ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #20 : EPISODE 19

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 67


    EPISODE 19

    2 เดือนต่อมา

    ฉันนั่งเท้าคางมองดอกกุหลาบสีขาวบริสุทธิ์ กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ต้องหลับตาลงเพื่อซึมซับบรรยากาศตรงหน้า ใครจะคิดว่าสวนกุหลาบที่คริสเคยแนะนำในวันนั้น จะกลายเป็นสถานที่โปรดของฉันในวันนี้ ทุกครั้งที่ได้มานั่งเล่นในสวน ฉันจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก

    “คุณอันนาคะ ขนมเค้กกับชาได้แล้วค่ะ”

    “ขอบคุณค่ะป้าน้อย”

    ฉันเอ่ยขอบคุณแม่บ้านประจำคฤหาสน์ เธอเป็นคนที่ใจดีมากๆ แล้วก็ทำอาหารได้อร่อยสุดๆ โดยเฉพาะพวกของหวาน เป็นมนุษย์ไม่กี่คนที่หลงเหลืออยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้

    “คุณอันนาดูชอบของหวานจริงๆ นะคะ” ป้าน้อยพูดขึ้นเมื่อเห็นฉันมองไปที่เค้กชิ้นเล็กด้วยสายตาเป็นประกาย ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยคลี่ยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน

    “ป้าน้อยทำอาหารอร่อยจะตาย อันนาจะไม่ชอบได้ไง”

    “เด็กคนนี้ปากหวานจริงๆ รีบทานเถอะค่ะแดดเริ่มแรงแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”

    “เข้าใจแล้วค่ะ” ฉันรับปากแต่โดยดี มองป้าน้อยเดินถือถาดอาหารออกไป เห็นแบบนี้ป้าน้อยก็ยุ่งพอตัวเลยนะ เพราะต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ของคนเกือบทั้งหมด

    ฉันอมยิ้มน้อยๆ หันมาให้ความสนใจกับของกินที่อยู่บนโต๊ะ นอกจากเค้กก็มี มาการอง คุกกี้ แล้วก็ชาดอกมะลิ หน้าตาน่าทานขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่น้ำหนักช่วงนี้ขึ้นเอาๆ

    “อะแฮ่ม! คิดแล้วเชียวว่าต้องอยู่ที่นี่”

    ยังไม่ทันตักเค้กเข้าปาก น้ำเสียงกวนๆ ของชายผมเงินก็ดังขึ้น คริสเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างฉัน เขามองไปที่ของกินบนโต๊ะแล้วทำหน้าแหย ทำไมน่ะเหรอ เพราะคริสไม่ถูกกับของหวานไง

    “กินหมดนี่เบาหวานได้ถามหาเธอแน่ยัยบ๊อง” ไม่พูดอย่างเดียวคริสยังยื่นมือมายีผมฉันจนยุ่ง พอเห็นสีหน้าสะใจของเขา ฉันเลยจงใจเอาคืนด้วยการยัดเค้กคำโตๆ ใส่ปากเขาขณะกำลังอ้าปาก ระยะเวลา 2 เดือนที่ได้รู้จักกัน ทำให้ฉันเริ่มสนิทใจกับคริสมากขึ้น จนถึงขั้นที่ว่าคุยหยอกล้อเหมือนที่คุยกับขนมเทียนได้แล้ว

    ช่วงแรกๆ คริสดูเกร็งมากเวลาต้องคุยกับฉัน เขาพยายามคีพลุคเป็นชายหนุ่มสุภาพอ่อนโยน แต่ฉันดูแล้วขัดๆ ปนสงสารแทน สุดท้ายเลยต้องเอ่ยปากให้เขาทำตัวปกติ เป็นตัวของตัวเอง และฉันก็ได้รับรู้ว่าจริงๆ แล้วคริสเป็นผู้ชายที่เถื่อนมาก นิสัยห่าม พูดจาโผงผางมะนาวไม่มีน้ำ ถึงอย่างนั้นก็ดูจริงใจใช้ได้

    “แค่กๆ เธอจะฆ่าฉันหรือไง” คริสเริ่มสำลัก เขารีบหยิบน้ำเปล่ามาดื่มจนหมดแก้ว ฉันหัวเราะออกมานิดๆ ถึงได้บอกว่าเขาก็ใช้ได้ไง แทนที่จะคายขนมที่ตัวเองแสนเกลียดกลับยอมกลืนลงท้องจนหมด

    “ใครใช้ให้นายแช่งฉัน”

    “เหอะ! อย่างน้อยกินข้าวเช้าก่อนก็ยังดี นี่เล่นซัดของหวานเลย อ้วนเป็นยัยหมูตอนไปเถอะงั้น” คริสบ่น เดี๋ยวนี้ชักจิกเก่งแล้วนะ

    ฉันยักไหล่นิดๆ เป็นเชิงไม่สนใจ หยิบช้อนขึ้นมาตักเค้กนมสดเข้าปาก ทว่ากลิ่นเหม็นๆ ที่โชยมาแตะจมูกก็ทำเอาต้องยกมือขึ้นปิดจมูก อะไรกันเค้กบูดเหรอ? ทำไมถึงเหม็นจนเวียนหัวไปหมด ฉันวางจานเค้กลง รู้สึกคลื่นไส้จนแทบอ้วก

    “เฮ้! เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเธอหน้าซีดๆ” คริสที่สังเกตถึงความผิดปกติ รีบตรงเข้ามาหาฉัน พยุงตัวไว้ไม่ให้ฟุบลงกับโต๊ะ “เกิดอะไรขึ้น?” เขาถามดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด

    “ฉันเวียนหัว จะอ้วก” บอกออกไปแค่นั้นก่อนฉันจะผลักคริสออกแล้วอ้วกออกมา

    “ฉิบ! เธอไหวไหมเนี่ย” คริสมองฉันด้วยความตกใจ รีบตรงเข้ามาอุ้มฉันทันที

    “ทำอะไร ฉันไหว แค่พักสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”

    “เลิกดื้อสัก 5 นาทีเถอะ สภาพแบบนี้ฉันกลัวว่าจะล้มกลางทางขึ้นมาซะก่อน” คริสมองฉันด้วยสายตาตำหนิ เขาอุ้มฉันเดินออกจากสวน ตรงไปยังคฤหาสน์ด้านใน ผ่านสายตาของเหล่าหมาป่า ที่พากันมองตามหลังตาไม่กะพริบ

    “คริส! เกิดอะไรขึ้นกับอันนา” หลังก้าวเข้ามาในห้องนอนขนมเทียนก็ถามขึ้นทันที เธอละสายตาจากลูกแก้วที่อยู่ตรงหน้า เดินมาแตะหน้าผากฉัน

    “ไม่รู้ เห็นบอกเวียนหัว จะอ้วก ฉันว่าเรียกหมอมาตรวจดีกว่า”

    “นั่นสิ พักนี้ข้าวก็ไม่ยอมกิน เอาแต่นอนทั้งวัน”

    ขนมเทียนพยักหน้าเห็นด้วย มองฉันที่ตอนนี้นั่งหน้าซีดอยู่บนเก้าอี้ พักนี้ฉันรู้สึกว่าร่างกายตัวเองแปลกไปเหมือนกันคล้ายจะเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ

    “อุ๊บ!” ฉันยกมือขึ้นปิดปาก คลื่นไส้อย่างไม่มีสาเหตุ

    “ไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้คริส เร็วๆ เลย!” ขนมเทียนเร่ง ถังขยะใบเล็กถูกยื่นมาตรงหน้า ก่อนฉันจะอ้วกออกมาจนหมด ใบหูได้ยินเสียงฝีเท้าของคริสวิ่งออกจากห้อง

    10 นาทีต่อมา

    “เป็นไงบ้างคะคุณหมอ เพื่อนฉันเป็นอะไรมากหรือเปล่า” ขนมเทียนถาม มองคุณหมอที่กำลังเก็บอุปกรณ์การตรวจใส่กระเป๋า สีหน้าสงบนิ่งของเขาทำให้ทั้งคริสขนมเทียนและฉันได้แต่ลุ้นตัวเกร็ง คงไม่ใช่ว่าอายุขัยฉันกำลังหมดหรอกนะ

    “ร่างกายแค่อ่อนเพลียเล็กน้อยครับ” คุณหมอตอบยิ้มๆ มองฉันกับคริสด้วยสายตาแปลกๆ

    “ยินดีด้วยนะครับนายท่าน”

    “หมายความว่ายังไงคะ” ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่ารูปประโยคมันแปลกๆ

    “คุณอันนาตั้งครรภ์ได้ 2 เดือนกว่าแล้วครับ”

    จบคำพูดนั้นฉันถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งนิ่ง หูอื้อตาลายไปหมด ราวกับโลกทั้งใบกำลังพังทลาย ใครก็ได้พูดออกมาทีว่านี่คือความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริงเขาล้อเล่นใช่ไหม เป็นไปได้ไงไม่มีทาง!

    “บางทีนี่อาจเป็นความผิดพลาด คุณหมอช่วยตรวจใหม่ได้มั้ยคะ” ในขณะที่ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ ฉันก็เอ่ยคำพูดในใจออกมา กล้ำกลืนฝืนก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ตรงอก ถามคุณหมอด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    “คือว่า…” เขาทำหน้าอึกอัก มองคริสที่ทำตัวไม่ถูก ขนมเทียนเห็นดังนั้นจึงไล่ให้คริสกับหมอออกไปก่อน เธอเลื่อนเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับฉัน สองมือแตะลงบนไหล่เบาๆ นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหว เธอกำลังทำอะไรไม่ถูกเหมือนคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามปลอบใจฉันที่กำลังสติแตก

    “ฉัน ฮึก! จะทำยังไงดีขนมเทียน” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ความกลัว วิตกกังวลถาโถมเข้าใส่ราวกับถูกคลื่นทะเลซัด ในสถานการณ์แบบนี้ฉันไม่รู้จะทำตัวยังไง ต้องเริ่มจากตรงไหน ฉันยังไม่พร้อมยอมรับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นี้ด้วยซ้ำ

    “เธอจะไม่เป็นไรอันนา พวกเราอยู่ข้างเธอ”

    “แต่เด็กที่อยู่ในท้องฉันเป็นลูกของแวมไพร์นะ!”

    “และอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นลูกของเธอด้วยไม่ใช่เหรอ หรือว่าเธอไม่อยากให้เขาเกิดมา”

    ฉันเงียบ ไม่ใช่ว่าต้องการให้เขาตายสักหน่อย มันก็แค่…กะทันหันเกินไปเท่านั้น ฉันเม้มปาก รู้สึกกดดันจนเผลอจิกเล็บลงขาตัวเองโดยไม่รู้ตัว

    “อันนาใจเย็นก่อน ตอนนี้ทำตัวให้สบายนะ ฉันเข้าใจว่าเธอกำลังตกใจ อย่ากดดันตัวเอง ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง พวกเราจะอยู่ข้างเธอเหมือนเดิม”

    ขนมเทียนดึงมือฉันออก เธอส่งยิ้มบางมาให้ สายตาแน่วแน่ อบอุ่นจนฉันเผลอยิ้มตาม นั่นสิ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่รักและเป็นห่วง ตราบใดที่พวกเขาคอยอยู่เคียงข้างจะต้องไม่เป็นไร มัวแต่เครียดไปจะช่วยอะไรได้ ในเมื่อกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยเลยตามเลย ทำในสิ่งที่ทำได้ก็พอ

    “ขอบใจนะ ตอนนี้ใจเย็นขึ้นแล้วล่ะ” ฉันยิ้ม บีบมือขนมเทียนเบาๆ

    “ถ้างั้นตอนนี้เรียกคุณหมอเข้ามาได้แล้วใช่ไหม” ร่างบางเอ่ย มองฉันด้วยความลังเล “เอาสิ” และฉันก็พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย คงหนีไปไม่ได้ตลอด

    หลังจากคุณหมอเข้ามาในห้องอีกรอบ เขาก็เริ่มพูดถึงอาการเบื้องต้นที่ฉันอาจต้องเจอระหว่างท้อง รวมถึงวิธีการปฏิบัติตัว อาหารการกิน สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ เสี้ยวหนึ่งฉันมองไปที่คริส เขามีสีหน้าเย็นชา นิ่งเฉยจนไม่สามารถคาดเดาได้ แต่พอเห็นว่าฉันกำลังมองอยู่เขาก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ดูก็รู้ว่าเขากำลังฝืน

    “ถ้างั้นหมอจะมาตรวจครรภ์อีกทีเดือนหน้านะครับ คุณอันนาสงสัยอะไรหรือเปล่าครับ”

    ฉันส่ายหน้า เนื่องจากตอนนี้ในหัวโล่งไปหมด ลืมคำพูดเกือบทั้งหมดของหมอแทบจะทันที สิ่งหนึ่งที่คิดได้คือ ตอนนี้ฉันอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว และเหมือนคุณหมอจะเข้าใจ เขายิ้มให้ฉันตามมารยาท ก่อนจะขอตัวออกไป

    “ฉันไปส่งนะคะ พอดีมีเรื่องที่อยากถามอีกหลายอย่างเลย” ขนมเทียนเอ่ยท่ามกลางความเงียบ เดินตามคุณหมอออกไป ตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันกับคริส

    “นายไม่ตามไปด้วยเหรอ ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวน่ะ” เอ่ยไปตามความต้องการเมื่อเห็นว่าคริสยังไม่ยอมขยับเท้าไปไหน เขาเอาแต่จ้องฉันจนอึดอัด

    “เธอไม่เป็นไรนะ” ฉันขมวดคิ้ว คิดว่าเขาจะไม่พอใจที่ถูกไล่ แต่กลับถูกถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแทน ฉันถอนหายใจเล็กน้อยตอบกลับนิ่งๆ

    “เป็นสิ เป็นมากด้วย คิดว่าฉันจะทำใจได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ”

    ถึงจะทำเป็นไม่สนใจ ปลอบใจตัวเองแค่ไหน ก็ยากเกินกว่าจะเมินเฉย ถ้ามัวแต่จิตตกยอมรับความจริงไม่ได้ ก็มีแต่จะทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง เพราะงั้นถึงได้พยายามทำตัวเข้มแข็ง

    “ให้ฉันดูแลเธอนะอันนา ฉันจะปกป้องไม่ให้ใครหน้าไหนทำร้ายเธอได้ทั้งนั้น”

    คริสเอ่ย พร้อมกับเดินมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉัน มือหนาเอื้อมจับแขนฉันหลวมๆ สายตาแน่วแน่และจริงจังของคริสทำให้ฉันเชื่อสนิทใจ ทว่าฉันคงต้องขอปฏิเสธ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเขาคิดยังไงกับฉัน เพียงแต่ฉันเลือกที่จะมองข้ามเพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์แบบเพื่อนต้องเกิดรอยร้าว แต่ตอนนี้ฉันคงต้องพูดออกมาตรงๆ

    “ฉันไม่ได้รักนายรู้ใช่ไหม” แม้จะเป็นการทำร้ายจิตใจแต่ก็เลือกที่จะพูด

    “รู้สิ สายตาที่เธอใช้มองฉันแสดงออกชัดเจนว่าให้ได้แค่เพื่อน แต่ฉันไม่สนหรอกนะ ฉันจะสู้ จะทำให้เธอเปลี่ยนใจให้ได้” อ่า…ดื้อด้านชะมัด

    “เด็กที่อยู่ในท้องฉันมีสายเลือดของแวมไพร์นะ นายยอมรับได้เหรอ เขาคือเผ่าพันธุ์ที่พวกนายเกลียดแสนเกลียดจนไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ลืมแล้วหรือไง” ฉันพูดออกมาตามที่คิด สายตาเย็นชาเมื่อครู่ก็เพราะเขารู้ว่าเด็กในท้องฉันเป็นลูกของฮารุโตะ

    “ฉันรับได้ ขอเพียงเป็นลูกของเธอ”

    “นายรับได้ แล้วพวกพ้องนายล่ะ” ฉันดึงแขนออกจากฝ่ามือหนา โลกนี้ไม่ได้สวยงามอีกต่อไป ถ้าพวกเขารู้ฉันต้องโดนไล่ออกจากที่นี่อย่างไม่มีข้อแม้

    “เธอถึงต้องให้ฉันปกป้องไงอันนา” คริสพยายามหว่านล้อม ใบหน้าตึงเครียด “เรายังไม่รู้สักหน่อยว่าเด็กคนนี้จะเป็นมนุษย์ธรรมดาหรือแวมไพร์”

    “นะอันนา แค่ช่วงนี้เท่านั้น เธอก็รู้ว่าข้างนอกอันตรายเกินกว่าฉันจะปล่อยเธอไป อย่างน้อยก็ขอให้ฉันรับบทเป็นพ่อของเด็กจนกว่าจะคลอด”

    “ขอคิดดูก่อนแล้วกันนะ” ฉันตอบพร้อมกับเบือนหน้าหนี ขืนมัวแต่คัดค้านคริสคงไม่ยอมจบง่ายๆ

    ตอนนี้ในห้องเหลือเพียงแค่ฉัน คริสยอมถอยออกไปโดยให้เหตุผลว่าฉันคงต้องการเวลา ส่วนขนมเทียนหลังจากตามคุณหมอไปเธอก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย มีแค่แม่บ้านที่ยกอาหารมาให้ ฉันยืนมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าจากทางหน้าต่าง เย็นขนาดนี้แล้วเหรอ?

    เป็นครั้งแรกที่ฉันเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง ฉันเดินเข้ามานั่งชันเข่าอยู่บนเตียง ความง่วงกำลังกลืนกินสติที่เหลืออยู่ แต่ฉันก็พยายามฝืนเปลือกตาไว้ เพราะคิดว่าขนมเทียนอาจกลับเข้ามาอีก ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามและปรึกษา

    สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้ ล้มตัวลงนอน หยิบหมอนข้างขึ้นมากอด หวนคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ในความทรงจำ ป่านนี้ฮารุโตะจะเป็นยังไงบ้าง เขาจะยังตามหาฉันอยู่ไหม หรือจะลืมเรื่องทุกอย่างของเราไปหมดแล้ว

    ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดประหลาด ทุกครั้งที่คิดถึงเขาก็มักจะเจ็บแปล๊บที่อก เพราะงั้นจึงพยายามไม่นึกถึงมัน แต่ในสถานการณ์แบบนี้ช่างยากจริงๆ

    “อันนาครับ” น้ำเสียงคุ้นหูกำลังเรียกฉัน

    “คุณคือใครคะ” และฉันก็พึมพำออกไปทั้งที่เปลือกตากำลังปิดสนิท ความง่วงรุมเร้าจนไม่สามารถลืมตาได้ แต่ก็ยังรู้สึกตัวอยู่บ้าง ให้อารมณ์คล้ายกับคนที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น

    “หืม? เธอลืมผมไปหมดแล้วสินะ” เขายังคงพูดต่อ ฝ่ามือเย็บเฉียบลูบไล้ไปตามใบหน้า ก่อนจะเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงไหปลาร้า ฉันขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ สัมผัสที่ชัดเจนนี่คืออะไรกัน เป็นแค่ความฝันหรือแค่ถูกผีอำ

    “ลืมผู้ชายที่ชื่อฮารุโตะไปแล้วจริงๆ เหรอครับ” สิ้นเสียงนั้นฉันลืมตาแทบจะทันที ชื่อนี้เป็นเหมือนสวิตช์ไฟที่ปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ ฉันมองไปที่ชายตรงหน้า ฮารุโตะกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหล่อดูซูบลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงความดูดีเอาไว้ คำถามที่อยู่ในใจคือ เป็นเขาจริงๆ ใช่ไหม ถ้าใช่แล้วเขามาอยู่นี่ได้ยังไงกัน

    “นาย…คือฮารุโตะจริงๆ เหรอ? ” ฉันถามออกไปเบาๆ รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นรัว

    “ครับผมเองฮารุโตะ ผู้ชายของเธอไง” น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยนเอ่ย รอยยิ้มที่ประทับบนใบหน้าของเขาทำให้ฉันถึงกับพูดไม่ออก ภายในหัวสับสนไปหมด ฮารุโตะเหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไร เขายื่นมือมาแตะแก้มทั้งสองข้างของฉัน สัมผัสที่ชัดเจนนั้นทำให้แน่ใจได้ทันที

    “นายเข้ามาได้ยังไงเหรอ ข้างนอกไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม”

    “เรารีบออกจากที่นี่กันเถอะครับ ก่อนที่ยาดับกลิ่นจะหมดฤทธิ์ พวกหมาป่าจมูกดีใช่เล่น” ฮารุโตะไม่ยอมตอบคำถาม เขาอุ้มฉันพร้อมกับเดินไปทางหน้าต่าง อย่าบอกนะว่าจะกระโดดหน้าต่างอีกแล้ว

    “ไม่นะ!” ฉันกรีดร้องทันที สองมือเกาะขอบหน้าต่างไว้แน่น

    “อันนา? ” ฮารุโตะเลิกคิ้ว มองฉันด้วยความไม่เข้าใจ

    “เธอไม่อยากไปกับผม? อยากอยู่กับพวกหมาป่าเหรอ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ดวงตาคู่สวยตรงหน้าฉายความผิดหวังออกมาอีกครั้ง ราวกับหัวใจหล่นวูบฉันส่ายหน้าทันที ยังไงก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดไปอยู่แล้ว ถึงจะรู้สึกผิดกับขนมเทียนก็เถอะ

    “ฉันไม่อยากไปทางหน้าต่าง”

    “อันนาจะไม่เป็นไรครับ อีกอย่างทางนี้ไวที่สุด แค่แป๊บเดียวเท่านั้น”

    “ฉันรู้ว่าฉันจะไม่เป็นไร แล้วเด็กในท้องล่ะ” คุณหมอย้ำนักหนาว่าช่วงนี้อยู่ในช่วงอันตราย ด้วยความสูงของคฤหาสน์นี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกระโดดลงไปโดยไม่กระทบถึงลูกในท้อง

    “เด็กในท้อง?!” ฮารุโตะเบิกตากว้าง มองไปที่หน้าท้องแบนราบของฉัน เขาดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด ถอยตัวห่างจากหน้าต่างแทบจะทันที ร่างสูงหยิบมือถือออกมาก่อนจะกดโทรไปหาใครคนหนึ่ง “ไอ้เบย์เปลี่ยนแผน รายละเอียดกูจะเล่าให้ฟังทีหลัง”

    ตู้ม!! ทันทีที่ฮารุโตะกดวางสาย เสียงที่คล้ายกับระเบิดก็ดังขึ้น แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวทำให้ฉันกอดคอร่างสูงแน่น ฉันได้ยินเสียงหัวเราะน้อยๆ ของฮารุโตะ

    “นายหัวเราะเยาะฉันเหรอ” ถามออกไปด้วยความหงุดหงิด

    “เปล่าครับ ผมหัวเราะหมาป่าพวกนี้ต่างหาก”

    ฉันมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เล่นระเบิดแบบนี้พวกหมาป่าคงรู้ตัวกันทั้งคฤหาสน์ ยังจะขำได้อีก คราวนี้จะหนีออกไปยังไง ฉันน่ะไม่เท่าไหร่หรอก

    ก๊อก! ก๊อก!

    ฮารุโตะชะงักมองไปยังประตูห้อง เขาคลี่ยิ้มอันตรายออกมา ก่อนจะเดินไปที่ประตูข้างหน้า จะบ้าหรือไง ฉันมองฮารุโตะ ส่งตาสายไม่ให้เขาเดินไปเปิด ทว่าร่างสูงกลับไม่ฟัง ก้าวฉับๆ ไปซะงั้น ฮารุโตะเลือกที่จะต่อสู้สินะ

    “ไงมึง เจอน้องอันนาแล้วหน้าระรื่นเชียว” พี่คิงเอ่ยแซวหลังจากที่ฮารุโตะเปิดประตู ด้านหลังมีพี่ยูตะพี่คราวน์ยืนอยู่ด้วย ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ พวกเขามาได้ไง เข้ามาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ ไหนว่าที่นี่การป้องกันหนามาก

    “รีบเผ่นเลยมึงคุณชายโตะ ก่อนที่พวกไอ้คริสจะรู้เรื่อง ป้าน้อยคงถ่วงเวลาให้ได้ไม่นาน” พี่คราวน์พูดขึ้น พร้อมกับเดินนำไปตามทางเดิน ฉันเห็นหมาป่านับร้อยตัวกำลังนอนกองกับพื้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองมาที่พวกของฮารุโตะด้วยสายตาวาวโรจน์

    “ฮารุโตะ นายทำอะไรกับพวกเขา”

    “ก็แค่ทำให้ไม่สามารถขยับได้ชั่วคราวเท่านั้น เหมือนที่ทำกับผมไง” ถ้างั้นเสียงระเบิดนั่น…

    “นายทำอะไรกับขนมเทียน!” จบคำพูดของฮารุโตะฉันก็ขืนตัวทันที พูดแบบนี้แสดงว่าเขาไปเจอขนมเทียนมาก่อน ถึงได้เอายาพวกนี้มาใช้ได้

    “ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ ก็แค่ยืมมาใช้เฉยๆ ผมไม่ทำร้ายครอบครัวอันนาหรอกน่า”

    ฉันสบตากับฮารุโตะ เขารู้เรื่องของฉันแล้วเหรอ รู้มากแค่ไหน อยากจะเอ่ยถามแต่คงต้องเอาไว้ทีหลัง สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่เหมาะ ขืนอยู่นานกว่านี้อาจจะเกิดการปะทะ ซึ่งฉันไม่ต้องการให้เกิดขึ้น อยากน้อยหมาป่าพวกนี้ก็ดูแลฉันอย่างดีตั้ง 2 เดือน

    ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็สามารถ ออกมาจากคฤหาสน์ได้ หมาป่าที่ยังมีสติอยู่ดูแล้วฝีมือคงไม่เท่าไหร่ เพราะถูกพี่ยูตะกับพี่คราวน์จัดการได้อย่างง่ายดาย ฉันไม่เห็นคริสหรือเพื่อนของเขาเลยสักคนทุกอย่างดูราบรื่นจนน่าแปลกใจ

    “ที่บอกว่าให้ป้าน้อยถ่วงเวลา นายให้ป้าน้อยทำอะไร ป้าน้อยเป็นพวกของแวมไพร์เหรอ เธอเป็นมนุษย์นี่ ทำไมถึง…” ฉันรัวคำถาม ความอยากรู้มีมากจนอดไม่ได้ พี่ยูตะกับพี่คราวน์มองหน้ากันก่อนจะไหวไหล่เป็นเชิงไม่ใส่ใจ ส่วนฮารุโตะทำเพียงถอนหายใจเล็กๆ อะไรกัน?

    “แค่ให้วางยาพวกไอ้คริส กับคนใหญ่โตในตระกูล แต่ไอ้พวกนั้นมันอึดเกินไปจนต้านยาได้ พวกเราเลยสั่งให้ป้าน้อยกับไอ้เบย์จับตัวขนมเทียนเป็นตัวประกัน แกล้งยื่นข้อเสนอให้ส่งตัวเธอมา ป่านนี้ก็คงดิ้นไปตามเกมอยู่”

    ฮารุโตะอธิบายในที่สุด ฉันนิ่งไปเล็กน้อยไม่คิดว่าเขาจะถึงขั้นใช้เพื่อนฉันเป็นตัวประกัน “เพื่อนฉันจะต้องไม่เป็นอะไร รวมถึงคนอื่นในคฤหาสน์หลังนี้ด้วย” ฉันไม่อยากเป็นต้นเหตุของการนองเลือดอีกแล้ว 

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×