ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ GOT7 x YOU ] THE X - SECRET :: ลับ...เฉพาะหัวใจ(เธอ)

    ลำดับตอนที่ #4 : X-Secret : III – กรรมลิขิต

    • อัปเดตล่าสุด 13 มิ.ย. 58



     

     

    X-Secret : III – กรรมลิขิต

     

     

     

    รอยฟกช้ำดำเขียวทั่วแขนขาวทั้งสองข้างของคนที่นั่งแผ่หลาอยู่บนโซฟาบุนวมตัวใหญ่ในห้องรับแขกเป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก เจ้าของบ้านสองคนที่เดินวนเวียนเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลอบมองคนหมดสภาพอย่างนึกขำ นานๆ ทีที่จะเห็นเพื่อนของพวกเขาดูไม่จืดขนาดนี้

    เจ้าของบ้านคนพี่... ปาร์คจินยองหนุ่มหล่อหน้าสวย รูปร่างสูงโปร่ง ผู้มีดีกรีเป็นถึงประธานฝ่ายนักศึกษานานาชาติแถมยังมีมนุษยสัมพันธ์ขั้นเทพ ชอบช่วยเหลือคนอื่นจนเป็นที่หลงใหลของสาวๆ

    ส่วนเจ้าของบ้านคนน้อง... ชเวยองแจหนุ่มตี๋หล่อหน้ามึนจิตใจแสนดีผู้มีคารมเฉียบขาด รอบรู้และเต็มไปด้วยเสน่ห์อันล้นเหลือ เขาพูดเสมอว่าไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้แต่คือ... ผู้ต้องการแสวงหารักแท้

    ทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันรวมถึงอยู่ในกลุ่มเดียวกับแจ็คสันมาตั้งแต่เรียนที่เกาหลีจนสุดท้ายย้ายมาเรียนที่ประเทศไทยในปัจจุบัน

    “เฮียไปโดนหมาที่ไหนฟัดมาห๊ะ...?”   ชเวยองแจเอ่ยถามหลังจากนั่งลงเปิดกล่องอุปกรณ์และเริ่มสำรวจร่องรอยที่แขน

    “หมาบ้ามั้ง!”   

    แจ็คสันตอบอย่างอารมณ์เสีย ก็แน่หละ... โดนทั้งฟาดทั้งข่วนจนปัดป้องแทบไม่ทัน ยอมรับเลยว่ายัยนักต้มตุ๋นนั่นมือไวยิ่งกว่าอะไร อ้อ.. ปากก็ไวด้วย

    “เอาดีๆ สิวะไอ้แจ็ค”

    “โอ้ย!

    จูเนียร์ไม่พูดเปล่าแต่ออกแรงกดลงบนรอยเขียววงใหญ่ตรงท้องแขนทำเอาแจ็คสันร้องลั่น ก็ตรงนั้นมันรอยที่ถูกกัดมาหมาดๆ

    “ฮะฮะฮ่ะ... ตลกว่ะ เรื่องชกต่อยไม่เคยหวั่น แต่กลับแพ้ทางผู้หญิง”  

    “จูเนียร์ฮยองรู้ได้ไงว่าผู้หญิง?”  ยองแจที่กำลังทายาที่แผลถลอกที่แขนอีกข้างถามอย่างใคร่รู้ ส่วนเขาน่ะเข้าใจอยู่แล้วเพราะหลักฐานชี้ชัดขนาดนี้รอยเล็บเต็มไปหมด

    “ยองแจเอ๊ย... ผู้ชายที่ไหนจะมากัดแขนหวังแจ็คสันได้ล่ะ ดูหน้าสิ.. เป็นรอยไปแถบนึง แล้วก็... ถ้าเป็นผู้ชายมันคงอัดเละ แต่นี่ สภาพของมันต่างหากที่เละ หึหึ” 

    “นับถือๆ ข้าน้อยประทับใจในความฉลาดเฉลียวของท่านจริงๆ”   ยองแจยกสองมือประสานคารวะจูเนียร์ราวกับจอมยุทธ์ในละคร

     

    ทว่า พอจูเนียร์ตั้งท่าจะโต้ตอบกลับถูกแจ็คสันเบรกไว้เสียก่อน

     

    “พอเลยนะ ไอ้พี่น้องอสรพิษ! เลิกล้อเลียนกูแล้วทายาได้แล้ว ยิ่งหงุดหงิดอยู่”

     

    ทั้งคู่ได้แต่ยิ้มขำให้กันลับหลังด้วยเกรงว่าแจ็คสันจะโวยวายอาละวาด แต่พอทายาเสร็จไม่ว่าตื๊อยังไงแจ็คสันก็ไม่ยอมเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นผิดกับวิสัยที่เป็นมาตลอด

     

    เดี๋ยวนี้หัดมีความลับงั้นสิ!...  นี่คือสิ่งที่ทั้งสองคนคิด

     

     

     

    โชคดีที่วันรุ่งขึ้นไม่มีธุระที่ไหนแจ็คสันจึงอยู่คุยกับสองพี่น้องได้จนดึกดื่นค่อนคืนถึงจะกลับโรงแรม รถคันหรูวิ่งฉิวอยู่บนถนนโดยที่คนขับยังอุตส่าห์แบ่งสมาธิไปนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนกับคู่กรณีที่เพิ่งฟัดกันมาหมาดๆ

     

     

    .

    .

    .

    แฟร์รี่... ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่หาญกล้าลากหวังแจ็คสันด้วยการบีบคอ มือบางเล็กแต่กลับล็อกแน่นราวคีมเหล็ก ตอนนั้นเขาตั้งตัวไม่ทันจึงหายใจแทบไม่ออก สุดท้ายถูกพามาลานจอดรถด้านหลังแล้วเริ่มลงมือฟาดเขาไม่ยั้ง

    แจ็คสันได้แต่ปัดป้อง และจับข้อมือบางเอาไว้ไม่ให้ทำร้ายเขา แต่ก็ถูกหญิงสาวเตะหน้าแข้งเข้าอย่างแรงจนต้องปล่อยอย่างอัตโนมัติจึงเปิดโอกาสให้เธอระบายความโกรธได้อีกระรอก ชายหนุ่มพยายามจับเธออีกครั้งแต่ก็ถูกสะบัดออก โชคร้ายที่คืนนี้เขาสวมเสื้อยืดแขนสั้นจึงเปิดทางให้เล็บยาวที่พัลวันหนีพันธนาการข่วนลายพร้อยไปทั่วจนแสบแถมบางรอยยังได้เลือดอีกต่างหาก

    สุดท้ายก็ตัดสินใจกอดเอาไว้แทน ร่างบางในอ้อมแขนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนยกศอกถองเข้าที่ท้องแล้วคว้าแขนของชายหนุ่มมาอ้าปากงับจนจมเขี้ยว

    “โอ๊ย!!”   แจ็คสันร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด

    “อย่าเจอะอย่าเจอกันอีกเลย... หวังแจ็คสัน!”   หญิงสาวชี้หน้าหลังจะผละตัวเองออกจากการกักตัวของเขาได้แล้วยืนห่างไปหลายเมตร

    “นี่เธอ...!”  แม้อยากจะเอ่ยอะไรแต่ก็ไม่ทัน เพราะถูกเธอแทรกขึ้นเสียก่อน

    “ที่ไหนมีคุณ... ที่นั่นไม่มีฉัน! และหากที่ไหนมีฉันแล้วบังเอิญคุณโผล่มา... ฉันจะตัดปัญหาโดยการหายไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด!

    “....”    แจ็คสันอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน ส่วนมือก็ยังคงจับแขนตรงที่ถูกกัดเอาไว้พร้อมกับถูไปมาเพื่อทุเลาความเจ็บ

    “และสุดท้าย... สำหรับคำว่า ผัวที่คุณปากพล่อย!

     

     

     

    เพี๊ยะ!!

     

     

     

    มือบางสะบัดลงที่ซีกแก้มด้านขวาของแจ็คสันเต็มแรงจนหน้าหัน ณ เวลานั้นไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่โต้ตอบแต่กลับคิดไปถึงแรงสั่นสะเทือนที่ได้รับ

    หากเจ็บใบหน้าข้างขวาก็แสดงว่าเธอใช้มือซ้ายตบเขา ซึ่งถ้าเธอใช้ข้างขวาที่ถนัด... หัวของแจ็คสันคงหลุดออกจากบ่า!

     

    นี่เขาเจอผู้หญิงฝ่ามือพิฆาตอีกคนแล้วสินะ...

     

    กว่าสติจะกลับมาแฟร์รี่ก็ใช้กระเป๋าฟาดโครมเข้าเต็มหลัง ชายหนุ่มจุกจนทรุดก่อนจะหันไปมองร่างเพรียวในชุดเดรสสีดำวิ่งหนีหายไป

     

    .

    .

    .

     

     

                ผ่านไปหลายวันรอยต่างๆ ตามแขนของแจ็คสันก็จางหายไปมากแล้ว จะมีก็แต่รอยเขี้ยวสองจุดที่ยังช้ำอยู่อย่างเห็นได้ชัดพาลให้นึกถึงคนที่ทิ้งรอยที่ระลึกนี้ขึ้นมา เมื่อวานเขาติดต่อมิโนได้แล้วแต่หมอนั่นกลับบอกว่าเดี๋ยวจะกลับมาเคลียร์เรื่องนี้เอง เพียงแค่รออีกสองวันเท่านั้น... มันไม่นานหรอก

                มือหนาเปิดประตูห้องพักสโมสรนักศึกษาอย่างคุ้นชิน ภาพบรรยากาศเดิมๆ ยังคงอยู่ มนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนนอนกองระเนระนาดตามจุดต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่... เจบีและจูเนียร์

                แจ็คสันเดินไปนั่งทับขาแบมแบม... เด็กผู้ชายไทยที่มีใบหน้าน่ารักเป็นอาวุธแต่ติดเกมส์ที่กำลังจดจ่อกับเครื่องเล่นในมืออย่างนึกสนุก เพราะหากเกมส์ตายขึ้นมาเด็กนั่นก็จะโวยวายแล้วเดินไปฟ้องคนอื่นๆ ซึ่งนั่นเป็นภาพที่แสนตลกสำหรับเขามากทีเดียว

                “ฮยอง... อย่าแกล้งผม!”   น้ำเสียงหวานติดหงุดหงิดของแบมแบมทำให้แจ็คสันเริ่มทิ้งตัวนอนทับแทนการนั่ง

                “เฮ้ย... อย่าดิ๊ เจบีฮยองช่วยผมด้วย”   ปากโวยวายแต่มือยังไม่ละจากการเล่นเกมส์พลางกระเสือกกระสนตัวให้พ้นจากรุ่นพี่ตัวหนา

                “.....”     ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่คุณเรียก  ก็แน่หละ... เจบีกำลังจดจ่ออยู่กับการพิมพ์ข้อความแชทคุยกับคนรักอยู่แถมยังเสียบหูฟัง... ก็คงไม่ได้ยิน

                “พักนี้ดูอารมณ์ดีนะไอ้แจ็ค”   เป็นปาร์คจินยองที่เอ่ยออกมา แต่นั่นก็ช่วยหยุดการแกล้งของแจ็คสันได้เช่นกัน

                “ดีตรงไหน? กูยังแค้นไม่หาย”  

                “ใคร? เจ้าของรอยเขี้ยวบนแขนน่ะเหรอ? มึงมันอ่อน!”   ปาร์คจินยองหรือจูเนียร์สบประมาทพร้อมรอยยิ้มรู้ทัน

                “มึง... ไอ้เนียร์ เลิกยิ้มเลยนะมึง! มึงยิ้มแบบนี้ยิ่งทำให้กูหมดอารมณ์”   ถึงตอนนี้แจ็คสันเลิกนอนทับแบมแบมและยันตัวขึ้นนั่งดีๆ ตรงปลายเท้ารุ่นน้องแล้ว

                “ยังไม่หายเหรอเฮีย?”   ยองแจที่มาจากอีกมุมของห้องเดินเข้ามาถามแถมยังถือวิสาสะถกแขนเสื้อเชิ้ตของแจ็คสันขึ้นดูก่อนจะหัวเราะคิก

                “โห... เขียวๆ ม่วงๆ โคตรเน่าอ้ะ! ไปหาหมอเหอะ คึคึ...”

                คำอธิบายของยองแจทำให้ทุกคนกรูเข้ามาตรงจุดที่แจ็คสันนั่งอยู่ราวเห็นของแปลกหรือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกชิ้นใหม่ แต่คนที่เป็นหัวข้อน่าสนใจนั้นกลับแสดงสีหน้าหงุดหงิดทว่าก็ไม่ได้โวยวายอะไร เพราะหากพวกขี้เสือกทั้งหลายพอใจเดี๋ยวก็เลิกดูกันไปเอง

                “นางฟ้าคนใหม่เหรอพี่?”   

                คิมยูคยอมใจกล้าถามขึ้นด้วยสายตาวิบวับ เขาเป็นคนที่อายุน้อยสุดของกลุ่มแต่สูงที่สุดและเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับแบมแบมและยองแจ ใบหน้าหล่อเหลา สดใส ไร้เดียงสาของเขาดึงดูดผู้คนให้เข้าหาได้ง่าย

                “นางฟ้า? โห.. กัดกูจมเขี้ยวขนาดนี้... ?  มึงใช้สมองส่วนไหนคิดไอ้ยูค... ไอ้หมีขาวสมองทึบ!”  

                แม้ถูกแจ็คสันว่าแต่คิมยูคยอมก็หาได้สนใจ เขายังคงมุ่งมั่นในการป่วนประสาทพี่ชายชาวฮ่องกงต่อไป

                “พวกรักกันแต่ทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน โบราณว่า... ลูกดกนักแล”  

                คนทั้งห้องมองหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะคำเปรยของยูคยอมนั้นช่างถูกใจเสียจริง แจ็คสันอกหักมาก็นานแล้วหากมีคนรักก็คงจะดีไม่น้อย แต่ดูท่าแล้ว... คงจะดุไปหน่อย หรือเพลย์บอยจะสิ้นลายก็คราวนี้หละมั้ง?

               

                ทว่า แจ็คสันก็ยังมีท่าทีครุ่นคิด

     

                “ไม่ๆๆๆๆ...”    อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็ร้องปฏิเสธรัวเสียงดังจนเพื่อนฉงน 

     

    แน่ละ... เขากำลังคิดว่า หากเป็นเช่นนั้นชีวิตของเขาคงเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นอัมพาตเพราะทะเลาะกับยัยนักต้มตุ๋นนั่นทั้งวี่ทั้งวัน

     

                “เป็นอะไรมึง? ผีเข้า?”   มาร์คที่นั่งเงียบมานานเอ่ยขึ้นบ้าง ท่าทางแปลกๆ ที่เห็นตอนนี้คล้ายกับเพื่อนของเขาไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง

                “ไปเล่นตรงนู้นไปมาร์ค...”    แจ็คสันไล่ พลางยกนิ้วชี้ส่งๆ ไปที่อีกมุมของห้อง

                “ไม่ได้ว่ะ...”   คำค้านของมาร์คทำเอาแจ็คสันชะงัก ... มันจะมาไม้ไหนอีกเนี่ย

                “ทำไมวะ?”

                “ตรงนู้นก็ไล่มาเล่นตรงนี้.... แบร่!”    มาร์คแลบลิ้นใส่อย่างสะใจ เรียกเสียงหัวเราะกราวใหญ่จากรอบข้างได้อีกหน

                “อย่าเล่นมุกนี้อีกนะมึง”

                “ทำไมวะ?”   คราวนี้เป็นมาร์คบ้างที่ไม่เข้าใจ

                “ก็ไม่ทำไม... กะว่าถ้ามึงเล่นอีกรอบ กูจะกระทืบมึงครับพี่มาร์ค!”   ชายหนุ่มพุ่งตัวเข้าหามาร์ค ส่วนพ่อสุดหล่อคาสโนว่านามว่ามาร์คเผ่นแผลวไปยืนอยู่ตรงประตูห้องแล้ว

                “กูมีอะไรจะบอก...”    

                “อะไร?”

                “เผื่อมึงลืม... ถ้าลืมน่ะนะ... กูเนี่ยฟันคมกว่าเจ้าของรอยนั่นแน่นอน” มาร์คชี้ไปที่แขนข้างนั้นของแจ็คสันแล้วพูดต่อ “แล้วเขี้ยวก็จะคมกว่า...”

                “แล้ว?”   แจ็คสันยังข้องใจ

                “ก็ถามกูงับแผลเก่าฝังลงไป รับรอง... มึงเจ็บอีกยาวๆ เขี้ยวกูน่ะอาบยาพิษนะเว้ย!

                อันที่จริงไม่ได้มีเขี้ยวอาบยาพิษอะไรอย่างที่กล่าวอ้างสรรพคุณแต่เพียงแค่หากมาร์คกัดซ้ำคงช้ำกว่าเดิมเผลอๆ ได้เลือด ฉะนั้น ถ้าไม่อยากเสี่ยง แจ็คสันก็ต้องไม่ทำอะไรเขา

     

                หากถามว่ามาร์คว่ากลัวแจ็คสันไหม... ตอบได้เลยว่าไม่ เพียงแค่หาเรื่องสนุกเล่นเท่านั้นเอง

     

                “ถึงขั้นตัดแขนเลยนะเฮีย”   ยองแจสำทับกลั้วหัวเราะ แกล้งกันเป็นเด็กๆ แบบนี้ไม่อายกันบ้างหรือไงนะ

                “เออ...! พิษไอ้มาร์คกูไม่เสี่ยงหรอก พิษวัยทอง!”  

    ชายหนุ่มลอยหน้าพูดใส่ เน้นย้ำตรงท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันทำเอามาร์คอารมณ์เปลี่ยนทันที เขาแทบจะพุ่งเข้าบีบคอเพื่อนสนิทอย่างปรี๊ดแตกยังดีที่ยูคยอมคว้าไว้ได้ทันแจ็คสันจึงสามารถอยู่รอดปลอดภัยครบสามสิบสอง

     

               

               

                สองวันผ่านไป... ห้างสรรพสินค้าหรูย่านชานเมืองเป็นสถานที่นัดพบของหวังแจ็คสันและซงมินโฮ ร่างหนาเดินตรงสู่จุดนัดพบโดยที่ในมือยังถือโทรศัพท์คุยงานกับผู้จัดการโรงแรมเรื่องการจัดเลี้ยง Love Party ของอิมแจบอมหรือเจบีกับกอหญ้าในอีกไม่กี่อาทิตย์ ทว่า ทันทีที่ถึงร้านชายหนุ่มก็รีบวางสาย เมื่อมองเห็นคนที่ตนนัดมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว

                ซงมินโฮนัดแจ็คสันที่ร้านกาแฟ หลังจากสั่งเครื่องดื่มเรียบร้อย เพื่อนผิวเข้มผู้มีใบหน้าเย่อหยิ่งก็เริ่มกระตุกยิ้มเพราะรู้ว่าแจ็คสันจะต้องเริ่มยิงคำถามที่คราวนี้เขาเองไม่สามารถเลี่ยงคำตอบได้

                “นายไปไหนมา?”  มินโฮคิดไม่ผิดจริงๆ แจ็คสันเป็นผู้เปิดบทสนทนาก่อน

                “เกาหลี ก็แค่กลับบ้าน ทำไมเหรอ?”  

                “เห็นคลิปที่ส่งให้หรือยัง?” 

                “เห็นแล้ว” 

                “.....”    แจ็คสันชะงักไปเมื่อเพื่อนดูไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

                “ขอบใจนายมากนะแจ็คสันที่เป็นห่วงฉัน แต่ฉันไม่เป็นไรหรอก”  ซงมินโฮเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ

                “นายยอมให้เด็กของนาย... ทำงานแบบนั้น?”  

                “แจ็คสัน... ฉันขอโทษ”

                ซงมินโฮหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเพราะพนักงานมาเสิร์ฟกาแฟและของว่างที่สั่งไปเมื่อครู่ เขามองตาของแจ็คสันที่ฉายแววสับสนแล้วพรูลมหายใจบาง นี่คง... ต้องบอกความจริงสินะ

                “แฟร์รี่กับฉัน... ไม่ได้เป็นอะไรกัน”   หนุ่มผิวสีเข้มพูดต่อเมื่อพนักงานคล้อยหลังไปแล้ว

                “หมายความว่าไง?”  

                แจ็คสันถามทั้งที่ในสมองประมวลผลไปถึง One night stand แนวๆ นั้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่การมีสัมพันธ์กับเด็กเสี่ยมันก็ไม่ใช่เรื่องดีอีกนั่นแหละ

                “ฉันจ้างเธอมา”

                “อะไรนะ!?”  ชายหนุ่มตกใจยิ่งกว่าตอนคิดว่าเป็นความสัมพันธ์แบบคืนเดียวเสียอีก

                “เดี๋ยวนี้นายถึงขั้นซื้อกินเลยหรือไง... นี่มันถึงยุคมืดของมิโนแล้วเหรอ?”

                “เฮ้ย! เดี๋ยวๆๆ นายคิดไปถึงไหนเนี่ย”   มินโฮโบกมือโบกไม้เบรกความคิดของแจ็คสันแทบไม่ทัน ก็แหม... ทำหน้าทำตาสลดหดหู่ขนาดนั้น เกินไปนะ...

                “นายก็เคยจ้างเด็กมารับรองแขกนี่ บอกสิว่าตัวเองไม่ได้ซื้อ”

                “เออ.. ก็จริง”  ทั้งหมดที่มินโฮพูดมามันก็ถูก เขาเคยจัดงานเลี้ยงแล้วเรียกผู้หญิงสวยๆ มารับรองพิเศษให้ลูกค้าหากจะเถียงก็ไม่เต็มปากเต็มคำนัก

                “สำหรับแฟร์รี่... แค่มาดื่มเหล้าเป็นเพื่อน ไม่เหมือนกับสาวที่หิ้วข้ามคืน แล้วพวกเราก็ไม่ได้มีอะไรกันด้วย”

                “แต่ฉันเห็นเธอขึ้นโรงแรมกับคุณเฉินกับตา ในคลิปนั่น... นายก็เห็น” 

                “แจ็คสันหนอแจ็คสัน... เอางี้ ฉันจะเช็คให้พอใจรึยัง? หวังว่าคงไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไปใช่ไหม?”

                “ก็... ไม่หรอก”    คนถูกถามเลือกปฏิเสธหากบอกมิโนไปว่าแกล้งเธอไปเยอะคงถูกด่าเป็นท่อนแร็พจนหูชา

                “ชอบน้องแฟร์รี่หรือไง?”   มินโฮเย้า

                “ตลกเหอะ! แค่เข้าใจผิดว่าเป็นเด็กนายก็เลยเดือดร้อนแทนเท่านั้นแหละ!” 

                “แล้วไป...”   มินโฮมีท่าทางโล่งใจ จนแจ็คสันสงสัย

                “ลับลมคมนัยเยอะจังวะ?”

                “แฟร์รี่น่ะหาตัวยากจะตาย ถึงจะยิ้มเก่งขนาดนั้นแต่ก็ทั้งระวังตัวแล้วก็ช่างเลือก นายไม่ได้เห็นเธอได้ง่ายๆ นักหรอก”

                “....”  

                แจ็คสันอยากจะเถียงเหลือเกินว่าระหว่างที่มินโฮไม่อยู่นั้นเขาพบเธอโดยบังเอิญหลายครั้งจึงไม่ค่อยเชื่อนักว่าจะเจอตัวลำบากอะไร

               

               

                จบจากคุยธุระกับซงมินโฮก็เดินเตร็ดเตร่เล่นแก้เบื่อ แจ็คสันเดินผ่านร้านหนังสือมีชื่อที่คุ้นเคยก็นึกถึงผู้หญิงอีกคนที่ชอบลากเขาเข้าไปทั้งที่ความจริงแล้วตัวเองแทบไม่มีความคิดอยากจะเข้าไปเลยสักครั้งหากไม่จำเป็น

     

                พี่แจ็คสัน... ช่วยกอหญ้าเลือกหนังสือหน่อยสิคะ ช่วงนี้ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเยอะเลย

     

              ‘ฝากถือเล่มนี้ด้วยค่ะ อย่าไปไหนนะ... เดี๋ยววิ่งไปเอาอีกเล่มนึงก่อน

     

              ‘เอ๊ะ! นี่แขนไปโดนอะไรมาคะ รอยพวกนี้... โดยกระดาษบาดเหรอ?  กอหญ้าขอโทษ... ไม่น่าให้พี่ถือเลย เจ็บมากไหมคะ?

     

     

                เสียงใสๆ ของกอหญ้าอดีตคนรักของเขายังก้องอยู่ในหู... ชายหนุ่มสะบัดศีรษะเบาๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างเพรียวที่จำได้ติดตาในร้านหนังสือแห่งนั้นแต่เมื่อเข้าก้าวเข้าไปด้านในร้านเธอก็หายไปแล้ว

                แจ็คสันเดินวนหาทั่วร้านอยู่เป็นนานก็ไม่พบ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอาจจะฟุ้งซ่านและหมกมุ่นเกินไปจนเห็นภาพหลอนเองจึงกลับออกไป

     

                อีกมุมหนึ่งหญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตนักศึกษาแขนสั้นและกระโปรงพลีทสวมแว่นสายตากำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงชั้นวางหนังสือล่างสุดก่อนจะมีมือหนาแตะลงบนไหล่เบาๆ

                “อุ้ย! ตกใจหมด”   คนที่ถูกแตะสะดุ้ง

                “แฟร์รี่หาอะไรอ่ะ?”   คนทักเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย เขาและเธออยู่ในร้านนี้มากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว

                “หาหนังสือเตรียมสอบ แฟร์กลัวเรียนไม่ทัน ชินยะได้อะไรมาบ้างเหรอ?”

                “นี่ไง...” ชายหนุ่มยกหนังสือบัญชีการเงินเล่มหนาในมือให้ดูพร้อมรอยยิ้ม แต่คนที่เห็นกลับถอนหายใจยาว ก็หนังสือประเภทนั้น มันน่าเบื่อจะตาย

                ชิน หรือโอยาโนะ ชินยะ นักศึกษามหาวิทยาลัยลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี ผิวขาว ร่างสมส่วน การเรียนปานกลาง ฐานะทางบ้านจัดว่าดี ที่สำคัญตอนนี้กำลังเริ่มคุยๆ อยู่กับแฟร์รี่ซึ่งอยู่ในสถานะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเอกชน

     

                องค์ประกอบอาจโกหกแต่หัวใจและเรื่องราวเป็นของจริง...

     

                ทั้งคู่เริ่มรู้จักเพราะความเข้าใจผิดซึ่งภายหลังจะพูดความจริงมันก็ยากเกินกว่าจะบอกออกไปหญิงสาวเลยต้องปกปิดเรื่องของเธอเอาไว้ แม้รู้สึกอึดอัดแต่หากพูดไปก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขาและเธอยังดีต่อกันอย่างนี้ได้ ถ้าเขาฟังคำอธิบายจนเข้าใจก็ถือว่าดีไป หากว่าไม่เป็นเช่นนั้นเล่า... เธอก็คงต้องเสียใจไม่ใช่หรือ

     

                “คิดอะไรอยู่แฟร์รี่?”   เขาสะกิดไหล่เธอเพื่อเรียกสติเมื่อเห็นเธอเงียบไป

                “ปะ...เปล่า... แค่กำลังมองว่าชินยะหล่อจัง”    หญิงสาวพูดแล้วยิ้ม เรื่องแถนี่ขอให้บอก... มันเป็นทักษะส่วนตัวจริงๆ

                “ยัยตัวเล็กเอ๊ย”    ชินยะยิ้มก่อนจะวางมือบนผมนุ่มอย่างเอ็นดู เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ โดนชมซึ่งหน้าแบบนี้ถึงจะเป็นผู้ชายก็เขินเป็นเหมือนกัน

                “ชินยะอายเหรอ?”   หญิงสาวชะโงกหน้าไปถามขณะที่เดินตามหลังคนที่กำลังตรงไปที่เค้านท์เตอร์ชำระเงิน

                “เปล่าซะหน่อย”   เขาปฏิเสธ

                “จริงๆ น่ะเหรอ?”  

                “อืม...”    เขายังคงยืนยัน

                “งั้นก็ช่างเถอะ...”

                หญิงสาวถอยมายืนด้านหลัง ก้มหน้ามองมือตัวเองเงียบๆ โดยไม่เอ่ยอะไรอีก ใช่ว่าจะงอนแต่แค่หมดมุกจะเล่นแล้วเท่านั้นเอง เธอเพียงต้องการให้เขาพูดเยอะๆ บ้าง บางทีการกระตือรือร้นช่างพูดอยู่คนเดียวมันก็เหนื่อย

                “งอนหรือไง?”   ชายหนุ่มหันมาถามพลางเอื้อมกุมมือข้างหนึ่งของแฟร์รี่เอาไว้และจูงเดิน

                “เปล่านี่”

                “อย่าเงียบสิ”

                “ไม่มีอะไรจะพูด”

                “หึหึ... ผู้หญิงขี้งอน”   เขาขำเบาๆ

                “ไม่ใช่ซะหน่อย”   เธอเงยหน้ามาปฏิเสธ

                “ยอมแพ้แล้ว... อยากกินอะไรไหม?”

                “ชินยะเลือกสิ”

                ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินแว่วๆ ทำให้หวังแจ็คสันหันขวับ ร่างเพรียวไม่สูงมากนักที่เห็นในร้านหนังสือคือคนที่เขาเดินตามหาเพิ่งผ่านหน้าไปเมื่อครู่นี้ และชุดนั้นเมื่อเพ่งพินิจดูดีๆ มันคือชุดนักศึกษาปีหนึ่งของที่ไหนสักที่ สำคัญกว่านั้น... นั่นคือแฟร์รี่ไม่ผิดแน่!

                ร่างหนาตามทั้งคู่อยู่ห่างๆ เห็นท่าทางหยอกเย้าแล้วก็นึกขันตัวเอง เขาเป็นพวกโรคจิตถ้ำมองคนอี๋อ๋อออเซาะกันหรืออย่างไร แต่ด้วยความอยากรู้จึงยังคงตามต่อ... ไม่แน่ใจว่านี่คือผู้ชายของเธอหรืออยู่ในระหว่างงานที่มิโนเอ่ยถึงกันแน่

                แจ็คสันเงยหน้ามองป้ายด้านหน้าที่เขียนว่า Food Court อย่างสนใจ ดูท่าแล้วคนนี้คงเป็นเพื่อนหรือไม่ก็แฟนเพราะหากเป็นคนที่จ้างมาเที่ยวด้วยจะพามาทานในสถานที่แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้

               

                “ฉันจะจับตาดูเธอเอาไว้แฟร์รี่!

               

     

     

                โชคมักเข้าข้างหวังแจ็คสันเสมอ สิบนาทีถัดมาแฟร์รี่ก็ปลีกตัวออกมาคุยโทรศัพท์ ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทำเอาเธอตกใจและรีบวางสาย เจ้าของใบหน้าหล่อแต้มด้วยรอยยิ้มมุมปากอย่างกวนๆ แต่อีกคนกลับชักสีหน้าเชิดหยิ่งใส่เสียนี่

                “ไม่เจอกันนาน เปลี่ยนไปเยอะนะ”   ประโยคแรกที่หลุดจากปากแจ็คสันก็เริ่มหาเรื่องเสียแล้ว

                “ฉันไม่รู้จักคุณ เราเคยเจอกันเหรอคะ?” 

                “เคยเจอกันสิครับ ทั้งที่คลับ แล้วก็... โรงแรม”

                หญิงสาวตาโตทันทีที่ได้ยินเขาพูดคำว่าโรงแรมด้วยน้ำเสียงสบายแบบนี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร ถ้าหากมีใครได้ยินก็เข้าใจผิดกันไปหมดน่ะสิ

                “พูดดีๆ นะคะคุณ” 

                “ก็สุภาพตลอดนะ ผมพูดหยาบคายตรงไหน?”   เขาทำไขสือ

                “คุณนี่มัน... จอมวายร้าย!”    แฟร์รี่งึมงำกับตัวเองพลางส่งสายตามองค้อนเขาไปอีก

                “มากับแฟนเหรอ?” 

                “เรื่องของฉัน.. แล้วก็อย่ายุ่งกับเรา ถือว่าฉันขอร้อง”  

                “แฟนจริงๆ สินะ”   แจ็คสันยิ้มกริ่ม  อ๊า... รู้ความลับอีกอย่างแล้ว

    “ไม่เกี่ยวกับคุณ”

    “วันนี้ไปเรียนมาเหรอ? ถึงจะดูไม่ค่อยคุ้นตา แต่ก็... น่ารักดี”  เขาเอ่ยยั่ว รู้ดีว่ายังไงแฟร์รี่ก็ต้องโมโห

    “อยากคุยกับฉันเหรอ? ชอบฉันเหรอ? ฉัน... ไม่ว่างหรอกนะวันนี้”  หญิงสาวโต้กลับ

    “ไม่เป็นไร.. รอได้ นี่นามบัตร... ถ้าเบื่อไอ้หน้าจืดนั่นก็โทรมาแล้วกัน” 

    แจ็คสันหยิบนามบัตรจากกระเป๋าสตางค์ยัดใส่มือที่เธอแนบข้างลำตัว เขารู้สึกสนุกที่ได้เห็นคนแสนพยศออกฤทธิ์ออกเดชไม่ได้เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง

    ใบหน้าหวานน่ารักเริ่มมุ่ยลงทุกที หากต่อความยาวสงสัยคงจะมีเรื่องแน่ เธอตัดสินใจใช้วิธีเดิมที่ใช้มาตลอดอีกครั้ง

    “คงไม่มีวันนั้น สวัสดี!

    หญิงสาวกระแทกไหล่ของเขาแรงๆ แล้วเดินผ่านไป ซึ่งแจ็คสันก็ทำเพียงแค่ยักไหล่ตามหลังอย่างไม่ยี่หระ

     

     

    ... หึ! ปล่อยเธอไปก่อนก็ได้

                 

     

               

                แฟร์รี่เดินกลับโต๊ะที่มีชินยะนั่งรออยู่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดระหว่างทางปากก็พึมพำสาปส่งแจ็คสันไม่หยุด ก่อนจะรีบปรับสีหน้าปกติเมื่อเห็นคนที่รออยู่เงยหน้าจากหนังสือเล่มหนาขึ้นมามอง

                หญิงสาวนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างเขาเรียบร้อย มือหนาก็เลื่อนจานข้าวพร้อมกับน้ำมาให้อย่างเอาใจ ชินยะเห็นแฟร์รี่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยก็คงจะเหนื่อยเอาการ เขาเองก็อยากช่วยแบ่งเบาในเรื่องที่ช่วยได้

    รอยยิ้มสวยๆ ของเธอถูกส่งไปเป็นรางวัลเธอรู้สึกว่าอย่างน้อยการมาอยู่กรุงเทพคนเดียวก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวถึงแม้ลำบากไปบ้าง ทว่าตั้งแต่มีชินยะก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาก

                ชินยะเรียนอยู่ปี 2 แต่แฟร์รี่กลับไม่เคยเรียกเขาว่าพี่สักครั้งคงเป็นเพราะคุยกันแบบเพื่อนมาก่อนจึงขัดเขินอยู่สักหน่อยหากต้องเปลี่ยนสรรพนาม ส่วนคนอายุมากกว่าก็ไม่ได้ว่าอะไร  

                แฟร์รี่ทำงานพิเศษสัปดาห์ละสองวันในร้านไอศกรีมใกล้ๆ มหาวิทยาลัยของชินยะ ส่วนช่วงสุดสัปดาห์ก็ทำที่ร้านอาหารกึ่งผับที่นำใบปลิวรับสมัครมาแปะที่บอร์ดประกาศโดยใช้บัตรประชาชนที่ปลอมปีเกิดเรียบร้อยแล้วเป็นหลักฐานการสมัครถึงได้งาน และนั่นทำให้ชินยะเชื่อมาตลอดว่าเธอเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย

                “แฟร์รี่... จันทร์หน้าว่างไหม?”  ชินยะเอ่ยถามทั้งที่ยังท้าวคางมองแฟร์รี่ตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยอย่างน่ารัก

                “อืม... ก็ว่างอยู่ค่ะ”   เธอหยุดคิดแล้วตอบ

                “ไปดูหนังกันไหม?”  เขายังคงนั่งท่าเดิม

                “ได้สิ  แต่ว่างหลังห้าโมงเย็น”  

                “ทำไมต้องห้าโมง บ่ายสามไม่ได้เหรอ?”  

                แฟร์รี่หันมองหน้าคนเจ้าปัญหาเต็มตัวก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนแก้มของชินยะ

                “ไม่ได้หรอก มีเรียน”  แน่อยู่แล้วว่าต้องปฏิเสธ... บ่ายสามโรงเรียนยังไม่เลิก ถ้าจะออกมาได้ก็ต้องโดด ซึ่งไม่มีทางที่เธอจะทำแน่นอน... ค่าเทอมก็ยังไม่ได้จ่ายยังจะโดดเรียน ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาคะแนนความน่าสงสารในการผ่อนผันค่าเล่าเรียนมีเปอร์เซ็นต์เป็นศูนย์ไปโดยปริยาย

                “โดด!”   คิดไว้ไม่ผิด... ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอดวงตาเป็นประกาย

                “ฝัน!?”   แฟร์รี่ตอบเสียงเข้ม

                “โอเคๆ ห้าโมงก็ได้ครับ”   เจอไม้แข็งเข้าไปชินยะก็ต้องยอมอยู่ดีแม้หน้าของเขาจะดูหงอยไปถนัดตาก็เถอะ

                “อ้ะนี่... อ้าปากแล้วเลิกงอนได้แล้ว”  

    หญิงสาวใช้ส้อมจิ้มเนื้อไก่ในจานจ่อตรงหน้าเขาแล้วหรี่ตามองเป็นสัญญาณว่าให้ยอมรับมันไปเดี๋ยวนี้และหากไม่กินเข้าไปเธอก็จะโกรธ

                ชินยะส่ายศีรษะเบาๆ กับความเจ้าเล่ห์ของแฟร์รี่ ก็ในเมื่อข้าวจานนี้เขาเป็นคนซื้อมาพอเขางอนเธอก็ยังใช้มันง้ออีก... เข้าตำราอัฐยายซื้อขนมยายชัดๆ

     

     

                แจ็คสันแอบมองคนทั้งคู่อยู่ที่ชั้นบนของ Food Court ด้วยความรู้สึกคลื่นเหียนจนอยากจะอาเจียนออกมาเพราะความหวานเรี่ยราดของพวกนั้น ท่าทางงุ้งงิ้งกระเง้ากระงอดแบบนั้นช่างน่าขนลุกเสียจริง ไม่ได้สำนึกสักนิดว่าตอนตัวเองมีความรักอาจจะทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน

     

                พฤติกรรมของแจ็คสันช่างคล้ายพวกโรคจิตเข้าไปทุกที แต่ช่างเถอะ! ยังไงสิ่งที่เห็นก็ยังทำให้เขาปักใจเชื่อไม่ได้หรอกหากยังไม่รู้เรื่องที่ยังค้างคาใจอยู่

     

                 

     


                

     

    พรหมลิขิตบันดาลชักพาให้สองคนเจอกัน

    หรา???

    เค้าเรียกว่ากรรมลิขิตต่างหาก... เจอทีไรทะเลาะกันทุกรอบ

    เอาเถอะ... เดี๋ยวรู้เลย!






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×