ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #22 : EPISODE 21

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 67


    EPISODE 21

    @เช้าวันถัดมา

    “นี่มัน? ” ฉันมองกริชมีดสีเงินเงาวับที่ร่างสูงยื่นมาให้ ความแหลมคมของมันน่ากลัวว่าถ้าเผลอพลั้งมือไปแทงคนอื่นเข้า คงเจ็บไม่น้อย ฉันมองฮารุโตะอย่างต้องการคำตอบ ลายสลักบนด้ามมันก็สวยดีอยู่หรอก แต่ไม่น่าจะเหมาะกับคนซุ่มซ่ามแบบฉัน

    “ผมไม่รู้ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น นี่ไม่ใช่กริชธรรมดา มันถูกสร้างขึ้นมาจัดการกับแวมไพร์โดยเฉพาะ” ร่างสูงตรงหน้าเอ่ยราบเรียบ เขาดึงมือฉันวางบนตักตัวเอง ก่อนจะค่อยๆ วางกริชที่ว่าลงกลางฝ่ามือ สายตาจริงจังทำเอาไม่กล้าปฏิเสธ

    “นายให้ฉันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” แวมไพร์แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะ ของแบบนี้คงอันตราย และน่าจะเป็นสิ่งต้องห้าม

    “ถ้ามันสามารถปกป้องอันนาได้ก็ไม่เป็นไรครับ”

    “เอ่อ…ขอบใจนะ ขออย่าให้ฉันได้ใช้เลย”

    เอ่ยออกไปตามที่คิด ฉันกำกริชที่อยู่ในมือแน่น ในเมื่อฮารุโตะเอาของสำคัญมาให้ขนาดนี้ ก็จะขอรับไว้ด้วยความเต็มใจแล้วกัน

    “หมายความว่า ถ้านายโดนไอ้นี่แทงแล้วจะตายใช่มั้ย” ฉันเงยหน้าถามฮารุโตะที่ยังคงมีสีหน้าจริงจัง ถ้าให้เดาน่าจะสาหัสไม่น้อย “ไม่ถึงตายหรอกครับ” ฮารุโตะส่ายหน้านิดๆ

    “ถ้าอยากให้แวมไพร์ตายอันนาต้องแทงตรงนี้” ไม่พูดอย่างเดียว ฮารุโตะยังจับมือข้างที่ถือกริชทิ่มลงบริเวณหัวใจตัวเองเบาๆ คำว่าตายนั้นทำให้ฉันตัวเกร็งขึ้นทันที รีบชักมือกลับออกมา ต่างกับฮารุโตะที่เอาแต่หัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นฉันมีท่าทางลนลาน

    “ดีนะที่ฉันไม่ตกใจเผลอแทงนายจริงๆ ไม่อย่างนั้นนายได้ตายแน่”

    “จริงเหรอครับ แค่ได้ยินคำว่าตายอันนาก็ตัวแข็งทื่อจะเอาแรงที่ไหนมาแทงผม”

    “ชิ! นายดูมั่นใจจังเลยนะ” ฉันมองฮารุโตะที่ยืดอกพูดออกมา เขาดูเชื่อเหลือเกินว่าฉันจะไม่ทำอะไรเขา สีหน้าไม่ได้มีความกังวลแม้แต่น้อย เห็นแล้วอดหมั่นไส้ไม่ได้จริงๆ

    “อันนาทำร้ายผมไม่ลงหรอก” ฮารุโตะพูดยิ้มๆ ดึงฉันเข้าไปนั่งตัก ริมฝีปากบางของเขาหยอกเย้าอยู่ข้างใบหู คล้ายกับกำลังได้ใจที่เห็นว่าฉันไม่ได้ปฏิเสธอะไร หนำซ้ำยังโยนกริชดังกล่าวให้ห่างจากตัว

    “ผมพูดถูกใช่ไหม เธอเริ่มเปิดใจให้ผมแล้ว”

    “ฉัน…แค่คิดว่าไม่ได้เกลียดนายเหมือนเมื่อก่อนแล้วเท่านั้นอย่าคิดเข้าข้างตัวเองเชียวนะ” แก้ต่างออกไปทั้งที่ในใจรู้ดีว่าเป็นอย่างที่ฮารุโตะเอ่ย แต่ให้ทำใจยอมรับง่ายๆ มันค่อนข้างยาก

    “ครับ ผมรู้ว่าอันนาคงต้องใช้เวลา” ร่างสูงถอนหายใจ ยื่นมือมาลูบหัวฉันเบาๆ

    “คิดว่านายจะรบเร้าให้ฉันยอมรับมันซะอีก” ฉันเอ่ย มองร่างสูงที่ยอมปล่อยเอวอย่างง่ายดาย เขาลุกขึ้นไปหยิบกริชที่ตกอยู่บนพื้น ก่อนจะเอามันสอดไว้ใต้หมอนสีขาว

    “ผมไม่อยากกดดันอันนา เธอไม่ชอบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่อยากถูกเกลียดแล้วด้วย”

    คำพูดของฮารุโตะทำให้ฉันเผลอมองเขาอย่างอึ้งๆ ไม่คิดว่าจะถูกเอ่ยออกมาจากปากของชายที่คิดว่าเผด็จการและเจ้าอารมณ์ ตอนนี้เขาดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด มีความพยายามจะเข้าใจความรู้สึกของฉันมากขึ้น เมื่อคืนที่ฮารุโตะเอ่ยคำบอกรัก ขนาดฉันทำเพียงนิ่งเงียบเขายังไม่โกรธ กลับเอาแต่ยืนกอดแน่น

    “ขอบใจนะที่ยอมฟังคำพูดของฉัน” ยอมรับเลยว่ายิ่งฮารุโตะแสดงความจริงใจมากแค่ไหน ฉันก็ยิ่งแพ้ทางคนอย่างเขา

    “ทำไงได้ล่ะ อันนาเป็นผู้หญิงที่ผมชอบ ถ้าเลือกได้ก็อยากให้เธอเต็มใจอยู่กับผม”

    “แต่ถ้าเลือกไม่ได้นายก็จะบังคับให้ฉันอยู่กับนายใช่ไหม” ฉันพูดต่อ ถึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองยังไงแต่นิสัยเผด็จการคงแก้ไม่หายจริงๆ ซึ่งรอยยิ้มแหยๆ จากชายตรงหน้าก็ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี

    “อันนาก็รู้ว่าผมปล่อยเธอไปไม่ได้”

    “นั่นสิ ตอนนี้ฉันถึงเริ่มทำใจที่จะอยู่กับนายไปทั้งชีวิตอยู่นี่ไง” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขัน ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรอีกแล้ว แม้ภายในใจยังรู้สึกขัดๆ แต่ความรู้สึกที่มีต่อฮารุโตะมันรุนแรงมากกว่า ปล่อยเลยตามเลยคงไม่เป็นไร

    “อันนาหมายความว่า…” ฮารุโตะมองฉันด้วยสีหน้าอึ้งๆ

    “อื้ม! อย่างที่นายเข้าใจนั่นแหละ” ฉันพยักหน้าให้เล็กน้อย พร้อมกับลูบท้องตัวเอง

    “เธอยินดีจะอยู่กับผมไปชั่วชีวิตใช่ไหม” ร่างสูงยังคงถามเน้นย้ำด้วยแววตาที่เป็นประกาย แน่นอนว่าฉันก็ยังพยักหน้ารับอีกเช่นเคย

    หมับ! เป็นดังคาด ร่างของฉันถูกดึงไปกอดแนบอกแกร่งจนแทบหายใจไม่ออก ฉันยกฝ่ามือดันฮารุโตะเบาๆ เพราะยังไม่ได้เอ่ยคำพูดหนึ่ง

    “แค่ยอมรับชะตาชีวิตตัวเองเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าฉันรักนายนะ”

    “ครับผม แค่นี้ก็ถือว่าดีถมไปแล้ว”

    รอยยิ้มกว้างปรากฏบนหน้าหล่อเหลา อาการดีใจจนกู่ไม่กลับของฮารุโตะทำให้ฉันได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ เขาเล่นยิ้มเหมือนเทวดาตัวน้อยใครจะกล้าขัด ฉันแพ้รอยยิ้มแบบนี้ของเขาก่อนจะรู้ว่าเป็นสตอล์คเกอร์เสียอีก

    “ว่าแต่คราวนี้ฉันต้องอยู่ในห้องนานแค่ไหนล่ะ” ฉันถามออกไปโดยไม่คิดอะไรมาก เหมือนจะเริ่มชินกับสถานการณ์ตอนนี้กลายๆ ก็นะฉันมีทางเลือกมากที่ไหนกันล่ะ อยู่ในดงแวมไพร์ที่จ้องจับฉันเขมือบตลอดเวลา ถึงจะไม่ได้หมายถึงการดูดเลือดก็เถอะ

    “แล้วแต่อันนาเลยครับ”

    “ห๊ะ? นายหมายถึง” ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดแบบนี้แปลว่าแล้วแต่ฉันเหรอ?

    “อันนาอยากจะเดินไปที่ไหน หรืออยากทำอะไรก็ได้ครับ”

    “ในคฤหาสน์ของแวมไพร์เนี่ยนะ ไม่เป็นไรแล้วเหรอ? ”

    ฉันมองฮารุโตะด้วยความไม่เข้าใจ ตอนอยู่หอของมหาลัยเขาแทบจะตามสิงฉันทุกฝีก้าว คิดดูแล้วมันอันตรายกว่าเมื่อก่อนอีกนะ หรือเขาจะรู้ว่าฉันคงไม่กล้าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว

    “ครับ บอกไปแล้วไงว่าจะไม่บังคับทำเหมือนอันนาเป็นนักโทษ ไม่ต้องห่วงนะผมจะส่งผู้ติดตามฝีมือดีมาดูแล เพราะฉะนั้นทำตามที่ใจเธอต้องการเถอะ”

    “อย่างนี้นี่เอง นึกว่านายจะไม่ห่วงฉันแล้วซะอีก” ตอบกลับด้วยความโล่งใจ ฮารุโตะดูใจดีจนน่าแปลกใจเลยแฮะ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

    “ใครว่าล่ะ ผมเป็นห่วงอันนายิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีกรู้มั้ย” คำพูดของฮารุโตะทำให้ฉันชะงัก สายตาอบอุ่นและอ่อนโยนจับจ้องมาที่ฉันจนรู้สึกร้อนวูบวาบ “ละ-เลิกพูดเรื่องตายได้แล้วฉันไม่ชอบ” อ่า แล้วเธอจะเสียงสั่นทำไมเนี่ยอันนา

    “ฮ่าๆ แต่ผมพูดเรื่องจริงนะ” ฮารุโตะยังคงหัวเราะ พร้อมกับเดินไปหยิบชุดเดรสกระโปรงสีขาวออกมาจากตู้ เขาหยิบมันทาบกับตัวฉันเล็กน้อย

    “เราจะไปไหนกันหรือเปล่า” ฉันถามเมื่อเห็นท่าทีของฮารุโตะ

    “ผมจะพาอันนาไปเที่ยวไง” จบคำพูดนั้นฉันก็เบิกตาโตด้วยความดีใจนี่ฉันจะได้ไปเที่ยวแล้วเหรอเนี่ย ใครจะคิดว่าฮารุโตะจะตามใจฉันขนาดนี้ หมอนี่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

    @ 3 นาทีต่อมา

    “พี่อันนา! คิดถึงพี่จังเลยค่ะ”

    อาการร่าเริงของร่างเล็กทำให้ฉันยิ้มออกมาทันที ลูกตาลรีบวิ่งมาหาฉันด้วยความดีใจ เธอแทบจะกระโดดเข้ามากอดถ้าไม่ติดว่าฮารุโตะขยับตัวมาบังฉันไว้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

    “คือว่าหนู...” ลูกตาลชะงักเท้าโดยอัตโนมัติ มองฮารุโตะด้วยสีหน้าหวาดๆ พี่ยูตะที่เห็นดังนั้นเลยยีผมคนตัวเล็กเบาๆ คล้ายปลอบใจ

    “อะไรของนายเนี่ย ลูกตาลกลัวหมดแล้ว” ฉันกระตุกแขนเสื้อฮารุโตะ โกหกฉันไม่พอยังมาแผ่รังสีอันธพาลใส่น้องฉันอีก ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะหลงกลเขาง่ายขนาดนี้ ใช่แล้วค่ะ! คำว่า 'ไปเที่ยว’ ของหมอนี่คือการพาฉันมานั่งเล่นกับลูกตาลที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งห่างกันเพียงแค่ชั้นเดียวเท่านั้นเอง!

    “ห้ามกระโดดใส่อันนา” ฮารุโตะเอ่ย ก่อนจะถอยมายืนข้างฉันเหมือนเดิม ทำเอาลูกตาลได้แต่พยักหน้ารัวด้วยความกลัว เจอหมอนี่ทำหน้าดุใส่ใครไม่หงอยก็บ้าแล้ว

    “ขะ ขอโทษค่ะพี่อันนา”

    “ไม่เห็นเป็นไรเลยแค่กอดเอง” ฉันตอบยิ้มๆ จ้องเขม็งไปที่ฮารุโตะอย่างเคืองๆ ยังไม่หยุดทำตาขวางอีกนะหมอนี่ พี่ยูตะก็ไม่ได้พูดอะไรเขาแค่พยักหน้าหงึกหงักราวกับหลุดไปอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองเรียบร้อย

    “เดี๋ยวลูกเจ็บ” ทว่าคำพูดต่อมาของฮารุโตะกลับทำให้ฉันชะงักเสียเอง เข้าใจการกระทำของร่างสูงขึ้นมาทันที เขาคงกลัวว่าจะกระทบกับลูกในท้อง แน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวทำให้ลูกตาลที่ยืนอยู่ด้วยถึงกับเบิกตากว้าง อ้าปากค้างมองฉันอย่างอึ้งๆ

    “พะ พี่ อันนา ทะ ท้องเหรอคะ? ”

    “ก็…ประมาณนั้น พี่เองก็ลืมไปเลยว่าเราพุ่งมาแบบนั้นมันค่อนข้างจะอันตราย”

    “แล้ว...พี่ท้องกับใครเหรอคะ? ” คนตัวเล็กถามด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ จบคำพูดของเธอก็เกิดความเงียบขึ้นกะทันหันก่อนที่จะ….

    เพี้ยะ!

    “ถามอะไรไร้สาระ พ่อของเด็กก็ยืนอยู่ตรงหน้าเธอไง” เป็นพี่ยูตะที่ยื่นมือมาดีดหน้าผากของลูกตาลจนเกิดเสียงดัง ดูจากหน้าผากที่แดงเถือกคงเจ็บน่าดู ส่วนฮารุโตะก็เริ่มแผ่รังสีอึมครึมใส่คนตัวเล็กอีกครั้ง

    “ไอ้ยูตะ ดูแลเด็กของมึงให้ดีเลย” ฮารุโตะโบ้ยไปที่เพื่อนตัวเอง สีหน้าเขาดูเฟลไม่น้อยจนพี่ยูตะถึงกับยืนอมยิ้มอย่างขำขัน ถ้าพี่คราวน์กับพี่เบย์อยู่ด้วยคงได้ยินเสียงขำก๊ากออกมาลั่นห้อง ฉันที่เห็นดังนั้นจึงเอื้อมไปกุมมือเขาเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ

    “อันนาก็หัวเราะผมเหรอครับ” ฮารุโตะถามพร้อมกับจ้องฉันที่กำลังยืนกลั้นขำสุดฤทธิ์

    “ฉันพึ่งเคยเห็นนายทำหน้าหวอนี่ ฮ่าๆ” สุดท้ายก็หลุดหัวเราะออกมา ไม่ไหวแล้วใครจะคิดว่าเขาจะฮาได้ขนาดนี้ ท่าท่างเรื่องที่ลูกตาลพูดจะสะเทือนใจฮารุโตะมากทั้งขำทั้งสงสารเลย

    “ยูตะ ไหนนายบอกว่าแวมไพร์มีลูกกับมนุษย์ไม่ได้ไง” คราวนี้เป็นลูกตาลที่เสียงสั่น เธอหันไปมองคนข้างๆ ใบหน้าน่ารักเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมา

    “แค่บอกว่าโอกาสแทบเป็นศูนย์ น้องอันนาคือหนึ่งในร้อยเท่านั้น” พี่ยูตะตอบหน้าตาย เขาไหวไหล่น้อยๆ คล้ายกับไม่ใส่ใจ แต่เหมือนกับเป็นการกระตุ้น ลูกตาลจึงฟาดไปที่แขนเขาเต็มแรง “จะกี่เปอร์เซ็นต์นายก็ต้องบอกฉันสิ!” ดูท่าจะโกรธไม่น้อย

    ฉันกับฮารุโตะยืนมองหน้ากันปริบๆ ไม่รู้ว่าในสถานการณ์นี้ควรพูดหรือทำตัวยังไงดี เพราะงั้นถึงได้ส่งสายตาให้คนตรงหน้าจัดการแทน พี่ยูตะเป็นเพื่อนเขานี่นา

    “ไอ้ยูตะ” ฮารุโตะเรียกเพื่อนตัวเอง ส่งสายตากดดันเพื่อสื่อให้รู้ว่าต้องการอะไร

    “ได้เลยคุณชายโตะ ขอห้านาที” พี่ยูตะพยักหน้ารับหงึกๆ ราวกับเข้าใจว่าฮารุโตะต้องการสื่ออะไร ไม่นานร่างเล็กของลูกตาลก็ถูกจับอุ้มพาดบ่า

    “นายจะทำอะไรฉันยูตะ ไอ้บ้า ปล่อยนะ!”

    “ทำตามคำสั่ง”

    ปัง!

    ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรประตูห้องนอนก็ถูกปิดใส่หน้าฉันกับฮารุโตะ ฉันมองภาพตรงหน้าด้วยความงง ก่อนจะหันไปสบตากับฮารุโตะที่ยืนทำหน้านิ่ง

    “พวกนายส่งสัญญาณอะไรให้กัน” ฉันถาม เห็นใบหน้าที่ดูตกใจของลูกตาลแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ ถ้าเขาสั่งเรื่องไม่ดีล่ะน่าดู

    “ผมบอกให้ไอ้ยูตะรีบอธิบาย”

    “แล้วทำไมถึงได้ลากลูกตาลเข้าไปในห้อง” ฉันเท้าเอวถาม ฮารุโตะนิ่งไปสักพักก่อนจะส่ายหน้าไปมา เขาขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจเหมือนกัน ฉันได้แต่หัวเราะแห้งๆ สรุปแล้วพวกเขาก็แค่มั่วเท่านั้นสินะ

    “จะเอายังไงดีล่ะ” ฉันถามฮารุโตะ ให้ยืนเฝ้าหน้าห้องคนอื่นก็คงจะเกินไป สรุปต้องกลับไปห้องของตัวเองใช่มั้ย

    “เราไปเดินเล่นกันไหมครับอันนาจะได้ผ่อนคลาย”

    ฮารุโตะเสนอ ยื่นมือมาตรงหน้า ราวกับว่าถ้าตอบตกลงให้จับมือ ซึ่งแน่นอนว่าฉันรีบจับมือหนาทันที มันดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้องนี่นา

    “ต้องอุ้มอีกแล้วเหรอ” ฉันเอียงคอถาม รู้สึกน่าอายชะมัด

    “ใช่สิครับ อันนาก็รู้ว่ากว่าจะเดินถึงชั้นแรกใช้เวลาตั้งเท่าไหร่” ฮารุโตะอธิบาย ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่ฉันแทบไม่อยากยอมรับ กะจากสายตาเดินเองขาคงได้ลาก

    สุดท้ายฉันเลยส่งยิ้มหวานไปให้ ตอบตกลงแต่โดยดี เอาน่าแค่ถูกมองเท่านั้น เดี๋ยวก็ชิน ขออย่างเดียวไม่เอาสายตาแบบแม่ของฮารุโตะนะ สายตาที่เหมือนกับมีดที่จ้องจะปักแทงขั้วหัวใจหากว่าคุณเผลอ

    นับว่าคำพวนาของฉันได้ผล ชั้นล่างสุดของคฤหาสน์วันนี้ก็ยังมีงานเลี้ยงเหมือนเคย นอกจากสายตาของแวมไพร์ระดับสูงที่จ้องมองอย่างสงสัยใคร่รู้ ก็ไม่มีสายตาที่น่ากลัวเท่าไหร่ ไม่นานเราทั้งคู่ก็เดินมาถึงประตูด้านหลัง ซึ่งเชื่อมกับสถานที่เดินเล่นที่ฮารุโตะเอ่ยถึง อยากรู้จังว่าจะเป็นสวนแบบไหน

    “ชอบไหมครับ” ฮารุโตะถามหลังจากที่เราทั้งคู่เดินมาถึง

    ราวกับภาพในวรรณคดีกำลังหลุดออกมาจากหนังสือ น้ำตกใสแจ๋วกระทบลงพื้นด้านล่าง ข้างๆ ถูกล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาชนิดซึ่งฉันเองก็ไม่รู้จัก ฝูงผีเสื้อนับร้อยตัวต่างบินว่อนอวดโฉมความงามของตัวเอง ละอองเล็กๆ กระจายออกจากปีกของผีเสื้อราวกับเกสรดอกไม้

    “ฮารุโตะ ฉันไม่ได้อยู่บนสวรรค์ใช่ไหม” ถามออกไปคล้ายกับคนเหม่อลอย นี่มันเหนือกว่าที่จินตนาการไว้มาก ราวกับหลุดมาอยู่อีกโลก

    “วางใจได้ครับ อันนายังอยู่ในประเทศไทยโลกแห่งความเป็นจริง เพียงแค่เป็นสถานที่พิเศษเท่านั้น สรุปว่าชอบหรือไม่ชอบครับ” ฉันหันไปมองฮารุโตะยังต้องถามอีกเหรอ

    “แน่นอนสิว่าชอบที่สุด ไม่สิ รักเลยต่างหาก ฮื่อ~ฮารุโตะฉันอยากถ่ายรูปอ่ะ” พูดจบฉันก็หันไปมองร่างสูงตาปริบๆ เล่นเอาเขาฉีกยิ้มกว้าง

    “เอาสิครับ” ฮารุโตะพยักหน้าอนุญาต “ฉันไม่มีมือถือแล้วน่ะสิ” นี่แหละประเด็นที่ทำให้ฉันเริ่มเข้าโหมดหงอยหลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมายก็ไม่ได้แตะมันอีกเลย ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ไหนแล้ว สาบานว่าฉันไม่เคยรู้สึกเสียดายอะไรมากขนาดนี้เลย เฮ้อ

    “ผมคิดไว้อยู่แล้วล่ะ” ฮารุโตะเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วส่งมือถือของตัวเองให้กับฉัน

    “ขอบคุณนะ นายนี่รู้ใจฉันที่สุด” เอ่ยชมเสร็จฉันก็หยิบมือถือดังกล่าวขึ้นมาถ่ายรูปรัวๆ สดชื่นชะมัด ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดีต่อสายตาไปหมด น่าแปลกที่ไม่มีแวมไพร์ตนอื่นโผล่มาชื่นชมความสวยงามของน้ำตกสักคน

    หมับ!

    “อันนาระวังครับ!” ฮารุโตะรั้งเอวฉันไว้ หลังจากที่เห็นว่าข้างขอบสระมีตระใคร่สีเขียวจับอยู่ชวนให้น่าลื่น ฉันเงยหน้ามองร่างสูงที่ยืนซ้อนด้านหลังด้วยตกใจ อะไรจะรวดเร็วปานนั้น

    “สงสัยต้องระวังกว่านี้ซะแล้ว กะว่าจะลงไปแช่เท้าเท่านั้นเอง” สุดท้ายฉันก็ได้แต่ส่งยิ้มอ้อนไปให้เมื่อเห็นสีหน้าดุๆ ของฮารุโตะ รู้หรอกว่าเป็นห่วง

    “แบบนี้ผมจะกล้าปล่อยให้ห่างจากสายตาได้ยังไง” ฮารุโตะถอนใจมองฉันด้วยสีหน้าเหนื่อยอ่อน “เห็นฉันเป็นเด็กเหรอ? ” แน่นอนว่าฉันรีบตอบกลับรู้สึกขัดใจยังไงชอบกล

    “ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ” คล้ายกับรู้ว่าฉันคิดอะไร ฮารุโตะส่ายหน้าปฏิเสธทันที เขายกมือสองข้างขึ้นเป็นอันว่ายอมแพ้ไม่คิดหือ

    สวบ!

    ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเสียงฝีเท้าหนักๆ ของบุคคลที่สามก็ดังขึ้นท่ามกลางเราทั้งคู่ ฉันมองไปตามเสียงดังกล่าว ก่อนจะพบเข้ากับชายคนหนึ่งที่พึ่งเดินมาถึง

    “มึงมาทำอะไรที่นี่ไอ้วิน” ฮารุโตะเอ่ยเสียงเข้ม เขาเดินมาบังตัวฉันไว้โดยอัตโนมัติ

    “หึ! ใจเย็น กูก็แค่แวะมาผ่อนคลาย ใครจะคิดว่ามึงจะโผล่มาอยู่นี่ จะเรียกว่าใจกล้าหรือบ้าบิ่นดีวะ มึงถึงได้พาอันนามาอยู่ในที่แบบนี้” วินตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ยืนล้วงกระเป๋าทำทีไม่ใส่ใจ

    “มึงหมายถึงอะไร” ฮารุโตะถาม

    “พอได้ข่าวว่าอันนาอยู่คฤหาสน์แวมไพร์ พวกตระกูลอื่นก็เริ่มแห่กลับคฤหาสน์กันเป็นแถว ลองเดาไหมว่าเพราะอะไร” น้ำเสียงยียวนเอ่ย พร้อมกับจ้องมาที่ฉันราวต้องการสื่อความหมายคำพูดเมื่อครู่

    “ถ้าพวก ‘มึง’ และพวก ‘มัน’ กล้าลงมือโจ่งแจ้งก็ลองดู คิดว่ากูไม่ได้วางแผนไว้ว่างั้น”

    “ฮ่าๆ ใครจะโง่ทำแบบนั้น แต่มึงจำไว้ให้ดีฮารุโตะ ตระกูลอื่นไม่หยุดตามล่าอันนาแน่ คิดว่าพวกนั้นไม่รู้เหรอวะ ทำไมอยู่ๆ มึงถึงได้มีพละกำลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน”

    “หึ! แล้วไง จะมาบลัฟกูว่างั้น” ฮารุโตะเหยียดยิ้มจ้องมองวินราวกับต้องการหาเรื่อง ฉันรีบคล้องแขนร่างสูงไว้แน่น กลัวเขาจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

    “ถ้าอยากให้กูช่วยอะไรก็บอก ไม่ใช่แค่มึงหรอกที่อยากปกป้องอันนา” วินพูดขึ้น ก่อนจะเลื่อนสายตามาทางฉัน เขาทำเหมือนกับต้องการเอ่ยอะไร

    “ถ้าจะละเมอก็ไปนอน คิดว่ากูจะเชื่อเหรอวะ อ้อ! ผู้หญิงของกู กูดูแลเองได้ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกยื่นมือมาสอด” ฮารุโตะแค่นหัวเราะ ก่อนจะบีบไหล่ของอีกฝ่ายแรงระดับหนึ่งพร้อมกับกระซิบเสียงลอดไรฟัน

    “อย่าคิดว่ากูไม่รู้ว่ามึงหวังอะไรไอ้วิน!”

    “เหอะ! ก็แค่เสนอ มึงไม่อยากสนองก็แล้วไป” วินยักไหล่ ล้วงเอาบางอย่างในกระเป๋าออกมา

    “ฉันคืนให้นะอันนา ที่ผ่านมาขอบใจมาก” พูดออกมาแค่นั้น ก่อนวินจะยื่นของที่ว่าให้ฉัน แน่นอนว่าฉันไม่ได้ขยับตัวไปรับทำเพียงแค่มองพาสเตอร์ลายน้องหมีที่อยู่ในมือเขา ถ้าจำไม่ผิดมันคือลายที่ตอนเด็กๆ ฉันชอบมากเพราะน่ารักดี เลยพกไปไหนมาไหนด้วยบ่อยๆ

    “นายมีมันได้ยังไง? ” ฉันถาม สิ่งเดียวที่บอกว่าเคยเป็นของฉันมาก่อน คือสัญลักษณ์หน้ายิ้มที่ถูกวาดขึ้นแทนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×