ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #23 : EPISODE 22

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 67


    EPISODE 22

    บันทึกพิเศษ: วิน

    “นายไม่เป็นไรนะ? ” หญิงสาวตัวเล็กเอียงคอถาม สองเท้าค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ร่างของผมที่นอนกองกับพื้น เธอมองบาดแผลตามร่างกายผมด้วยใบหน้าแหยแก ทำราวกับว่าเป็นตัวเองที่บาดเจ็บ ฝ่ามือเล็กหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋า มันคือพลาสเตอร์ลายหมีน้อยสีน้ำตาล ลายน่ารักๆ นั่นถูกวาดหน้ายิ้มทับลงไปด้วยปากกาเมจิก

    “เพี้ยง! เดี๋ยวก็หายนะ” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ย พร้อมกับหยิบพลาสเตอร์ของตัวเองแปะลงตามร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดซิบอันเกิดจากไม้แขวนเสื้อ

    “ขอบใจ” ผมเอ่ยมองใบหน้าน่ารักที่หันมายิ้มให้จนตาหยี สำหรับเด็กอายุ 7 ขวบในตอนนั้นอย่างผมแค่มีคนเอ่ยคำว่า 'ไม่เป็นไรนะ' ก็เหมือนได้รับการเยียวยาจากพระเจ้า เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับความอบอุ่นจากใครสักคนนอกจากแม่แท้ๆ ของตัวเอง

    ผมเกิดในครอบครัวชนชั้นรากหญ้า มีแม่ที่แสนใจดีและอบอุ่น แต่ไม่นานคนที่คอยค้ำจุนผมอย่างท่านก็เสียไป เหลือเพียงพ่อเลี้ยงที่ไม่ค่อยสนใจผมเท่าไหร่ นอกจากกินเหล้าไปวันๆ งานอดิเรกของหมอนั่นคือการทุบตีผม เพื่อคลายเครียด

    ตอนนั้นผมเป็นแค่เด็กผู้ชายแห้งผอมกะหร่องที่เหมือนกับคนขาดสารอาหาร ตั้งแต่ได้พบกันคราวก่อน หญิงสาวตัวเล็กๆ คนนั้นก็มักจะแอบเอาของกินมาให้ผมบ่อยๆ

    “นายชื่ออะไรเหรอ? ” วันหนึ่งเธอได้เอ่ยถามผม

    “วิน เธอล่ะ” ผมถามกลับเนื่องจากเราเริ่มสนิทกันมากขึ้น

    “เราชื่ออันนา เราเป็นเพื่อนกันตลอดได้มั้ยวิน” คนตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ผมพยักหน้าตอบตกลงทันที

    อันนาเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมีเพื่อน แม่เธอค่อนข้างเป็นห่วง ส่วนมากจะขังเธอไว้แต่ในห้อง นานทีถึงจะแอบออกมาได้

    “ได้ยินมาว่าที่บ้านเราจะย่างเนื้อกินด้วยล่ะ ไว้พรุ่งนี้อันนาจะเอามาแบ่งวินนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะโบกมือบ้ายบายผม

    นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เห็นรอยยิ้มของอันนา ก่อนจะเกิดเรื่องราวแย่ๆ ตามมา ในคืนหนึ่งผมถูกพ่อเลี้ยงของตัวเองซ้อมเหมือนอย่างเคย และยิ่งรุนแรงขึ้นจนร่างกายเด็กตัวเล็กๆ ทนบาดแผลไม่ไหว ผมกำลังจะตาย ทว่าก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้า

    “เธอคือลูกชายของภูมินทร์สินะ” ริมฝีปากแดงสดเอ่ยชื่อพ่อแท้ๆ ของผม ดวงตาเย็นชาราวน้ำแข็งจ้องมองผมคล้ายสงสารแต่ก็เจือไปด้วยความสมเพช

    “อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไหมเด็กน้อย ชีวิตที่อมตะ แข็งแกร่ง” เธอถาม ขยับเท้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย ก้มมองผมที่นอนหายใจรวยรินในห้องโทรมๆ

    “ยะ อยากมีชีวิต” แม้ร่างกายจะรู้สึกปวดร้าวทุกครั้งที่หายใจหรือขยับตัว ผมก็พยายามฝืนตอบหญิงสาวตรงหน้า อยากแข็งแกร่ง อยากมีชีวิตที่ดี

    “ได้ ถ้างั้นต่อไปนี้นายคือลูกชายของฉัน!” จบคำพูดนั้น ชีวิตในฐานะมนุษย์ของผมก็ได้สิ้นสุดลง

    ผมแข็งแกร่ง รวดเร็ว ว่องไว ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถรังแกผมได้ง่ายๆ เป็นชีวิตที่ไม่เคยใฝ่ฝันว่าจะมี ผมในวัยนั้นดีใจจนแทบอยากจะวิ่งไปบอกเพื่อนสาวตัวเล็กให้ได้รู้เรื่องราวมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทว่า…อยู่ๆ ครอบครัวของเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

    ผมไม่มีเวลาเศร้าเสียใจมากนัก ไม่กี่วันต่อมา ผมก็ได้รู้ว่า หญิงสาวที่ช่วยชีวิตผมในคืนนั้นเป็นใคร เธอคือราชินี ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุด สาเหตุที่รับผมเป็นลูกชายมีเพียงอย่างเดียว คือเพื่อใช้กำจัดผู้หญิงคนหนึ่งในอนาคตเท่านั้น

    ในสายตาของแวมไพร์ตนอื่น ผมคือลูกชายที่ราชินีรักและหมายมั้นให้เป็นราชาคนต่อไป ทว่าความจริงผมก็เป็นได้แค่หมากตัวหนึ่งของเธอเท่านั้น เธอจงใจหยิบยื่นอำนาจและเงื่อนไขจอมปลอมให้ผมขึ้นเป็นราชา ต้องการให้คำสาปร้ายที่เธอเชื่อ ลงที่ผมแต่เพียงผู้เดียว

    ผมก็รับปากจะทำมัน ทว่าใครจะรู้ว่าผู้หญิงในอนาคตที่ผมต้องจัดการจะเป็น 'อันนา' แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวของผมเอง แน่นอนว่าผมทำร้ายอันนาไม่ลง ราชินีเองก็รู้เรื่องนี้ดี เธอถึงได้เปลี่ยนแผน ผลักอันนาและดอกไม้คนอื่นเข้าหาผมแทน

    ก๊อก! ก๊อก!

    “เข้ามา” เอ่ยคำอนุญาตก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับผู้มาเยือน

    “คุณวินครับ ผู้นำตระกูลอื่นมาถึงแล้ว” หนึ่งในลูกน้องผมเอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อม พร้อมกับผายมือเล็กน้อยเพื่อเชิญไปที่ห้องประชุม

    ผมก้าวเท้าตามไปทันที การประชุมที่ว่าคือการปรึกษาระหว่างตระกูลอื่นที่ถูกเรียกว่าผู้ล่า หรือพวกที่ไม่มีดอกไม้เป็นของตัวเอง นอกจากหวังอำนาจสูงสุดหัวหน้าแต่ละตระกูลก็ยังหวังในพละกำลังที่มหาศาลและแข็งแกร่งจากการได้ครอบครองดอกไม้

    “ขอบใจมากที่ช่วยส่งข่าวเรื่องดอกไม้ของไอ้ฮารุโตะ” ไอ้เพลย์หัวหน้าตระกูลที่หกเอ่ยกับผมด้วยท่าทางยินดี ผมแค่นหัวเราะมันควรขอบคุณลูกน้องของราชินีต่างหาก

    “กูไม่ได้บอกแค่มึงหรอกเพลย์ กับตระกูลอื่นกูก็บอก ยังไงถ้าจะล้มไอ้ฮารุโตะที่นับวันยิ่งแข็งแกร่งเราก็ต้องร่วมมือกัน” ผมเอ่ยไปตามน้ำ ไอ้เพลย์มันน่าเสียทันทีเมื่อผมพูดจบ ส่วนไอ้ทีเคก็หัวเราะหึหึด้วยความสะใจ มันคิดว่าแค่ตระกูลมันจะทำอะไรไอ้ฮารุโตะได้สินะ

    “กูก็พูดไปงั้น พวกเราทั้ง 3 ตระกูลยังไงก็ไม่มีทางขาดทุน ถ้าศึกครั้งนี้พวกเราชนะ ดอกไม้มีตั้ง 3 คนก็แบ่งให้เท่าๆ กัน ถึงจะไม่ได้สิทธิ์ขึ้นเป็นราชา ถ้าแลกกับความแข็งแกร่งที่ได้มาก็คุ้มไม่น้อย” ไอ้เพลย์พูดต่อ เท้าคางมองผมกับไอ้ทีเคอย่างมีเลศนัย

    “ประเด็นคือดอกไม้ของไอ้ฮารุโตะ ได้ข่าวว่ามีพลังสูงมากกว่าดอกไม้คนอื่น ใครล่ะจะเป็นคนได้เธอไป” ไอ้ทีเคพูดต่อ มองผมราวกับต้องการคำตอบว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ พวกมันคงรู้สึกไม่แฟร์ถ้ามีใครคนหนึ่งได้ตัวอันนา

    “เรื่องนั้น…เอาไว้ตกลงอีกครั้งหลังจัดการไอ้ฮารุโตะให้ได้ก่อน งานนี้ไม่ใช่ของกล้วยๆ” ผมไม่ตอบคำถามเลือกที่จะคุยเรื่องอื่นแทน

    “นั่นสิ จริงอย่างที่มึงพูดวิน เอาเรื่องไอ้ฮารุโตะให้รอด” ไอ้เพลย์ก็พยักหน้าเห็นด้วย

    “หึ! ได้ เพื่อความแน่ใจ กูอยากแนะนำคนที่จะมาร่วมมือในครั้งนี้อีกคน” ทีเคมันพูดขึ้น ก่อนจะกระซิบบางอย่างกับลูกน้องของตัวเอง ไม่นานชายผมสีเงินดวงตาสีฟ้าอ่อนก็เดินมาปรากฏอยู่กลางห้อง

    “สวัสดีไอ้พวกผีดิบ” พูดจบชายตรงหน้าก็ไล่สายตามองพวกผมทีละคน อย่างกับต้องการประเมินคู่ต่อสู้

    “มึงร่วมมือกับพวกหมาป่า” ผมหันขวับ มองไอ้ทีเคด้วยความไม่พอใจ

    “ใช่ นี่เป็นโอกาสที่เราจะชนะพวกมัน สายข่าวกูรายงานมาว่าพวกไอ้กวินกับไอ้แซ็กก็เริ่มทยอยกลับคฤหาสน์แล้ว อีกไม่นานพวกมันได้ร่วมมือกันอีกครั้งแน่”

    “มึงรู้อยู่แก่ใจว่าพวกเรากับพวกหมาป่าจะไม่ข้องเกี่ยวกัน”

    “แล้วถ้าราชินีเป็นคนเสนอล่ะ”

    จบคำพูดของไอ้ทีเคผมก็ได้แต่นิ่ง ที่แท้ก็เป็นผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว อยากทำลายอันนาถึงขนาดยอมแหกกฎที่ตัวเป็นคนบัญญัติ การประชุมในครั้งนี้คงจะเป็นฝีมือของเธอด้วย

    “ดูก็รู้ว่าราชินีอยู่ข้างมึง มั่นใจในตัวเองหน่อยไอ้วิน” ทีเคพูดต่อ มันลุกขึ้นมาตบไหล่ผมเบาๆ เหอะ! เหรอวะ ผมถอนใจปรายตามองพวกที่เหลือ

    “หวังว่าพวกหมาป่าแบบพวกมึงจะมีประโยชน์” เอ่ยออกไปแค่นั้น ก่อนผมจะสาวเท้าออกจากห้องทันที สองมือกำหมัดแน่นจนเล็บหนาของตัวเองจิกเข้าเนื้อ

    กับพวกหมาป่าที่กล้าลักพาตัวอันนาไปต่อหน้าผมเนี่ยนะ ไม่มีทางที่ผมจะยอมรับง่ายๆ แน่ คิดว่าผมไม่รู้เหรอหมาป่าพวกนี้มันต้องการอะไร

    “คุณวินครับ ตระกูลอื่นอยากให้ทางเราเลื่อนการประชุมในครั้งต่อไปให้เร็วขึ้น”

    “จัดการไปตามที่พวกนั้นขอ”

    “คุณวินจะเข้าร่วมด้วยไหมครับ” ผมชะงัก ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ คงคุยแต่เรื่องเดิม “แน่นอนฉันต้องเข้าร่วมอยู่แล้ว” ในฐานะสปายที่เคยจงรักภักดีต่อราชินีผู้ยิ่งใหญ่

    จบบันทึกพิเศษ: วิน

    2 วันต่อมา

    “สวัสดีค่ะน้องอันนา พี่ชื่อนาโอมิ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”

    “ส่วนพี่ชื่อแคทเธอรีน เรียกสั้นๆ ว่าแคทก็ได้ฝากตัวด้วยเช่นกันนะ”

    “เอ่อ…สวัสดีค่ะ” ฉันตอบกลับยิ้มๆ มองสองสาวหุ่นสะบึมตรงหน้าด้วยท่าทางเกร็งๆ แม้ทั้งคู่จะดูใจดีและเป็นมิตรทว่าก็ไม่สามารถลบออร่าอันน่าเกรงขามของแวมไพร์ได้

    “ไม่ต้องเกร็งนะครับ สองคนนี้มาเพื่อดูแลอันนา” ฮารุโตะแตะไหล่ฉันเบาๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ ฉันหันไปสบตาทั้งคู่อีกครั้ง พบว่าทั้งคู่ก็กำลังพยักหน้าน้อยๆ ราวกับเป็นการยืนยัน

    “ถ้างั้นหนูฝากตัวด้วยนะคะ” จบคำพูดของฉันพี่แคทกับพี่นาโอมิก็ยิ้มกว้างทันที

    “เก่งมากครับ เด็กดี” ตามด้วยฮารุโตะที่ยกมือขึ้นลูบหัวฉันป้อยๆ ทำเอาฉันต้องยกมือมาตีเขาเบาๆ เป็นเชิงให้หยุดล้อเล่น ชอบทำเหมือนฉันเป็นเด็กตลอด

    “ให้คนมาดูแลฉันอย่างนี้แสดงว่านายกำลังจะไปไหนหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถาม สังเกตได้จากเวลาที่เขาอยู่ด้วยแทบจะไม่มีแวมไพร์ตนไหนได้เฉียดใกล้ฉัน

    “หืม? เริ่มสนใจผมแล้วเหรอครับ” ร่างสูงอมยิ้ม คว้าเอวฉันเข้าไปกอดโดยไม่เกรงใจสายตาลูกน้องของเขาที่อยู่ในห้องเลย “จริงหรือไม่จริงล่ะ” ฉันไม่สนใจท่าทางเย้าแหย่ของฮารุโตะถามอีกฝ่ายเสียงเข้ม อยากจะไปก็ไปเหรอน่าโมโหจริงๆ

    “ใช่ครับ ผมมีเรื่องต้องคุยกับผู้นำตระกูลอื่น เห็นว่าฝั่งนั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

    “นายทิ้งฉันไว้คนเดียวอีกแล้วนะ” น้ำเสียงฉันเริ่มแข็ง รู้สึกขอบตากำลังร้อนผ่าว ครั้งก่อนเขาก็พูดคำนี้ทำเหมือนฉันมีหน้าที่แค่รอให้เขากลับมาเท่านั้น

    “อันนา…นี่เธอ” ฮารุโตะเบิกตากว้าง มองฉันอย่างอึ้งๆ ดวงตาลสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกายระยับ

    “ฉัน…” ไม่รู้อะไรดลใจให้อยู่ๆ ก็เกิดความน้อยใจ ทั้งที่ไม่เคยมีสักครั้งที่จะรู้สึกอย่างนี้ ฉันเบือนหน้าหนีสายตาแพรวพราวของฮารุโตะ น่าอายเกินจะกล้าสบตา

    “เธอสองคนออกไปก่อน” ใบหูฉันได้ยินฮารุโตะเอ่ยบอกพี่นาโอมิกับพี่แคท “ค่ะคุณชาย” สิ้นเสียงของทั้งคู่ฮารุโตะก็ค้อมตัวมาสบตาฉันที่ยืนก้มหน้า

    “อ๊ะ!” การกระทำดังกล่าวทำให้หัวใจดวงน้อยของฉันเต้นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ฉันก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติสัมผัสได้ว่าถ้าเขายังยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีก เขาต้องได้ยินเสียงหัวใจที่เอาแต่เต้นไม่หยุดแน่

    “โอ๊ะ! จะหนีไปไหนครับ” ทว่าเป็นฮารุโตะที่ยื่นมาจับข้อมือฉันไว้เสียก่อน ฉันเม้มปากแน่นก้มหน้าจนแทบชิดอก เขาต้องคิดว่าฉันทำตัวเป็นเด็กน้อยไร้สาระแน่เลย

    “อันนาครับ เงยหน้าให้ผมเห็นหน่อยสิ” เขาโน้มน้าว

    “นะครับคนดี ขอผมมองหน้าสวยๆ ให้ชัดหน่อย” ฮารุโตะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือหนาค่อยๆ เชยคางให้หันมาสบตากับตัวเอง

    “ร้องไห้ทำไมหืม ผมไม่เคยคิดโกรธอันนาเลยนะ กลับกันชอบด้วยซ้ำที่เธอแสดงออกชัดเจนว่าอยากอยู่กับผม เพราะผมเองก็อยากอยู่กับเธอตลอด”

    เอ่ยจบร่างสูงก็โน้มตัวลงมา ก่อนหน้าผากของเราทั้งคู่จะเลื่อนมาชนกัน ฮารุโตะจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉัน คล้ายต้องการสื่อความหมาย ฝ่ามือหนายื่นมาเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ฉันกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร้องไห้ทำไมกับเรื่องแค่นี้ รู้สึกแค่ว่าช่วงนี้ตัวเองอ่อนไหวง่ายเหลือเกิน

    “งั้นอันนาไปประชุมกับผมไหม ยังไงเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับอันนาโดยตรง ที่ผมไม่อยากพาไปเพราะกลัวว่าเธอจะเครียด อีกอย่างเธอไม่ชอบถูกใครจ้องมองผมเลยคิดว่าน่าจะดีกว่า” ฮารุโตะอธิบายราวกับกลัวฉันจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ฉันที่เห็นดังนั้นจึงส่ายหน้าน้อยๆ

    “ไม่ต้องหรอก ไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องโทษฉันที่พักนี้เห็นอะไรก็อ่อนไหวง่าย” เอ่ยออกไปอย่างที่คิดก่อนที่ฉันจะส่งยิ้มกว้างไปให้ ผลข้างเคียงของคนท้องสินะ

    “แน่ใจนะครับ” ฮารุโตะย้ำ

    “แน่ใจที่สุดเลย” และฉันก็พยักหน้ารัวเป็นการยืนยัน

    หลังจากนั้นฮารุโตะก็เรียกพี่นาโอมิกับพี่แคทให้เข้ามา โดยไม่ลืมกำชับให้ทั้งสองดูแลฉันดีๆ “ผมไปแล้วนะครับ” ร่างสูงหันมาพูดยิ้มๆ จงใจล้อกันใช่ไหม ฉันเบ้ปากโบกมือไล่รัวๆ

    “น้องอันนาเก่งจังเลยนะคะ” พี่แคทพูดขึ้นเมื่อฮารุโตะเดินพ้นประตู ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย

    “คะ? ” ไม่แน่ใจว่าพี่แคทต้องการจะสื่อว่า

    “ก็เล่นปราบคุณชายซะอยู่หมัด ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่ได้เห็นใบหน้าอ่อนโยนแบบนี้ได้หรอก ขนาดราชินีแม่แท้ๆ ของคุณชายยังทำไม่ได้” พี่นาโอมิพูดเสริม ป้องปากกระซิบราวกับกลัวใครจะได้ยิน

    “เมื่อก่อนฮารุโตะเป็นคนยังไงเหรอคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย เข้าใจว่าหัวหน้าตระกูลต้องมีออร่าความน่าเกรงขามอยู่แล้ว แต่พวกเขาดูจะเกร็งกับฮารุโตะจนมากเกินไป อยู่ต่อหน้าเขาแวมไพร์พวกนี้เหมือนกับหุ่นยนต์ไม่มีผิด แทบไม่กล้าสบตาหรือขยับตัว

    “เงียบขรึม เย็นชา น่ากลัว คุยด้วยทีไรก็เหมือนกับถูกสูบวิญญาณไปด้วย”

    “ถึงอย่างนั้น คุณชายถือว่าเป็นคนฮอตมากๆ เลยนะคะในหมู่แวมไพร์ เธอจำยัยยูริได้มั้ยนาโอมิ แม่นั่นตัวดีเลย หวังอยากขึ้นเป็นนายหญิงสุดท้ายถูกเขี่ยทิ้ง”

    เหมือนแวมไพร์จะช่างเมาส์ไม่ต่างจากมนุษย์นะ ประโยคสุดท้ายพี่แคทหันไปคุยกับพี่นาโอมิที่ได้แต่ยิ้มแหยๆ ว่าแต่ยูรินี่ใช่สายสิญจน์ไหมนะ

    เพี้ยะ! “จะนินทาเจ้านายก็เอาให้พอดีหน่อย น้องอันนาก็อยู่ด้วย” พี่นาโอมิฟาดไปที่ขาเพื่อนเต็มแรง เมื่อเห็นว่าฉันได้แต่นั่งทำหน้างง ฟังวีรกรรมของฮารุโตะ

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อันนาไม่ถือ” ยังไงมันก็เป็นเรื่องของอดีต

    “เห็นมั้ย ยังไงน้องอันนาก็เป็นตัวจริงนั่งสวยๆ บนบัลลังก์อยู่แล้ว”

    พี่แคทพูดขึ้นด้วยท่าทางพอใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผายมือทั้งสองขึ้นราวกับเป็นผู้ชนะ ฉันได้แต่นั่งหัวเราะให้กับการกระทำน่ารักของเธอ นั่งฟังเรื่องเล่าของพวกแวมไพร์ไปเรื่อย มีทั้งเรื่องว้าวและเรื่องยี้ แต่ก็สนุกและน่าตื่นเต้นไม่น้อย

    “พี่นาโอมิ ว่าแต่ทำไมตระกูลที่ 1 ถึงได้มีแต่ชื่อญี่ปุ่น ไม่ใช่ว่าเป็นคนญี่ปุ่นหมดเลยเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ แถมทุกคนหน้าก็ไม่ได้ไทยจ๋า ออกแนวลูกครึ่งส่วนใหญ่

    “แต่เดิมพวกเราก็อยู่ที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคแรกแล้วล่ะ ชื่อเลยต้องตั้งให้เข้ากับคนที่นั่น ส่วนประเทศไทยพวกเราพึ่งย้ายตามคุณชายมาได้ไม่กี่ปี” พี่นาโอมิอธิบาย ส่วนฉันก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ คงเป็นช่วงเดียวกับที่มหาลัย C ก่อตั้งได้ไม่นาน

    “พี่นาโอมิคะ อันนาอยากไปเดินยืดเส้นยืดสายสักหน่อย” เอ่ยบอกคนตรงหน้า นั่งนานชักจะเมื่อยแล้ว ฟังจากที่พวกเธอเล่าที่นี่คงมีสถานที่สวยๆ อยู่ไม่น้อย

    “ได้สิคะ น้องอันนาอยากไปที่ไหน”

    “ที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ ที่พวกพี่พูดถึงเมื่อกี้ไงคะ” เอ่ยความต้องการออกไป พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างไปให้ทั้งสอง มีเวลาก็อยากสำรวจคฤหาสน์เสียหน่อย

    “สงสัยเราทั้งคู่จะโดนน้องอันนาเล่นซะแล้ว” พี่แคทพูดขำๆ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยเป็นการอุ่นเครื่อง ส่วนพี่นาโอมิก็เดินไปหยิบเสื้อกันหนาวขนเฟอร์ออกมาก่อนจะยื่นให้ฉันใส่

    “ช่วงเย็นอากาศที่นี่ค่อนข้างหนาว ใส่ไว้นะคะเดี๋ยวจะไม่สบาย มนุษย์ยิ่งป่วยง่าย”

    “ขอบคุณค่ะ แล้วพี่สองคนไม่เป็นไรเหรอคะ”

    “ฮ่าฮ่า พวกพี่คือแวมไพร์นะ ชอบอากาศเย็นที่สุดเลยล่ะ” พี่แคทตอบยิ้มๆ นั่นสินะลืมคิดเลย หลังจากเตรียมตัวเสร็จฉันก็เดินไปสวมรองเท้าแตะสำหรับออกไปข้างนอก

    “โอเค ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ แต่พวกพี่คงพาไปได้แค่สวนทางทิศใต้นะคะ มากกว่านี้คงเกินกำลัง” พี่แคทพูดขึ้นขณะเรากำลังเดินลงบันได

    “ทำไมล่ะคะ? ” จำได้ว่าคราวก่อนฮารุโตะเล่นพาฉันทัวร์ตั้งหลายที่แถมบอกว่าอยากไปไหนก็จะให้ไป “ทิศใต้อยู่ในอณาเขตของตระกูลที่ 1 ค่ะ”

    อย่างนี้นี่เอง ถ้าอยู่ในถิ่นตัวเองก็ไม่ต้องกลัวอะไรสินะ ทำตัวเหมือนเจ้าของสวนสนุก ที่จงใจปล่อยเด็กตัวเล็กแบบฉันให้เที่ยวเล่นได้ตามใจชอบ ฟังดูแล้วช่างเฟอร์เฟกเป็นชีวิตที่มีอิสระ จะไปไหนทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่ยังวิ่งอยู่ในสวนสนุกแห่งนี้

    “สมกับเป็นนายจริงๆ” ฉันบ่นพึมพำ ไม่ได้เกลียดวิธีการของเขาสักนิด เพราะทุกอย่างที่ฮารุโตะทำไปก็เพื่อตัวฉันกับลูก แต่มันก็อดทึ่งไม่ได้

    “อ้าว น้องอันนาไม่เดินเล่นแล้วเหรอจะไปไหนน่ะ ชั้นนี้มัน…” ไม่ทันที่พี่แคทจะพูดจบ ฉันก็เดินตรงไปยังระเบียงข้างหน้า สายตาจับจ้องไปที่หมู่ดาวบนฟ้า พวกมันกำลังส่องแสงระยิบระยับไปทั่วท้องฟ้า ความสวยงามในครั้งนี้ทำเอาฉันไม่สามารถละสายตาไปไหนได้

    “น้องอันนา? ” พี่นาโอมิเอ่ย วิ่งตามฉันมาติดๆ ก่อนจะทอดสายตาไปยังดวงดาวบนฟ้า

    “อันนาขอเดินเล่นแถวนี้แทนนะคะ” ฉันตอบกลับคล้ายกับคนต้องมนต์ ได้เสพบรรยากาศสวยๆ แบบนี้ก็พอแล้ว สุดท้ายการเดินยืดเส้นยืดสายของฉันก็จบแค่ที่ชั้น 2 เท่านั้น นับจากบนไปล่างน่ะ เฮ้อ ครั้งหน้าเอาใหม่ละกัน 

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×