คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : X-Secret : VI – บททดสอบของแฟนฉัน
X-Secret : VI – บททดสอบของแฟนฉัน
ร่างบอบบางสมส่วนนั่งท้าวคางแล้วทอดสายตามองสวนเล็กๆ
ด้านข้างคาเฟ่อย่างผ่อนคลายโดยเมื่อก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจะมีร้านน่าสนใจแบบนี้ทั้งที่ผ่านออกจะบ่อยทว่าคราวนี้อาจเพราะได้มีเวลาพิจารณาจึงสะดุดตากว่าที่เคย
แสงธรรมชาติช่วงค่อนบ่ายเป็นอีกสิ่งที่แสนโปรดปรานเสียแต่ว่าประเทศไทยนั้นร้อนเกินไปหากจะออกไปเดินรับแดดด้วยความรู้สึกสบาย
เช่นนั้นมีหวัง... เข้ามาในร้านอีกทีควันคงกรุ่นไปทั่วตัว
หญิงสาวคนสวยหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียวอย่างนึกขำ
โชคดีที่เลือกนั่งด้านในสุดเพราะหากใครเห็นเข้าตอนนี้อาจคิดว่าเธอบ้า
เสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งลมที่แขวนไว้หน้าร้านดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าลูกค้าได้เดินข้ามผ่านธรณีโดยไม่รู้ว่าจะไปหรือจะมาซึ่งต้องฟังวลีต่อมาอีกที
'คาเฟ่เดอเรส... ยินดีต้อนรับค่า~'
สิ้นเสียงกล่าวต้อนรับไม่นานร่างหนาคุ้นตาก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเอียงคอมองเจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่สุดมุมร้านด้วยสีหน้ายิ้มๆ
อย่างที่แม้จะอยู่ภายใต้แว่นกันแดดเลนส์สีดำก็ยังดูออก
“โอ๊ะ! นี่คุณกอหญ้านางแบบ X-Girl หรือเปล่าครับ หืม... ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ” ไม่ทันจบประโยคดีคนฟังก็ฟาดป้าบเข้าที่แขนก่อนจะดันให้นั่งลงที่เก้าอี้ว่างอีกตัว
“ล้อเลียนเหรอคะพี่แจ็คสัน...
เดี๋ยวจะโดน!” ปากก็พูดว่าเดี๋ยวแต่ที่ฟาดมาเมื่อกี๊ไม่เรียกว่าโดนแล้วหรอกหรือ?...
ผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ
“นี่ได้เจอเจบีหรือยัง?” แจ็คสันถามอย่างสงสัย เขาเองก็ไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาที่ตัดความเคอะเขินด้วยประโยคไหนจึงเลือกที่จะเอ่ยถึงอีกคนด้วยน้ำเสียงธรรมดาเพราะกอหญ้ากลับมาสองวันแล้วและยังออกมาหาเขาได้โดยไม่มีปฏิกิริยาจากจอมขี้หวงเช่นเจบีอย่างที่คิด
“ทานเข้าไปเถอะค่ะ พูดมากจัง” หญิงสาวเลี่ยงไม่ตอบด้วยการบ่นแถมยังเลื่อนจานมาการองกับแก้วชามะลิเย็นเจี๊ยบที่เพิ่งมาเสิร์ฟให้อีกต่างหาก
“พี่ยังไม่ได้สั่งเลยเนี่ย...”
“หญ้าสั่งไว้เองแหละค่ะ อ้ะ...” พูดไปก็คว้ามาการองชิ้นสีชมพูอ่อนยัดปากแจ็คสัน
“โอดอ๊าย...”
เขาว่ากอหญ้าโหดร้ายพร้อมทำหน้ามุ่ยทั้งที่ยังคาบขนมไว้ไม่ยอมเคี้ยว
“รู้ก็ดีค่ะ”
เธอกลั้นหัวเราะพร้อมเมินหน้าไปทางอื่นทิ้งให้คนถูกกระทำได้แต่บ่นงึมงำอยู่คนเดียว
ช่วงบ่ายวันนี้ช่างเป็นวันที่สดใสที่สุดในครึ่งปีสำหรับแจ็คสันเมื่อได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศที่ห่างหายไปนานระหว่างพวกเขาซึ่งเพียงแค่เธอยอมยกโทษให้และคุยด้วยเหมือนเดิมก็ดีใจแทบแย่แล้ว
เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังประสานกันเป็นระยะโดยที่เขายังเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ชวนคุยนู่นนี่นั่นไม่ได้หยุดปาก
เสียงกระดิ่งลมยังคงยังแทรกเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะรวมทั้งของว่างบนโต๊ะก็ด้วยที่เปลี่ยนชนิดไปเรื่อยๆ
ครืด...
ครืด...
แรงสั่นสะเทือนบนโต๊ะขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่
เจ้าของเครื่องคนสวยนิ่วหน้าเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอ
แจ็คสันจึงถือวิสาสะชะโงกหน้าไปดูด้วยความใคร่รู้
“พี่เจบีโทรวิดีโอคอลมา! ตายแน่! ทำไงดีๆ”
“ห้องน้ำ!” แจ็คสันโพล่งขึ้นทันทีที่คิดได้เมื่อเห็นท่าทางกังวลนั้น
ส่วนคนฟังก็ไม่รอช้ารีบคว้าโทรศัพท์ตัวเองออกไปตามคำแนะนำอย่างรีบร้อน
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของชายหนุ่มค่อยๆ จืดจางลงจนกลายเป็นหมอง
โมโหตัวเองนิดหน่อยที่มักลืมตัวเสมอทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
พอมีอะไรเตือนสติเข้าทีก็เจ็บที... น่ารังเกียจจริง!
ร่างเพรียวในชุดนักศึกษาของแฟร์รี่เดินเหวี่ยงกระเป๋าเล่นอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางแดดยามบ่ายแก่อันอบอ้าว
เท้าที่สวมผ้าใบสีขาวก้าวเดินอย่างระวังเป็นพิเศษเนื่องจากเพิ่งผ่านการซักมาหมาดๆ
เมื่อสองวันก่อน วันนี้เธอถักเปียข้างไว้หลวมๆ และสวมแว่นเลนส์ใสกรอบดำดูน่ารักแบบเนิร์ดๆ
มือบางผลักบานประตูกระจกใสเข้าร้านที่ตนทำงานพิเศษก่อนยกมือไหว้บุคคลที่อยู่ในเคานท์เตอร์ที่ควบตำแหน่งเจ้าของร้านและผู้จัดการรวมทั้งรุ่นพี่คนอื่นๆ
อย่างน่ารักและมีมารยาท
“ลมอะไรหอบมาน่ะแฟร์... วันนี้มาเร็วกว่าปกติ”
ผู้จัดการร้านเอ่ยแซว
“เลิกเรียนเร็วค่ะ แถมมีกิจกรรมก็เลย...”
“ชิ่งหนีสินะ”
เขาต่อให้พลางส่ายศีรษะ
“แหะๆ...
ทำไมทายถูกคะ เก่งจัง” เป็นหมอดูรึเปล่าเนี่ย! รู้ไปหมดเลย...
แฟร์รี่ยิ้มแห้งก่อนจะพาตัวเองหลบลี้เข้าไปเปลี่ยนชุดซึ่งมันเพียงแค่สวมผ้ากันเปื้อนของร้านทับลงไปเท่านั้น
เธอเริ่มงานของตัวเองจากการขึ้นไปเคลียร์ความเรียบร้อยที่ชั้นลอยตามปกติโดยของที่ต้องเก็บลงมาก็ไม่มากนักหากเทียบกับทุกวัน
เท้าบางก้าวลงบันไดไม้สีโอ๊คขัดมันอย่างระมัดระวัง
ของแตกน่ะไม่น่ากลัวเท่าพลาดท่าตกลงไปและเสี่ยงต่อการหน้าแหกสักนิดเกิดโชคร้ายเสียโฉมขึ้นมาต้องมาทำงานเก็บเงินทำศัลยกรรมที่แสนแพงอีกคงไม่ไหว แต่ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าทางเดินโซนครัวด้านในกลับชนกับใครบางคนเข้าเสียก่อน
ปั้ก!
แคร้ง...
มือบางรีบประคองถาดที่มีจานขนมซ้อนกันไว้อย่างระวังด้วยกังวลว่าจะหล่นแตกเข้าจริงๆ
... เธอเพิ่งคิดถึงเรื่องนี้เมื่อครู่และมันก็ทำเอาใจหายใจคว่ำหมดราวกับเดจาวู
“เป็นอะไรไหมคะ
ขอโทษนะคะที่เดินไม่ระวัง ฉันไม่ทันดูน่ะค่ะ” เสียงหวานเอ่ยถามน้ำเสียงห่วงใยและกล่าวขอโทษจนคนที่เอาแต่สนใจข้าวของในมือนึกขึ้นได้
'ลูกค้า?'...
“ไม่ค่ะ
ไม่เป็นไร ขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะคะต่อไปจะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่าคะ?”
แฟร์รี่รีบขอโทษขอโพยจนอีกคนยิ้ม เธอเพิ่งเห็นตอนนี้เองว่าคนตรงหน้ามีใบหน้าสวยแค่ไหน
ร่างบอบบางแต่ไม่ผอมแห้งทั้งยังได้รูปไปหมดทำเอารู้สึกอิจฉา
แถมความสูงที่เกินกว่าเธอหลายเซนติเมตรนั่นอีกล่ะ
ดูท่าจะเฉียดร้อยเจ็บสิบไม่เท่าไหร่ยิ่งสร้างความหดหู่ภายในจิตใจแก่ผู้หญิงที่แตะได้แค่เลข
1 6 ... เช่นเธอเข้าอย่างจัง
แต่... คุ้นหน้าอยู่นะ
“คุณคะ...
ไม่เป็นไรใช่ไหม?” คำถามที่ดังขึ้นอีกครั้งดึงแฟร์รี่ให้ออกจากภวังค์อย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรค่ะ
ไม่เป็น” เธอรีบปฏิเสธ ... เผลอจ้องไปตั้งนาน
เสียมารยาทชะมัด!
“แล้วคุณลูกค้าล่ะคะ เจ็บตรงไหนไหม? ขอโทษอีกครั้งค่ะ”
“ไม่หรอกค่ะ
งั้นไปนะคะ”
เมื่อลูกค้าคนสวยเดินกลับเข้าไปด้านในแล้วผู้จัดการที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นานแล้วก็ปรี่เข้ามาถามไถ่ทันที
“เป็นไงแฟร์รี่? ถ้าไม่ใช่คุณกอหญ้านะ เราโดนวีนหูแตกไปแล้วมั้ง”
“หืม...” สาบานที่เถอะว่านี่ห่วงอยู่ไม่ได้ซ้ำเติมน่ะ
“...ตอนแรกก็คิดว่าจะโดนเหวี่ยงเหมือนกันนะ” คุณผู้จัดการลูบคางเบาๆ
“สวยแล้วยังนิสัยดีอีกด้วยหละ แต่เอ...
คุณรู้จักเหรอคะ?”
แฟร์รี่ถามอย่างนึกขึ้นได้
“รู้สิ กอหญ้า X-Girl ไง เป็นนางแบบน่ะ เป็นที่รู้จักระดับหนึ่งเลยทีเดียว พักหลังลงแต่ปกล้วนๆ”
“เอ๋ๆๆ... X-Girl นั่นนางแบบหนังสือเซ็กซี่ไม่ใช่เหรอคะ? ถึงว่าหน้าคุ้นๆ ...
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณบอสจะเป็นแฟนของหนังสือแนวนี้ ฮิฮิ...”
“ฮึ้ย!เอาของไปเก็บเลย...
เดี๋ยวหักเงินเดือนซะนี่!”
พอถูกจับได้คุณผู้จัดการก็ทำดุกลบเกลื่อนความอายของตัวเองจนคนแซวหุบยิ้มแทบไม่ทันที่ถูกยกสถานภาพทางการเงินมาขู่
“ไปแล้วค่า...”
แฟร์รี่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอมที่ยังค้างอยู่อีกทั้งยังเหลือเวลาไม่มากอาทิตย์นี้จึงตัดสินใจซื้อใบรับรองแพทย์เพื่อยื่นลาป่วยให้โรงเรียนและมาทำงานอย่างเร่งด่วนแม้อยากจะโทรไปขอผู้เป็นอาใจแทบขาดรอนๆ
แต่ก็ทำไม่ได้
“แม่มเอ๊ย!
คนดีไม่มีที่อยู่ชัดๆ!”
หญิงสาวสบถในคอหลังจากจ้องมองข้อความที่เพิ่งส่งไปบอกสารทุกข์สุกดิบแก่คนที่ส่งเธอหนีตายมาที่นี่จากนั้นก็รีบเปลี่ยนชุดจากเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตแขนยาวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นเป็นชุดทำงานซึ่งคือเดรสสั้นเกาะอกสีชมพูอ่อนประดับขนเฟอร์สีขาวที่รอบอกและสวมที่คาดผมหูกระต่ายสีขาวบนศีรษะ
งานเลี้ยงบริษัทไม่ใช่งานยากนักเพราะแค่ทำหน้าที่ต้อนรับหน้างานด้วยชุดกระต่ายน้อยแสนซนและตอนนี้เธอก็ยิ้มจนเหงือกแห้งไปหมดแล้ว
พลิกนาฬิกาขึ้นดูก็เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงที่จะได้เวลาเลิกงานและรับเงินกลับบ้านเสียที
งานไม่เหนื่อย...
แต่ที่ยิ้มตลอดเวลาเหมือนคนไร้ความทุกข์ต่างหากที่เหนื่อย
ชุดที่เคยสวมใส่ถูกยื่นคืนกลับให้ผู้จัดงานตามด้วยเซนต์ชื่อพร้อมรับค่าจ้างจำนวนแปดร้อยบาท
ผมที่เคยยาวสลวยก็จับเกล้ามวยสูงเพราะรำคาญถ้าให้ตัดก็ไม่ได้อยู่ดี
และแม้จะหมดหน้าที่แล้วเธอก็ยังมีเวลาสามารถเดินเตร็ดเตร่หาของกินในงานได้ถมเถไป
เสียงฝีเท้าที่ดังไม่ห่างทำเอาถึงกับระแวง
ร่างหนาหันขวับโดยไม่ทันให้อีกคนตั้งตัวจึงได้เห็นเพื่อนสนิทตัวเองยืนแทบจะประชิดหลังอยู่แล้ว
“ตามควายเหรอวะ?” คนที่สาวเท้าจนแทบวิ่งเอ่ยทัก
“ไอ้เจบี ไอ้เชี่ย!
กูตกใจหมด... นึกว่าถูกตามตีหัวซะแล้ว”
แจ็คสันผ่อนลมหายใจ เขาระแวง... จริงๆ นะ
“คดีเยอะสิมึง
กูไม่รู้ว่ามึงมาที่นี่นะเนี่ยไม่อย่างนั้นให้ไปช่วยที่ถ่ายแบบตรงห้องฟิตเนสแล้ว”
“แหม... กูก็มาเรื่องงานรึเปล่าวะ
ไม่ว่างไปเป็นเบ๊ให้หรอก”
เขาเอ่ยอย่างรู้ทัน
ไอ้เจ้าตากล้องคุณชายมาดนิ่งมันเคยจิกใช้ใครที่ไหนนอกจากเพื่อน
“ทำเป็นรู้...”
“กูเพื่อนมึงมานานเท่าไหร่แล้ว
อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ โถ่...”
“เออนี่แจ็คสัน... กอหญ้ากลับมาแล้วนะ”
คำพูดที่คล้ายเป็นแค่ประโยคบอกเล่าจะไม่รู้สึกว่ามีนัยแฝงอะไรหากไร้แววตาประหลาดซึ่งนั่นทำให้เขาชะงัก
“อืม...”
... ไม่รู้จะพูดว่าอะไรที่ดีไปกว่านี้ได้อีก
“เพิ่งกลับมาเมื่อคืนนี้ เธอได้โทรหารึเปล่า?”
“ไม่เลย ไม่ได้โทรมา” แจ็คสันปฏิเสธเต็มเสียง
เมื่อคืนกอหญ้าไม่ได้โทรมาแต่ว่าเป็นเมื่อหลายวันก่อนต่างหาก
“เหรอวะ?”
น้ำเสียงนั่นคล้ายไม่เชื่อเท่าไหร่นัก
“เออสิ เฮ้ยเจบีกูไปก่อนนะ ติดธุระว่ะ” ร่างหนาหาทางปลีกตัวจากเจบี บอกตรงๆ ...
ไม่ชอบความระแวงแบบนั้นเลย อีกทั้งยังไม่พร้อมจะถูกถีบหงายเงิบหากจับได้ว่าเขาโกหก
“ทำไมพักนี้ขยันจังวะ?
คุณชายหวังชักจะติดธุระจนห่างเพื่อนเกินไปแล้ว”
เจบีหรี่ตามองอย่างจับผิดจนแจ็คสันเริ่มรู้สึกประหม่า ไอ้นี่ก็ช่างสงสัยผิดเวลาเกินไป!
“ก็มีธุระ....”
โอ้มายก้อดดดดดด... สวรรค์โปรด!
ฟ้ายังเห็นใจไอ้แจ็ค... ขอบคุณเทวดาฟ้าดิน!
ระหว่างที่แจ็คสันกำลังหาคำตอบร่างใครบางคนคุ้นตานั้นก็ผ่านเข้ามาในวิถีการมองเห็น
เร็วเท่าความคิด...ขาแข็งแรงก้าวฉับโดยมีเจบีตามหลังมาไม่ห่างด้วยเช่นกัน
“แฟร์รี่... หาตั้งนาน นึกว่างอนกลับไปแล้วเสียอีก” มือหนารั้งต้นแขนของเธอเอาไว้แล้วเอ่ยทักทว่าเธอกลับเบิกตากว้างอย่างทันใดที่เห็นเขา
“เฮ้ย!... นี่คุณ! แอร๊ย... ปล่อย!” หญิงสาวสะบัดอย่างตกใจที่อยู่ดีๆ ก็เจอคนที่ไม่อยากเจอแถมยังพูดดีกับเธอผิดจากปกติ
... นี่เขาถูกผีเข้าหรือไง?
แต่แจ็คสันก็ไม่รอช้ารีบดึงแฟร์รี่มายืนข้างตัวแม้เธอจะยังมีทีท่างงๆ
และขัดขืนก็ตาม
“นี่ไงธุระของกู...
ไม่ได้ทำงานให้ป๊าแต่มารอรับยัยนี่ต่างหาก”
“ใคร?”
เจบีเขม่นมองไปที่ร่างเพรียวที่เขาไม่รู้จักและหันไปถามแจ็คสัน
“แฟร์รี่...”
ร่างหนาเว้นช่วงนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “...เป็นแฟนกู”
“ห๊ะ... ใครแฟนคุณ!? บ้าเหรอ...?” หญิงสาวชักสีหน้าพร้อมกับกัดฟันถาม ออร่าทะมึนที่แผ่กระจายระหว่างคนสองคนตอนนี้ช่างชวนให้กระอักกระอ่วนเสียจริง
ส่วนมือนั้นก็พยายามเขี่ยพันธนาการอันแสนเหนียวหนึบออกจากต้นแขนตัวเอง
“สามพัน!
สำหรับห้านาที”
ชายหนุ่มเอียงหน้ากระซิบข้างหูเบาหวิวจนคนฟังขนลุกเกรียว
แฟร์รี่เป็นคนเข้าใจอะไรรวดเร็วเสมอ...สมองอันกระจิดริดประมวลผลตัวเลขที่ได้ยินเป็นธนบัตรใบละพันสามใบภายในเสี้ยววินาที
ก่อนเธอจะหันมาส่งยิ้มการค้าอันแสนหวานให้อีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ
เขาก็พูดเกินไป เราแค่... อยู่ในช่วงเริ่มพูดคุยศึกษากันเท่านั้นเอง” ถึงกระนั้นมือก็ขยับขึ้นแตะแก้มซีกซ้ายของแจ็คสันแล้วดันให้ออกห่างจากตัวเอง...
อย่าใกล้มากเลยนะ มันหวิวๆ ยังไงไม่รู้
“คุณพูดแบบนี้... ผมเสียใจนะ” น้ำเสียงนุ่มติดงอนเล็กๆ ทำเอาแฟร์รี่เหล่มองทั้งที่ภายในจิตใจนั้นคลื่นเหียนเต็มที่กับการแสดงอันน่าสะพรึงของเขา แต่อีกคนในวงสนทนากลับลอบยิ้มขำกับอาการแง่งอนที่ไม่เหมาะกับผู้ชายกล้ามโตอย่างเขาเอาเสียเลย
“ผมชื่อเจบีครับ... อิมแจบอม เป็นเพื่อนกับแจ็คสัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
เอ๊ะ! คุณแจ็คสันอย่าสิคะ
อายคนอื่นเขา” หญิงสาวเอ็ดเบาๆ
เมื่อมือหนาชักจะลามไปเรื่อยจากเอวเป็นสะโพกจนเธออยากจะจับหักแขนเสียเดี๋ยวนี้
ในความคิดของแจ็คสัน...
ท่าทางงุ้งงิ้งคล้ายลูกแมวที่เธอแสดงออกช่างดูน่ารักน่าชังและดึงดูดให้หลงใหลผิดกับยามแผลงฤทธิ์เยี่ยงคนได้รับพิษสุนัขบ้าสะสมตอนก่อนหน้าที่จะยื่นข้อเสนออย่างสิ้นเชิง
หึ... เธอนี่สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลจิ้งจกหรือเปล่าเนี่ย
เปลี่ยนสีเร็วเหลือเกินนะ!
และถ้าหากไม่เห็นว่าเจบีมีสีหน้ากังวลใจจนเพื่อนอย่างเขาสำนึกว่าควรทำอะไรสักอย่างหละก็...
อย่าฝันว่าเขาจะยอมให้สตางค์แม้แต่แดงเดียวกระเด็นเข้ากระเป๋ายัยนักต้มตุ๋นนี่แน่
ยืนร่วมวงสนทนาได้ไม่กี่ประโยคเจบีก็ขอตัวกลับเพราะต้องไปรับกอหญ้าที่งานเลี้ยงของบริษัทพีรกานต์แทรเวลที่โรงแรมอื่น
เมื่อแน่ใจว่าไปแล้วจริงๆ แจ็คสันก็ปล่อยร่างเพรียวข้างตัวทันที ทว่ามือเล็กๆ กลับแบยื่นขึ้นมาจนแทบจะทิ่มหน้าของเขา
“เพื่อนคุณหล่อดีนะ เท่ห์จนบรรยายไม่ถูกเลยอ๊า.. แต่ว่า... ได้เวลาเบิกค่าจ้างค่ะ” ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มแสนหวานแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมุมปากอันแสนยียวนจนแจ็คสันอยากจับตีสักทีสองทีด้วยความหมั่นไส้
“งก!”
คำเดียวแทนทุกสิ่ง... แต่ก็ยอมดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาโดยไม่อิดออด
“ขอบคุณนะคะ บ๊ายบาย” แฟร์รี่เอ่ยเสียงใส
“เดี๋ยว!”
“....”
“เอาเบอร์มาหน่อย ไลน์ด้วย คาทก สไกป์
มีอะไรเอามาให้หมด!”
“เรื่องอะไรฉันต้องให้คุณด้วยล่ะ?
ไม่เอาหรอก!”
น้ำเสียงเยี่ยงโจรขู่กรรโชกทรัพย์ทำให้เธอรีบปฏิเสธที่สำคัญเธอไม่อยากเจอเขานักหากไม่จำเป็น
แล้วนี่มาขอข้อมูลการติดต่อทุกช่องทางแบบนี้... ไม่ดีมั้ง
“งานน่ะ
ไม่สนหรือไง?” แจ็คสันงัดไม้ตายเมื่อเห็นเธอยึกยักจนน่ารำคาญ
“ฉันมีงานทำแล้ว โอเคนะ”
แฟร์รี่รีบเดินหนีเขาไปทันทีพร้อมทั้งภาวนาในใจให้ไม่ต้องผจญเวรผจญกรรมด้วยกันอีก
แต่เธอคงลืมไปว่าแจ็คสันเป็นเพื่อนซงมินโฮผู้ที่สามารถให้ข้อมูลได้ตลอดเวลา ฉะนั้น
การหนีก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
ร่างหนาที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินมานั่งที่เตียงพร้อมผ้าเช็ดผมผืนเล็กพอดีมือโน้มตัววางศอกทั้งสองข้างพักที่หัวเข่าและก้มศีรษะลงเพื่อให้เช็ดผมได้พอดีพลางปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย
ทว่าแจ็คสันต้องชะงักมือตัวเองเอาไว้เมื่อทบทวนถึงอะไรบางอย่างได้
“อ๊ากกกกกก!!”
เสียงร้องแหกปากอย่างไม่เกรงใจใครดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมกับที่ร่างหนาทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มและบิดไปมาแถมยังขยุ้มผมบนศีรษะยีจนยุ่งไปหมด
ดูเหมือนเขาจะเสียสติอย่างกะทันหัน...
“ไอ้แจ็คเอ๊ย! มึงหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว
ไอ้ควายยยยย... โว้ย!”
ด่าตัวเองว่าควายยังสงสารควายเลยตอนนี้
แจ็คสันที่นึกได้ว่าเขาเผลอบอกกับเจบีว่าแฟร์รี่เป็นแฟนอย่างเต็มปากเต็มคำทั้งที่สิ่งที่สมควรพูดคือ...
‘คนพิเศษ’ อย่างที่เคยทำ ดังนั้น อิมแจบอมผู้ฉลาดล้ำ...
จะต้องหาทางให้แจ็คสันพาเธอไปงานปาร์ตี้ด้วยแน่
ไม่ต้องเสียเวลาเดาให้ยากนักหรอก...
เจบีก็แค่ขี้หวงและชอบจับผิด แต่นั่นแหละคือสิ่งที่น่ากลัว
หรือหากจะจ้างแฟร์รี่อีกครั้งก็มีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่เธอจะไม่รับงานของเขา...
ก็เธอน่ะเกลียดแจ็คสันจะแย่
ชายหนุ่มนั่งคิดนอนคิดจนสมองแทบแตกก็ไม่รู้จะหาเหตุผลใดที่ดีไปกว่า...
‘แฟร์รี่ไม่ว่างเลยมางานไม่ได้’ แม้เป็นคำตอบที่โง่เง่าที่สุดเขาก็ต้องใช้มัน
“ฉันดึงมาเป็นตัวช่วยแถมเงินก็จ่ายให้ยังจะทิ้งปัญหาไว้อีกนะ!” เขาโยนความผิดครึ่งหนึ่งให้แฟร์รี่ ทั้งที่ความจริงมันเกิดมาจากตัวของเขาเองล้วนๆ
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสี่กว่า
วันนี้แจ็คสันจึงเดินสะโหลสะเหลใต้ตาคล้ำมามหาวิทยาลัย ประสาทรับรู้ของแจ็คสันเหมือนจะปิดไปหลายส่วนยกเว้นเปลือกตาแต่ก็ริบหรี่เต็มทน
ร่างหนาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุนวมตัวยาวอย่างเหนื่อยอ่อนหลังรอดจากคาบเรียนกลยุทธ์การบริหารมาได้หวุดหวิดโดยที่ไม่พลาดร่วงตกเก้าอี้ไปเสียก่อน
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่เสียงโหวกเหวกภายในห้องก็ดังมากพอที่จะทำให้เขาตื่น
“เชี่ย! เสียงดังว่ะ” แจ็คสันเพียงยกศีรษะมาบ่นก่อนกลับไปนอนตะแคงท่าเดิมแต่ใช้หมอนใบนุ่มพอดีมือปิดหูเอาไว้
“นอนดึกหรือเสียพลังงานเยอะครับคุณแจ็คสัน”
“ฮิ้วววววววว...!”
เสียงโห่ฮิ้วดังอย่างพร้อมเพรียงต่อจากประโยคคำถามของจูเนียร์
“ฮิ้วห่าอะไรล่ะ!”
แจ็คสันโผล่จากหมอนมาด่าลั่นแล้วหันไปนอนเช่นเดิมทำแต่ละคนหน้าเหวอไปเลยที่เจอหวังแจ็คสันโหมดมาเฟีย
“แง๊...
พี่มาร์ค... เค้ากลัว” ยูคยอม...หมีขาวตัวยักษ์แต่ใจปลาซิวจีบปากจีบคอและพุ่งตัวไปเกาะแขนมาร์คราวกับสาวแรกแย้มที่หวาดกลัวปีศาจก็ไม่ปาน
มาร์คยิ้มละลายใจให้รุ่นน้องร่างหมีขาวจนแทบเคลิ้มแต่สติก็ถูกดึงกลับมาด้วยการดีดหน้าผากเสียงดัง
ป๊อก!
“โอ้ย เจ็บนะเว้ย!” ยูคยอมคลำป้อย... น้ำตาแทบเล็ดพูดเลย
“สมน้ำหน้า” มาร์คงึมงำอย่างขำๆ
เขาก็แค่ชอบเห็นเจ้าหมียักษ์ทำหน้าหงอย คนอะไรก็ไม่รู้ร่าเริงได้ตลอดจนน่าปวดหัว
“เฮ้ย... เฮียเป็นอะไร?
ลุกมาคุยกันก่อนดิ” ตี๋หล่อหน้ามึนนามว่ายองแจทดลองบ้างซึ่งก็ใช่ว่าจะได้ผล
แจ็คสันตัวใหญ่และหนากว่าเขาการฉุดๆ ดึงๆ
ด้วยแรงธรรมดาไม่สามารถทำให้ร่างหนาขัดได้เลย
“พี่แจ็คสันนนนนน....”
แบมแบมที่นึกสนุกเพิ่งเริ่มเรียกชื่อคนนอนด้วยน้ำเสียงยานคานและยังไม่ได้ทำอะไรสักนิดก็ถูกขัดจังหวะด้วยผู้ชายสีผมเดียวกันนั่นก็คือ...
เจบี
“คนมันมีแฟนแล้ว
มันคงเหนื่อย... อย่าไปกวนมันเลย”
คำห้ามปรามของเจบีคล้ายจะเป็นเรื่องดีแต่เหมือนประสงค์ร้ายเพราะเมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นความโกลาหลที่มากกว่าเก่าก็เกิดขึ้นทันที
“เฮ้ย... แจ็คสัน
มึงมีแฟนเหรอวะ? มีเมื่อไหร่ทำไมกูไม่รู้”
จูเนียร์ดูกระตือรือร้นกว่าใคร
“ไอ้เฮีย...
ไหนว่าจะช่วยน้องหารักแท้ไง ชิ่งหนีไปมีแฟนได้ไงวะ?” เมื่อเริ่มด้วยญาติผู้พี่...
ญาติผู้น้องก็ตามมาติดๆ
“กูอุตส่าห์ลดเปอร์เซ็นต์ค่าเหล้าให้ตอนมึงมานั่งทำหล่ออ่อยหญิง... แต่พอได้เมียแล้วเก็บเงียบเหรอมึง? เลวสัส!”
มาร์คต้วนผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของแจ็คสันถึงกับของขึ้น
“ไอ้เฮีย... อย่ามาทำเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้นะ!ไอ้เสือซุ่ม...อย่าปล่อยให้ผมเป็นพวกหูป่าตาเถื่อนดิเว้ย!... ”
ไม่ทันประณามต่อให้สะใจก็ต้องสะดุดกับสายตาของมนุษย์ต่างชาติอีกห้าคนที่มองมาที่เด็กน้อยแก้มป่องเป็นจุดเดียว...
ส่วนแจ็คสันน่ะสนใจเสียที่ไหน...
สงสัยแบมแบมคงด่าเป็นภาษาไทยที่ยากไป
...ซวยละ ได้เป็นครูสอนภาษาอีกแน่ๆ
“อ่ะ... เอ่อ...
เจอเมื่อกี้เข้าไปผมมึนเลยว่ะ แต่มีเรื่องเดียวที่อยากรู้... ได้กันแล้วป้ะ?”
ยูคยอมถามตรงเสียจนแจ็คสันต้องโผล่ออกมาจากใต้หมอนที่ใช้ปิดหูเพื่อกั้นเสียงอันน่ารำคาญของเจ้าพวกนี้
ถามว่าช่วยได้ไหม?
ตอบเลยว่า... ไม่!
“ไอ้เจบี! มึงคนเดียวเลย! โคตรชั่ว”
“กูทำอะไรที่ไหน?
แค่บอกพวกมันว่ามึงอาจจะคุยกับแฟนดึกจนนอนไม่พอ กูผิดตรงไหน?” เจบียังคงทำหน้าอินโนเซนต์ใส่ราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์
แจ็คสันแทบจะตะโกนคำว่า...
กวนตีน ใส่หน้าเจบีเลยทีเดียว
“ผิดตรงคำว่า‘แฟน’นี่แหละ!” แจ็คสันดันตัวขึ้นนั่งด้วยใบหน้ายุ่งๆ
“แหม... พวกมึงก็ตั้งหน้าตั้งตาเสือกเต็มที่จนกูไม่รู้จะด่าใครก่อนเลยนะ”
แน่หละ...
คำว่าแฟนไม่ได้หลุดออกมาจากปากแจ็คสันง่ายนักหรอก คนล่าสุดที่เคยใช้คำนี้ก็กับกอหญ้า...
แฟนคนปัจจุบันของเจบีนั่นไง แต่หากคิดย้อนไปอีกก็สมัยเรียนอยู่ที่เกาหลีนู่น
... นานโคตร
“ก็ไม่เชิงว่าแฟน...
กูแค่พลั้งปากไปแค่นั้นแหละ เฮ้อ...”
แจ็คสันถอนหายใจ เขาเตรียมเรื่องนี้มาแล้วจึงสามารถอธิบายได้อย่างไม่ติดขัด
“อ๋อ... ถึงว่าคุณแฟร์รี่ถึงพูดแบบนั้น” เจบีพยักหน้ารับรู้
แต่ก็สร้างความสงสัยให้คนอื่นเช่นกัน
“อะไรวะไอ้บี
มึงเจอแล้วเหรอ?” มาร์คประเคนฝ่ามือหนักๆ
ลงที่ไหล่ของคนเปิดประเด็นอย่างหมั่นไส้ที่ทำเป็นหมกเม็ดไม่ยอมพูดให้ชัดเจน
“เจอเมื่อคืนนี้ ตัวเล็ก
น่ารัก หวานๆ ไม่ใช่แนวมันด้วยซ้ำ เธอบอกว่า... ตอนนี้แค่คุยๆ
ศึกษากันอยู่เท่านั้นเอง แต่แจ็คสันแนะนำว่า... นี่แฟร์รี่แฟนกู แค่เนี๊ย”
เจบีแฉเสียหมดเปลือกจนแจ็คสันกุมขมับอย่างปวดหัวตุบแบบที่อยากกรอกยาแก้ปวดให้หมดกระปุก สายตาห้าคู่เบนกลับมาจับจ้องแจ็คสันอย่างคาดคั้นจนเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันรอบด้าน
“ตามนั้น...” เขายอมรับแต่โดยดี แต่ก็มีคนที่ช่างสงสัยได้อีก
“ตามไหน?”
“ตามแฟร์รี่ไง
มึงจะถามไปเพื่ออะไรวะเนี่ยไอ้เนียร์?”
แจ็คสันชักหงุดหงิด
“แปลง่ายๆ ...
พี่แจ็คสันยังไม่ได้เป็นแฟน แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธพี่ใช่ไหม?” แบมแบมประมวลตามที่ตนเข้าใจ
“เออ..” ตอนนี้ทำได้แค่เออออตามน้ำไปเรื่อยๆ
พลางคิดว่า... หากใครอยากเป็นแฟนกับยัยนั่นจริงๆ
ก็ตาถั่วเต็มทน
“งั้นเรื่องได้กันที่มึงถามนะไอ้หมีขาว...
พี่แบมตอบแทนเลยว่า... ยังไม่ได้” เจ้าของผมสีบรอนด์แก้มป่องฟันธงป้าบเข้าให้ด้วยน้ำเสียงมั่นใจมากยิ่งกว่าหมอดูชื่อดังคนใดก็ตามในประเทศนี้
“งั้นกูจัดการเอง...” จูเนียร์ยกยิ้มราวกับนึกแผนการดีๆ ออก ทว่าคงมีแต่แจ็คสันเท่านั้นกระมังที่ไม่ค่อยไว้ใจในความคิดของประธานสโมสรนักศึกษาต่างชาติหน้าแมวสักเท่าไหร่นัก
“งานนี้เละแน่ๆ”
ยองแจบ่นกับตัวเองเบาๆ
เพราะหากพี่ชายของเขาเกิดคิดอะไรแผลงๆ
ขึ้นมาคนที่ซวยก็มีแต่เจ้าของเรื่องเท่านั้นแหละ
หนักข้อเข้าอาจจัดให้แจ็คสันได้เป็นแฟนกับผู้หญิงคนนั้นแบบรวบรัดด้วยซ้ำ
ชเวยองแจเหนื่อยอีกแล้วแหง...
ปกติแล้วการอยู่ครบกลุ่มเป็นความบันเทิงและความสุขอย่างหนึ่งแต่ตอนนี้มนุษย์ที่รวมตัวกันกลับมีเพียงคนเดียวรู้สึกต่างออกไป
นั่นเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...
... หวังแจ็คสัน
เสียงเฮที่ดังขึ้นในคลับชั้นใต้ดินของโรงแรมที่เคล้าด้วยเพลงยุค
70’s 80’s และ 90’s นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เพราะเกือบทุกเดือนเหล่าผองเพื่อนของทายาทเจ้าของโรงแรมจะมาพักผ่อนสังสรรค์กันหรือบางครั้งก็คุยงานกันที่นี่
แต่วันนี้คนที่มักจะส่งเสียงโหวกเหวกเป็นประจำกลับเอาแต่จับจ้องอยู่กับการกดโทรศัพท์ตลอดเวลา
เวลาที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ
ยิ่งสร้างความตึงเครียดจนใครบางคนในโต๊ะเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่
ทว่าก็ยังมีใครบางคนที่สังเกตเห็น
“เฮ้ย! ไหวไหมวะแจ็คสัน?
เอาแต่แชทอยู่นั่น!”
จูเนียร์ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอให้มาพักผ่อนเอ่ยถามขึ้นโดยที่ถือไม้คิวเอาไว้เตรียมเล่นพูลกับยูคยอม
“เออน่า...”
แจ็คสันละมือจากโทรศัพท์ ก่อนจะสะบัดปลายนิ้วเบาๆ เป็นเชิงไล่
“อย่าลืม... พวกกูรอน้องแฟร์รี่ของมึงอยู่นะ”
“....”
ถึงจะพูดเหมารวมคนอื่นแต่แจ็คสันคิดว่าคนที่หมายมั่นที่สุดก็คือจูเนียร์นั่นแหละ! … ร่างหนาได้แต่ถลึงตาใส่
เดี๋ยวก่อนเถอะ... แค่แปบเดียวเท่านั้นสิ่งที่หมอนั่นต้องการจะไม่มีทางเกิดขึ้น
ห้านาทีผ่านไป... เครื่องมือสื่อสารเครื่องหรูก็ถูกโยนลงกลางโต๊ะพลูที่ปูด้วยสักหลาดสีน้ำเงินด้วยแรงไม่เบานักทำเอาทั้งคนดูและเล่นผงะไปตามๆ
กัน
“อะ... อะไรอ้ะ?” ยองแจหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจเพราะสีหน้าของคนตรงหน้าดูคล้ายกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“ดูเอาเอง!”
แจ็คสันตอบเสียงห้วนก่อนจะหันหลังและพิงสะโพกที่ขอบโต๊ะโดยใช้สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงราวกับกำลังระงับอารมณ์
‘ขอโทษนะคะ... ไม่ว่าง’
‘นี่มัน...
ไม่ไร้สาระเกินไปเหรอ?’
‘ทำไมฉันต้องทำตามคุณ!?’
‘ฉันเหนื่อย...
ต้องการการพักผ่อน’
สี่ประโยคสุดท้ายที่ผ่านตาของยองแจซึ่งคือคนเอื้อมมือไปหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารที่นอนแอ้งแม้งอยู่กลางโต๊ะเล่นเอาเจ้าตัวกลืนน้ำลายเหนียวๆ
ลงคอ เขาสัมผัสได้ว่าอาการหงุดหงิดของแจ็คสันสาเหตุน่าจะเกิดมาจาก... ทะเลาะกับคนคนนี้
“นี่มัน... คุณแฟร์รี่รึเปล่า?” เจบีที่ร่วมด้วยช่วยชะโงกหน้ามาอ่านด้วยตั้งคำถามพร้อมกับจิ้มรูปคู่สนทนาขึ้นมาดู
ขณะที่เจ้าของเครื่องยังคงนิ่ง
“น่ารัก...”
ยูคยอมรำพึงเมื่อภาพขยายขึ้นชัด เขาแทบไม่ได้สนใจอะไรอย่างอื่นสักนิดนอกจากรูปของเธอ
“งั้นแสดงว่า... ที่กดยิกๆ นั่นคุยกับเธอ แถมยังทะเลาะกันอยู่เนี่ยนะ!”
แบมแบมเหลือบมองไปทางคนที่หันหลังให้
โดยที่หารู้ไม่ว่าคนที่เป็นเป้าสายตาของเขานั้นแอบลุ้นจนความดันจะขึ้นอยู่แล้ว
แน่สิ... ก็แจ็คสันลงทุนขอข้อมูลการติดต่อจากซงมินโฮเพื่อคุยกับแฟร์รี่โดยเฉพาะ
ใช่ว่าชอบเธอ...แต่เพราะต้องการให้เธอตอบโต้กับเขาและจากนั้นก็สร้างสถานการณ์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอกำลังโกรธอยู่จึงไม่มาตามนัดวันนี้จนเขานั้นหงุดหงิดอย่างที่เห็น
ทั้งที่ความจริงไม่ได้เอ่ยถึงคำชวนเที่ยวอะไรแม้แต่นิดแถมยังตั้งใจลบบางข้อความบนหน้าจอออกเพื่อให้เหลือเพียงประโยคที่ต้องการ
ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมานั้น... กำลังจากได้ยิน ณ บัดนี้
“เพราะมึงเลยแจ็คสัน... แฟร์รี่โกรธมึงเลยไม่มาแล้วสิเนี่ย!” มาร์คบ่นอย่างเสียดาย
เขาอยากเห็นคนที่เพื่อนหมายมั่นอยากจะยกคำว่าแฟนให้ใช้เสียจริง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าแรกเห็นนั้น... คนคนนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน
เยส...!
แจ็คสันแทบกรีดร้องที่มาร์คจำเธอไม่ได้
คราวนั้นก็เห็นไกลและทั้งยังผ่านมานานแล้ว ไม่เสียแรงเปล่าที่รัวกดลบบทสนทนาจนนิ้วแทบกุด
กว่าจะเหลือสี่ประโยคที่พอใช้ได้
“น่าเสียดายๆ...” น้ำเสียงเจบีดูตึงๆ ชอบกล
มึงจะเสียดายทำเพื่อ!?... แจ็คสันคิดในใจ
“กูว่าจะเล่นกับว่าที่เพื่อนสะใภ้สักหน่อย... เซ็งเลย” จูเนียร์ส่ายศีรษะนิดหน่อยก่อนจะก้มตัวลงแล้วตั้งท่าเล็งลูกบอลสีที่ตนเองตั้งใจจะแทงแต่แรกก่อนจะขยับไม้คิวส่งลูกขาวไปกระทบด้วยแรงไม่เบาเกินไปนักลงหลุมไกลอย่างง่ายดาย
อากัปกิริยาของทุกคนทำเอาชเวยองแจลอบยิ้มทั้งที่ยังมองแผ่นหลังหนาของรุ่นพี่นักกีฬาตัวหนาของตน
หน้าจอที่มีบทสนทนายังคงเปิดค้างไว้อยู่ ซึ่งอาจจะเป็นโชคดีของแจ็คสันที่ผู้ถือโทรศัพท์คนแรกเป็นยองแจรวมทั้งต้องขอบคุณการแสดงของแจ็คสันเองที่เล่นใหญ่เสียจนนักแสดงมืออาชีพยังต้องอายและสามารถดึงความสนใจไปได้
ก็เพราะ... ข้อความพวกนั้น
มันอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ปะติดปะต่อกัน...
ตอนแรกนึกว่าต้องเหนื่อยมากหากผู้หญิงคนนั้นมาแล้วถูกปั่นประสาท
หรือต้องคอยรั้งแจ็คสันยามโมโหถ้าจูเนียร์ทำอะไรเกินไป
แต่ว่า... นอกจากไม่เหนื่อยแรงอย่างที่คาดแล้ว
เขาก็ยัง…
… จับโกหกแจ็คสันได้ด้วย!
แจ็คสันคงเหนื่อยอีกหลายเท่าตัวแน่ๆ
ช่วยไม่ได้ก็พลาดเอง
ระหว่างแฟร์รี่และแจ็คสันใครจะเป็นผู้รอดชีวิตกันนะ!?
ความคิดเห็น