คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : EPISODE 01
EPISODE 01
ติด ติด ติด
เฮือก!!!
ฉันลุกพรวดขึ้นจากเตียง สายตากวาดมองรอบห้องอย่างระแวดระวัง เมื่อพบว่าห้องนี้เป็นห้องของตนเอง ร่างกายที่ยังเกร็งอยู่จึงผ่อนคลายลง ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับปาดเหงื่อออกจากใบหน้า
ขณะสมองกำลังทำการประมวลผล
เกิดอะไรขึ้น? ถ้าจำไม่ผิดเมื่อคืนฉันน่าจะสลบอยู่กลางถนน ทำไมถึงตื่นมาโผล่ในห้องนอนได้ล่ะ เหตุการณ์เลวร้ายเมื่อคืนเป็นความฝันเหรอ?
“…”
“ฮ่าๆๆ ใช่! ฝันแหละ โดนสตอล์คเกอร์แล้วเก็บไปฝันชัวร์”
ฉันหัวเราะแห้ง พร้อมกับอื้อมมือปิดนาฬิกาปลุก โล่งใจได้เปราะหนึ่ง จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเหมือนทุกที ทุกอย่างดำเนินตามปกติ กระทั่งถอดชุดออกแล้วเหลือบเห็นรอยขบกัด ดูดเม้มบริเวณเนินอก
ตอกย้ำว่าทุกอย่างคือเรื่องจริง ไม่ใช่เพียงความฝันที่พยายามยัดเยียดให้เป็น ฉันยืนนิ่งมองตัวเองในกระจก ภาพตรงหน้าทำเอาถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะรอยดังกล่าวไม่ได้มีแค่รอยสองรอย ทว่ามีเป็นสิบ
เป็นความจริงที่ฉันถูกใครบางคนตามติด แรกๆ แค่จดหมาย แล้วก็โทรศัพท์แปลกๆ โทรเข้ามากลางดึก ทว่าพักหลังกลับพบว่ามันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ อย่างเมื่อคืนก็เกือบถูกข่มขืน แต่ไม่รู้ทำไมเช้าวันถัดมาถึงพาตัวเองมานอนบนเตียงได้ สภาพฉันตอนนั้นไม่น่ากลับหอพักเองได้แน่นอน
ถ้าจะกลับมาได้ก็มีอย่างดียวคือ…โรคจิตนั่นเป็นคนพาฉันมาส่ง ซึ่งการจะพามาส่งถึงห้อง แน่นอนว่าย่อมต้องรู้ทั้งที่อยู่และกุญแจห้องฉัน อ่า….คิดถึงความจริงข้อนี้ตัวฉันก็สั่นโดยอัตโนมัติ รู้สึกว่าความปลอดภัยของตัวเองกำลังลดลงเรื่อยๆ
ฉันพยายามไม่คิดมาก หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ตรงไปหาคนดูแลหอทันที หากเป็นตามที่คาดเดา อย่างน้อยกล้องวงจรปิดน่าจะจับภาพผู้ชายโรคจิตคนนั้นได้ ทว่าหลังจากนั้นฉันกลับต้องพบความผิดหวังเมื่อขอดูกล้องแล้วดันไม่พบความผิดปกติใดเลย
ฉันเดินออกจากหอพักด้วยอาการเหม่อลอยสองมือกำกระเป๋าสะพายแน่น ไม่ว่าคิดยังไงก็แปลก นอกจากกล้องวงจรปิดจับภาพคนร้ายไม่ได้แล้ว ยังไม่มีภาพฉันตอนเข้าหอพักด้วย มันเป็นไปได้ยังไง…
หมับ!
“จ๊ะเอ๋! จับได้แล้วอันนา”
เฮือก!! สะดุ้งตัวโยนจนหนังสือร่วงลงพื้นเมื่อจู่ๆ มีคนมากระซิบข้างหู "อ้ะ! ขอโทษ…ไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนี้"
"ขอล่ะช่วงนี้เธออย่าพึ่งเล่นอะไรแบบนี้เลย" ฉันหันไปบอกร่างเล็กด้วยใบหน้าเซ็งๆ เจออะไรผลุบโผล่แล้วประสาทจะกิน
"จ้าๆ ต่อไปจะไม่ทำแล้ว" เจ้าตัวส่งยิ้มอ้อนให้ฉัน พร้อมขยับมือมานวดไหล่อย่างต้องการเอาใจ
เธอคนนี้มีชื่อว่า “สายสิญจน์” ผู้หญิงที่คนทั้งมหาลัยให้คำนิยามว่าน่ารัก น่าเอ็นดูเหมือนกับตุ๊กตาที่สุด ซึ่งฉันเองเห็นด้วย เราสองคนค่อนข้างสนิทกันในระดับหนึ่ง เพราะอยู่ห้องฝั่งตรงข้าม เมื่อก่อนก็ไปกินข้าวเย็นด้วยกันบ่อย
“ว่าแต่…อันนามีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า เราเห็นอันนาทำหน้าเครียดตั้งแต่เดินออกมาจากหอแล้ว เราเรียกเท่าไหร่อันนาก็ไม่ยอมหัน” สายสิญจน์ถามพร้อมกับยื่นมือมากุมมือฉันเบาๆ เหมือนเป็นการช่วยฮีล
“มันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วอ่ะสายสินญจน์ ฮึก!”
พูดออกไปแค่นั้น ก่อนฉันจะต้องหยุดลงมื่อต้องกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ยิ่งพูดยิ่งพาลน้ำตาจะไหล มันน่ากลัวนะที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ พอได้เปิดใจพูดกับใครสักคน กำแพงที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งจึงทลายลงทันที
ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้สายสิญจน์ฟัง ร่างบางถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“แล้วอันนาเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นหรือเปล่า อย่างน้อยลงบันทึกประจำวันไว้ก็ยังดี”
“เห็น…แต่เรานึกไม่ออกน่ะสิ ว่าหน้าตาโรคจิตนั่นเป็นยังไง” ไม่รู้ว่าเพราะความตื่นกลัว หรือเบลอของตนเองกันแน่ ทุกครั้งที่พยายามนึกถึงใบหน้านั้นสมองถึงตื้อตลอด นอกจากน้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำแล้ว ฉันจำได้เพียงกลิ่นกายหอมสดชื่นเย็นๆ เท่านั้น
” บอกเรื่องนี้กับทางหอพักหรือยังล่ะ เผื่อเขาจะได้ให้ รปภ. ตรวจคนเข้าออกละเอียดขึ้น โอ๊ยทำไมมันน่ากลัวแบบนี้”
“เราทำทุกอย่างเท่าที่ตอนนี้จะทำได้แล้วสายสิญจน์ แต่ไม่คืบหน้าขึ้นเลย เมื่อคืนเราเองประมาทเกินด้วย ไม่น่าเดินกลับหอพักคนเดียวเลย” ฉันเอ่ยออกไปตามตรง รู้สึกโล่งอกใจขึ้นมานิดๆ เมื่อได้ระบายให้ใครสักคนฟัง
“ยังไงช่วงนี้อันนามานอนห้องเราก่อนไหม พยายามอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวโดยเฉพาะตอนกลางคืน”
“อื้อ! ขอบคุณนะสายสิญจน์ คอยช่วยเราตลอดเลย” เอ่ยบอกด้วยความตื้นตัน “ขอบคุณอะไรกันเราเป็นเพื่อนสนิทกันนะ”
ประโยคดังกล่าวทำฉันยิ้มกว้าง รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ได้เจอเพื่อนแบบสายสิญจน์ แม้ตอนแรกฉันจะบอกว่าเราค่อนข้างสนิทกัน แต่ลึกๆ กลับแอบหวั่นใจ เพราะสายสิญจน์เป็นคนเฟรนลี่มาก เธอมีเพื่อนมากมาย ตรงข้ามกับฉันที่ขี้อายเข้าสังคมไม่เก่ง บางทีระดับความสนิทของฉันกับเธออาจต่างกันก็ได้
“ว่าแต่มหาลัยเราบรรยากาศดีจังเลยเนอะ” ร่างเล็กเอ่ยพลางสะกิดไหล่ฉันให้เงยหน้ามองทิวทัศน์รอบๆ
“ใช่…เห็นด้วย” ฉันพยักหน้าตาม พึมพำเสียงแผ่ว
เหตุผลหนึ่งที่ยอมตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างหนัก เพื่อให้ตัวเองสอบชิงทุนของมหาลัย C ที่ว่ากันว่ายากนักหนาได้ ก็เพราะมหาลัยแห่งนี้นอกจากตั้งอยู่บนเกาะที่สวยงามมากๆ แล้ว ระบบการศึกษาและสิ่งอำนวยความสะดวกยังทันสมัยอีกต่างหาก
เรียกได้ว่าเป็นที่หมายตาของบรรดาเด็กหัวกะทิและไฮโซหลายคนเลย บ้างถึงขั้นข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนกันก็มี
“ถ้าผ่านเรื่องแย่ๆ ไปแล้ว เรามาเล่นน้ำกันไหม อยากเห็นอันนาใส่บิกินี่อ่ะ” เสียงเจื้อยพูดโดยไม่ละสายตาจากทิวทัศน์
“อื้อ! ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยนะ” ฉันยิ้มนิดๆ ลืมบอกไปเลยว่ามหาลัยฉันอยู่ติดกับทะเลมาก แถมตึกอาคารเรียนยังตกแต่งเป็นทรงยุโรป ดูหรูดูแพงแบบสุดๆ ยังกับมหาลัยต่างประเทศแน่ะ
“ถึงคณะเราแล้ว! เราไปก่อนนะอันนา ไว้เจอกันอีกทีที่หอ อย่าลืมที่บอกล่ะห้ามไปไหนคนเดียวเด็ดขาด! เกาะกลุ่มเพื่อนเอาไว้”
“จ้าๆ รู้แล้ว ฉันไม่ลืมหรอก เธอรีบไปเรียนเถอะ”
โบกมือเป็นเชิงบอกให้ไป ก่อนฉันจะเดินเข้าห้องเรียน เฮ้อ…ก็อยากเกาะกลุ่มเพื่อนไว้อย่างที่สายสิญจน์บอกหรอกนะ แต่ฉันไม่ใช่คนเฟลนลี่แบบสายสิญจน์นี่สิ
“อันนา ตรงนี้ๆ จองไว้ให้แล้ว”
ขณะกำลังมองหาที่นั่ง “ขนมเทียน” สาวสวยนิสัยห้าวซึ่งไม่เข้ากับชื่อเลยสักนิดก็โบกมือเรียก เธอทำยังไงถึงได้นิสัยร่าเริงขนาดนี้เนี่ย ฉันไม่สามารถเข้าถึงจริงๆ
“รายงานของอาจารย์จินทำถึงไหนแล้วเหรอ” เธอถามพร้อมกับเขยิบเก้าอี้มาใกล้ฉัน ลักษณะท่าทางคือพร้อมเม้าท์มอยเต็มที่
“อ๋อ ใกล้เสร็จแล้วล่ะ”
“โห สมกับเป็นนักเรียนดีเด่น ของเรานี่แทบไม่กระเตื้อง”
“ไม่หรอก เราก็ทำไปเรื่อยๆ นั่นแหละ อ้ะ!”
แรงสะกิดเล็กๆ ทำให้ฉันต้องหยุดบทสนทนา หันไปมองบุคคลที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนจะพบว่าคนคนนั้นคือ “ฮารุโตะ” นักศึกษาที่พึ่งย้ายจากนักเรียนภาคพิเศษ (ภาคค่ำ) มาเป็นนักเรียนภาคธรรมดาแทน
ปกติไม่เคยเห็นเขาทักหรือสุงสิงกับใครนอกจากกลุ่มเพื่อนตัวเอง ทำไมวันนี้ถึงมาทักฉันล่ะ?
“สมุดบันทึกลายกระต่ายของเธอหรือเปล่าอันนา ฉันจำลายมือเธอได้”
ขนมเทียนเอ่ยพลางชี้ไปยังสมุดเล่มดังกล่าว ซึ่งมีชื่อของฉันเขียนทับเอาไว้ มือเรียวยื่นไปข้างหน้าหมายจะหยิบมันคืน ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ฮารุโตะเป็นฝ่ายชักมันกลับไป ส่งผลให้ร่างบางถึงกับหน้าเหวอ ทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ขนมเทียนไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด
“เอ่อ…นี่สมุดของอันนาใช่ไหม” ตรงข้ามเธอถามเขาด้วยเสียงนุ่มนวลแทน ทำราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กประถม
“นายตั้งใจเอามาคืนอันนาสินะ” ขนมเทียนพูดต่อ ฮารุโตะพยักหน้าหงึกหงัก เซมองฉันตาปริบๆ
“อันนา เธอยื่นมือไปรับสิ ดูเหมือนว่าเขาตั้งใจเอามาส่งให้ถึงมือเธอเลยนะ” เป็นงั้นเองเหรอ?
“ขอบใจนะฮารุโตะ…” ฉันบอกพร้อมกับยื่นมือไปรับสมุดคืน จังหวะที่ร่างสูงขยับตัวเข้าใกล้ กลิ่นหอมเย็นๆ ราวกับกลิ่นฤดูหนาวก็ลอยแตะจมูก ฉันถึงกับตัวแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงด้วยความแตกตื่น เพราะกลิ่นหอมที่ว่ามันเหมือนกับโรคจิตนั่นเลย
ฉันจ้องคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกบรรยายไม่ถูก คำถามมากมายปรากฏขึ้นเต็มหัว อย่าบอกนะ…ว่าโรคจิตนั่นคือฮารุโตะ?
“อันนา?” ขนมเทียนสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ฉันก็นิ่งไป
“หืม?”
“เธอเหม่อน่ะ อาจารย์มาแล้วนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็พยักพเยิดไปหน้ากระดาน ฉันหันมองตามพบว่าร่างท้วมกำลังเท้าเอวยืนมองพวกเราด้วยท่าทางไม่พอใจ
“นักศึกษาจะนั่งที่ได้หรือยังคะ”
“ขอโทษค่ะ” เอ่ยพลางชักมือกลับ ก่อนจะสังเกตเห็นว่ามือของตัวเองกำลังสั่น ซ้ำยังหายใจหอบถี่อีกต่างหาก
ฮารุโตะยืนมองฉันด้วยใบหน้าตื่นๆ ทำท่าอึกอักราวกับอยากพูดอะไร แต่เมื่อเจอสายตาพิฆาตของอาจารย์สาว เขาก็ทำหน้าหงอยแล้วเดินกลับไปนั่งทันที ระหว่างเรียนฉันไม่มีสมาธิเลย สมองเอาแต่นึกถึงฮารุโตะ และโรคจิตนั่น เนื่องจากความคาใจบางอย่างกระตุกต่อม
“จะว่าไปฮารุโตะเนี่ยงานดีจริงเธอว่าไหม” ขนมเทียนยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับกระทุ้งซอกบริเวณสีข้างฉันเบาๆ
“ว่าไงนะ? ”
“เธอก็ดูสิทั้งสูง เรียนดี หน้าตาหล่ออย่างกับเทวดาตั้งใจปั้นมาอวย อย่างกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ คนอะไรแค่ยืนเฉยๆ ก็ดูแพง น่าเสียดายที่พูดไม่ได้”
“เป็นใบ้เหรอ?” หันขวับมองร่างบาง ถ้างั้นก็แสดงว่าบังเอิญน่ะสิ เพราะโรคจิตคนนั้นพูดได้ กลิ่นหอมที่ฉันรู้สึกคงเป็นน้ำหอมยี่ห้อเดียวกัน
“ช่ายยย~ แต่พูดไม่ได้แล้วไง ผู้ชายน่ะแค่หล่อก็พอแล้ว”
ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ ตอบได้สมกับเป็นขนมเทียนจริงๆ
“เธอก็เห็นด้วยใช่ไหมล่ะอันนา ว่าถึงฮารุโตะจะพูดไม่ได้แต่อย่างอื่นดีหมดเลย ว่าไง? รับฮารุโตะไว้พิจารณาหน่อยไหม หล่อ รวย เก่ง นิสัยดี”
“เอ่อ…เธอหมายถึงอะไรน่ะขนมเทียน” ทำไมจู่ๆ ถึงวกมาหาฉัน
“ฮารุโตะไง ดูท่าเขาจะชอบเธอนะถึงขั้นเอาสมุดมาคืน”
“แค่สมุดเองนะ ปกติออก” ฉันพูดแย้ง มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิดเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาตัวโรคจิตตัวจริงต่างหาก ฉันคิดอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงเต้นรัวทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยเป็น
“จ้ะ! ถ้าเป็นคนอื่น นี่ฮารุโตะเลยนะ ผู้ชายที่เมินเฉยกับทุกสิ่งรอบตัว แต่กับสนใจสมุดเล็กเชอร์ลายแบ้วๆ ของเธอ จะหาว่าฉันอวยก็ได้อันนา แต่เธอเอาเถอะผู้ชายคนนี้! ของดีเกรดพรีเมี่ยมแน่นอน” ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยังชูนิ้วโป้งให้ฉันเป็นการการันตี ให้ตายสิผู้หญิงคนนี้ เชื่อแล้วว่าเธออวย
“ว่าไงเอาไม่เอา ถ้าเธอเซย์โนฉันเอานะ” ขนมเทียนพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ทำให้ฉันต้องรีบดันหน้าเธอออก
“ไม่จ้ะ! เชิญเธอเอาไปคนเดียวเลย”
“โหดร้าย! ฉันก็อยากเอาเถอะ แต่ฮารุโตะเขาไม่เอาฉันไง ถ้าสวยได้สักครึ่งหนึ่งของเธอ ฉันอ่อยเขาเช้า สาย บ่าย เย็น แล้ว”
ฉันอมยิ้มให้กับคำพูดแสนจะแก่นเซี้ยวของขนมเทียน ก่อนจะอดมองไปที่ฮารุโตะไม่ได้ ทั้งริมฝีปาก ตา จมูก ใบหน้า เพอร์เฟคอย่างที่ว่าจริงๆ ว่าไปถ้าเทียบกับเพื่อนเขาอีก 4 นี่ให้ความรู้สึกต่างกันเลยแฮะ
ฮารุโตะดูมีออร่าของเจ้าชาย ทั้งบุคลิก ท่าทาง เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ทุกวันส่งให้ลุคดูใช่ เขาดูชอบใส่พวกเสื้อสีขาว หรือสีอ่อน ดูเรียบหรู แต่ไม่หวือหวา
ส่วนอีก 4 คนถ้าจำไม่ผิดฉันมักจะเห็นพวกเขาใส่พวกสีดำ ไม่ก็สีทึบหน่อย แต่อย่างว่าเรื่องรสนิยมมันไม่สามารถเอามาใช้ตัดสินใครได้ ถึงภายนอกลุคพวกเขาอาจดูร้าย ดูแบดบอย แต่ฉันว่าถ้าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดี ของคนที่มีปัญหาด้านการพูดอย่างฮารุโตะ ก็คงไม่ใช่คนเลวร้ายเท่าไหร่หรอก
และเหมือนฉันจะมองพวกเขานานไปหน่อย พวกเขาถึงได้หันมามองฉันบ้าง คนแรกคือผู้ชายผมสีแดงเพลิง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างหน้าดุ แถมยังเจาะคิ้วเสริมความเถื่อนให้ตัวเอง น่าแปลกที่อยู่ๆ เขาก็พูดว่า
“หวัดดี” ซะงั้น
คนที่สองคือผู้ชายหน้านิ่งผมสีควันบุหรี่ เขาไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้าให้ฉัน ไม่รู้จะสื่ออะไร ส่วนคนที่สามผู้ชายผมสีทองนัยน์ตาแพรวพราวดูเจ้าเล่ห์ที่สุด แต่รู้สึกคนนี้จะเล่นใหญ่มากด้วยการทำท่าส่งมินิฮาร์ตมาให้ ทว่าจู่ๆ เขากลับเอามือลงพร้อมกับทำหน้าหงอย
ส่วนคนที่สี่ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อน หน้าตาเขาดูเด็กมาก เขาเงยหน้ามองฉันนิดหน่อย แล้วก็ฟุบหลับเหมือนเดิม ท่าทางดูง่วงตลอดเวลา เอาจริงแก๊งนี้ฉันรู้จักชื่อของฮารุโตะคนเดียว ถ้าถามว่าทำไม
คงเพราะขนมเทียนเอาแต่พูดชื่อนี้ให้ฟังบ่อยสุดล่ะมั้ง ส่วนคนอื่นฉันแทบไม่ได้ยินเธอเอ่ยถึง และแน่นอนว่าตอนนี้ฮารุโตะกำลังมองมาที่ฉันเช่นกัน เขายิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ฉันถึงกับใจเต้นรัว
นะ…น่ารัก…
12.00 น. พักกลางวัน
ตอนนี้เป็นเวลาพักเที่ยง แน่นอนว่าฉันกับขนมเทียนต้องออกมาหาอะไรทานแถวโรงอาหาร ซึ่งแน่นอนว่ามหาลัยหรูระดับนี้ย่อมมีอาหารที่หลากหลาย และเยอะมาก ขอบอกเลยว่ามันอร่อยเกือบทุกร้าน
ทั้งของคาวและหวาน เป็นอีกหนึ่งที่ที่ฉันติดใจสุดๆ ฉันกับขนมเทียนเราเลยตัดสินใจกันว่า เราจะสิงอยู่ที่นี่จนกว่าจะเย็นเพื่อตะเวนทานของกินกันทั้งวัน เนื่องด้วยวันนี้เรามีเรียนแค่ถึงช่วงเช้า ฮ่าๆ
แต่แล้วสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ยังไม่ทันได้ตักบัวลอยไข่หวานถ้วยนี้เข้าปาก ฉันก็ดันปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำซะงั้น
“ขนมเทียนไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเราหน่อยสิ คือเราปวดฉี่อ่ะ”
“อ้าวเหรอ เดี๋ยวนะ แป๊บๆ” สาวน้อยตรงหน้าฉันพยักหน้าเข้าใจก่อนจะรีบยัดทั้งบัวลอย น้ำแข็งไส และเครปญี่ปุ่นเข้าปาก อ่า…จังหวะนี้แอบรู้สึกผิดเลยแฮะ
“ว่าแต่…ถ้าเราทั้งคู่ไปจะไม่มีคนเฝ้าโต๊ะนะ ขืนหายไปเลยป้าแม่บ้านได้เอาของกินพวกนี้ ทิ้งถังขยะเหมือนคราวก่อนแน่ ยังเหลืออีกบานเลยอ่ะ”
“เอางี้ไหม” ฉันยิ้ม พร้อมกับหยิบกระดาษกับปากกาเมจิกออกมาจากกระเป๋า เขียนข้อความลงไปว่า “เดี๋ยวมากินต่ออย่าทิ้งนะคะ”
“โอเค งั้นเราไปห้องน้ำกันเถอะ”
ฉันกับขนมเทียนพากันเดินไปห้องน้ำแต่ความโชคร้ายก็ยังมาเยือน เมื่อดันมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนกำกับว่า ชำรุด! ให้มันได้แบบนี้สิ เสียได้ถูกจังหวะจริง
“เอายังไงดีอันนา” ขนมเทียนถามพร้อมกับมองฉันด้วยความสงสาร “เราจะไม่ไหวแล้วอ่ะ” แค่นี้ก็สุดจะทนแล้ว
“งั้นไปตึกฝั่งวิศวะไหม ถ้าจำไม่ผิดมีห้องน้ำอยู่ข้างอาคารด้วย”
พยักหน้ารัว ขนาดนี้แล้วจะรออะไรล่ะ
“แต่เราคงไปด้วยไม่ได้นะ พอดีจีน่าเพื่อนข้างห้องลืมคีย์การ์ดไว้ห้องเราน่ะ ถ้าไม่รีบกลับมีหวังยัยนั่นร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่” ขนมเทียนพูดพลางยกโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้าดังต่อเนื่องให้ฉันดู โอเค! เป็นเหตุสุดวิสัยจริงนั่นแหละ
“ขนมเทียนไปเถอะ ห้องน้ำใกล้แค่นี้เราไปเองได้”
“ขอบใจนะ ไว้คราวหน้าเราเลี้ยงขนม” ฉันพยักหน้ารับก่อนจะรีบสาวเท้าไปอาคาร 3
แอบเกร็งแฮะ คณะนี้มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น ผู้หญิงถือว่าน้อยมาก แน่นอนว่าฉันทำเป็นไม่สนใจ รีบก้าวไปฝั่งห้องน้ำหญิง จัดการทำธุระส่วนตัวของตัวเอง หลังจากเสร็จสรรพก็ออกมาล้างมือ
ป่านนี้ของกินของพวกเราจะอยู่ที่เดิมไหมนะ
พรึบ!
ไฟดับ จู่ๆ แสงไฟในห้องน้ำก็ดับลง คิดจะดับก็ดับเนี่ยนะ! มันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ อึก! รู้สึกใจคอไม่ดีแฮะ เหมือนว่าเขาคนนั้นกำลังจะออกมาเลย เขามักจะปรากฏตัวทุกครั้งที่ไฟดับ หรือรอบตัวฉันไม่มีใคร ซึ่งทั้งสองอย่างนี้กำลังเกิดขึ้นกับฉัน…ไม่นะ
ต้องรีบออกจากห้องน้ำให้เร็วที่สุด ฉันพยายามใช้สายตาเพ่งมองตามทางเดินที่กว้าง สอดส่องหาทางออก ตรงนั้นสินะ!
หมับ!
“อันนา”
“กรี๊ดดดดด!”
ฉันกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงคล้ายกับอยู่ในหนังสยองขวัญ น้ำเสียงทุ้มต่ำแบบนี้ เป็นเขาจริงด้วย ผู้ชายโรคจิตที่ตามติดชีวิตฉันอย่างกับเงาตามตัว ฝ่ามือเย็นเฉียบกำลังรวบเอวฉันไปกอด มันกำลังจะทำแบบนั้นอีกแล้ว
“กลัวเหรออันนา ตัวสั่นเชียว ไม่ต้องกลัวนะผมจะปกป้องเธอเอง” อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า มันเบามากจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาดูเลยล่ะ ฉันร้องออกไปสุดเสียงเลยนะ ทำไมกัน!
“อย่ากลัวกันเลยนะ ผมแค่หิวรับรองไม่ทำให้เธอเจ็บแน่”
“กะ แกจะทำอะไรฉันไอ้โรคจิต อึก!” ฉันตวาดไปสุดเสียง ถามว่าไม่กลัวเหรอถึงได้กล้าพูดแบบนี้ แน่นอนว่าฉันกลัวมาก แต่ความโกรธมันมีมากกว่า อีกอย่างต่อให้ฉันอ้อนวอนให้ตายมันก็ไม่ปล่อย อย่างน้อยจึงขอพูดอะไรที่ทำให้มันเจ็บใจได้บ้าง
“อ่า โรคจิตเหรอ นั่นสิ หรือว่าผมจะเป็นโรคจิตกันนะ เพราะบางทีผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำยังไงกับเธอดี ระหว่างปกป้องเธอจากทุกคน หรือจะทำลายเธอด้วยมือของผมเอง อันนารู้ไหมว่าผมปวดใจทุกครั้งเลยนะที่คิดเรื่องนี้”
อึก! ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดหวั่น เมื่อน้ำเสียงที่แสนจะน่ารังเกียจนั่นกระซิบอยู่ใกล้ ใกล้เสียจนรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของเขาสัมผัสกับใบหู ร่างกายฉันสั่นราวกับลูกนกตกจากรัง
เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นตามใบหน้า เสียงดังกึกคล้ายกับของแหลมคมบางอย่างกำลังฝังเข้าไปแถวลำคอ ดังก้องกังวานอยู่ภายในหัว
เมื่อไหร่กันนะฉันจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ นี่…
ความคิดเห็น