ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #4 : EPISODE 03

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ย. 66


    EPISODE 03 

    : บันทึกพิเศษ ฮารุโตะ

    คุณเคยเชื่อเรื่องแวมไพร์ไหม? และถ้าหากคุณเชื่อนิยามของคำว่าแวมไพร์สำหรับคุณคืออะไร ปีศาจที่มีเคี้ยวแหลมคมงอกออกมา มีอายุขัยที่ยาวนับร้อยปี หรือสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการดื่มเลือดจากมนุษย์เท่านั้นงั้นเหรอ ผมขอตอบเลยว่าถูก

    แต่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เมื่อก่อนมันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

    ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ สัตว์ หรือสิ่งของ แน่นอนว่าแวมไพร์อย่างพวกผมก็เช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด

    แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือ พวกเรายังคงแข็งแกร่ง มีพละกำลังมหาศาล ว่องไว และยังต้องการมนุษย์เป็นอาหาร แน่นอนผมไม่ได้หมายถึงการดูดเลือด แต่เป็นการที่เราดูดกลืนพลังงานชีวิตของมนุษย์ผ่านการสัมผัสทางกาย ไม่ว่าจะเป็นการกอด จูบ เล้าโลม หรือแม้แต่การมีเซ็กส์ นั่นแหละคืออาหารชั้นดีสำหรับพวกเราเลย

    “ไงคุณชาย หน้าตาดูอิ่มเอมดีนะมึง มีเรื่องอะไรดีๆ ว่างั้น” ไอ้เบย์ เพื่อนที่มีนิสัยที่เถื่อนเหมือนกับหน้าตาถามผมขึ้น “อืม ประมาณนั้น” ผมตอบมันกลับไปด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นเหมือนกัน ไม่รู้ทำไมแต่ให้ตายสิผมหุบยิ้มไม่ได้

    “ไหนใครแม่งอารมณ์ดีเกินหน้าเกินตากูวะ” ตามมาด้วยเสียงกวนๆ ของไอ้หัวทองที่มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่าคิง และนอกจากนิสัย หน้าตามันก็กวนตีนพอๆ กัน

    “จะเป็นใครไปได้วะ ถ้าไม่ใช่ไอ้คุณชายโตะ” ไอ้เบย์หันไปบอก

    ผมยักไหล่เล็กน้อยเป็นเชิงไม่สนใจคำพูดมัน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดเปิดเข้าไปในอัลบั้มรูปถ่าย ในนี้มีรูปของผู้หญิงคนหนึ่งอยู่หมื่นกว่ารูปได้

    ทุกท่วงท่าและอิริยาบถถูกผมถ่ายเก็บไว้เป็นความทรงจำ ผมเลื่อนนิ้วไปกดขยายภาพล่าสุด เป็นอีกครั้งที่มุมปากผมกระตุกยิ้ม อ่า…คิดถึงเธออีกแล้วสิอันนา

    “ไอ้เบย์ คุณชายโตะแม่งทำหน้าโคตรโรคจิตเลยว่ะ” ไอ้คิงพูดขึ้น

    “กูก็ว่างั้น นี่ถ้าพวกเราไม่อยู่มันคงนั่งเลียจอโทรศัพท์ไปแล้ว” ไอ้เบย์สมทบ

    “ถ้ากูจะเลียจริงๆ ต่อให้มีพวกมึงอยู่กูก็จะเลียว่ะครับ” พูดจบผมก็เงยหน้าขึ้นมาจากจอโทรศัพท์แล้วยักคิ้วให้กับพวกมัน หึ! ถ้าแค่นี้พวกมันคิดว่าจะล้มผมได้ พวกมันคิดผิด มากกว่าเลียผมก็ทำมาแล้ว หึหึ

    “ดูเหมือนอาการมึงจะหนักกว่าที่กูคิดไว้นะไอ้โตะ” เสียงของบุคคลที่สามดังลอดออกมาจากทางประตูหน้าต่างทำให้ผมต้องหันไปมอง ผู้ชายที่ดูง่วงซึมตลอดเวลาคนนี้ชื่อคราวน์ มันมีนิสัยแปลกๆ ที่ชอบเข้าห้องของคนอื่นทางหน้าต่าง

    “ว่าแต่ไอ้โตะ แต่กลิ่นตัวมึงนี่หึ่งเลยนะครับเพื่อนคราวน์” และก็เป็นไอ้คิงจ้าวเดิมที่เอ่ยแซวคนอื่นไปทั่ว ไอ้นี่สงสัยผีเจาะปากมันมาพูด

    “นั่นดิ กลิ่นหอมฉุยเลยว่ะ สงสัยพึ่งแดกอิ่ม” ส่วนนี่เป็นเสียงไอ้เบย์ กลิ่นที่มันหมายถึงคือหลังจากที่แวมไพร์อย่างพวกเราทำการดูดกลืนพลังงานของมนุษย์ไปแล้ว

    จะมีกลิ่นหอมๆ คล้ายกับน้ำหวานของพวกเธอติดตัวมาด้วย เรียกว่ากลิ่นฟีโรโมนคงได้มั้ง แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับวิธีการกินของเรา

    ถ้าเป็นการจับมือหรือแค่กอดกันธรรมดากลิ่นก็จะเบาบางลงมาหน่อย แต่ที่กลิ่นมันแรงมากแบบนี้แสดงว่ามันพึ่งไปมีเซ็กส์กับใครสักคนมา ซึ่งนอกจากแวมไพร์ด้วยกันแล้วพวกมนุษย์จะไม่ได้กลิ่นหอมๆ แบบพวกเราหรอก

    “แล้วตกลงมึงไปกินใครมา รสชาติเป็นไง” ไอ้เบย์ถามต่อ นี่ก็ขี้เสือก

    “หวานดี มึงอยากรู้ก็ลองแกล้งเดินไปแตะๆ ตัวน้องเขาดู ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อน้องอันนา” คราวนี้ผมชะงัก จบคำพูดนั้นไม่รู้ทำไมทั้งเขี้ยวและเล็บอยู่ๆ มันก็งอกออกมา เริ่มรู้สึกว่าอยากเอาเลือดหัวของใครสักคนออกซะแล้วสิ

    “คุณชายโตะมึงใจเย็น คนละอันนากันครับ ไม่ใช่น้องอันนาคนสวยของมึง” แต่ก่อนที่สติผมจะกระเจิงไปมากกว่านี้ไอ้คราวน์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอีกครั้ง

    แล้วไป…นึกว่ามันแอบไปล่อลวงดอกไม้ของผม เมื่อกี้ผมลืมสังเกตไป ว่ารสชาติกลิ่นของมนุษย์จะไม่เหมือนกัน มันก็คงคล้ายๆ กับรสชาติของอาหารล่ะมั้ง

    “จะว่าไปเมื่อไหร่พวกเราจะเจอกับดอกไม้ของตัวเองวะ เห็นแบบนี้แล้วแอบอิจฉาคุณชายโตะมันยังไงไม่รู้ รสชาติของน้องอันนาคนสวยต้องสุดยอดมากแน่ๆ เลยว่ะ” หึ! ผมกระตุกยิ้มทันทีเมื่อไอ้คิงพูดจบ ของมันแน่อยู่แล้ว อันนาพิเศษกว่าใคร

    พวกคุณคงยังไม่รู้สินะว่าผู้หญิงที่เป็นดอกไม้ของแวมไพร์ พิเศษกว่ามนุษย์ธรรมดายังไง ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ก็คงจะคล้ายๆ กับพวกโซลเมท หรือเนื้อคู่ ทันทีที่ดอกไม้ของเราปรากฏตัวจะมีสัญลักษณ์ประจำตระกูลของตัวเองปรากฏขึ้น

    เพื่อบอกให้รู้ว่าคนคนนั้นเป็นดอกไม้ของใคร อย่างของผมเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว อยู่ตรงกระดูกไหปลาร้า ส่วนของอันนาอยู่ตรงหลังใบหู

    ที่สำคัญดอกไม้ของแวมไพร์จะมีกลิ่นหอม ที่ชวนน่าหลงใหลมากกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า หากว่าเธอยังไม่ได้รับการดูดพลังชีวิตจากคู่โซลเมทของตัวเอง นั่นแหละคืออันตรายของแท้

    เพราะดอกไม้ของแวมไพร์ มักจะมีแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามที่สูงมาก ทำให้มนุษย์เพศชายหรือแม้แต่แวมไพร์อย่างพวกผมคลุ้มคลั่งกันได้ง่ายๆ เลยล่ะ อ้อ รวมถึงปีศาจเผ่าอื่นด้วย

    “แต่กูเป็นคนหนึ่งนะที่ไม่อยากเจอดอกไม้งี่เง่านั่น”

    น้ำเสียงเฉื่อยชาของไอ้คราวน์เอ่ยขึ้น มันมองมาที่ผมด้วยสายตาที่น่าโดดถีบมาก ก่อนจะหยิบบุหรี่ออกมาจุดสูบแล้วเงยหน้ามองเพดานโดยไม่พูดอะไรสักคำ

    “หมายความว่ายังไงวะไอ้เฉื่อย” ไอ้เบย์ถาม

    “นั่นดิ ไม่ดีตรงไหน ได้เมียแถมอาหาร” ไอ้คิงตามน้ำ

    “มึงก็ดูสภาพคุณชายโตะของพวกเราตอนนี้สิ” พูดจบไอ้คราวน์มันก็บุ้ยปากมาทางผมพร้อมกับพ่นควันบุหรี่อัดใส่หน้าไอ้สองตัวที่นั่งทำหน้างง อย่าว่าแต่พวกมันเลย ผมก็งงเหมือนกัน ทุกวันนี้ชีวิตผมออกจะมีความสุขดีนี่หว่า

    “พวกมึงลืมสาเหตุที่เราเรียกมันว่าคุณชายโตะไปแล้วเหรอวะ เมื่อก่อนมาดมันให้แค่ไหนก็รู้กันดี บุคลิกนิ่งๆ สุขุม ฉลาด รอบคอบ ดูเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์ได้ดี แต่พวกมึงดูมันตอนนี้เป็นยังไง”

    “โรคจิต สตอล์คเกอร์” ไอ้คิง

    “จู่ๆ ก็ดันกลายเป็นคนใบ้ไปโดยปริยายพอเห็นหน้าดอกไม้ของตัวเอง” ไอ้เบย์

    สุดท้ายพวกมันทั้งสามก็พร้อมใจมองมาทางผมด้วยสายตาที่…นี่พวกมึงเวทนากูเรอะ! ที่จริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกนะ

    แต่ที่ต้องคอยตามติดก็เพราะว่ากลิ่นหอมจากตัวเธอมันเป็นอันตรายต่างหาก ผมเลยต้องตามดูแลเธอเงียบๆ เท่านั้น

    “กลิ่นหอมของอันนามันอันตรายเกินไปพวกมึงก็รู้” ผมโต้ตอบ

    “เหรอ แล้วมันจำเป็นไหมที่มึงต้องมีรูปน้องเขาอยู่ในโทรศัพท์เป็นพันๆ รูป มันจำเป็นไหมวะที่มึงต้องส่งจดหมายหาเขาทุกวัน แล้วไหนจะที่คนทั้งมหาลัยคิดว่ามึงเป็นใบ้อีก” ไอ้คราวน์มันยังรัวกระสุนที่เรียกว่าความจริงใส่ผมไม่ยั้ง

    “ก็แค่คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องคุยกับมนุษย์เท่านั้น”

    “หรา!!!” เข้ากันได้ดีจริงๆ เลยนะพวกมึง

    “แต่กูรู้สึกว่าอันนากำลังกลัวอะไรบางอย่างว่ะ พักหลังมานี้เวลากูเข้าไปหาเธอก็มักจะกรีดร้อง แถมยังร้องไห้ด้วย กลัวถึงขนาดคิดว่ากูเป็นโรคจิตเลยนะโว้ย” ผมบอกออกไปอย่างที่คิด ไม่รู้ว่าเธอกำลังกลัวอะไรกันแน่ ถ้าผมรู้ตัวการคงจัดการไปแล้ว เท่าที่คอยติดตามคอยสังเกตรอบตัวของอันนาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ

    “ก็กลัวมึงไงไอ้โตะ!!!” พวกมันทั้งหมดประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง ส่วนผมได้แต่ทำหน้ามึนๆ ผมเนี่ยนะ! อันนากลัวผมเนี่ยนะ!!

    “บอกตามตรงไม่มีแวมไพร์คนไหนทำเหมือนมึงหรอกคุณชายโตะ” ไอ้เบย์

    “น้องอันนายังไม่รู้เลยว่ามึงมีส่วนร่วมในชีวิตเขาเกือบ 24 ชม.” ไอ้คิง

    “กูว่ามึงควรจะเข้าหาน้องเขาตรงๆ ได้แล้ว” ไอ้คราวน์

    ที่พวกมันพูดมาก็ถูก ทุกวันนี้ผมอยู่ข้างกายอันนาตลอดก็จริง แต่เธอกลับไม่เคยรับรู้ตัวตนของผู้ชายที่ชื่อฮารุโตะคนนี้เลย เธอรู้จักแค่เพียงไอ้โรคจิตที่คอยตามติดชีวิตเธอคนหนึ่งเท่านั้น แถมยังไม่ใช่ความรู้สึกในด้านดีด้วย ผมควรทำอะไรสักอย่าง

    “แล้วกูจะเข้าหาอันนายังไงดี อยู่ๆ มาบอกขอให้คบด้วยจะแปลกไหมวะ” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ที่สำคัญถ้าเธอปฏิเสธผมจะทำยังไงล่ะ

    “มึงใจเย็นก่อนครับคุณชายโตะ เรื่องแบบนี้ต้องใจเย็นจะปุบปับไม่ได้” ไอ้คิงพูดกล่อมเมื่อเห็นว่าผมดูท่าทางจะข้ามขั้นไปไว แต่ทำไงได้ก็ผมมันใจร้อน

    “ไม่ต้องห่วง ความรักของคุณชายโตะเดี๋ยวพวกกูจัดให้” ไม่พูดอย่างเดียว แต่ไอ้เบย์ยังลุกขึ้นมาตบไหล่ผมเบาๆ เป็นเชิงให้กำลังใจอีก เออขอบใจมึงมาก

    “ช่วงนี้น้องอันนาถูกไอ้โรคจิตมันตามติดใช่ไหม” ไอ้คราวน์เกริ่นออกมา เหมือนว่ามันจะมีแผนดีๆ ส่วนโรคจิตที่มันว่านี่หมายถึงผมใช่ไหม

    “ไม่ใช่โรคจิตที่ไหนนั่นมันไอ้คุณชายโตะ” ดีมากไอ้คิงที่พูดแก้ออกมา

    “แต่ถ้าหมายถึงโรคจิตคนนั้นเป็นไอ้โตะ ก็คือมันจริงๆ” อะไรของมึงวะคิง ผมขมวดคิ้ว งงเหมือนกันว่ามันพูดอะไร เหมือนจะรู้เรื่องแต่ก็ไม่

    “ไอ้คิงมึงไปพักไป ที่กูจะพูดคือ…ในเมื่อตอนนี้น้องอันนามีปัญหาเรื่องมีโรคจิตคอยตามติด เราก็ให้โตะมันสวมบทเป็นฮีโร่ซะก็สิ้นเรื่อง นอกจากจะได้อยู่ใกล้ชิดดอกไม้ของมันแล้ว ยังได้ใจน้องอันนาแบบสบายๆ เจอผู้ชายคอยแท็กแคร์ปกป้องแบบนี้ ผู้หญิงคนไหนก็หนีไปไม่รอด”

    “หึหึหึ ฉลาดเหมือนกันนี่หว่าไอ้คราวน์” ผมยิ้มออกมาพร้อมกับคิดไปตามมันพูด แบบนี้มันก็มีแต่ได้กับได้ ผมเคยดูหนังของมนุษย์อยู่หลายเรื่อง ส่วนมากนางเอกจะตกหลุมรักครั้งแรกจากการถูกช่วยชีวิต อันนาเองก็คงเหมือนกัน

    “กูมีเรื่องคาใจอยู่อย่าง” ผมถามเนื่องจากพึ่งนึกขึ้นได้

    “ว่า? ” อืม…พร้อมเพรียงกันดี

    “ทำไมต้องเรียกอันนาของกูว่าน้อง มันยังไง พวกมึงเป็นญาติส่วนไหนของอันนาไม่ทราบ” พูดแล้วก็ขึ้น ในคำว่าน้องที่พวกมันใช้เรียกมันแฝงไปด้วยความหื่น ทำไมผมจะไม่รู้ ผมสัมผัสได้บอกเลย!

    “แค่กูเรียกว่าน้องเฉยๆ มึงก็หวงเนี่ยนะไอ้คุณชายโตะ เรียกน้องน่ะถูกแล้ว พวกเราอายุมากกว่าน้องอันนาเป็นร้อยปี” ไอ้คิงเป็นฝ่ายแก้ตัวคนแรก แต่ช่างเถอะ ครั้งนี้ผมอารมณ์ดีอยู่ ถือว่าให้อภัย

    “ว่าแต่มึงจะเริ่มแผนการเมื่อไหร่โตะ” ไอ้คราวน์ถาม ตอนนี้มันยึดโซฟาริมขวามือแล้วครับ เล่นนอนเหยียดยาวขนาดนั้น เอาเลยครับเอาที่มึงสบายใจไม่ใช่ห้องกู

    “เร็วๆ นี้ กูเป็นพวกใจร้อน” ผมตอบคำถามมัน

    “เอ่อ…ไอ้คุณคราวน์” และในขณะนั้นก็มีเสียงไอ้คิงแทรกขึ้นมา

    “ทำอะไรช่วยเกรงใจเจ้าของห้องแบบกระผมด้วย ตอนนี้กูไม่มีที่นั่งแล้วโว้ย!” ใช่แล้วครับ เจ้าของห้องคือไอ้หัวสีทองนามว่าคิง เวลาเรามีเรื่องที่ต้องคุยหรือปรึกษากันก็มักจะมาหมกตัวอยู่ที่ห้องมัน และบางครั้งที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำ เราก็ยังมาที่ห้องมันเหมือนเดิม คือห้องมันค่อนข้างโล่ง แต่ยังพอมีโซฟาตัวยาว

    ซึ่งมันมีอยู่แค่ 3 ตัวเท่านั้น ตัวแรกผมยึดไว้เอง ส่วนตัวที่สองไอ้เบย์เป็นคนยึด และตัวสุดท้ายคือไอ้คราวน์ แน่นอนว่าพวกผมทุกคนกำลังนอนเหยียดขาอยู่บนโซฟาอย่างสบายใจ ถือว่านิ่มใช้ได้ ผมให้ผ่าน

    “คิง ในฐานะที่กูเป็นรุ่นพี่มึง บอกไว้เลยกูแค่อยากให้รุ่นน้องแบบมึงมีจุดยืนเท่านั้น” ไอ้เบย์พูดขึ้นพร้อมกับนอนกระดิกตีนไปมา

    “แล้วตอนนี้มันดูเป็นยังไง” ผมถาม

    “ดูมีจุดอยู่ขึ้นมาแล้ว” นี่เสียงไอ้คราวน์

    ผมมองตามพวกมันทั้งคู่ อืม…ยืนจริงๆ ด้วย

    “จุดยืนเชี้ยไรกูเมื่อยโว้ย! เกิดก่อนกูแค่ 50 ปี พวกมึงอย่าคิดว่าจะรังแกกูได้นะ”

    “ฮ่าฮ่าฮ่า” และนี่ก็คือเสียงของพวกผม บอกตามตรงว่าแกล้งใครไม่สนุกเท่ากับแกล้งไอ้คิงอีกแล้ว ไอ้นี่มันตามใครไม่ค่อยทันเท่าไหร่ เวลาโดนแกล้งก็จะเอ๋อๆ หน่อย ที่จริงมันก็ไม่ได้อายุน้อยที่สุดในกลุ่มหรอก เพียงแต่น่าแกล้งที่สุด ผมไอ้เบย์ไอ้คราวน์ 150 ปี ไอ้คิง 100 ปี ตามมาด้วยน้องเล็กสุด ยูตะ 85 ปี แต่วันนี้ยังไม่เห็นมันโผล่หัวมาเลย

    “จะว่าไปพวกมึงมีใครเห็นยูตะมันบ้าง” ผมถามสิ่งที่กำลังคาใจ ไม่แน่ใจว่าที่ไม่ค่อยได้เจอมันเป็นเพราะว่าผมไม่สังเกตมันเอง หรือว่ามันหายไปจริงๆ

    “ได้ข่าวว่ามันเจอแล้ว” ไอ้คราวน์ตอบ “ดอกไม้ของมันเอง มันเจอแล้ว” จบประโยคนั้นไอ้คราวน์ก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกรอบ ไม่มีใครเอ่ยคำพูดใดออกมา แต่ที่รู้ๆ พวกมันคงคิดเหมือนผม “หวังว่าดอกไม้ของไอ้ยูตะจะยังมีลมหายใจอยู่นะ”

    : วันถัดมา Anna Talk

    ตอนนี้เป็นเวลา 20.30 เป็นครั้งแรกที่ฉันเลิกเรียนช้าที่สุด ความจริงจะต้องเลิกตั้งแต่ห้าโมงครึ่งแล้ว แต่เนื่องจากวันนี้เนื้อหาที่ต้องเรียนมันเยอะมากกว่าปกติ เลยทำให้กินเวลาของการสอบไปด้วย

    อาจารย์ในคลาสเลยขอความเห็นจากพวกเรา จะเลือกกลับบ้านเลยหรือจะทำข้อสอบวันนี้ให้เสร็จเพื่อที่คาบหน้าจะได้ว่าง และทุกคนตอบว่าทำข้อสอบวันนี้เลย ฉันจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย

    “อันนาเป็นอะไรหรือเปล่า สีหน้าดูแย่มากเลย”

    ขนมเทียนเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง และนี่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว สงสัยสีหน้าฉันมันจะแสดงออกชัดเจนเกินไป ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ฉันจะรู้สึกกังวล ถ้าโรคจิตคนนั้นโผล่มาอีกฉันจะทำยังไง ขอกลับกับขนมเทียนก็ไม่ได้เพราะเธออยู่คนละตึกกับฉัน แถมโซนที่ฉันอยู่ยังไกลกับเธออีกต่างหาก ส่วนผู้หญิงคนอื่นก็ไม่สนิทมากพอจะขอกลับด้วย

    “ไหวไหมเนี่ยอันนาเหงื่อออกใหญ่เลย” นิ้วเรียวของขนมเทียนพยายามเช็ดเหงื่อที่ไหลอยู่ตามกรอบหน้าฉันออก

    “ตัวเธอเย็นเฉียบเลยให้ฉันไปส่งที่หอไหม” จบคำพูดนั้นฉันเงยหน้ามองขนมเทียนทันที ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งที่ไม่ต้องเดินกลับคนเดียว แต่อีกใจกลับรู้สึกเกร็งๆ

    “ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า วันนี้ฉันเอารถมานะ ดูนี่สิ” ขนมเทียนยิ้มกว้างพร้อมกับหยิบกุญแจรถออกมาแกว่งไปมา ถ้าเป็นแบบนี้ฉันค่อยใจชื้นขึ้นหน่อย

    “อื้อ! ขอบใจมากนะ” ฉันยิ้มรับ “ป่ะ กลับบ้านกัน” ขนมเทียนพูดพลางจูงมือฉันให้เดินตาม แต่ก่อนที่พวกเราจะไปถึงรถ ผู้ชายกลุ่มหนึ่งก็เดินมาหาซะก่อน

    “สวัสดีจ้าฮารุโตะและผองเพื่อน” ขนมเทียนเอ่ยทักก่อนจะมองฮารุโตะยิ้มๆ ที่แท้ก็เป็นพวกเขานี่เอง รู้สึกโล่งใจแฮะที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า

    “ทำไมยังไม่กลับหออีกล่ะฮารุโตะมืดแล้วน้า” แม้จะมืดแต่ขนมเทียนผู้ร่าเริงก็ยังคงพกความสดใสมาเต็ม

    ระหว่างขนมเทียนกำลังยืนพูดคนเดียวเจื้อยแจ่ว ฉันก็แอบสำรวจใบหน้าเขาเล็กน้อย ก่อนจะอดรู้สึกทึ่งไม่ได้ เพราะหน้าตาของฮารุโตะดูมีออร่ามาก เนียนใส แถมยังดูมีน้ำมีนวลมากกว่าผู้หญิงบางคนอีก ว่าแต่เขายังโกรธฉันอยู่ไหมนะ

    “เธอว่าไงล่ะอันนา” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกคนข้างกายสะกิด

    “เอ่อ หมายถึงเรื่องอะไรเหรอ” ถามออกไปอย่างมึนๆ

    “ฮารุโตะบอกว่าอยากไปส่งเธอ” ฉันมองหน้าขนมเทียน ภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยฉันเห็นประกายวิบวับในตาเธอ อย่าบอกนะว่า…

    “คือที่จริงเราก็มีธุระแหละ ถ้าอันนาสะดวกไปกับฮารุโตะมากกว่าเราก็ไม่ว่านะ” ชัดเจน ยัยขนมเทียนอยากจะจับฉันใส่พานแล้วถวายให้กับฮารุโตะชัดๆ

    ฮารุโตะ: ‘วันนั้นเห็นอันนาบอกว่าถูกโรคจิตตาม ผมเป็นห่วงเลยอดตามดูไม่ได้'

    เหมือนเห็นขนนกร่วงลงจากฟ้า นี่มัน…เทวดาชัดๆ ชั้นเคยกล้าคิดว่าเขาอาจเป็นโรคจิตได้ยังไง

    ฮารุโตะ: ‘ถ้าไม่รังเกียจให้ผมไปส่งไหม เพื่อนของอันนาจะได้รีบกลับไปพักผ่อน แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ'

    หลังอ่านข้อความจบฉันเงียบไปสักพัก เอาไงดี ขนมเทียนดูอยากผลักไสฉันเต็มที่เลย อีกอย่างถ้าไม่ต้องไปส่งฉันเจ้าตัวคงมีเวลาพักผ่อนมากขึ้น “งั้นเราขอรบกวนด้วยนะ” ฉันยิ้ม

    “เรากลับก่อนนะอันนา ง่วงจังเลย ฮ้าวว” พูดจบเพื่อนตัวดีของฉันก็เดินไปขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกไปทันที ไม่ค่อยจะแสดงเจตนาเลย เฮ้อ

    “แล้วเพื่อนของนาย…” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบก็พบว่ารอบตัวไม่มีใครแล้วนอกจากเราสองคน เมื่อกี้ยังยืนด้วยกันอยู่เลย ทำไมไวกันจัง

    ฮารุโตะ: ‘ทุกคนกลับหมดแล้วครับ’

    “อ้อ ไปไวกันจัง” ฉันพยักหน้าเข้าใจ

    “งั้นเรากลับกันเลยดีกว่าเนอะ” 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×