คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : X-Secret : V – Don’t cry
X-Secret : V – Don’t cry
ปฏิทินตั้งโต๊ะที่ถูกระบายสีส้มสะท้อนแสงจนเต็มช่องของวันหนึ่งในกลางสัปดาห์หน้ายังคงอยู่ในกรอบสายตาโดยที่ยังคงถือปากกาเน้นข้อความสีเดียวกันไว้ในมือก่อนจะกระแทกเจ้าสิ่งนั้นแรงๆ ลงบนโต๊ะทำงานจนเกิดเสียงดัง
มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าอย่างสะกดกลั้นพลางนวดขมับเบาๆ เพื่อให้ผ่อนคลายแต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลนัก ปลดล็อกเครื่องมือสื่อสารประจำตัวขึ้นมาเปิดโปรแกรมแชทสีเขียวอีกรอบและกดเข้าสู่หน้าจอสนทนาที่มีข้อความใหม่เข้ามาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอีกครั้ง
แม้เป็นข้อความไม่กี่ประโยค แต่มันก็ทำให้จิตใจของเขาไม่อาจสงบลงได้ง่ายนัก
‘คิดถึง...’
‘สบายดีใช่ไหมคะ?’
“แค่คำว่า คิดถึง เพียงคำเดียว แค่นี้... พี่ก็แทบบ้าแล้ว”
สิ่งเดียวที่ทำให้แจ็คสันไม่เจ็บมากไปกว่านี้คือรูปโปรไฟล์ของอีกฝั่งที่มีเพียงแค่คนเดียวไม่ใช่รูปคู่กับคนรักเพราะเขายังเป็นคนธรรมดา และมีความอิจฉาอยู่ในใจแม้พยายามซ่อนมันไว้ให้ลึกที่สุดก็ตาม
ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มของร่างหนาก็ปรากฏอีกครั้งเมื่อเปิดเข้าแฟ้มรูปภาพภายในโทรศัพท์ประจำตัว... ความทรงจำมากมายที่บ่งบอกถึงความสุขของเขาและกอหญ้าในช่วงเวลาที่ผ่านมาถูกบันทึกไว้อย่างมากมาย ความรู้สึกเหล่านั้นยังมีอิทธิพลมากพอที่จะสามารถแพร่กระจายออกมาให้คนที่กำลังไล่มองซึมซับทุกสิ่งราวเพิ่งเกิดขึ้น
“พี่ก็คิดถึงกอหญ้ามากนะคะ...” แจ็คสันพึมพำเสียงเบาๆ และหากว่าเธอได้ยินก็คงดี
วันนี้เป็นวันทำงานของแจ็คสันทำให้เขาค่อนข้างยุ่งตลอดจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นให้มาก อันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเขาเพราะไม่เช่นนั้นคงจะฟุ้งซ่านจนไม่เป็นอันทำอะไร
หลังจากตรวจทุกส่วนของโรงแรมเรียบร้อยก็ปาไปช่วงค่ำ เสื้อสูทเนื้อดีสีดำสนิทถูกถอดโยนทิ้งไว้บนโซฟาในห้องทำงานอย่างลวกๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะมุ่งตรงสู่ลานจอดรถ
พออยู่คนเดียวท่ามกลางความเงียบ ความคิดและความรู้สึกเก่าๆ ที่เก็บเอาไว้ก็เริ่มย้อนมาทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่น พวงมาลัยในมือถูกบังคับไปในทิศทางที่ไม่ได้ตั้งใจแต่แรก เขายังไม่อยากกลับไปสถานที่ที่มีความหลังใดๆ ในตอนนี้เพราะความกลัว... กลัวว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรบ้าระห่ำแบบเดิมๆ
แจ็คสันขับรถแบบไม่ได้ดูเส้นทางจริงจังเขาไปอย่างที่อยากจะไปโดยหาสนใจปลายทางสุดท้ายก็ผ่านมาถึงย่านที่เขาไม่คุ้นเคยนักแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จัก ริมถนนเรียงรายไปด้วยอาคารประดับไฟสวยงามมากมาย ดวงตาคมมองอย่างพินิจก่อนตัดสินใจแวะร้านหนึ่งที่ดูคึกครื้นแต่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
ท่วงทำนองเปียโนหวานปนเศร้าเรียกสายตาจากแจ็คสันได้ไม่ยาก เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเลือกตั้งหลักที่หน้าบาร์เครื่องดื่มที่ลูกค้าค่อนข้างบางตาและอยู่ในมุมที่ไม่เป็นที่สนใจมากนัก ... เขาอยากอยู่คนเดียว
ที่นี่เป็นบาร์กึ่งร้านอาหาร... ช่วงหัวค่ำเป็นดนตรีเบาๆ พอผ่านไปถึงช่วงดึกก็จะเป็นไลฟ์แบนด์ร่วมสมัยสลับกับดีเจเล่นเพลงเร้าจังหวะ
แม้แจ็คสันจะไม่ค่อยเข้าร้านแนวนี้เท่าไหร่นักแต่เขาก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลยแถมยังเพลินกับการดื่มด่ำบรรยากาศอย่างไม่น่าเชื่อรวมทั้งเครื่องดื่มที่สั่งมาก็ถูกยกขึ้นลิ้มรสเคล้าเสียงเพลงที่เริ่มเร่งจังหวะไม่ได้หยุดเช่นกัน
ผ่านไปหลายชั่วโมง... เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มเมาบ้างแล้ว
วันเงินเดือนออกเป็นวันที่ไม่ว่าใครก็รู้สึกมีความสุขทั้งนั้น แม้ว่าเป็นวันหยุดก็มิอาจพลาดวันสำคัญเช่นนี้ได้... แหงหละ อดตายไม่ใช่เรื่องตลก!
ร่างเพรียวเดินผ่านประตูร้านด้วยความอารมณ์ดี สองมือกระชับสายเป้สะพายสีแดงไว้มั่นก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าก้มตาแทรกตัวผ่านผู้คนมากมายไปสู่ออฟฟิศของร้าน วันนี้เธอสวมเพียงเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำและรองเท้าผ้าใบเท่านั้น
“อ้าวแฟร์รี่มาแล้วเหรอ?” ผู้จัดการร้านเอ่ยทัก
“ค่ะ ขอโทษนะคะดึกไปหน่อย พอดีทำรายงานติดพัน” หญิงสาวยิ้มอ้อน เธอมาดึกกว่าปกติก็เพราะเข้าห้องสมุดหาข้อมูลกับเพื่อนๆ กว่าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาจึงกินเวลาไปพอสมควร
“ไม่หรอกน่า ร้านยังไม่ปิดเสียหน่อย แต่ไม่ได้บอกชินยะเหรอ... เจ้านั่นเพิ่งกลับไป” คนอายุมากกว่าคุยไปด้วยพลางหาซองค่าแรงของเธอไปด้วย
“เหรอคะ? ชินยะมาทำอะไรเหรอคะ ไม่เห็นบอกแฟร์เลย” หญิงสาวมุ่ยหน้าครุ่นคิด
“มาเล่นเปียโนแทนนักดนตรีที่หยุดกะทันหัน งานไฟลนน่ะ ทำไม... งอนแฟนหรือเรา?” ผู้จัดการเอ่ยแซวพร้อมกับยื่นซองยาวสีขาวให้
“งอนอะไรกันคะ แค่สงสัยต่างหาก แล้วชินยะก็ไม่ใช่แฟนสักหน่อย” แม้ปากจะปฏิเสธแต่แก้มกลับแดงระเรื่อ...
“ไม่ใช่แฟนแน่นะ... ผมจะได้ประกาศให้ทั่วร้าน” เขาอมยิ้ม
“ทำแบบนั้นอายเค้าตาย! กลับก่อนนะคะ”
แฟร์รี่เลี่ยงที่จะต่อคำให้ตัวเองได้อายมากกว่าเดิมเธอชิงตัดบททันทีที่เซ็นต์ชื่อลงสมุดรับเงินเสร็จ ... หากอยู่นานกว่านี้เรื่องที่แซวๆ กันเล่นได้ถึงหูชินยะเป็นแน่ ถ้าเช่นนั้นเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ
ซองยาวสีขาวถูกเก็บลงกระเป๋าหลังจากนับเรียบร้อย แม้จำนวนเงินจะไม่มากนักแต่มันก็สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตของเธอไม่น้อย
ขาเรียวกระโดดลงบันไดตามจังหวะเพลงด้วยความเบิกบานใจ พรุ่งนี้เธอจะต้องไปโรงเรียนแต่เช้าคงไม่เหมาะนักที่จะเอาแต่เที่ยวเล่นจนดึก
“ร้านเหล้ามีเป็นแสน เขามาทำบ้าอะไรที่นี่เนี่ย!”
หญิงสาวแอบชักสีหน้าเมื่อก้าวถึงชั้นล่างแล้วเห็นคนที่ไม่อยากจะเจอนั่งหมกมุ่นกับแก้วทรงสวยอยู่หน้าบาร์เครื่องดื่ม จากกระโดดดึ๋งๆ เป็นลิงเป็นค่างอยู่เมื่อครู่ก็รีบทำตัวลีบเดินแทบจะแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับฝาผนัง... ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากข้องแวะ ถือเสียว่าไม่เห็นแล้วกัน
ปึ้ง!
เสียงที่แว่วเข้าหูในช่วงที่ดนตรีเงียบลงเรียกให้เธอหันมองตามสัญชาตญาณ เธออยากจะตีตัวเองเหลือเกินที่สนใจเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเพราะเจ้าของเสียงนั่นคือผู้ชายที่เธอไม่อยากจะมองหน้าเท่าไหร่นัก
ไวกว่าความคิดที่จะยั้งตัวเองก็ขาและมือของแฟร์รี่นี่แหละ!
“ไหวรึเปล่าคุณ?”
เอื้อมแตะลงที่แขนและเขย่าร่างหนาอย่างลืมตัว...
... ลืมไปว่าไม่ถูกกัน
“.....” นอกจากเสียงลมหายใจที่บอกว่ายังมีชีวิต ที่เหลือก็มีแต่ความเงียบ
“เขาเมาแล้วเหรอคะ?” เงยหน้าถามพนักงานที่อยู่ข้างในบาร์เพื่อความแน่ใจ
“ก็คงเมามั้งแฟร์ ดื่มไปเยอะนะ วิสกี้ก็สองขวด แล้วที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเนี่ยก็แรงๆ ทั้งนั้น” คนตอบชี้ไปที่แก้วเปล่าที่วางแยกไว้ตรงหน้า ใกล้ๆ มีเครื่องดื่มหลายชนิดที่ยังไม่ได้ดื่มตั้งอยู่
“นี่กะจะกินให้ตายเลยหรือเปล่าคุณ...” เบ้หน้าเล็กน้อยก่อนจะหันมาพูดกับแจ็คสันทั้งที่รู้ว่ายากนักที่เขาจะตอบ
“แฟร์รู้จักเขาเหรอ?”
“ก็... ไม่เชิง” เธออึกอักเพราะนึกขึ้นได้ว่าสำหรับเธอและเขาไม่มีสถานะต่อกัน ... แม้แต่คนรู้จักก็ไม่คิดอยากจะเป็น
“งั้นกลับนะคะ เจอกันวันศุกร์” ขาเรียวก้าวขยับถอยหลัง
“เดี๋ยว!!” คนในบาร์ร้องเรียก
"หืม?"
“ไม่พากลับไปด้วยเหรอ?” เขาชี้ที่ร่างของแจ็คสันที่คอพับอยู่หน้าเค้านท์เตอร์บาร์
“กลับไปไหนล่ะ บ้านแฟร์? ไม่อ่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าดิก แต่สายตากดดันราวกับบอกว่าเธอแล้งน้ำใจถูกส่งมาให้... จากหนึ่งคนในบาร์ ตอนนี้เพิ่มเป็นสอง
สุดท้ายเธอก็ต้องยอมจำนน นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์กดโทรหาเพื่อนของแจ็คสันที่รู้จักอยู่เพียงคนเดียวนั่นคือ... ซงมินโฮ คราวแรกปลายสายไม่ได้กดรับ แต่ไม่นานนักก็ติดต่อกลับมา เขาแนะนำให้แฟร์รี่พาไปส่งที่โรงแรมที่พักของแจ็คสันแถมยังฝากฝังเพื่อนให้ดูแลอีกต่างหาก พอตั้งใจจะโยนภาระให้คนอื่นก็ไม่ได้อีกเพราะดันกำชับมาว่าแจ้งชื่อเธอกับทางโรงแรมไปเรียบร้อยแล้วจึงจำต้องช่วยอย่างเสียไม่ได้
“ตัวหนักอย่างกับช้าง! มีสติพอเดินไหวไหมเนี่ย? ฮึ้บ.. ฮึ้บ! ... ลุกขึ้นเดินสิคุณ... ขาน่ะใช้งานหน่อย” มือบางตบลงที่ขาแข็งแรงภายใต้กางเกงยีนส์สีดำตัวหนา “...จะทิ้งไว้ให้แห้งตายคาบาร์มโนสำนึกก็ดันทำงานอีก เจอคุณทีไรชีวิตฉันไม่เคยได้สงบสุขเลยให้ตายสิ!... ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆ”
แฟร์รี่บ่นกระปอดกระแปดตลอดทาง ยิ่งบ่นยิ่งหงุดหงิด ยิ่งเห็นหน้ายิ่งโมโห ยังดีที่เขาพอหลงเหลือสติทำตามที่เธอบอกเลยไม่ทำให้เธอต้องลำบากมากจนเกินไปนัก
“หัดจำไว้บ้างนะว่าฉันน่ะมีน้ำใจแค่ไหน เข้าใจไหม? เข้าใจรึเปล่า?” หญิงสาวชี้หน้าคนสติเกินระดับศูนย์มาหน่อยเดียวราวกับคุยกันรู้เรื่องก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถอย่างทุลักทุเลแล้วทิ้งร่างใหญ่กว่าลงบนเบาะข้างคนขับ ไม่ได้เป็นห่วงสักนิดว่าจะกระแทกอะไรบ้าง... ถือว่าแก้แค้นคราวก่อนที่เขาโยนเธอจนหัวโขกก็แล้วกัน
การขับรถไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถของแฟร์รี่เพราะเมื่อก่อนบ้านของเธอก็ถือได้ว่าพอมีพอกินไม่ขัดสนแต่หลังจากที่พ่อและแม่ของเธอเสียชีวิตไปเมื่อสองปีก่อนทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไป
“โชคดีของคุณแล้วนะที่รถมีน้ำมันน่ะ เพราะถ้าหากฉันหลงแล้วพาคุณวนรอบเมืองขึ้นมาจะได้ไม่ลำบาก” ผินตามองคนนั่งอยู่เบาะฝั่งด้านข้างคนขับแล้วถอนใจ เรื่องไปส่งมันไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญคือไม่รู้ทาง สำหรับตอนนี้จีพีเอสจากโทรศัพท์คือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
เกือบชั่วโมงผ่านไปรถคันหรูก็เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าประตูโรงแรม หญิงสาวขอความช่วยเหลือจากพนักงานซึ่งเมื่อเห็นว่าคนในรถเป็นใครก็กระวีกระวาดจัดการจนเสร็จสรรพพร้อมกับรับกุญแจรถจากมือของแฟร์รี่ไปจอด
หญิงสาวหันหลังจะกลับออกไปแต่ถูกเรียกไว้เสียก่อน
“คุณผู้หญิงครับ”
“หืม... ฉันเหรอ?” มองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีใครนอกจากตัวเอง
“ท่านประธาน... คุณโทนี่เชิญคุณพบครับ”
“คะ?” สถานการณ์ชักเริ่มไม่ค่อยปกติ
“คุณพ่อของคุณแจ็คสันน่ะครับ” เขาไขความกระจ่างเมื่อสัมผัสได้ถึงความระแวงในสายตา
“....”
หนักกว่าเดิมเข้าไปอีก...! เธอคิดเช่นนั้นจริงๆ ด้วยเกรงความยุ่งยากที่จะตามมาภายหลัง ก้มมองดูเสื้อผ้าตัวเองวันนี้แล้วก็อยากจะยกสองมือขึ้นกุมขมับ... มันไม่เหมาะไม่ควรกับการพบหน้าใครสักนิด
“เชิญครับ”
ผู้ชายตรงหน้ารวบรัดแบบมัดมือชกทำให้เธอต้องเดินตามไปอย่างไม่มีทางเลือก ลิฟท์โดยสารเงียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจทั้งที่มีคนอยู่ถึงสามคน ความรู้สึกอึดอัดเริ่มแทรกเข้ามาทีละนิดจนเจ้าห้องโดยสารสี่เหลี่ยมมาหยุดอยู่นิ่งที่ชั้นสูงเกือบสุดของจำนวนเลขบนแผงอลูมิเนียม
ประตูที่ถูกเปิดออกโดยคีย์การ์ดเผยให้เห็นด้านในห้องชัดเจน เพียงแค่โซนรับแขกที่แต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูช่างน่าทึ่งเสียจริงอีกทั้งขนาดยังกว้างกว่าห้องที่เธออาศัยในปัจจุบันเสียอีก
“มาแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มแฝงอารมณ์ดีเอ่ยทำลายความเงียบ
“สวัสดีค่ะ” แฟร์รี่ยกมือไหว้สวยพร้อมส่งยิ้มให้อย่างอัตโนมัติ
“ขอบใจที่พาเจ้าลูกชายมาส่งนะ คงจะลำบากใช่ไหม?” ภาพของเด็กสาวที่เห็นตรงหน้าสร้างความแปลกใจให้คุณหวังอยู่บ้างเพราะดูท่าอายุอานามก็ไม่น่าจะเกินสิบแปดแล้วรูปร่างหน้าตาบวกกับท่าทางก็ไม่ใช่แบบที่เจ้าลูกชายตัวแสบของเขาจะชอบ
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วก็เป็นเรื่องบังเอิญ”
“ยังไงก็ฝากดูเจ้าแจ็คสันมันหน่อย เดี๋ยวให้เด็กไปส่งที่บ้าน”
คนอายุมากกว่าเดินออกไปพร้อมกับคนที่นำเธอมาที่ห้องนี้โดยที่ไม่ทันได้อ้าปากค้าน ความเครียดเริ่มเข้าครอบงำเธออีกครั้งพลางคิดว่าจะเอายังไงดี แต่แล้วเสียงที่ดังออกมาจากด้านในทำให้เธอต้องรีบวิ่งไปดู จึงเห็นร่างหนากองร่วงอยู่ที่พื้น
“อะไรของคุณเนี่ย!”
แฟร์รี่เข้าพยุงตามด้วยฉุดกระชากให้ขึ้นนอนดีๆ บนเตียงทว่าเขากลับทำแค่นั่งอยู่ที่พื้นและพิงเอาไว้ โดยที่ไม่ทันระวังมือหนาก็ดึงแขนเล็กเข้าหาตัวจะถลาไปอยู่บนตักกว้าง
“เฮ้ย!”
“ขอนาทีเดียว... อีกนาทีเดียวนะคะ”
เสียงพึมพำร้องขอทำเอาเธอไม่กล้าขยับตัว หากให้เดา... เขาคงกำลังคิดถึงใครบางคนที่อยู่ในใจ แขนแข็งแรงโอบรัดแน่นจนแทบหายใจไม่ออก ใบหน้าคมคายซุกลงที่ไหล่บางอย่างต้องการและหวงแหน มือเล็กได้แต่ลูบแผ่นหลังเขาราวปลอบใจ บางทีความอบอุ่นนั้นก็แผ่มาถึงหัวใจที่โดดเดี่ยวของเธอด้วยเช่นกัน
กว่าห้านาทีที่แจ็คสันจะยอมร่วมมือขึ้นไปนอนเป็นเตียงแต่ด้วยน้ำหนักบวกกับรูปร่างของเขาก็ทำเอาเธอเหนื่อยใช่เล่น
“ค่ารถๆๆ...” เธอตบลงบนกระเป๋ากางเกงของร่างหนาแล้วดึงสิ่งที่ถูกขยำเป็นก้อนออกมา ตัดสินใจแล้วว่าก่อนที่คนที่ถูกเรียกให้ไปส่งจะมาเธอควรจะชิ่งหนีให้ไว
“โห... เยอะแฮะ งั้นขอสีแดงสักสองใบนะ บ้านฉันมันไกล ค่าใช้จ่ายมันเลยสูง ไปหละ”
แฟร์รี่ในชุดนักเรียนมัธยมปลายรวมผมเป็นหางม้าสูงนั่งฟุบหน้ากับโต๊ะเรียนภายในห้องอย่างง่วงงุนสุดๆ เพราะกว่าเธอจะได้นอนก็ปาไปตีสามกว่าทั้งที่เหนื่อยจากการเรียน ทำรายงาน และลากแจ็คสัน แล้วยิ่งผ่านการใช้สมองหนักๆ ก็ต้องการการพักผ่อนมากตามไปด้วย
ช่วงเวลาพักเที่ยงเสียไปกับการนอนหลับจนหมดแม้แต่เสียงออดเข้าเรียนดังสนั่นก็ยังไม่เห็นทีท่าว่าเธอจะตื่น
แรงสะกิดไม่เบานักแตะลงที่แขนก่อนจะเริ่มเขย่าอย่างหงุดหงิด เปลือกตาบางขยับเล็กน้อยเพราะรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนจากนั่นก็ค่อยๆ เปิดกว้างขึ้นจนเห็นเงาคนยืนอยู่ข้างโต๊ะของตัวเอง
“มีอะไรเหรอ?” น้ำเสียงงัวเงียถูกส่งออกไป เปลือกตานั้นเริ่มปิดลงอีกหน
“อาจารย์ให้มาตาม รีบไปได้แล้วยัยเด็กใหม่ขี้เซา” คนปลุกบอกตามที่ถูกไหว้วานก่อนจะสะบัดพรืดกลับโต๊ะตัวเองจนหน้าม้ากระจาย
แฟร์รี่พาตัวเองมาถึงหน้าห้องพักอาจารย์ประจำชั้น สูดลมหายใจเข้าเบาๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายจากนั้นจึงเคาะประตูและเปิดเข้าไปด้านใน
“มาแล้วเหรออิงฟ้า... ครูมีหนังสือที่ต้องแจ้งให้ทราบ” ซองสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า มือบางไม่อยากจะได้สักเท่าไหร่แต่ก็ต้องจำใจรับมันเอาไว้
“คืออะไรเหรอคะ?” ถามทั้งที่รู้ว่ามันคืออะไร
“ของผู้ปกครองน่ะ อย่าลืมเอาให้ท่านด้วยล่ะ”
“อ่อค่ะ งั้นหนูขอตัวไปเรียนนะคะ”
แววตาสดใสเมื่อครู่หมองลงทันทีหลังออกจากห้องพักครู ทั้งที่ควรกลับไปห้องเรียนแต่ขาเรียวนั้นก้าวไปอีกทิศทางในมือกำซองสีขาวแน่น
เม็ดฝนเทลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้คนที่นั่งอยู่โต๊ะม้าหินด้านหลังโรงเรียนต้องหาที่หลบ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลาแล้วจึงเลือกวิ่งกลับไปที่ห้องเรียนแม้ว่าร่างกายเริ่มเปียกปอนแต่ก็หาได้สนใจ บรรยากาศภายในห้องดูเงียบเหงาเนื่องด้วยเป็นคาบอิสระ ซองสีขาวที่ถือมาถูกยัดลงในกระเป๋าหนังสืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนหิ้วติดมือออกมาเพื่อกลับบ้าน
“นั่นจะไปไหนน่ะ?” เจ้าของโต๊ะเรียนอีกตัวที่คู่กันคว้าข้อมือของแฟร์รี่เอาไว้ เส้นผมด้านหน้าที่ยุ่งไม่เป็นทรงถูกนิ้วเรียวยาวของคนสูงกว่าจัดให้ใหม่ดูเรียบร้อยกว่าเดิม
“โดดเรียน” เธอยิ้มบางราวเป็นเรื่องปกติทั้งที่เคยบอกตัวเองไว้ว่าจะไม่ทำมัน
“ฝนตก... ออกไปก็เปียกอยู่ดี ตามฉันมานี่แล้วกัน” ข้อมือที่ยังไม่ได้ปล่อยให้เป็นอิสระถูกดึงให้เดินตาม เธอมองแผ่นหลังกว้างของผู้ชายชุดวอร์มสีดำแถบขาวเบื้องหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
โรงยิมของโรงเรียนมีเพียงการวอร์มเล็กๆ น้อยๆ ของนักกีฬาเพราะยังไม่ถึงเวลาซ้อม ร่างเพรียวถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ยาวกลางห้องแต่งตัวนักกีฬาจากนั้นผ้าเช็ดตัวและชุดวอร์มสีแดงก็ยื่นมาตรงหน้า
“เอาไปเปลี่ยน เดี๋ยวเป็นหวัดนะเด็กใหม่”
“... ขอบคุณ”
แฟร์รี่รับมาอย่างงงๆ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่ก็ยังทำตาม ตอนนี้เธอไม่อยากคิดอะไรอีกต่อไปเพียงแค่ต้องการชีวิตในโรงเรียนกลับคืนมาสักชั่วโมงก็ยังดี ชุดวอร์มค่อนข้างใหญ่กว่าแฟร์รี่อยู่หลายไซส์ เสื้อน่ะไม่เท่าไหร่แต่กางเกงนี่ถึงขั้นพับขาขึ้นให้มันสั้นลง หลังจากถูกมองสำรวจความเรียบร้อยเสร็จเขาเดินนำเธอออกมานั่งที่อัศจรรย์เชียร์พร้อมบริการขนมและน้ำให้เสร็จสรรพ
“เอ่อ... ถามอะไรหน่อย คงไม่ว่าใช่ไหมถ้าจะถามว่า ชื่ออะไร?” เธอนั่งติดกับเขาก็จริงแต่ดันจำไม่ได้เพราะเขาไม่ค่อยสวมเสื้อนักเรียนอยู่บ่อยๆ
“คิม... คิมหันต์”
“อืม... ฉันชื่อ...”
“แฟร์รี่ อิงฟ้า” เขาพูดทั้งที่ตายังมองเกมแข่งแบบสามต่อสามด้านล่าง
“อืม...” ตอบรับในคออย่างรู้สึกดีนิดหน่อยที่เพื่อนในห้องเริ่มจำเธอได้ไม่ใช่เพียงแค่เด็กใหม่...
ดวงตาโตหันหน้ามองคนด้านข้างอย่างพิจารณา ใบหน้าได้รูปเข้ากับผมซอยสั้นไถข้างพอประมาณเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้หล่อแบบผู้ชายเต็มตัวแต่ก็เท่ห์อย่าบอกใคร
“หิวก็กินขนมสิ” เขาหันมาบอกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
“....”
“มองขนาดนั้น จะกินฉันแทนข้าวเหรอ?”
“นี่นาย...! ฉันไม่ได้...”
“ฝนซาแล้วไปกันเถอะ เดี๋ยวกลับตอนตกหนักจะไม่สบาย” ร่างสูงในชุดวอร์มสีดำลุกขึ้นยืนพลางหยิบกระเป๋าและถุงใส่เสื้อนักเรียนของแฟร์รี่มาถือไว้ในมือแล้วเดินนำออกจากโรงยิมทำเอาเธอต้องวิ่งตามแทบไม่ทัน
ประตูรถแท็กซี่เขียวเหลืองที่จอดอยู่หน้าโรงเรียนถูกคิมหันต์เปิดออกก่อนดันร่างเพรียวเข้าไปพร้อมกับส่งเงินจำนวนหนึ่งให้คนขับ
“ฝากส่งให้ถึงบ้านด้วยนะครับ แล้วเธอ... อย่าร้องไห้... ถ้าไม่สบายใจก็นอนหลับเข้าใจไหม?”
ประตูรถปิดพร้อมเคลื่อนตัวออกช้าๆ แฟร์รี่บอกจุดหมายกับคนขับแท็กซี่ระหว่างทางก็เริ่มครุ่นคิดว่าทำไมเขาถึงพูดอะไรแปลกๆ เหมือนรู้อะไรเกี่ยวกับเธอรวมถึงเรื่องที่เธออาศัยตอนวิ่งหลบฝนแอบร้องไห้เมื่อช่วงบ่ายด้วย
แจ็คสันขยับร่างเบาๆ
ไล่ความเมื่อยขบพลางยกมือนวดขมับอย่างปวดหัวตุบ เขารู้สึกได้ว่าคืออาการแฮ้งค์แบบที่ไม่ได้เป็นมานาน
เปลือกตาหนาลืมขึ้นแล้วปรับโฟกัส
กวาดตามองไปทั่วก็สำนึกได้ว่านี่คือห้องนอนของตัวเองอีกทั้งยังสวมชุดเดิมของเมื่อวานอีกต่างหาก
แขนแกร่งยกวางก่ายหน้าผากราวทบทวนเรื่องราวที่ขาดหาย
เขาค่อยๆ ยันกายพิงหัวเตียงก่อนสะบัดศีรษะน้อยๆ
เรียกความทรงจำและเหมือนว่ามันไม่มีอยู่เลย แต่แล้วสมองไม่รักดีกลับดึงภาพย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นในตอนที่ได้รับข้อความจากคนที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลา
ร่างหนาเด้งตัวขึ้นอย่างหงุดหงิดที่แม้พยายามตัดใจเท่าไหร่แต่ก็ไม่อาจทำได้อย่างที่คิดเสียทีแถมแวะเวียนมารบกวนห้วงความคิดของเขาอยู่ไม่ขาด
ชายหนุ่มตั้งสติอีกครั้งพลางอมลมเข้าปากอย่างครุ่นคิด
จดจ่ออยู่แต่สิ่งที่ต้องการจะรู้ซึ่งมันก็สำเร็จ เริ่มจากทบทวนจนแน่ใจว่าตอนนั้นไม่มีความเป็นไปได้เลยที่เขาจะกลับมาเองโดยไม่มีคนมาส่งก็ในเมื่อสติที่มีวูบหายไปตั้งแต่อยู่ในร้านแล้วนี่นา
คำถามทั้งหมดถูกโยนกลับไปให้พนักงานโรงแรมช่วยค้นหาคำตอบ
จากนั้นก็พยุงร่างอันโรยแรงของตัวเองเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายเพื่อเรียกความสดชื่น
สายน้ำเย็นเป็นสายที่รินรดจนเปียกปอนทำให้รู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งขึ้นมาบ้างอาการแฮ้งค์และความฟุ้งซ่านที่สะสมเอาไว้ก็เจือจางลงไป
ทว่าสุดท้ายดวงตาของแจ็คสันนั้นมีน้ำตาไหลท่ามกลางสายน้ำโดยที่ตนเองไม่ได้ร้องไห้
แม้สมองบงการให้หยุดมัน
แต่หัวใจที่ซื่อสัตย์เกินไปกลับสั่งให้หลั่งออกมา...
หลังอาบน้ำเสร็จไม่นานข้าวต้มหอมฉุยจากรูมเซอร์วิสมาส่งให้ทั้งที่ไม่ได้สั่งพร้อมข้อความที่แนบมาด้วยจากประธานหวังผู้เป็นพ่อของเขาเอง
“นี่มันข้อความแบบไหนกัน...
เฮอะ! ระวังคุก! งั้นเหรอ? ไม่เห็นเข้าใจ”
แจ็คสันดีดกระดาษโน๊ตสีขาวให้ห่างตัวอย่างไม่สนใจพลางตักข้าวต้มแสนอร่อยเข้าปาก
"มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาส่งคุณแจ็คสันครับ"
หัวหน้าฝ่ายต้อนรับขึ้นมารายงานข้อมูลขณะที่แจ็คสันนั้นก็กำลังสาละวนเคี้ยวข้าวต้มหมูหอมฉุยอยู่ที่โต๊ะอาหาร
"เด็กผู้หญิง?
คุณจำผิดหรือเปล่า... ผมไปผับมานะ จะมีเด็กผู้หญิงได้ไง?"
แจ็คสันเงยหน้าจากชามข้าวมาถามอย่างไม่เห็นด้วย
"ไม่นะครับ
ดูแล้วก็ไม่น่าเกินสิบแปด ท่านประธานเองก็เห็นแบบนั้น"
คนรายงานยังคงยืนยันแต่คนฟังนี่สิตาโตไปแล้ว
"ป๊าน่ะเหรอ!?
ป๊ารู้ได้ยังไง?"
"ก็ท่านประธานอยู่นี่ครับ
แถมยังได้คุยกับหนูคนนั้นด้วย"
"โอ๊ยตาย...
ถึงว่า... ไอ้แจ็คเอ๊ย! ความชิบหายมาเยือนอีกแล้ว!"
ร่างหนาทิ้งหลังลงกับพนักพิงก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเมื่อนึกถึงแผ่นกระดาษสีขาวที่หัวหน้าพนักงานต้อนรับนำมามอบให้ตั้งแต่ตอนมาถึงและบอกว่าเป็นข้อความจากประธานหวัง
ครั้งแรกเขาก็ไม่เข้าใจทั้งยังคิดว่าไร้สาระ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจความหมายของมันแล้ว
เพราะมันมีใจความว่า...
'ล่อลวงเด็กอายุไม่เกิน
18 ระวังคุกจะถามหา ฉันไม่ไปประกันตัวแกนะไอ้ลูกชาย...'
จนแล้วจนรอดแจ็คสันก็ยังนึกไม่ออกว่าเมื่อคืนตนทำอะไรลงไปบ้างแต่หวังว่าคงไม่มีอะไรที่ไม่ดี
ที่สำคัญเด็กผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่...
เข้ามาถึงห้องของเขาและได้เจอกับประธานหวังซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายมากกว่ากัน
ก็ในเมื่อคุณหวังคนพ่อน่ะ... เจ้าชู้น้อยเสียเมื่อไหร่
ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเธอคนนั้นคือใครแต่มันก็น่าเป็นห่วง
ผ่านไปหลายวันแจ็คสันก็ไม่มีโอกาสกลับไปที่นั่นเพื่อไถ่ถามเสียทีเพราะงานอันเร่งด่วนที่สุมอยู่ตรงหน้า
และหากเขาไม่ได้เห็นหัวใบเสร็จที่มีชื่อร้านกองรวมกับเงินที่ถูกล้วงดึงออกจากกระเป๋ากางเกงก็คงไม่ได้รู้ว่าตัวเองไปที่ไหนมาเช่นกัน
'ไอ้แจ็คเอ๊ย...
เมาเป็นหมาเลยมึง!' ... นั่นคือคำที่ร่างหนาด่าตัวเองด้วยความหงุดหงิดในวันนั้น
เขาไม่ได้จะหาความใดๆ
แต่เป็นเพราะความกังวลใจ
หากเขาทำอะไรที่อาจสร้างความเดือดร้อนในอนาคตจะได้แก้ไขทัน
ถึงจะเป็นเพลย์บอยแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะกินดะเสียจนไม่เลือกอายุราวกับพวกบ้าตัณหา
เรื่องนี้จึงทำให้เขาค่อนข้างจริงจังมากทีเดียว
งานปาร์ตี้ที่จะมีในอีกไม่กี่วันทำให้แจ็คสันต้องพับเรื่องตัวเองทิ้งไว้ก่อน
เขาไล่เช็ครายชื่อสื่อและแขกที่เชิญมาร่วมงานตามที่ฝั่งอิมแมคกาซีนส่งมาให้เพื่อสั่งการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มรับรองให้เรียบร้อยซึ่งงานนี้เขาเป็นคนดูแลเองทั้งหมด
แฟ้มงานถูกปิดลงก่อนที่เจ้าตัวจะกดอินเตอร์คอมเรียกเลขาหน้าห้องมารับมันไป
ชั่วอึดใจคุณเลขาคนสวยของประธานหวังที่มาช่วยงานเขาชั่วคราวก็เดินเข้ามาพร้อมกระดาษโน้ตหนึ่งใบวางบนโต๊ะและหยิบแฟ้มงานแนบไว้กับอก
"ประธานส่งอะไรมาให้ผมอีกล่ะ?"
"ไม่ใช่ของท่านประธานค่ะ
... ของคนอื่น" หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินออกไป
ส่วนแจ็คสันเองก็คร้านจะถาม
มือหนาเอื้อมหยิบกระดาษที่ถูกพับครึ่งมาเปิดดูอย่างอยากรู้ว่าจะเจอไม้ไหนอีก
ทว่ากลับต้องอึ้งจนพูดไม่ออก หัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกจากอก
เขาคว้ากุญแจรถประจำตัวก่อนจะรีบออกไปอย่างเร่งร้อน
รถสปอร์ตสีดำเลี้ยวเข้าลานจอดอย่างคุ้นเคย
เขาก้าวขาเข้าตัวอาคารด้วยความประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนภายในเอาแต่ใจจดจ่ออยู่ที่จุดหมายปลายทาง
ประตูบานหนาของห้องที่เป็นของเขา...
ห้องที่เคยเป็นของกอหญ้า ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้า...
แม้ช่วงที่กอหญ้าไม่อยู่แล้วเขาจะเข้ามานอนที่นี่บ่อยๆ
แต่เวลานี้เขากลับตื่นเต้นจนไม่กล้าที่จะเปิดมันออก
"เซอร์ไพรส์!!"
อยู่ดีๆ
ประตูนั่นก็ขยับแง้มและกว้างขึ้นตามด้วยเสียงใสๆ ของคนที่เขาโหยหามาตลอด
"กอหญ้า!"
แจ็คสันอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาก่อนจะสวมกอดเข้าเต็มอ้อมแขน
เขาคิดถึง... คิดถึงเธอมากจริงๆ
ร่างบางหัวเราะเบาๆ
พลางยกแขนขึ้นโอบกอดเขาตอบเช่นกัน
เธอเองก็คิดถึงเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันหลายเดือน แจ็คสันดูไม่เปลี่ยนไปเลย
"พี่แจ็คจะกอดอีกนานไหม
... หญ้าหายใจไม่ออก" เธอเอ่ยขึ้นเพราะแจ็คสันกอดไม่ยอมปล่อยเสียที
"ค่ะๆ พี่ขอโทษ
คงคิดถึงมากไปหน่อย"
"ล้อเล่นน่า
มานี่เถอะ" หญิงสาวจัดการจูงมือเขาเข้ามานั่ง
แจ็คสันมองมือบางที่กุมไว้หลวมๆ ด้วยรอยยิ้ม
"กอหญ้ามาได้ยังไงแล้วนี่เจบีรู้หรือเปล่า?"
ชายหนุ่มไม่ลืมว่าตอนนี้เธอคบใคร
แม้ไม่อยากคุยเรื่องนี้แต่มันก็เป็นคำถามที่สำคัญ
"แค่นั่งเครื่องกลับมาแต่ไม่ได้บอกใครหรอกค่ะ
ถ้าบอกคุณชายอิมน่ะเหรอ... ฮึ! หมอนั่นขี้หวงจะตาย"
หญิงสาวยู่หน้าอย่างหมั่นไส้
"รู้ทีหลังมันจะโกรธเอา"
แจ็คสันเตือน เขารู้ดีว่าคนตรงหน้ายามดื้อแล้วเอาแต่ใจแค่ไหน
ทว่าคำตอบของเธอทำให้หัวใจที่รู้สึกแสบเล็กๆ นั้นพองโตขึ้นมา
"ก็กอหญ้าอยากเจอพี่แจ็คสัน"
"พูดแบบนี้พี่คิดนะคะ"
ชายหนุ่มเอ่ยหยอก ตอนนี้เขาอารมณ์ดีมาก...
มากเสียจนอยากจะทิ้งตัวกลางทุ่งข้าวสาลี(?)
กอหญ้าในตอนนี้ไม่ใช่นางแบบเซ็กซี่ที่เคยเห็นแต่กลับไปเป็นคนสดใสและช่างพูดเหมือนเมื่อก่อน
แจ็คสันลอบมองร่างบางที่เดินวนอยู่รอบตัวเขาอย่างมีความสุข
ถ้อยคำเจื้อยแจ้วของเธอก็ฟังไม่รู้เบื่อ
ร่างบางก้าวเข้ามาหาคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
ใบหน้าสวยอมยิ้มจนแก้มป่องก่อนจะยื่นอะไรบางอย่างให้ แจ็คสันรับมาอย่างงงๆ
พลางแกะห่อของขวัญและเปิดออกดู นาฬิกาเรือนหรูปรากฏขึ้นในสายตาจากนั้นค่อยเลื่อนเงยขึ้นจึงได้เห็นว่าเธอก็มองเขาอยู่ด้วยท่าทางลุ้นๆ
ผมสีน้ำตาลเข้มของกอหญ้ายาวขึ้นมากจนตกมาปรกหน้า
มือหนายกขึ้นเกี่ยวปอยผมทัดหูให้ก่อนจะรวบร่างบางเข้าหาตัวจนนั่งปุลงที่โซฟาเดียวกันโดยมีแจ็คสันซ้อนอยู่ด้านหลัง
หญิงสาวดิ้นขลุกขลักแล้วชะงักไปเพราะสัมผัสที่ได้รับ
แจ็คสันจูบลงบนลาดไหล่เล็กของกอหญ้าเบาๆ
หากเป็นไปได้เขาอยากจะกอดเธอไว้ไม่ปล่อยแต่มันคงเป็นไปไม่ได้
ยิ่งได้เห็นนาฬิกาเรือนนี้เขายิ่งโมโหตัวเอง...
มันคือนาฬิกาคู่ที่เขาและเธอไปดูด้วยกันก่อนที่แจ็คสันจะไปฮ่องกงและเกิดเรื่องขึ้น
พอกลับไปที่ร้านก็ต้องผิดหวังเพราะมันถูกขายไปแล้วและไม่คิดว่าคนที่ซื้อมันไปจะเป็นเธอเอง
"พี่ขอโทษ"
"อืม..."
เหมือนกับห้วงเวลาหมุนกลับ
ทั้งคู่นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นเนิ่นนานไม่ได้ขยับไปไหน
ความอบอุ่นจากแจ็คสันกระจายรอบตัว ใบหน้าหล่อฝังตรงบ่าเล็กพลางจับมือวางบนกล่องนาฬิกาซึ่งเธอก็หยิบมันออกมาสวมให้เขา
"ขอบคุณนะครับ
พี่จะรักษามันไว้อย่างดี" แจ็คสันเอ่ยแผ่วเบา
"รู้แล้ว"
กอหญ้าขยับตัวออกทันทีที่พูดจบทำเอาแจ็คสันหน้าเจื่อนไปเมื่อเข้าใจว่าหมดเวลารำลึกความหลังของเขาแล้ว
แจ็คสันลากลับหลังจากที่กอหญ้าบอกว่าเหนื่อยคงเพราะเธอเพิ่งเดินทางมาถึง
ส่วนตอนนี้เขานั้นทั้งรู้สึกดีใจ เสียใจ
และอึดอัดปนเปกันไปหมดจากที่เคยคิดว่าทุกอย่างระหว่างเขากับเธอไม่เหมือนเดิมทว่ามันกลับไม่ใช่...
มันเหมือนเดิมแต่ในสถานะที่เปลี่ยนไปต่างหากซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาสับสน
กอหญ้ายังยืนอยู่ที่ระเบียงจนเห็นรถของแจ็คสันขับออกไป
...
ไม่รู้ว่าเธอทำถูกหรือผิดที่ทำตามคำแนะนำของฮวางชานซองเรื่องที่ให้เธอปรับความเข้าใจกับแจ็คสันเพราะหากเลือกเจบีก็ไม่จำเป็นต้องโกรธเขาอีกเว้นแต่คิดจะรักเขาอีกครั้งแต่ดูเหมือนสิ่งที่ทำมันล้ำเส้นเกินไปแม้ผลที่ได้นั้นออกมาดี
และหากเจบีรู้เข้าคงต้องโวยวายแน่ๆ
หญิงสาวทอดถอนใจหนักหน่วงใช่ว่าเธอจะไม่รู้ถึงหัวใจของเขาเสียเมื่อไหร่
คนที่เคยรักกันมาก่อนมักมีเส้นบางๆ เชื่อมโยงกันไว้ที่ต่อให้พยายามตัดขาดมากแค่ไหนก็ยังคงมีอยู่
เวลาสองทุ่มครึ่ง...
แฟร์รี่ถือถุงใส่กล่องเค้กเอาไว้มือหนึ่งกำลังโบกมือลาพนักงานคนอื่นในร้านด้วยรอยยิ้ม
วันนี้เธอโชคดีที่เจ้าของร้านแบ่งขนมตัวใหม่มาให้ลองชิม
แต่ขาเรียวก็ต้องชะงักเมื่อร่างสูงของชินยะยืนกางแขนกั้นขวางทางอยู่
"จะไปไหนคนสวย?"
ชินยะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
ปลายนิ้วดันขยับแว่นบนใบหน้าเล็กน้อย
"กลับสิคะ
เลิกงานแล้วนี่" พูดจบก็ทำท่าจะเดินผ่านไปเฉยๆ
จนชินยะต้องคว้าต้นแขนเอาไว้
"เดี๋ยวไปส่ง"
"หืม? ไม่ต้องหรอก" แฟร์รี่รีบปฏิเสธ
"โกรธอยู่เหรอ?
มานี่เลยขึ้นรถ"
ชินยะไม่ยอมท่าเดียวแถมลากเธอมาขึ้นรถตัวเองจนได้อีกต่างหาก
แฟร์รี่เองก็ไม่รู้จะทำยังไง
เธอไม่ได้โกรธอะไรเขาสักนิดเพียงแค่กลัวความลับตัวเองจะแตก
ระหว่างทางชายหนุ่มก็ชวนคุยไปเรื่อยเพราะเห็นแฟร์รี่เงียบๆ ไปจึงรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะมากวนเธอที่ร้านสุดท้ายทนไม่ได้เลยมาดักรอตอนเลิกงาน
"แฟร์มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกผม?"
"เรื่องอะไรเหรอ...
ไม่มีนี่" จะให้พูดได้ยังไงในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ให้เขารู้ไม่ได้
"แฟร์ดูเครียด...
จนน่าเป็นห่วง"
"ขนาดนั้นเชียว...
เรียนเยอะมั้ง อย่ากังวลเลย" คำว่าเป็นห่วงของชินยะทำให้เธอรู้สึกดี
ทว่าก็ได้แต่ปฏิเสธเช่นเดิม
"อืม...
มีอะไรก็นึกถึงผมนะ"
"เข้าใจแล้ว
ขับรถดีๆ นะ"
โชคเข้าข้างเมื่อรถมาถึงหน้าซอยอพาร์ทเม้นต์พอดี
ชินยะรู้ว่าแฟร์รี่ต้องการให้ส่งแค่นี้ เธอลงรถไปแล้วยืนโบกมือรอให้เขาไปก่อนจะเดินเข้าซอยซึ่งเป็นแบบนี้ทุกครั้ง
เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าเธออยู่ตรงไหน
ยอมรับว่าช่วงนี้แฟร์รี่รู้สึกโหยหาที่นอนเป็นพิเศษอาจเป็นเพราะเธอเครียดเรื่องเรียนและงานจนสมองไม่ได้ผ่อนคลาย
กล่องเค้กถูกวางไว้บนโต๊ะเล็กอย่างหมดอารมณ์จะกินตอนนี้อยากพุ่งตัวหาที่นอนอย่างเดียวเท่านั้น
ร่างเพรียวหลับไปหลังจากหัวถึงหมอนได้ไม่นานท่ามกลางบรรยากาศของสายฝนที่เริ่มตกโปรยปรายจนสุดท้ายเทกระหน่ำอยู่ด้านนอก
โฉมหน้าของ... คิมหันต์
เพื่อนร่วมชั้นที่ดูเข้าใจยาก
ความคิดเห็น