ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #3 : EPISODE 02

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 66


    EPISODE 02

    20.00 น. ตึก A หอหญิง ห้อง 121

    “อันนา! อันนา!”

    ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อรู้สึกว่ามีใครสักคนกำลังตะโกนเรียก สายตาเริ่มปรับโฟกัสให้เข้ากับภาพของคนตรงหน้า ฉันถึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือสายสิญจน์อาการปวดหัวจี๊ดๆ ทำให้ฉันต้องยกมือขึ้นแตะมันไว้อย่างช่วยไม่ได้ คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด

    “มันเกิดอะไรขึ้น? ” ฉันถามสายสิญจน์พร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วห้อง

    “ฉันสิ! ต้องถามเธออันนามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ฉันก็ได้ยินว่าเธอเป็นลม”

    สายสิญจน์พูดออกมาพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดตามใบหน้าของฉัน ในมือเธอมีพวกยาดมถือติดไว้ เดาได้ไม่ยากเลยว่าเป็นเธอเองที่ช่วย งั้นแสดงว่าโรคจิตคนนั้นหนีไปตอนที่ฉันสลบอยู่? คราวนี้ก็ไม่มีเบาะแสอะไรที่เกี่ยวกับคนร้ายเลย

    “นี่ แล้วรอยบนคอเธอมันคืออะไรเหรออันนา”

    รอยบนคอ? ฉันยกมือแตะลำคอตัวเองโดยอัตโนมัติ ก่อนจะหันไปมองหน้าสายสิญจน์ เธอทำหน้าลำบากใจก่อนจะส่งกระจกบานไม่ใหญ่มากมาให้ สีของรอยมันคล้ำเสียยิ่งกว่าเมื่อเช้า เป็นรอยที่คล้ายกับผ่านการร่วมรักกับใครสักคนมาเสียจนน่ากลัว นี่ฉันไม่ได้โดนกัดเหรอ

    “เกิดอะไรขึ้นอันมา ใครทำกับเธอแบบนี้”

    สายสิญจน์ถามฉัน แววตาเธอฉายความเป็นห่วงอย่างชัดเจน ฉันไม่พูดอะไรนอกจากกลั้นน้ำตาไว้ แล้วมองไปที่เธอเงียบๆ ฉันกลัวมัน...

    “ไอ้โรคจิตนั่นเหรออันนา”

    “ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วสายสิญจน์”

    จบคำพูดนั้นฉันก็ร้องไห้ออกมาทันที ไม่ว่าจะพยายามกลับมาเข้มแข็งเท่าไหร่ ฉันก็จะกลับมาอ่อนแอลงเรื่อยๆ เมื่อต้องเจอกับเขาคนนั้น ตอนนี้ฉันแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว พอคิดว่าวันต่อๆ ไปฉันต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ

    “ไม่เป็นไรนะอันนา ไม่เป็นไร เดี๋ยวทุกอย่างจะดีขึ้นเองเชื่อฉัน”

    สภาพฉันในตอนนี้มันคงดูแย่มาก สายสิญจน์ถึงได้ดึงตัวฉันเข้าไปกอด และฉันเองก็กอดเธอตอบ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่มีเธออยู่ฉันคงเป็นบ้าไปแล้ว

    “ขอบคุณเธอจริงๆ นะสายสิญจน์ขอบคุณ”

    “ขอบคุณอะไรกันล่ะ บอกแล้วไงว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วต่อให้คนคนนั้นจะไม่ใช่ฉันแต่ถ้าเห็นสภาพเธอเป็นแบบนี้ใครที่ไหนจะใจร้ายทิ้งไว้คนเดียวได้ลง”

    “อื้อ” ฉันพยัก มันจะจริงแบบที่สายสิญจน์พูดเหรอ ใครที่ไหนจะใจดีได้ขนาดนี้ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่เพื่อน หรือคนในครอบครัวที่พวกเขารักใคร่ จะมีใครที่ไหนมาสนใจไยดี ฉันรู้ดีว่าเธอต้องการจะปลอบใจ

    ก็ไม่ได้เกลียดหรอกนะ ออกจะดีใจด้วยซ้ำไป สำหรับคนที่หัวใจผ่านเรื่องเจ็บช้ำมาไม่รู้กี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดเล็กน้อยแค่ไหนมันก็สามารถฮีลหัวใจได้อย่างง่ายดาย

    “ลืมบอกเธอไปเลยอันนา ว่าคนที่พาเธอมาส่งที่หอคือพวกแก๊งหลากสีนะ”

    “แก๊งหลากสีเหรอ? ” ฉันมองหน้าสายสิญจน์อย่างคนไม่เข้าใจ

    “ก็แก๊งหนุ่มหล่อที่สาวๆ มหาลัยเรากรี๊ดกันไง รู้สึกว่าเอกลักษณ์ของกลุ่มนี้จะอยู่ที่สีผมนะ ไม่ซ้ำกันสักคน ก็อย่างว่าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง”

    “รู้ไหมว่าเขาชื่ออะไร ผู้ชายที่มาส่งฉันที่หอ” ถามออกไป เมื่อฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ

    “อืม…ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อฮารุโตะนะ เพื่อนในคลาสเรียนเดียวกับเธอใช่ไหม ว่าแต่เขาเป็นใบ้จริงๆ เหรออันนา ตอนอุ้มเธอมาส่งก็ไม่พูดอะไรสักคำ”

    เป็นเขาจริงๆ ด้วย ทำไมรู้สึกว่าพักนี้ ผู้ชายคนนี้มักมีเรื่องให้ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับฉันกันตลอด หรือจะแค่บังเอิญ ความคาใจนี่มันอะไรกัน “สายสิญจน์เธอเห็นมือถือฉันไหม” ลองถามอีกฝ่ายดู เมื่อเปิดกระเป๋าของตัวเองแล้วไม่พบกับสิ่งที่ต้องการ บางทีอาจจะอยู่กับเธอ

    “ไม่เห็นเลยนะ มีเรื่องด่วนหรือเปล่า ยืมของฉันก่อนไหม”

    “โอเค ขอบใจมากนะ” ยิ้มเล็กน้อยเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะรับโทรศัพท์มา ส่วนเจ้าของหมายเลขที่ฉันต้องการโทรไปหานั่นก็คือ

    “กุลดาพูดค่ะ” น้ำเสียงห้าวเอ่ยออกมาจากปลายสายดังขึ้น

    “ขนมเทียนใช่ไหม นี่อันนาเองนะ” ฉันแนะนำตัว เมื่อแน่ใจว่าคนที่คุยด้วยคือใคร “อ้าวเหรอ โทษทีเราเห็นเบอร์แปลกๆ น่ะ” อีกฝ่ายเองก็กลับมาใช้น้ำเสียงปกติพอรู้ว่าเป็นฉัน “ไม่เป็นไรว่าแต่ขนมเทียนพอจะมีเบอร์ของฮารุโตะไหม”

    ถามออกไป แม้ปลายเสียงตัวเองจะเบาเล็กน้อยก็ตาม คือมันแปลกๆ ยังไงไม่รู้ ฉันไม่เคยขอเบอร์ผู้ชายเลย แถมเขากับฉันก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ด้วย

    “ขอโทษนะ แต่เราไม่มีเบอร์ฮารุโตะเลยอ่ะ”

    “ไม่เป็นไรขนมเทียน ขอโทษด้วยนะที่โทรมารบกวน”

    “จ้าๆ งั้นฝันดีนะอันนา ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมาได้ตลอดเลย”

    ฉันกดวางสาย พร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนให้สายสิญจน์ ได้แต่บอกตัวเองในใจว่าอย่าใจร้อน ยังไงฉันต้องได้เจอเขา เราเรียนคลาสเดียวกันต้องหลายวิชา ใจเย็นไว้

    “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าอันนา หน้าตาเธอดูเครียดมากเลย” สติที่หายไปกลับมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกได้ว่าเจ้าของร่างเล็กกำลังโบกมือไปมาอยู่ตรงหน้า

    “อ้อ เครียดเรื่องโรคจิตนั่นน่ะ”

    “ไม่เป็นไรนะ เธอจะต้องผ่านมันไปได้ ส่วนคืนนี้ก็นอนห้องฉันนี่แหละ”

    พูดจบสายสิญจน์ก็หันมายิ้มให้กำลังใจเหมือนอย่างทุกที ส่วนฉันทำได้แค่พยักหน้ารับ นั่งเล่นไปสักพักฉันก็ต้องขอตัวไปอาบน้ำเพื่อเตรียมเข้านอน แต่มันเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับฉัน ทำไมน่ะเหรอ…ร่างรอยที่อยู่ตามตัวนี่ไงที่เป็นปัญหา มันเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

    จุดที่ไม่คิดว่าจะมีได้ มันก็มี และมันเยอะขึ้นทุกวัน อย่างกับเชื้อโรคแบคทีเรียที่กำลังแพร่ระบาด น่าสะอิดสะเอียน

    กว่าฉันจะทำใจอาบน้ำได้ก็ปาเข้าไปสองชั่วโมง แถมก่อนหน้านั้นสายสิญจน์ยังลุกขึ้นมาเคาะประตูห้องน้ำรัวๆ ยัยนั่นคงกลัวว่าฉันจะคิดสั้น พอรู้ว่าแค่อาบน้ำถึงได้เดินไปนอนต่อ ฉันพยายามจะข่มตานอน แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ คงเพราะมีเรื่องให้คิดมาก โดยเฉพาะเรื่องของเขา

    1 อาทิตย์ ต่อมา…

    วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันมาเรียนเหมือนกับทุกครั้ง ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ฉันไม่เห็นฮารุโตะปรากฏตัวในชั้นเรียนเลย แม้แต่แก๊งเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่มาเรียนด้วย เรื่องที่ตั้งใจจะคุยกับเขาเลยต้องพับเก็บไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังโดนบุคคลปริศนาคุกคามอยู่เหมือนเดิม

    ยังดีหน่อยที่พักหลังมานี้มันเบาลงกว่าแต่ก่อน ตอนนี้มีเพียงจดหมายสั้นๆ ที่บอกฝันดีกับมอนิ่งทุกเช้า อ้อ บางวันฉันก็ได้ดอกกุหลาบสีขาวอยู่หน้าห้อง ถ้าถามว่ายังกลัวอยู่ไหม แน่นอนว่าฉันยังหวาดกลัวและระแวง

    ถ้าไม่ชะล่าใจจนเกินไป การที่ฉันเลี่ยงอยู่คนเดียวมันอาจมีส่วนด้วยก็ได้ ถึงคนภายนอกจะมองว่าฉันติดเพื่อนมากก็ไม่เป็นไร

    ถ้ามันทำให้ฉันหายใจหายคอโล่งขึ้น หากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ สักวันมันอาจจะหายตัวไปเลยก็ได้ ว่าไปนั่น!

    “อันนา นั่นฮารุโตะนี่”

    ฉันที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ หันไปมองตามนิ้วที่ขนมเทียนชี้ เขาคือฮารุโตะจริงๆ ด้วย วันนี้หน้าตาก็ยังดูดีมีออร่าคุณชายเหมือนเดิม ที่สำคัญเขากำลังเดินตรงมาทางฉันด้วย

    “นี่มันโทรศัพท์ของฉัน…” เอ่ยออกไปเบาๆ เมื่อร่างสูงตรงหน้าส่งโทรศัพท์ที่อยู่ในมือให้กับฉัน เหมือนเดจาวูเลย วันก่อนก็สมุด “นายเป็นคนเจอมันเหรอ” ฉันถามและเขาก็พยักหน้า

    “แล้ว…นายไปเจอที่ไหนเหรอ” ฉันถามอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้พยักหน้าแต่กลับหยิบมือถือของตัวเองออกมา เหมือนเขาจะกำลังพิมพ์ข้อความนะ

    ‘เจอที่ห้องน้ำ ตอนที่ไปช่วย’

    ฮารุโตะยื่นโทรศัพท์ที่เขาพิมพ์ข้อความเสร็จแล้วให้ฉันอ่าน อย่างนี้นี่เอง ว่าแต่เขาไปทำอะไรในห้องน้ำผู้หญิงกัน ฉันนึกสงสัย แต่พอจะเอ่ยปากถาม ก็ดันสังเกตได้ว่า ที่เรายืนคุยกันนั้นอยู่ในห้องเรียน

    และตอนนี้ฉันก็สัมผัสได้ว่ามีหลายคนกำลังจับจ้องมาที่ฉันกับฮารุโตะเป็นพิเศษ ด้วยความไม่ชอบให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของใครฉันจึงหันไปพูดกับเขาเบาๆ แทน

    “ฉันอยากขอบคุณนายน่ะ ตอนบ่ายโมงช่วยไปเจอกันที่ร้านกาแฟ A ในมอได้ไหม” แน่นอนว่าฮารุโตะพยักหน้ารับ เสี้ยววินาทีนั้นฉันเห็นว่าเขากำลังยิ้ม

    “แน่ะ! คุยอะไรกับฮารุโตะน่ะอันนา” ขนมเทียนที่เห็นว่าฮารุโตะเดินออกไปแล้วรีบหันมายิ้มล้อ ฉันยิ้มนิดๆ ก่อนจะรีบพูดปัด “ไม่มีอะไรหรอกแค่อยากเลี้ยงขอบคุณ”

    “ห๊ะ? ขอบคุณเรื่องอะไร เขาไปทำอะไรให้เธอบอกมาเดี๋ยวนี้เลย”

    “ไม่มีอะไรมาก เขาแค่ช่วยฉันตอนเป็นลมน่ะ เลยว่าจะเลี้ยงขอบคุณ” ฉันเล่าออกไปตามสิ่งที่ได้ยินมาจากสายสิญจน์อีกที พอขนมเทียนได้ฟัง สาวห้าวคนนี้ก็ถึงกับเสียอาการเลยทีเดียว ผู้ชายคนนี้ต้องมีเสน่ห์เหลือล้นขนาดไหนกัน ถึงได้ทำให้ผู้หญิงตรงหน้าฉันเสียการควบคุมได้ขนาดนี้

    “ฉันว่านะ ฮารุโตะเขาต้องชอบเธอชัวร์”

    “เพ้อเจ้อน่า” ส่ายหัวนิดๆ ให้กับการมโนของเพื่อนคนนี้

    “จริงๆ นะอันนา เธออย่าดูถูกเซ้นส์ฉัน”

    “จ้าๆ อาจารย์เข้าแล้ว ตั้งใจเรียนได้แล้ว”

    :บ่ายสองโมง

    ฉันสายแล้ว อยากจะบ้าตาย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนบอกเวลานัดเองแท้ๆ แต่ดันเป็นฝ่ายมาสายซะเอง พอดีคาบสุดท้ายที่เรียนดันเกิดเหตุแอคซิเด้นเล็กน้อย ด้วยความที่ช่วงนี้ฉันค่อนข้างเครียด

    รายงานของอาทิตย์ที่แล้วที่ส่งไป ฉันดันไม่ยอมใส่ชื่อตัวเอง แต่โชคดีที่เหมือนอาจารย์จะจำลายมือของฉันได้ เลยโทรมาบอกให้รีบไปแก้ อย่างที่บอกว่ามหาลัยนี้กว้างมาก กว่าจะเดินจากตึก E ไปตึก B ก็กินเวลาไม่น้อย

    ตอนนี้ฉันแทบจะวิ่งแทนเดินด้วยซ้ำ ส่วนสายตาก็เอาแต่ก้มมองเวลาไปด้วย ถ้าเขากลับไปแล้วฉันจะทำยังไงเนี่ย รู้สึกไม่ดีแฮะปกติฉันเป็นคนเผื่อเวลาตลอดเลยนะ

    ตุ้บ! “ขอโทษนะคะ พอดีฉันรีบ” ด้วยความที่ฉันรีบมากจึงทำให้ชนเข้ากับนักศึกษาคนหนึ่งตอนเดินสวน แย่ล่ะ นอกจากจะซุ่มซ่ามแล้ว ฉันยังทำน้ำที่ถือมาด้วยหกใส่เสื้อเขาอีก ที่สำคัญมันคือน้ำแดง ฉันจะโดนว้ากใส่ไหมเนี่ย

    “ขอโทษจริงๆ ค่ะ คือฉันไม่ได้ตั้งใจ” เอ่ยปากขอโทษอีกครั้งเมื่อฉันเห็นว่า ผู้ชายตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบ “ยังไงเดี๋ยวฉันจะชดใช้ค่าเสียหายให้นะคะ”

    เอายังไงดี ผู้ชายตรงหน้าฉันเอาแต่ยืนนิ่งมองคราบน้ำสีแดงเปรอะอยู่กับเสื้อ เขาเอาแต่ทำหน้านิ่งใส่ ฉันเลยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

    “หอม”

    “คะ? ” ฉันขานรับงงๆ เขาหมายถึงอะไรน่ะ

    “กลิ่นตัวเธอหอมดี โดยเฉพาะแถวคอ”

    ฉันสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อจู่ ผู้ชายที่ดูเซื่องซึมคนนี้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แถมเขายังทำจมูกฟุดฟิดอยู่แถวซอกคอฉันด้วย ด้วยความตกใจฉันเลยยื่นมือผลักเขาออกไปเต็มแรง แต่เขาดันเซถอยหลังไปแค่สองก้าว นี่เขาดูแข็งแรงหรือฉันแรงน้อยไป

    “โทษที กลิ่นตัวเธอมันหอมจนฉันมึน” ไม่ใช่แค่บอกแต่เขายังยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองอีกด้วย สาบานว่าตัวฉันหอมจริง อะไรเนี่ย นี่คือประเด็นเหรอ

    “เอ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ” ด้วยความไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ฉันเลยได้แต่บอกว่าไม่เป็นไร แน่นอนว่าฉันไม่ได้ชอบการกระทำแบบนี้ แต่ก็ไม่อยากติดใจอะไร

    “แล้วเรื่องเสื้อของคุณ…”

    “เธอเอาไปซักให้แล้วกัน คืนได้ที่ตึกวิศวะ บอกไปว่าของวิน”

    “ดะ เดี๋ยวคุณ” ฉันยืนอึ้งเล็กน้อย เมื่อผู้ชายคนนี้ดันถอดเสื้อของตัวเองออกแล้วส่งให้กับฉัน กลางวันแสกๆ แดดเปรี้ยงๆ ด้วย คือที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวไง แต่ยังมีคนเดินไปเดินมาเป็นสิบ แต่ผู้ชายคนนี้กล้าทำ…

    “ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะรีบซักมาคืนนะ” ในเมื่อเขากล้าถอดให้ฉันขนาดนี้ ฉันก็คงต้องรีบแล้วล่ะ “ว่าแต่มันจะดีเหรอ นายไม่ได้ใส่เสื้อ” ฉันถามออกไปพยายามมองข้ามซิกแพกสวยเป็นรอนของคนตรงหน้า ไม่ได้เขินหรอกนะ แต่ฉันแค่อายแทนเขา มีอย่างที่ไหนผู้ชายมาถอดเสื้อกลางแดด

    “หรือว่าเธอจะถอดเสื้อตัวเองมาให้ฉันใส่ไปเรียนแทนล่ะ”

    “เอ่อ…คงไม่ได้หรอก คือเสื้อของฉันมันน่าจะไซต์เล็กกว่าของนายเยอะเลย”

    “ยัยบ้า นี่เธอคิดว่าฉันจะใส่มันจริงๆ เหรอ” อ้าว จะไปรู้เหรอ แน่นอนว่าฉันแค่คิดในใจเท่านั้น ใครจะกล้าเถียงล่ะ ตอนนี้ฉันเป็นฝ่ายผิดนี่นะ

    “ขอโทษนะแต่ฉันต้องไปแล้ว ยังไงจะรีบซักมาคืนนะ”

    พูดจบฉันก็รีบวิ่งออกมาทันที ไม่ดงไม่เดินมันแล้ว เพราะมัวแต่หลงคุยเพลินกับผู้ชายที่ชื่อวินไปซะได้ ถ้ารู้แบบนี้ฉันน่าจะขอเบอร์ฮารุโตะไว้ตอนเจอกันเมื่อเช้า แต่ใครจะคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น ฮารุโตะเขาจะคิดว่าฉันเป็นคนยังไง ป่านนี้คงไม่หนีกลับไปก่อนนะ แต่ถ้าเขากลับจริงๆ มันก็คงไม่ใช่ความผิดของเขาอีกนั่นแหละ

    และในที่สุดฉันก็มาถึงร้านโดยสวัสดิภาพ ในขณะที่ฉันกำลังยืนหอบหายใจอยู่หน้าร้าน สายตาก็มองหาชายที่ไม่คิดว่าจะยังอยู่ในร้านไปด้วย แต่ให้ตายเถอะเขายังรออยู่ ฮารุโตะนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่าง ตรงหน้าเขามีถ้วยกาแฟเล็กๆ ตั้งอยู่

    “ขอโทษนะฮารุโตะ ขอโทษจริงๆ พอดีเกิดเหตุฉุกเฉินน่ะ”

    ฉันรีบอธิบายบอกเหตุผลที่มาช้าให้เขาฟัง ด้วยความที่เหนื่อยจากการวิ่งมาไกล ทำให้คำพูดฉันติดๆ ขัดๆ จนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ฮารุโตะได้แต่นั่งขมวดคิ้วมึนงง

    “แฮ่กๆ ขอโทษนะที่มาช้า ว่าแต่นาย กินอะไรหรือยัง” ฉันถามและเขาก็ส่ายหน้า

    “ยังเหรอ ขอโทษจริงๆ นะ นายอยากกินอะไรอ่ะมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”

    ฮารุโตะ: ‘เค้กนมสด’

    “พี่คะ ขอเค้กนมสดชิ้นหนึ่งค่ะ แล้วก็เค้กบลูเบอรี่ด้วยนะคะ” หลังจากอ่านข้อความในมือถือของฮารุโตะเสร็จฉันก็หันไปสั่งเค้กกับพนักงานทันที

    รอไม่นานเราทั้งคู่ก็ได้เค้กหน้าตาน่าทานมาสองชิ้น ทั้งฉันและฮารุโตะไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เอ่อ…หมายถึงพิมพ์น่ะ ตอนนี้เราต่างจดจ่ออยู่กับเค้กตรงหน้า ไม่นานก็หมดเรียบร้อย ฉันจึงคิดว่าตอนนี้แหละที่ควรจะเข้าเรื่องได้แล้ว

    “คือว่านะฮารุโตะ” เกริ่นนำออกไปนิดหน่อย ฮารุโตะที่เอาแต่จดจ่อกับแก้วนมจึงหันมามองหน้าฉัน ตาแป๋วเชียวแล้วจะพูดยังไงดีเนี่ย

    “ขอบคุณนะที่นายช่วยฉันไว้ แต่ว่าฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากถามน่ะ” พูดออกไปแล้ว แน่นอนว่าฮารุโตะยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่ฉันจะพูด วูบหนึ่งกลับคิดว่าจะใช่เขาแน่เหรอผู้ชายคนนี้ ดูใสซื่อขนาดนี้ แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องตัดสินใจถาม

    “นายใช่ผู้ชายที่คอยตามติดฉันหรือเปล่า นายใช่โรคจิตคนนั้นไหม”

    พูดออกไปแล้ว ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายถามออกไปเอง แต่กลับนั่งก้มหน้าหลบตาซะงั้น ไม่ได้นะอันนาเงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเธอไม่คอยจับพิรุธก็ไม่รู้สิว่าใช่หรือไม่ใช่ เรื่องแบบนี้ใครจะมายอมรับตรงๆ ล่ะ ที่จงใจถามไปโต้งๆ เพราะแค่อยากลองเชิงดูปฏิกิริยายาของเขาเท่านั้น

    “ฮารุโตะนาย…” แต่ใครจะรู้ล่ะว่าทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ฉันจะได้เห็นชายตรงหน้านั่งตัวสั่นราวกับลูกนก เป็นเขาเองเหรอที่เป็นโรคจิต ไม่สิหรือว่าจะแค่เสียใจที่ฉันทำเหมือนเขาเป็นคนร้ายโดยไม่มีหลักฐาน

    “คือฉันไม่ได้จะใส่ร้ายนายหรอกนะ แค่ถามดูเฉยๆ เท่านั้นเองใจเย็นนะ”

    ฮารุโตะ: ผมดูเป็นคนโรคจิตขนาดนั้นเลยเหรอครับ?

    “กะ- ก็ไม่หรอก นายดูปกติจะตายไป” บอกออกไปตามที่คิด รู้สึกแย่จังเลยแฮะที่ไปกล่าวหาเขาโดยไม่มีหลักฐาน ถึงจะบอกว่าลองเชิงก็เถอะแต่ไม่สังเกตถึงพิรุธอะไรเลย ที่จริงฉันน่าจะหาวิธีที่มันนุ่มนวลว่านี้ ทว่าจะใช้วิธีไหนล่ะ ตอนนี้สมองมันตื้อไปหมด

    ฮารุโตะ: ขอโทษนะครับที่เหมือนโรคจิต ทำให้อันนากลัว

    “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหาว่านายเป็นโรคจิต ขอโทษจริงๆ นะ พอดีช่วงนี้เจอแต่เรื่องแย่ๆ น่ะ เลยพาลคิดว่านาย…”

    ฮารุโตะ: เป็นโรคจิตเหรอครับ

    “อื้อ ขอโทษจริงๆ นะ”

    ฮารุโตะ: ไม่เป็นไรครับ อันนาคงเจอเรื่องหนักใจมาเยอะ ผมขอตัวก่อนนะครับ

    ยังไม่ทันที่ฉันจะอ่านข้อความละเอียดดี ฮารุโตะก็ลุกออกไปซะก่อน แม้แต่ค่าอาหารเขายังไม่ยอมให้ฉันจ่ายแทนเพื่อเป็นการขอโทษ นี่ฉันโดนโกรธแล้วใช่ไหม? 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×