คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : X-Secret : VIII - สัญญาจ้าง
X-Secret
: VIII – สัญญาจ้าง
‘เห็นว่าเป็นนักต้มตุ๋นเลยสั่ง ‘ข้าวต้ม’ กับ ‘ไข่ตุ๋น’ มาให้
และกรุณาอย่าแผลงฤทธิ์โดยไม่จำเป็น’
…JS…
ข้อความที่แนบมาพร้อมอาหารจากรูมเซอร์วิสส่งผลให้คนได้รับนั่งเข่นเขี้ยวมองกระดาษแผ่นนั้นอยู่นาน
แม้แต่การดูแลของเขายังไม่วายกระแนะกระแหนหากทำดีให้ตลอดรอดฝั่งมันจะทำให้ตายหรืออย่างไร...
แต่มือก็ยังไม่ละจากการส่งอาหารเข้าปากเคี้ยวหงับอย่างต่อเนื่องด้วยอารมณ์หงุดหงิดเพราะถูกเหน็บแนมทุกครั้งที่สบโอกาสแถมยังไม่สามารถโต้ตอบได้อย่างใจนึก
หากเปลี่ยนเป็นแจ็คสันอยู่ตรงนี้... ก็ไม่พ้นถูกฉีกเป็นชิ้นไปแล้ว
เวลาเฉียดตีหนึ่งร่างหนาก็ได้กลับมาที่ห้องตัวเองอีกครั้งทั้งที่ห้องจัดเลี้ยงของวันนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายนักแต่ใช้เวลานานพอสมควรสำหรับการปลีกตัวออกมาจากวงสังสรรค์และทักทายซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะอย่างที่รู้กันว่าแจ็คสันเป็นหนุ่มฮอตของสาวๆ ไม่น้อย
ไฟในห้องสุดหรูยังเปิดสว่างจ้าครบทุกดวงเช่นก่อนที่เขาจะก้าวออกไป
ดวงตาคมมองหาทั่วห้องเมื่อไม่เห็นร่างเพรียวจอมพยศที่โซฟารับแขกตัวใหญ่
เขาเดาไว้ก่อนจะเปิดประตูเข้ามาว่าเธอจะต้องไม่ยอมนอนในห้องนอนและเอาร่างเล็กๆ นั่นมากองอยู่ด้านนอกแต่กลับไม่มีแม้แต่เงาจนอดคิดไม่ได้ว่าอาจหนีกลับไปก่อนแล้ว
ทว่า... กลับต้องสะดุดกับรองเท้าส้นสูงสีเงินวาวระยิบที่แวบเข้ามาในสายตา
ร่างหนาหันขวับก่อนจะสาวเท้าไปทางหน้าประตูและย่อตัวลงพินิจให้แน่ใจ
“ยังอยู่งั้นสิ...
อย่าบอกนะว่าใจกล้าพอที่จะเข้าไปนอนในห้องน่ะ?”
แจ็คสันรำพึงกับตัวเองอย่างคาดไม่ถึง รอยยิ้มแบบนึกสนุกผุดขึ้นบนใบหน้าจากนั้นก็เบนเส้นทางไปยังที่ที่คิดไว้
ว่างเปล่า....
บนเตียงกว้าง
ห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า
หรือแม้แต่โต๊ะชุดเล็กไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิงเลยแถมยังเรียบร้อยเสียจนรับรู้ได้ว่าไม่ได้ผ่านการใช้งานอื่นอีกหลังจากเขาที่เข้ามาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในช่วงค่ำ
แจ็คสันเองก็ไม่กล้าคิดหรอกนะว่าเธอไปโดยไม่สวมรองเท้า...
คนฉลาดอย่างแฟร์รี่น่ะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร
ร่างหนานิ่วหน้าอย่างคิดไม่ตกจนรอยยิ้มที่เคยมีเลือนหายไปแล้ว
แม้เธอจะเป็นผู้หญิงที่น่าจะดูแลตัวเองได้แต่หากถึงขั้นลืมสวมรองเท้าก่อนกลับมันก็ใช่เรื่อง...
บานเลื่อนของประตูห้องนอนถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้ตรงไปยังโต๊ะอาหารที่มองผ่านมาตั้งแต่แรก
รอยยับยู่ยี่ของกระดาษโน้ตที่เขาตั้งใจส่งให้เกิดจากการขยำเป็นก้อนกลมวางอยู่ข้างชามข้าวต้มที่หมดแล้วส่วนบนเก้าอี้มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนใหญ่วางพาดอยู่ตรงที่พักแขน
“ยัยตัวแสบเอ๊ย! จากเรื่องไม่น่าจะยุ่งก็ทำให้ยุ่งจนได้สิน่า...”
แจ็คสันบ่นเบาๆ
พลางกดโทรศัพท์หาบุคคลที่หายไปยอมรับว่าเป็นห่วงอยู่บ้างเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
ยิ่งหันไปเห็นรองเท้าส้นสูงคู่สวยยิ่งรู้สึกไม่สบายใจนัก
แสงไฟกระพริบพึ่บสร้างความระแวงให้เจ้าของห้องไม่น้อยเขารู้สึกแปลกขึ้นมาทันทีทั้งที่รู้ว่าโรงแรมของตัวเองนั้นก็ไม่เคยมีประวัติว่ามีใครเสียชีวิตแม้จะเปิดทำการมาหลายปี
เขาไม่ได้เป็นคนกลัวผีสักหน่อยนี่นา...
ก็คงเพียงแค่ระบบไฟขัดข้องเท่านั้นแหละ
กึก...กึก...
หัวใจของแจ็คสันเต้นรัวเมื่อเหตุการณ์เดิมๆ
เกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งแถมมีเสียงที่แว่วมาให้ได้ยินเบาๆ เป็นออฟชั่นเสริม ซึ่งคราวนี้ทำให้เขาต้องกวาดสายตามองไปโดยรอบไม่เว้นแม้แต่เพดานที่ประดับด้วยแชงเดอเลียสุดหรู
อะไรบางอย่างบอกให้ร่างหนาก้าวตรงไปที่ระเบียงจากนั้นก็เอื้อมมือไปปลดล็อกเพื่อเลื่อนบานกระจกนั่นออก
เฮือกกกก!!!
ผู้หญิงผมยาวในชุดสีขาวที่เขาไม่คาดว่าจะได้พบทำเอาร่างหนาสะดุ้งสุดตัว...
เข้าใจทันทีว่าอาการใจหายจนตกไปอยู่ตาตุ่มแบบที่คนไทยชอบพูดบ่อยๆ เป็นแบบไหน มือหนายกขึ้นตบอกของตัวเองเบาๆ
เพื่อเรียกสติพลางเป่าปากฟู่สร้างความผ่อนคลาย นึกชมเชยตัวเองที่ไม่ได้กรีดร้องจนสาวแตกออกมาให้ได้อาย
แจ็คสันไม่ได้กลัวผีเลยสักนิด...
นิดเดียวก็ไม่มี
ใช่!... ไม่กลัว
หากไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทยมาหลายปี และซึมซับวัฒนธรรมผีไทยจากเจ้าบ้านไปเต็มเหนี่ยว
สารภาพตรงนี้เลย...
หากแสงภายในห้องสลัวลงอีกนิดผู้ชายแมนๆ เช่นแจ็คสันออกวิ่งไปแล้ว... อันนี้เรื่องจริง!
“ขนาดตอนไม่รู้ตัวยังทำให้คนแทบหัวใจวายตายได้...
ฝีมือเธอมันไม่ธรรมดา” พอสติเริ่มเข้าที่ปากก็พร่ำบ่นค่อนขอดทันทีแม้ว่าคนถูกพูดถึงไม่ได้รู้เรื่องด้วยสักนิด
สิ่งที่ทำเขาตกใจเมื่อครู่นั้นไม่ใช่ผีหรือสิ่งเร้นลับอย่างที่คาดในคราแรกหากแต่เป็นร่างเพรียวคุ้นตาในชุดแม็กซี่เดรสสีขาวที่เธอสวมอยู่กับปอยผมที่ปรกหน้าเล็กน้อยนั่นต่างหาก
ส่วนเสียงและแสงวาบก็มาจากโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวที่ตกอยู่ข้างตัวซึ่งแจ็คสันเห็นแล้วอยากหยิบมาเขวี้ยงลงจากชั้นสิบเจ็ดหากไม่ติดว่าหลังจากเจ้าของเครื่องตื่นจะลุกมาฆ่าปาดคอเขาน่ะนะ
ร่างหนาระบายลมหายใจหนักๆ
พลางเท้าสะเอวยืนมองคนหลับพิงกรอบประตูกระจกอย่างรู้สึกระอาใจ
ความจริงแฟร์รี่ไม่ได้หนีกลับไปแต่เธอมาหลบมุมที่แสนจะมุมจริงๆ
เพราะมันมิดเสียจนเดินหาทั่วห้องก็ยังมองไม่เห็น อีกทั้งยังมีหมอนอิงใบเขื่องวางอยู่บนตักซึ่งสังเกตจากท่าทางแล้วคงนั่งเล่นโทรศัพท์จนเผลอหลับไปนั่นแหละ
“เดี๋ยวปั๊ดหักค่าจ้างโทษฐานทำให้หลอนซะนี่!”
โปรดอย่าคิดว่าจะมีการอุ้มท่าเจ้าหญิงแล้วค่อยๆ
วางลงบนเตียงนุ่มอย่างสุภาพบุรุษเช่นพระเอกนิยายเพราะแจ็คสันทำแค่เพียงเอื้อมมือสะกิดเพื่อปลุกคนหลับให้ตื่นขึ้นมาจากการเฝ้าพระอินทร์เท่านั้นเอง
“แฟร์รี่...
ตื่น!”
ลงแรงเรียกอยู่ไม่กี่หนร่างเพรียวก็เริ่มขยับ
เปลือกตาเคลือบอายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนค่อยปรือขึ้นทีละน้อยแพขนตายาวกระพริบถี่ก่อนจะช้อนขึ้นมองช้าๆ
“อ้าวคุณ...
มาแล้วเหรอ? ฉันกลับได้หรือยัง?...”
“.....”
“....คุณ..!”
“ห๊ะ..? อะไรนะ?”
แจ็คสันที่เผลอมองท่าทางน่ารักเหมือนลูกแมวอย่างลืมตัวเพิ่งได้สติกลับคืนมาอีกทีก็ตอนถูกเธอเขย่าแขนแรงๆ
“นี่กี่โมงแล้ว
ฉันกลับได้หรือยัง?”
หญิงสาวทวนคำพลางยกหลังมือขึ้นปิดปากไปหาวไปอีกหน
“ก็บอกว่าเช้า...
หลังแปดโมงชัดไหม?”
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไรขนาดนั้นแต่พอเห็นท่าทางที่ไปคนละทิศกับคำถามแล้วก็นึกอยากแกล้งขึ้นมา
“ฉันถ่างตารอไม่ไหวนะ
ง่วงจะแย่”
เสียงโอดครวญทำเอาคนฟังลอบยิ้ม
สิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นเรื่องจริงเพราะวันนี้เธอตื่นตั้งแต่ตีสามเพื่อทำงานพิเศษเป็นตัวประกอบภาพยนตร์โฆษณาจนถึงสองทุ่มและก็ต่อด้วยการมาที่งานเลี้ยงคืนนี้และเพิ่งเผลอหลับไปเมื่อตอนเที่ยงคืนกว่านี่เองซึ่งตอนนี้เธอไม่มีแรงจะทะเลาะกับใครทั้งนั้น
“ง่วงขนาดนี้ก็ไปนอนสิ” เมื่อเห็นว่าเธอแทบจะหลับในใส่คนชอบแกล้งก็ออกปากไล่
“นอนไหนล่ะ?
เตียงคุณเหรอ... ไม่ไหวมั้ง”
ร่างเพรียวปฏิเสธตาโต... แต่มันก็โตได้แค่ครึ่งเดียวของปกติเท่านั้น
“เธอนอนฝั่งซ้าย
ฉันนอนฝั่งขวา แบ่งกันคนละครึ่ง”
แจ็คสันตัดสินง่ายๆ ส่วนคนฟังก็ใช่ว่าจะเออออตาม เธอกลับยื่นข้อเสนอใหม่ที่คิดว่าไฉไลกว่าให้เขาแทน
“โทรบอกรูมเซอร์วิสของผ้าห่มเพิ่มค่ะ
ฉัน...จะนอนตรงนี้”
หญิงสาวชี้ที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องโถงรับแขก “ส่วนคุณ...
ก็เชิญที่ห้องคุณตามปกติ ไม่ต้องห่วงฉันเลยนะ
โซฟาราคาแพงขนาดนี้มันนอนสบายอยู่แล้ว”
“เอาที่เธอสบายใจก็แล้วกัน” เจ้าของห้องส่ายศีรษะอย่างคร้านจะโต้เถียง
ก้าวตรงไปที่โทรศัพท์พื้นฐานในห้องเพื่อโทรหารูมเซอร์วิสเมื่อเห็นร่างเพรียวที่เพิ่งจะแจกแจงจบหันไปเตรียมที่นอนของตัวเองอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
เอาเลย...
วันนี้เขาเองก็ทั้งเหนื่อยและล้ามากแล้ว
...
ยอมยกให้วันนึงก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันอีกทีก็ไม่สาย
ประตูห้องการเงินของโรงเรียนถูกเปิดออกช่วงสายของวันแรกในสัปดาห์ตามด้วยร่างเพรียวในชุดนักเรียนมัธยมปลายแบบถูกระเบียบเป๊ะ
รอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าบ่งบอกว่าอารมณ์ดีไม่น้อยโดยที่เจ้าตัวยังไม่เลิกมองกระดาษสีขาวแผ่นบางในมือเพราะเธอเพิ่งจ่ายค่าเล่าเรียนของเทอมนี้ไปสดๆ
ร้อนๆ
ฟึ่บ...
“อ๊ะ!?”
แฟร์รี่อุทานอย่างตกใจเมื่ออยู่ดีๆ
กระดาษใบเสร็จรับเงินก็ถูกฉกไปซึ่งหน้าแต่เมื่อหันกลับไปมองก็เจอเพื่อนร่วมห้องที่ไม่ค่อยได้เจอหน้าค่าตากำลังเงยหน้าจากสิ่งที่ถืออยู่และยกขึ้นโบกไปมาพร้อมยิ้มกวน…
วันนี้... เขาสวมชุดวอร์มสีขาว
“เอาคืนมา...” แบมือออกไปตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เก่งนี่เด็กใหม่...
หามาจ่ายได้ไวดี นึกว่าจะวิ่งตาตั้งมาเคลียร์วันสอบ
ไม่เสียแรงที่ลาป่วยไปตั้งอาทิตย์นึง”
“คิมหันต์!” การที่เขาเอ่ยอะไรแปลกๆ
ออกมาทำเขาคนฟังถึงกับร้องเรียกชื่อเขาเสียงหลง
“ฉันจำชื่อตัวเองได้น่า...” ร่างสูงกว่าทำน้ำเสียงรำคาญ
“นายต้องการอะไร?” เธอหรี่ตามองอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“ครึ่งเช้าอาจารย์สายชั้นเราประชุม
ฉะนั้น งดสอน ทีนี้เราก็ไปหาอะไรกินกันดีกว่า แล้วไม่ต้องห่วง... ฉันเลี้ยง
คิดว่า... หลังจากออกจากห้องนั้นมา กระเป๋าตังค์เธอคงเบาหวิว”
เขาเอ่ยปากชวนพลางก้มหน้าลงดูใบเสร็จในมืออีกครั้งพร้อมทำหน้าขยาดเล็กๆ
“ฉันถามว่า...
นายต้องการอะไร?” เธอย้ำ
“เพื่อนกินข้าว
กินคนเดียวมันไม่อร่อย พอใจยัง?”
คำตอบง่ายๆ
ไม่น่าตกใจเท่ากับการกระทำที่เขายัดกระดาษใบเสร็จใส่มือเธอก่อนจะคว้าแขนอีกข้างให้เดินตามตัวเองในทิศทางที่มุ่งสู่โรงอาหารจริงอย่างพูด
แผ่นหลังกว้างของคนในชุดวอร์มสีขาวยังคงเดินนำแต่ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ว่าคนเดินตามกำลังจะเอ่ยปากขัดเพราะจู่ๆ
เขาก็ชะงักเท้าและเหลียวกลับมาส่งสายตาดุเข้าให้จนเธอต้องเก็บปากเงียบ
แม้ว่าเพื่อร่วมชั้นในชุดวอร์มสีขาวคนนี้จะเป็นคนเดียวกับคนชุดดำเมื่ออาทิตย์ก่อนทว่าความรู้สึกนั่นช่างแตกต่างเพราะความอบอุ่นครั้งก่อนถูกกลบมิดด้วยความน่าหมั่นไส้ในปัจจุบัน
อาหารหลากหลายอย่างถูกวางลงตรงหน้าแถมกลิ่นของมันช่างยั่วน้ำลายของร่างเพรียวในชุดนักเรียนเหลือเกิน
คิมหันต์นั่งเท้าคางมองเพื่อนร่วมชั้นอย่างนึกขันที่เห็นเธอท่าทางประหลาดๆ
จากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิง
“เก็บน้ำลายด้วยเด็กใหม่” น้ำเสียงยานคางของเขาสามารถเรียกค้อนจากสายตาของคนถูกแซวได้ในฉับพลัน
“ถามอะไรอย่างสิ”
แฟร์รี่ปรับเปลี่ยนกิริยาเสียใหม่และเริ่มถามในสิ่งที่ตนอยากรู้
“ถามว่า?”
“นายรู้จักฉันเหรอ?
เราไม่เคยคุยกันเลยจนวันนั้น... แล้วทำไมถึงเลี้ยงข้าวฉัน?” เพราะเกรงว่าจะไม่ได้เรื่องจึงถามออกไปเสียรวดเดียว...
ก็คงได้คำตอบดีๆ มาบ้างแหละน่า
“เธอชื่ออิงฟ้าไง
นั่นน่ะก็รู้นานแล้ว... แล้วที่ฉันไม่ได้คุยด้วยก็ใช่ว่าจะไม่รู้จัก
ส่วนเรื่องข้าว... ก็บอกแล้วไงว่าสงสารเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าของเธอ
หรือจะให้ตอบแบบสร้างศัตรูก็คือ...ฉันรวย”
“อ่า...”
แฟร์รี่พยักหน้าเบาๆ
กับคำตอบพวกนั้น... เขากำลังบอกเธอว่าเขาเป็นพวกอยากทำอะไรก็ทำว่างั้นเถอะ ...
ไหนๆ เขาก็ไม่อยากจะอธิบายอะไร หากเธอไม่คิดหาเหตุผลก็คงไม่เป็นไรเหมือนกันสินะ
ส้อมสีเงินวาวในมือจิ้มลงไปในเนื้อของชีสบอลสีเหลืองสวยที่คิมหันต์เพิ่งใช้ตะเกียบคีบมาวางในจานให้อย่างตั้งใจ
ก็ในเมื่อเขาทำตัวสบายมากเสียจนเธอรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นจะเครียดไปเพื่ออะไรจึงเริ่มจัดการอาหารหลายประเภทที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้นกว่าเก่า
จริงดังที่คิมหันต์ว่า...
ครึ่งเช้าแฟร์รี่ไม่ได้เรียนเลยแต่ก็คาดไม่ถึงว่าคาบบ่ายก็ถูกงดด้วยเช่นกันซึ่งทำให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 ทั้งระดับชั้นได้อภิสิทธิ์ในการกลับบ้านก่อนอย่างน่าอิจฉาสังเกตได้จากสายตาทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องที่มองตามกันตาละห้อยเมื่อเห็นนักเรียนในโรงเรียนเดียวกันเดินตรงสู่ประตูทางออก
ก่อนไปเข้างานที่คาเฟ่ก็ยังมีเวลาเหลือแถมอารมณ์ดีสุดๆ
แฟร์รี่จึงกดโทรวิดิโอคอลหาคนที่เธอคิดถึงอยู่ทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ
“Hi...”
น้ำเสียงนุ่มๆ พร้อมรอยยิ้มที่เธอหลงใหลถูกส่งออกมาทักทายจากหนุ่มปลายสาย
“Hi... คิดถึงแฟร์ไหม?” เธอเอ่ยถามอย่างสดใสแม้จะดูเคอะเขินไปบ้าง
“ถ้าตอบว่าไม่ล่ะ
จะโกรธผมไหม?”
“ไม่โกรธหรอก
จะโกรธได้ไง...”
หญิงสาวบังคับตัวเองให้ร่าเริงแม้จิตใจจะห่อเหี่ยวทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
“เฮ้...
ผมล้อเล่น เอาไว้วันศุกร์ผมไปรับนะ” คำแก้ต่างและเสียงหัวเราะจากชินยะไม่ทำให้เธอใจเต้นเท่ากับประโยคหลังของเขา
“แฟร์เลิกงานตีหนึ่ง...” คืนวันศุกร์เธอทำงานที่คลับซึ่งการไปรับแบบนั้นบางทีชินยะอาจจะลืมมันดึกแค่ไหน
“ผมว่าจะขอไปเล่นเปียโนแทนนะวันนั้น
อันที่จริงอยากไปเฝ้าคนบางคนมากกว่า สายรายงานว่ามีคนมาขายขนมจีบเยอะเลยนี่”
ใบหน้าหล่อเชิดขึ้นพร้อมกับจมูกได้รูปที่ย่นเข้าหากันราวกับกำลังงอนและรอให้ง้อนั้นทำให้ใบหน้าหวานเจือสีระเรื่อขึ้นมาแทนจากตอนแรกจะขำกลับเกิดอาการเขินเสียได้
แม้ความสัมพันธ์พิเศษนี้ไม่ชัดเจนเพราะยังไม่ได้เอื้อนเอ่ยเป็นถ้อยคำแก่กันแต่สัมผัสถึงสิ่งที่ต้องการสื่อได้เป็นอย่างดี
ชินยะก็แค่...
หวง ส่วนแฟร์รี่ก็เป็นปลื้มแทบแย่เมื่อคนที่เธอชอบแสดงออกแบบนั้น
ทางด้านกอหญ้าการกลับมาจากญี่ปุ่นของเธอไม่เพียงแค่พักผ่อนแต่ยังต้องจัดการเรื่องย้ายที่เรียนและทำงานที่เข้ามาหลายต่อหลายชิ้นอีกด้วยซึ่งดูเหมือนจะยุ่งยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีกทั้งที่ผู้จัดการส่วนตัวกิตติมศักดิ์เช่นเจบีคัดกรองงานถ่ายแบบชุดว่ายน้ำและคอนเซปต์วาบหวิวหายไปกว่าครึ่ง
ด้วยเหตุผลที่ว่า...
นางแบบที่เครืออิมแมคกาซีนดูแลนั้นหน้าจะช้ำไม่ได้
โธ่เอ๊ย... หึงก็บอกว่าหึงสิ!
วันนี้เป็นอีกวันที่เจบีไม่ว่างเพราะต้องเข้ามหาวิทยาลัยเนื่องจากเป็นตัวแทนกลุ่มเข้าประชุมจับสลากลำดับการสอบย่อยของภาควิชาทำให้กอหญ้าฉายเดี่ยวมาถ่ายงานให้กับนิตยสารผู้หญิงรายสัปดาห์โดยไม่มีผู้ปกครองหน้าหล่อจอมดุมาคุมเหมือนหลายงานที่ผ่านมาแต่งานวันนี้ก็ไม่น่าห่วงนักเมื่อมีเพียงการสัมภาษณ์เล็กน้อยและบรรดาชุดที่นำมาถ่ายก็เซ็กซี่นิดหน่อยให้พอลุ้นเท่านั้น
แค่ช่วยบ่ายแก่ๆ
งานที่เริ่มมาตั้งแต่เช้าก็เสร็จเรียบร้อยร่างบางนั่งเกยคางบนพวงมาลัยรถอย่างเบื่อหน่าย
โชคดีที่เจบียังยอมให้ขับรถมางานเองได้หลังจากถกเถียงกันอยู่นานเรื่องให้รถของที่บ้านมาคอยรับส่งแทนที่จะปล่อยเธอออกมาตามลำพัง
สุดท้ายเธอก็เป็นฝ่ายชนะเพราะมีคนหนุนหลังคือประธานอิม
เครื่องมือสื่อสารประจำตัวถูกหมุนเล่นไปมาเมื่อติดต่อหาเพื่อนสนิทคนไหนก็ไม่มีใครว่างไปเสียหมดส่วนเจบีก็ปิดเครื่อง
ชั่งใจอยู่สักพักจึงตัดสินใจกดหาใครบางคนแต่เธอไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะมีเรื่องยุ่งๆ
ตามมา
จุดนัดพบไม่ใช่อื่นไกลแต่เป็นร้านกาแฟที่ยองแจทำงานพิเศษอยู่ทว่าตั้งแต่ก้าวเข้ามาก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
นั่งรอไม่นานนักร่างหนาแสนคุ้นเคยก็หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโดยไร้คำทักทาย
“เสียมารยาทนะคะ
ยังไม่ได้เชิญนั่งสักนิด”
กอหญ้าค่อนขอดอย่างไม่จริงจังนัก
“พี่หน้าด้านค่ะ”
เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มพลางถือวิสาสะตัดขนมที่วางอยู่บนโต๊ะมาชิมคำเล็กๆ
“พี่แจ็คสัน!” เสียงหวานเรียกชื่อเขาเสียงเข้ม
“ครับๆ” คนถูกขู่ยกสองมือเป็นเชิงยอมแพ้
ตอนนี้เขาไม่พร้อมรับมือกับกอหญ้าโหมดโหดสักเท่าไหร่
“เอ๋...
แล้วทำไมพี่แจ็คสันว่างล่ะคะ?”
คล้ายกับหญิงสาวเพิ่งนึกออกว่าเขาเรียนกับเจบีไม่ใช่หรือ...?
“ก็คุณชายอิมแจบอมเป็นตัวแทนไปแล้ว
พี่ก็ว่างสิคะ งั้นเอาเป็นว่า... ถ้าอยากไปไหน ทำอะไร พี่บริการเต็มที่โอเคไหม?”
พอแจ็คสันยื่นข้อเสนอนางแบบสาวคนสวยก็รีบพยักหน้าหงึกเพราะหากไม่ฉวยโอกาสที่หาแสนยากเอาไว้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะคุณชายอิมจะอนุญาตอีกอันที่จริงเธอก็ไม่ได้อึดอัดใจอะไรเพียงแค่ยังไม่ชินกับอาการหวงโอเว่อร์ของเขาต่างหาก
ทั้งคู่ออกเดินทางด้วยรถของแจ็คสันส่วนรถอีกคันก็ให้คนของโรงแรมมารับช่วงต่อไป
การเดินมาราธอนเพื่อตามผู้หญิงช้อปปิ้งไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องการดูแลสาวๆ
แถมยังเป็นที่ปรึกษาที่ดีได้อีกด้วยซึ่งคราวนี้เขาเองก็พร้อมจะเป็นกระเป๋าเงินเคลื่อนที่ให้อีกฝ่ายด้วยความเต็มใจติดตรงโดนเธอปฏิเสธอยู่เนืองๆ
แต่ก็ใช่ว่าเจ้าตัวจะละความพยายามจนกลายเป็นสงครามเล็กๆ ยามถึงเวลาจ่ายเงินมีคราวต้องแย่งกันทุกทีทำให้ไม่ว่าใครเห็นก็รู้สึกถึงความน่ารักของพวกเขา
หลังจากตะลุยเข้าออกร้านนู้นร้านนี้มาหลายชั่วโมงหลายสถานที่ข้าวของที่ได้มาก็ไม่มากมายอะไรนักแต่กระเพาะนั้นเรียกร้องถึงอาหารอย่างหนักหน่วงขึ้นมาแทนจึงตัดสินใจแวะคาเฟ่เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนพาเธอกลับไปส่งที่บ้าน
เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระดิ่งที่ประตูร้านเรียกคำต้อนรับจากพนักงานเกือบทั้งร้านให้ดังขึ้นจนลูกค้าใหม่ทั้งสองคนลอบยิ้มขำให้แก่กันก่อนจะมีพนักงานอีกคนพาไปนั่งและรับรายการอาหารและเครื่องดื่ม
กอหญ้านั่งหมุนโทรศัพท์เล่นหลังจากเพิ่งตอบข้อความแชทกับเจบีไปเมื่อครู่พลันนึกอะไรบางอย่างได้ก็หยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองค้นหาอยู่สักพักก็ดึงถุงกระดาษใบเล็กออกมาก่อนจะเลื่อนมันไปตรงหน้าของแจ็คสัน
“ซื้อมาฝากค่ะ
แต่ลืมให้”
“อะไรอ่ะ?” แม้จะถามออกไปแต่ก็กระตือรือร้นที่จะหยิบมาดู
“ชอบไหม?” หญิงสาวทำหน้าลุ้นเมื่อเห็นเขาพิจารณาของสิ่งนั้น
“น่ารักดี
ผูกให้หน่อยได้ไหม...”
แจ็คสันถามทั้งที่รู้ว่าหากเขาขอเธอก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว
ชายหนุ่มยิ้มนิดๆ
เมื่อมือบางรับทั้งโทรศัพท์และตุ๊กตาไล่ฝนไปผูกไว้ให้อย่างตั้งใจ
เขาชอบทุกอย่างที่เป็นกอหญ้ารวมทั้งของที่เธอซื้อให้แม้ราคาค่างวดของมันจะถูกจะแพงก็ไม่เกี่ยง
“ขออนุญาตเสิร์ฟเครื่องดื่มค่ะ” เสียงสดใสของพนักงานทำให้แจ็คสันสะดุ้งแล้วรีบเก็บอาการ
แก้วเครื่องดื่มถูกวางลงทั้งสองที่ซึ่งมันเกือบจะเป็นเรื่องปกติแล้วหากนางแบบคนสวยไม่เงยหน้าขึ้นมาเสียก่อน
“คุณแฟร์รี่?”
ไม่เพียงแค่เจ้าของชื่อเท่านั้นคนที่ร่วมโต๊ะเองก็ตกใจเช่นกัน
“แฟร์รี่...” แจ็คสันงึมงำอย่างคาดไม่ถึง
เขาไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่ได้อย่างไรทั้งที่เขาเองก็มาร้านนี้หลายครั้งก็ไม่เคยพบเธอสักที
“เอ่อ...
คุณแจ็คสัน กับ คุณกอหญ้า งั้นฉัน... ขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อไม่รู้จะพูดอะไรเธอก็เลือกที่จะปลีกตัวออกมาดีกว่าเพราะเธอสังหรณ์ใจว่าสถานการณ์แบบนี้มันมีความเสี่ยงจริงๆ...
เสี่ยงต่อความสงบในอนาคตไงล่ะ
“เดี๋ยวสิคะ...
ว้า.. ไม่ทันซะละ”
กอหญ้ายู่ปากอย่างเสียดายก่อนจะหันมาคาดคั้นเอากับแจ็คสันแทน “...
พี่ไม่รู้เหรอว่าแฟนตัวเองทำงานที่นี่น่ะ? หรือเพิ่งมาทำ...
เธอมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ?”
“...เอ่อ...”
แจ็คสันถึงกับติดอ่างเพราะไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
เขาเองก็ไม่ได้มีข้อมูลของแฟร์รี่มากนักแถมการเจอเธอในสถานะพนักงานของคาเฟ่ยิ่งเป็นเรื่องที่เขาเองก็ไม่คาดคิด
“ว่าไงคะ?
หรือว่าพี่แจ็คสันปิดบังอะไรอยู่...”
หญิงสาวเริ่มจับผิด
“เปล่านี่คะ...
พี่เองก็รู้แค่ยัยนั่น เอ่อ... แฟร์รี่น่ะค่ะ จะหางานพิเศษทำ
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าที่ไหน พี่เองยังแปลกใจเลย”
แจ็คสันหาเรื่องแถไปได้อย่างหวุดหวิด
“งั้นเหรอ...
นี่คุณแฟร์เธอจะโกรธไหม อยู่ดีๆ พี่แจ็คสันก็มากับหญ้าแบบนี้ ไปคุยกับเธอดีกว่า!”
หมับ!...
แจ็คสันคว้าข้อมือของนางแบบคนสวยไว้ได้ทันท่วงทีก่อนจะได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามจากเธอที่ถูกส่งมา
“เดี๋ยวพี่ไปเอง”
เพียงเท่านั้นหญิงสาวก็ยิ้มออกก่อนจะยอมถอยกลับไปนั่งที่เดิมและปล่อยให้แจ็คสันไปคุยกับเธอเอง
กว่าจะฝ่าด่านอรหันต์ของบรรดาพนักงานและผู้จัดการร้านจนสามารถเรียกตัวยัยตัวแสบออกมาได้ก็กินเวลาไปเป็นสิบนาทีเพราะพวกนั้นไม่ยอมเชื่อว่าเขารู้จักกับเธอแถมยังอ้างชื่อของผู้ชายอีกคนที่คล้ายจะเป็นแฟนตัวจริงของเธออีกต่างหาก
จนสุดท้ายต้องใช้วิธีให้ไปถามกับเจ้าตัวเอาเอง
“เธอมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง?”
“ฉันต้องถามคุณมากกว่าว่าทำไมถึงมาที่นี่?”
“เฮอะ! มาคาเฟ่จะให้มาก่อสร้างรึไง?
ก็มาหาของกินสิ!” คำพูดยอกย้อนของแฟร์รี่ทำเอาแจ็คสันหงุดหงิด...
“งั้นคุณก็เชิญรับประทานให้อร่อยเลยค่ะ
ฉัน... จะไม่ย่างกรายเข้าไปใกล้โต๊ะคุณแน่นอน!” แฟร์รี่บอกอย่างมั่นใจเพราะหากความแตกแล้วแจ็คสันจะเอาเงินคืนเธอก็ไม่มีให้หรอกนะ...ก็จ่ายค่าเทอมไปหมดแล้ว
“ก็ดีๆ...” ร่างหนาพนักงานอย่างเห็นด้วย
เมื่อทำการตกลงกันเรียบร้อยเขาก็ตั้งใจจะกลับไปที่โต๊ะอย่างสบายใจแต่ก็ต้องชะงักเท้าเอาไว้เพราะใครบางคนที่คุ้นตาถือเมนูเล่มบางนั่งข้างกอหญ้าอยู่ก่อนแล้วแถมดูเหมือนทั้งคู่ตั้งอกตั้งใจเลือกรายการอาหารอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
แฟร์รี่ที่กำลังจะเดินแยกไปชั้นบนของคาเฟ่สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ
จึงขยับไปทักแต่เขากลับหาได้สนใจเธอสักนิด มือหนากำแน่นอย่างข่มใจจนเส้นเลือดขึ้นเป็นริ้วซึ่งนั่นเองที่ทำให้เธอรู้สึกได้
“นั่น...
คุณเจบีนี่... ถอยมาก่อนเลยคุณ... ถอยๆๆ”
ต่อมความเห็นใจในสำนึกของแฟร์รี่เกิดทำงานขึ้นมากะทันหันอย่างน้อยถือว่าเธอก็ช่วยให้ร้านไม่พังหากร่างหนาที่ถูกทั้งลากทั้งจูงเกิดอยากระบายอารมณ์ขึ้นมาก็แล้วกัน
มือบางยกขึ้นแล้วออกแรงกดไหล่คนสูงกว่าในนั่งลงพร้อมกับยกน้ำเย็นมาให้
ถึงแม้จะผ่านไปหลายวันแต่เธอก็ยังจำข้อมูลที่เขาเคยกรอกใส่หูเธอได้อยู่...
ไอ้เรื่องอกหักรัดคุดมันเข้าใครออกใครเสียที่ไหนยิ่งตามติดมาตอกย้ำเยี่ยงชัตเตอร์ขนาดนี้ไม่เจ็บจี๊ดก็ให้รู้ไป
นิสัยใจอ่อนนี่มันแก้ไม่หายสิน่า...
“อ้าว...
คุณเจบีสวัสดีค่ะ” เสียงสดใสเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มหวานเหมือนเคยโดยที่ด้านหลังมีร่างหนาของแจ็คสันเดินตามทั้งที่ถูกจับข้อมือไว้แน่น
“เห็นหญ้าบอกว่าแจ็คสันเข้าไปคุยด้วยสักพักแล้ว...
เป็นยังไงบ้างครับ มันโกรธไหม?”
ประโยคหลังเจบียกหลังมือขึ้นป้องปากพร้อมกับพูดเสียงเบาราวกับกลัวอีกคนจะได้ยิน
ดูท่าทั้งสองจะเข้าใจว่าแจ็คสันไม่ค่อยพอใจนักที่เห็นเธอมาทำงานพิเศษ
“ไม่...
มั้งคะ?” เหลือบตามองแจ็คสันนิดหน่อยแล้วตอบก่อนจะดันเขาให้นั่งที่เดิมของตัวเองอีกครั้ง
“แฟร์ต้องกลับไปทำงานแล้ว
เชิญพวกคุณตามสบายนะคะ”
คล้อยหลังร่างเพรียวของแฟร์รี่ก็กลายเป็นกอหญ้าเสียเองที่ดูตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่ได้พบ
หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะแขนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างลืมตัวโดยมีสายตาของเจบีมองตามโดยที่แจ็คสันก็ยังสังเกตได้
“พี่แจ็คสันเครียดเหรอคะ...
ใจเย็นๆ นะ”
“...อืม...” ร่างหนารับคำแกนๆ
เพราะสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเฟลไม่ใช่เรื่องของแฟร์รี่สักนิดแต่เป็นการมาของเจบีรวมทั้งท่าทางหวงที่เขารู้สึกได้ต่างหาก
ความรื่นรมย์บนโต๊ะอาหารของแจ็คสันแทบเป็นศูนย์เมื่ออยู่ท่ามกลางการหยอกล้อของคู่รักตรงหน้าทั้งที่เคยเชื่อมั่นว่าทำใจได้แล้ว
ถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่จริงเลยแต่ก็ต้องทำเหมือนตนเองปกติดี
“กลับกันก่อนเลยนะเดี๋ยวไม่ทันมื้อค่ำ
พี่คงต้องรอรับแฟร์รี่กลับพร้อมกัน” แจ็คสันบอกกับหญิงสาวคนเดียวในโต๊ะและหันมายักคิ้วให้เจบีอย่างรู้กันซึ่งชายหนุ่มก็เข้าใจความนัยที่สื่อเป็นอย่างดี
“งั้นกูกลับเลยแล้วกัน
มึงก็คุยกันดีๆ ล่ะ”
“ไปนะคะ”
“บ๊ายบายค่ะ” เขายกมือโบกให้พร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
สายตายังคงมองคนทั้งคู่ผ่านกระจกร้านก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เมื่อรถของเจบีแล่นออกไปจากลานจอด
แฟร์รี่มองผู้จัดการร้านเพื่อขออนุญาตซึ่งเขาก็สะบัดปลายนิ้วเบาๆ
อย่างเข้าใจเธอจึงได้ก้าวมายืนอยู่ข้างโต๊ะของคนที่กำลังนั่งซึมอยู่ริมกระจกใส
“ไหวไหมคุณ?”
ท่าทางเงื่องหงอยแบบนี้แฟร์รี่ไม่ชินเอาเสียเลย
“ยังไม่ตาย”
“แหม...
ฉันไม่น่าห่วงเลยจริงๆ” หญิงสาวบ่น
เพราะหากปากยังร้ายได้ขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวล
“นี่....” อยู่ดีๆ แจ็คสันก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนแฟร์รี่ทำหน้าเหรอหรา
“ห๊ะ...? เรียกฉันเหรอ?”
“เลิกสองทุ่มใช่ไหม?
ฉันรอรับกลับแล้วกันนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ฉันกะ...”
“ฉันมีเรื่องงานจะคุยกับเธอ”
จากคราวแรกที่จะปฏิเสธก็ต้องหุบปากฉับแม้ไม่รู้ถึงเหตุผลแต่แววตาอันจริงจังที่เขาใช้มองเธอมันกลับทำให้ยอมรับคำอย่างเลี่ยงได้ยากแม้ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหนก็เถอะ
“สัญญา 3 เดือน... ฉันให้เธอเดือนละสามหมื่น
เงินพิเศษต่างหาก”
“คุณว่ามันคุ้นๆ
ไหม? นี่มันเหมือน...” หญิงสาวทำหน้ายุ่งราวกับครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างก่อนจะส่ายหน้าพรืดพร้อมกับยันสองมือลงบนโต๊ะอาหารตัวสวยแรงๆ
และลุกขึ้นยืนตามด้วยเสียงแหลมสูงดังลั่นแบบไม่เกรงว่าแก้วหูใครจะแตก
“คุณจะเลี้ยงดูฉันเหรอ!? ให้ฉันเป็นเด็กเสี่ย?...
ไม่เอา! ไม่เป็น! คุณนี่มันโคตรจะหื่น!”
หลังจากเลิกงาน...
แจ็คสันพาแฟร์รี่มาที่ห้องพักของเขาในโรงแรมอีกครั้ง แต่เจ้าของห้องดันทิ้งให้เธอนั่งรอแถมยังหายเข้าไปในห้องนอนประมาณยี่สิบนาทีจากนั้นก็กลับออกมาพร้อมกระดาษสองแผ่นในมือที่ระบุรายละเอียดสัญญาว่าจ้างเป็นข้อๆ
ซึ่งมีใจความถึงความสัมพันธ์ที่ทำท่าจะเลยเถิดมากขึ้น
เธอจ้องเขาเขม็งแม้ภายในนั้นจะมีความว้าวุ่นแฝงอยู่เมื่อรู้สึกว่ามันไปไกลเกินกว่าจะควบคุม...
เธอไม่ได้อับจนหนทางถึงขั้นหาคนเลี้ยงดู อาของเธอก็ยังอยู่ทั้งคนแม้จะต้องขาดการติดต่อกันเพื่อความปลอดภัยของชีวิตมันก็แค่นั้นเอง
ที่สำคัญ... ไม่เคยคิดว่าเขาจะชอบเธอถึงขั้นอยากมีความสัมพันธ์ด้วยขนาดนั้น
เอาจริงๆ คือติดจะไม่ชอบหน้ากันเสียด้วยซ้ำ
ขณะที่หญิงสาวเริ่มกัดเล็บเช่นคนวิตกจริต
แจ็คสันเองก็ยกมือตัวเองขึ้นยีผมตรงท้ายทอยอย่างปวดประสาทเช่นกัน
“ฉันจำเป็...”
“No Way!! ไม่มีทาง เลิกคิดได้เลย!” หญิงสาวโพล่งขัดขึ้นพร้อมกับยกมือห้ามทั้งที่เขายังพูดไม่จบประโยคดี
ปัง!
“มันก็แค่หลอกๆ!” แจ็คสันหยัดตัวขึ้นพร้อมตบโต๊ะลั่นจนร่างเพรียวสะดุ้งและขึ้นเสียงบ้าง “เธอมีแต่ได้นะแฟร์รี่... เงินฉันก็ให้ทุกเดือน
อยากได้อะไรเพิ่มก็บอก แถมฉันเองไม่ได้ขอตัวเธอมาเป็นข้อแลกเปลี่ยนเสียหน่อย....”
“.....”
พอเห็นสีหน้าครุ่นคิดจนคิ้วเรียวแทบขมวดเป็นปมร่างหนาก็เดินอ้อมโต๊ะมายืนซ้อนด้านหลังของเธอ วางสองมือบนลาดไหล่บางเบาๆ
และก้มลงกระซิบข้างหูด้วยโทนเสียงที่เปลี่ยนเป็นทุ้มนุ่มเพื่อใช้ในการกล่อมร่างเพรียวตรงหน้า
“...
สิ่งที่ฉันต้องการมีแค่แสดงออกเหมือนเป็นแฟนฉัน... แค่ทำเหมือนงานที่เธอเคยทำ... ส่วนฉันเองก็ไม่ได้เรียกร้องว่าจะต้องมีความสัมพันธ์ทางกายต่อกัน
ลองคิดดูเอานะว่าเธอจะมีตรงไหนเสียเปรียบบ้างล่ะ... แน่นอนว่าไม่มีเลย แถมการแสดงแบบนั้นมันก็เป็นเรื่องถนัดของเธออยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ยัยนักต้มตุ๋น!”
เรื่องแผลงๆ ไว้ใจแจ็คฉันใด
เรื่องปากเสียก็ไว้ใจแจ็คฉันนั้น
แจ็คยังลืมรักครั้งเก่าไม่ได้
ยอมน้ำตาตกในตลอด
#น่าสงสาร #เหรอออออ
แต่คนที่น่าห่วงกว่ากลับเป็นแฟร์รี่เสียนี่
อยู่ใกล้พ่อหนุ่มเพลย์บอยจะตามทันพี่เค้าไหมหนอ???
ความคิดเห็น