหดยังดังลั่น ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเพราะผมเพิ่งเดินมาถึงพร้อมฮงซอก แต่ดูเหมือนรุ่นน้องจะก้มหน้านิ่งกันหมด บรรยากาศไม่ค่อยดีเอาเสียเลย ผมมองหน้าพวกรุ่นพี่ไม่ค่อยดีนักถึงได้รู้ว่ามันไม่ปกติ
“มีอะไรกันสายฟ้า?”
ผมเดินไปกระซิบถามสายฟ้าเมื่อเห็นเธอส่งสายตาคล้ายจะบอกอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าเดินมาหา
“เด็กนายน่ะยูคยอม... เกิดเรื่องละ”
“เด็กฉัน?”
“เออ!”
เด็กผม... ใครล่ะ? หรือว่า...
ผมมองไปที่เด็กหลังห้องคนที่สวมแว่นกรอบสีดำคนเดิม เจ้าตัวนั่งก้มหน้านิ่ง สองมือประสานกันแน่นราวกับสะกดกลั้นอะไรบางอย่างอยู่
“ทำไม? มีอะไร?”
“อิทธิ์ฤทธิ์บังเอิญเจอใบลาออกของเด็กนั่น...เลยฟาดงวงฟาดงาซะเละเลย”
อิทธิ์ฤทธิ์คือชื่อเพื่อนผมซึ่งเป็นเฮดว้ากเกอร์ของรุ่น แต่ว่า... ใบลาออก? ทำไมแบมแบมถึงจะลาออกล่ะ ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน... ไม่เคยรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุขกับที่นี่... ไม่เคยสัมผัสได้ว่าเขามีปัญหาอะไรถึงขั้นต้องลาออก...
ขายาวๆ สาวเท้าเข้าไปหาเด็กมัดจุกท้ายแถวอย่างไม่เข้าใจก่อนจะดึงเขาให้ลุกยืนขึ้น เสียงของอิทธิฤทธิ์เหมือนจะหายไป ไม่สิ... ผมว่าคงเงียบกริบไปทั้งห้องมากกว่า
“ทำไมจะลาออก... มีปัญหาอะไร?”
“มันจบแล้วยูคยอม...”
“จบ? คืออะไร...?” ผมขมวดคิ้วแน่น ไม่เข้าใจคำพูดของเขาสักคำเดียว
“ฉันมาแค่นี้... แล้วก็ต้องกลับไปแล้ว”
เขายิ่งพูด... ผมยิ่งไม่เข้าใจ... ทั้งที่เขาเพิ่งเข้ามาเรียนได้แค่สองเดือนแต่อยู่ดีๆ ก็จะไป... มีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกกัน ถ้าผมช่วยเขาได้ผมก็จะช่วย...
“ไม่! นายจะไปไหนไม่ได้!”
“อย่าสิ... นายกำลังทำให้ฉันลำบากใจ เดี๋ยวจะโทรมาหาบ่อยๆ”
บางทีก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า... ทำไมไม่ฉุกคิดว่าสรรพนามที่เขาใช้กับผมมันแปลกๆ มันไม่ใช่ที่เคยใช้... บางอย่างมันเปลี่ยนไป
“พรุ่งนี้... ฉันคงไม่ได้มาแล้ว ไปนะ ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็... ขอบคุณทุกคนที่ดูแลผมมาตลอด”
นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินจากเขา เขาเดินไปที่หน้าห้องพร้อมกับดึงใบลาออกใบเดิมจากมือของอิทธิฤทธิ์ที่คล้ายจะเกิดอาการใบ้รับประทานอย่างง่ายดาย
ร่างเล็กบอบบางเดินหายออกไปจากห้อง... กว่าสติผมจะทำงานและวิ่งตามออกไป
ร่างเล็กๆ นั่นก็หายไปแล้ว
ฟ้าช่วยให้เจอซักคน เป็นคนที่ใช่ที
ที่มาให้ชีวิตดีดี ไม่มาทิ้งมาหนีไป
ฟ้าให้โอกาสซักวัน ให้ฉันได้เจอ
คนที่ใช่ แล้วจะไม่เจ้าชู้ ไม่ดูใครอีกเลย
กว่าอาทิตย์ที่ผมไม่เจอเขาเลย ไม่ว่าจะโทร ไลน์ ส่งข้อความ ก็ไม่มีการตอบรับกลับมา บางทีผมอาจจะเป็นห่วงเขาจนบ้าไปคนเดียว
ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงเหตุผลของการลาออก หากเขามีปัญหาทำไมไม่ปรึกษากันก่อน ผมเป็นอะไรสำหรับเขาถึงได้มองข้ามกันไป
แม้ทุกวันผมยังเหมือนเดิมแต่ฮงซอกเพื่อนสนิทผมรู้ดีว่ามันต่างออกไป
“นี่ยูคยอม... ฉันให้ข้อมูลนายไปตั้งเยอะ ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์?” ฮงซอกเอ่ยขึ้นในเย็นวันหนึ่งเมื่อเห็นผมยังคงทำหน้าซังกะตายเมื่อคนที่เคยอยู่ด้วยกันเสมอหายไป
“ข้อมูล?”
“มีเพื่อนฉลาดก็ดีนะ แต่เวลาโง่เนี่ย... น่าเบื่อจริงๆ” ฮงซอกมองผมด้วยสายตาระอาใจ
ผมรีบควานหากระดาษแผ่นเดิมในกระเป๋าทันทีเมื่อนึกได้ ไม่นานนักก็เจอจนได้ ในนั้นมีทุกอย่างแม้แต่ที่อยู่ เหมือนฟ้ามาโปรด... อันที่จริงยางฮงซอกจัดการไว้ให้ผมตั้งแต่ตอนนั้น ตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว ไม่รู้ว่าจะด่าว่ามันยุ่ง หรือขอบคุณที่มันยุ่งเรื่องของผมก่อนกันเลยทีเดียว
“เจอแล้วก็รีบๆ หน่อย จะได้ไม่ต้องมาทำหน้าหมาหงอยแทนหน้าเจ้าชายที่เคยทำ!”
ฮงซอกเอ่ยราวกับระอาใจนักหนา แน่ละ... คนอย่างเขาเห็นเพื่อนเศร้าได้ที่ไหน
อาคารสูงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า... เวลาหกโมงเช้าคือช่วงเหมาะเหม็งที่จะมาดักรอเพราะไม่รู้หรอกว่าร่างบอบบางจะออกมาตอนไหน แต่เหมือนโชคจะเข้าข้างเพราะสิบนาทีถัดมาร่างคุ้นเคยก็ปรากฏตัวและเรียกแท็กซี่พร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรังไปหมด
ผมขับรถตามไปเรื่อยๆ แม้เขาจะอยู่ในชุดนักศึกษาแต่เจ้าตัวไม่ได้สวมแว่นเหมือนเคย ผมที่เคยปล่อยลงตามธรรมชาติก็ถูกเซตตั้งขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าหวานอย่างชัดเจน
ทว่ายิ่งตามก็ยิ่งแปลกใจ รถคันนั้นมุ่งหน้าไปจนถึงประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดแห่งนั้นมากนัก ร่างบอบบางลงจากรถพร้อมข้าวของโดยที่มีใครบางคนยืนรออยู่ ใครบางคนที่เขาจำได้ว่าเคยเห็นอยู่กับแบมแบมมาก่อนเมื่อคราวนั้น และมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็เช่นกัน
ความคิดมากมายตีกันจนยุ่บยั่บไปหมด และนั่นก็ทำให้ผมพลาด... เขาทั้งคู่หายไป
ผมคลาดกับเขาอีกแล้ว...
แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่...
“ฉันยังไม่ได้ลายเซ็นพี่แบมแบมเลย...” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งบ่นขึ้นราวกับเหนื่อยล้า แต่นั่นทำให้ผมหูผึ่ง ... ชื่อแบบนี้ ไม่ได้ซ้ำกันง่ายๆ หรอกนะ
แต่ว่า... พี่แบมแบมเหรอ? เด็กนั่นเพิ่งอยู่ปีหนึ่งเองนี่...
“ถึงพี่เขาจะน่ารัก แต่ก็ตามตัวยากที่สุดในคณะเลยนะ” บทสนทนาที่ตอบโต้นั้นทำให้ผมอยู่เฉยไม่ได้แล้วตอนนี้
“ขอโทษนะครับ...” ผมเดินเข้าไปหาสองคนนั้นด้วยท่าทางที่นิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คะ?”
“แบมแบม... เอ่อ... คนที่ชื่อแบมแบมน่ะ อยู่คณะไหนเหรอครับ?”
“อยู่... สะ...สถาปัตย์ฯ ค่ะ” หญิงสาวทั้งคู่ตอบตะกุกตะกัก ดวงตาของเธอมองนิ่งมาที่ผมแต่ถึงยังไง ผมก็ได้คำตอบ
แม้ผมจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ผมต้องหาเขาให้เจอ... ผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหายไปอีกแล้ว
คนโดนโดนดีดี อยากมีรัก
ฉันรู้จักมาหลายราย
แต่ไม่มีใครคนไหน
เข้ามารักฉันจริง
ฟ้าช่วยให้เจอซักคน เป็นคนที่ใช่ที
ที่มาให้ชีวิตดีดี ไม่มาทิ้งมาหนีไป
ฟ้าให้โอกาสซักวัน ให้ฉันได้เจอ
คนที่ใช่ แล้วจะไม่เจ้าชู้ ไม่ดูใครอีกเลย
หน้าประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่อยู่คนละทิศกับมหาวิทยาลัยของผมปรากฏร่างเล็กที่ยังคงคุ้นตาในชุดนักศึกษา หลังจากจากที่ผมหาเขาจนทั่วคณะตามที่สองคนนั้นบอกก็ไม่เจอจนถอดใจจะกลับไปตั้งหลักก่อนก็ดันพบเขาเข้าโดยบังเอิญ เขาใส่แว่นกรอบสีดำเหมือนกับตอนที่เจอกันครั้งแรก สายตาของเขาสนใจแต่ชีตปึกใหญ่ในมือ หากผมต้องการที่จะเริ่มใหม่... ผมควรที่จะเข้าไปหาและกอดเขาไว้ใช่ไหม?
ผมจะทำยังไงดี?...
ผมไม่รู้...
ไม่รู้...
เพียงแค่ความกล้า... ขอแค่มีความกล้า...
ถ้าผมกล้าพอ... จะสามารถรั้งเขาไว้ได้ใช่ไหม?
“แบมแบม!!!”
แล้วผม... ก็ตะโกนเรียกชื่อเขาออกไป
(ไม่เจ้าชู้ ไม่เจ้าชู้) ไม่ดูใครอีกเลย...
& TBC...
ความคิดเห็น