ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love of Vampire พิษรักแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #19 : EPISODE 18

    • อัปเดตล่าสุด 8 เม.ย. 67


    EPISODE 18

    จบคำพูดของคริส ตัวฉันเกร็งขึ้นทันที มัวแต่หนีจนลืมเรื่องที่ตัวเองมีกลิ่นฟีโรโมนที่ค่อนข้างรุนแรงและอันตราย ขืนเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ที่หนีมาได้จะมีความหมายอะไรกัน ฉันมองไปที่คริส ดูก็รู้ว่าเขาพยายามข่มตัวเอง ขนมเทียนเหมือนจะตั้งสติได้ เธอรีบกันให้คริสถอยห่างจากตัวฉัน พร้อมกับหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ในรถมาคลุมรอบตัว

    “อย่าห่างจากฉัน” คริสเอ่ย เขากวักมือเรียกให้เราขยับไปหา

    “จะบ้าหรือไง นายน่ะตัวอันตรายต่อเพื่อนฉันเลย”

    “ก็ใช่ แต่คนอื่นอันตรายกว่า ฉันยังพอควบคุมตัวเองได้”

    ฉันมองไปรอบๆ ชายหญิงหลายสิบคนกำลังมองมาทางนี้ อาการของพวกเขาดูคล้ายกับคริส ยิ่งตอนนี้ลมแรง ไอ้กลิ่นบ้าๆ นี่ก็ยิ่งแรงขึ้นตาม ดังนั้นฉันจึงขยับไปใกล้คริสอีกหน่อย สายตาก็คอยสังเกตอาการเขาไปด้วย

    “รีบเข้าไปข้างในกันเถอะอันนา” ขนมเทียนเดินมาคั่นกลางระหว่างฉันกับคริส

    “ขอโทษนะ ดูเหมือนฉันจะเป็นตัววุ่นวาย” เอ่ยขอโทษคริสเบาๆ รู้สึกแย่ชะมัด เหมือนตัวเองเป็นตัวปัญหายังไงไม่รู้

    “ไม่เป็นไร เธออย่าคิดมาก แค่ห้ามพวกนั้นเข้าใกล้ก็พอแล้วนี่” พูดจบคริสก็สะบัดมือไล่ผู้คนที่มายืนล้อมรอบให้ถอยห่าง ก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมา

    “ไม่ต้องมากพิธี มีแขกมาด้วยเธอค่อนข้างพิเศษ ถ้าไม่มีอะไรห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด”

    “ตามบัญชาครับนายท่าน!!”

    ฉันมองพวกเขาที่ตะโกนรับปากอย่างพร้อมเพรียงราวกับทหารที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนัก ทั้งหมดนี้คือมนุษย์หมาป่าสินะ

    คริสพาฉันกับขนมเทียนเข้ามาในคฤหาสน์ ข้างในถูกตกแต่งไปด้วยภาพวาดและเฟอร์นิเจอร์ที่ดูท่าจะแพงมาก มองไปทางไหนก็ดูระยิบระยับไปหมด ฉันกลืนน้ำลายลงคอมองไปที่บันไดยาวเหยียดข้างหน้า หวังว่าจะไม่ต้องขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดนะ

    “เดี๋ยวฉันไปส่งอันนาเอง นายไปพักเถอะคริส”

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

    “ฉันกับอันนาไม่ได้ไวเหมือนนายนะที่เดี๋ยวก็ถึงน่ะ สภาพนายจะไม่ไหวอยู่แล้ว อยากทำร้ายอันนาหรือไง แค่นายให้ลูกน้องลงมาให้หมดก็พอ”

    จริงอย่างที่ขนมเทียนว่า คริสเริ่มมีอาการหอบหนักขึ้น เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วใบหน้าและลำคอ เขากำลังมีความต้องการ เป็นความต้องการที่คล้ายจะรุนแรงมากกว่ามนุษย์หมาป่าก่อนหน้าเสียอีก ฉันสัมผัสได้ทันที เพราะฮารุโตะก็มักมีอาการแบบนี้

    “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นจะเครียร์ทางให้” คริสตกลงแต่โดยดี เขาก้าวเท้าลงจากบันไดพร้อมกับเสียงผิวปากที่ดังขึ้นตามหลัง ฉันเดาว่าคงกำลังเรียกหมาป่าตนอื่น

    “เธอไม่เป็นไรนะอันนา”

    “ไม่หรอก ตอนนี้ยังไหว ว่าแต่เราต้องเดินอีกไกลไหม” ฉันถาม เริ่มเหนื่อยแล้วเหมือนกัน พอมองไปข้างหลังก็พบว่าเราทั้งสองเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว

    “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วล่ะ” ฉันพยักหน้าเข้าใจ ก้าวเท้าตามหลังขนมเทียนไปเรื่อยๆ ทำไมถึงได้ให้มนุษย์แบบพวกเราอยู่ซะชั้นบนสุด เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะหนียังไงล่ะทีนี้

    “เธอสงสัยใช่ไหมว่าทำไมต้องอยู่ชั้นบนสุด” ขนมเทียนเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ

    “นี่เธออ่านใจได้เหรอ” และฉันก็ถามกลับด้วยความสงสัยปนตกใจ

    “เปล่าหรอกแต่สีหน้าเธอมันฟ้อง” น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยออกมา ฝ่ามือเล็กเอื้อมมาจับแขนฉันไว้ พร้อมกับพาไปที่หน้าประตูห้องหนึ่ง ในที่สุดเราก็มาถึงชั้นสุดท้ายแล้ว

    “สงสัยฉันจะอ่านออกง่ายมากเลยสินะ” ฉันพูดขึ้นมายิ้มๆ มองรอบห้องไปด้วย ค่อนข้างกว้างเลยแฮะ อยู่ 2 คนยังเหลือเฟือ คล้ายกับถูกแรงดึงดูดฉันมองไปที่กรอบรูปที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง เป็นภาพของผู้หญิง 2 คน กำลังมองหน้ายิ้มให้กัน ดูแล้วทั้งสดใสน่ารักเหมาะกับวัย พวกเธอสวมใส่ชุดนิสิตฯทั้งคู่ จากรูปคงพึ่งปี 1 แถมภาพยังดูเก่ามาก

    “สองคนนั้นคือแม่ของฉันกับเธอ”

    “ไม่ใช่ว่าคุณแม่ฉันคือคนที่ดูแลอยู่ตอนนี้เหรอ? ”

    ฉันถามด้วยความไม่เข้าใจ ถ้างั้นผู้หญิงที่เลี้ยงฉันตอนเด็กคือใครกันล่ะ จากการปฏิบัติกับฉันที่ผ่านมา ทั้งห้ามออกไปข้างนอก ขังไว้ไม่ให้เจอพ่อเลี้ยง อาจจะดูใจร้ายไปบ้าง แต่พอคิดถึงสถานะของตัวเองตอนนี้ราวกับว่าเธอกำลังปกป้องฉันด้วยซ้ำ มันหมายความว่าเธอรู้เรื่องดอกไม้ของแวมไพร์อยู่ไม่น้อย เมื่อก่อนฉันไม่รู้อะไร คิดว่าถูกเกลียดซะอีก

    “ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คงเป็นสักคนที่คุณน้าไว้ใจ ถึงได้ฝากเธอไว้กับผู้หญิงคนนั้น อาจเป็นเพื่อนสนิทสักคนก็ได้มั้ง ถ้ามีโอกาสเธอลองถามดูสิ”

    “ไว้กลับบ้านคราวนี้ฉันต้องถามเธอแน่ ว่าแต่ทำไมถึงมีรูปพวกนี้อยู่ในห้อง”

    “เพราะมันเคยเป็นห้องของแม่เธอไงอันนา”

    ฉันชะงักไปเล็กน้อย มองขนมเทียนอย่างต้องการคำตอบ ไม่ใช่ว่านี่คือคฤหาสน์ของพวกมนุษย์หมาป่าเหรอ แล้วทำไมแม่ฉันถึงได้เข้ามาอยู่ที่นี่ เผ่าหมาป่ามีความสัมพันธ์กับตระกูลของฉันแบบไหนกัน

    “ไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไง เขาว่ากันว่าแม่เธอเป็นคนรักเก่าของผู้นำเผ่าหมาป่า ตอนที่เกิดเรื่องดอกไม้ของแวมไพร์ นายท่านคนเก่าถึงได้พามาซ่อนตัวที่นี่”

    “ถ้างั้นฉันเป็นลูกของหมาป่าคนก่อนเหรอ” ถามออกไปด้วยความลังเล

    “ไม่ใช่หรอก ตอนนั้นไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อเด็ก คุณน้าไม่ยอมปริปากบอกใครสักคน หลังคลอดเธอเสร็จท่านก็เสีย เราเลยไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ ขอโทษด้วยนะอันนา”

    ฉันส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ใช่ความผิดของใครเลย เรื่องบางเรื่องปล่อยให้เป็นความลับคงดีกว่า ใช่ว่าฉันจะโหยหาพ่อแท้ๆ ขนาดนั้น ฉันก็แค่สงสัยเฉยๆ

    “ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ คุณย่ากลับมาจะลองไปถามดูก็ได้นะ ช่วงนี้ท่านไม่อยู่เห็นว่าออกไปตามหาส่วนผสมของยาน่ะ” ขนมเทียนพูดขึ้น ส่งยิ้มกว้างมาให้ เธอคงคิดว่าฉันจะผิดหวัง อยากจะค้านเหลือเกินว่าจะเอาอะไรมาผิดหวัง ตอนนี้แค่เอาชีวิตรอดได้ในแต่ละวันก็เหนื่อยสาหัสแล้ว

    “อยู่ที่นี่จะปลอดภัยจริงเหรอ ฮารุโตะต้องไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆ แน่” ฉันพูดเมื่อนึกขึ้นได้ เขาเป็นสตอลค์เกอร์ตัวพ่อ ความคลั่งในตัวฉันมีมากเสียจน ฉันคิดไม่ออกว่าฮารุโตะจะยอมปล่อยฉันไปได้ยังไง ก่อนหน้านั้นก็เป็นฉันที่ปฏิเสธฝ่ามือเขาอย่างไม่ไยดี

    “ลืมไปแล้วเหรออันนา เธออยู่ในอณาเขตของหมาป่าเชียวนะ พวกเขาไม่ได้จัดการง่ายๆ พละกำลังพอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกแวมไพร์ได้เลย ไม่งั้นฉันกับคุณย่าจะหนีรอดจากพวกฮันเตอร์ได้ถึงป่านนี้เหรอ ต่อให้ฮารุโตะอยากได้ตัวเธอแค่ไหนก็คงไม่ง่าย”

    ขนมเทียนยืดอกบอก ดูจะภูมิใจมาก ที่ผ่านมาเธอค่อนข้างสดใสร่าเริง เป็นตัวของตัวเอง ดูเป็นคนไม่คิดอะไรมาก ตอนนี้กลับมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม

    “เธอเป็นแม่มด เธอรู้วิธีกำจัดกลิ่นฟีโรโมนในตัวฉันไหม” ถ้าอยากมีชีวิตเป็นอิสระ สิ่งแรกที่ต้องทำคือกำจัดกลิ่นกายที่แสนอันตรายนี้ทิ้งซะ

    “เท่าที่รู้มาไม่สามารถลบล้างฟีโรโมนภายในตัวได้ แต่เราสามารถระงับมันได้”

    “แล้วเธอทำมันได้ไหมขนมเทียน” ฉันจับแขนร่างบางอย่างมีความหวัง แค่นี้ก็ยังดี

    “ทำได้ แต่ตอนนี้ไม่มีวัตถุดิบในการปรุงยาน่ะสิ”

    “งั้นเหรอ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้อย่าว่าแต่อิสระเลย อยู่ที่ไหนกับใครก็เหมือนกัน ถูกจำกัดพื้นที่ ตั้งแต่ได้รู้ว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งมหัศจรรย์อย่างแวมไพร์และมนุษย์หมาป่า ฉันก็เริ่มระแวงมนุษย์ทุกคน เพราะไม่รู้ว่าเป็นคนธรรมดาหรือพวกอมนุษย์กันแน่ หนทางใช้ชีวิตแบบปกติสุขช่างริบหรี่

    “อย่าพึ่งเศร้าสิอันนา ถึงตอนนี้จะยังทำไม่ได้ แต่ก็พอมียาแก้ขัดอยู่นะ”

    เมื่อเห็นสีหน้าของฉันขนมเทียนก็รีบล้วงกระปุกบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

    “นี่คือ? ” ฉันเปิดฝากระปุกออกมา ข้างในเต็มไปด้วยเม็ดกลมสีฟ้าใส มีราวๆ 10 กว่าเม็ดได้

    “มันคือยาระงับฟีโรโมนน่ะ อยู่ในช่วงทดลอง ออกฤทธิ์ได้นานสุดแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น เธอจะลองไหมล่ะ” ขนมเทียนถามด้วยสีหน้าลังเล เอาเถอะดีกว่าไม่มี ฉันพยักหน้าตกลง หยิบกระปุกมาไว้ในมือ หวังว่าจะพอมีประโยชน์นะ

    “ขนมเทียน ฉันรู้สึกผิดจังเลย” ฉันมองคนตรงหน้า รู้สึกยุบยิบในใจจนต้องโพล่งออกมา ว่าจะไม่พูดไม่เอ่ยถึง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ในฐานะที่เธอเคยเชียร์ฮารุโตะ

    “เรื่องอะไรเหรอ? ”

    “ฮารุโตะน่ะ ฉันรู้สึกผิดกับเขา ทั้งที่เขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมาช่วย แต่ฉันกลับผลักไสเขาออกไป สีหน้าและแววตาของเขาในตอนนั้น ยังติดอยู่ในหัวอยู่เลย ทั้งที่ฉันเป็นฝ่ายให้เขาสัญญาแท้ๆ” พูดไปน้ำตาก็ไหลออกมาด้วย ความรู้สึกจุกที่อกมันคืออะไรกัน

    ฉันไม่ได้รักฮารุโตะ อยากหนีจากเขามาตลอด แต่ทำไมเวลาอยู่ห่างกันถึงได้โหยหาเขามากขนาดนี้พยายามกดความรู้สึกไว้แล้วแท้ๆ

    “อย่าคิดมากเลยนะ เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ความรักบังคับกันได้ที่ไหน”

    “ฉันไม่ได้รักฮารุโตะจริงๆ ใช่ไหม บอกตามตรงว่าฉันเริ่มไม่แน่ใจกับความรู้สึกตัวเองแล้ว”

    ฉันเม้มริมฝีปากแน่น มองขนมเทียนที่กำลังจ้องมองฉันอย่างอึ้งๆ อย่าว่าแต่คนตรงหน้าเลย ฉันเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ถ้าหากความรู้สึกรักเป็นของจริงขึ้นมาจะทำยังไง ในเมื่อหัวใจฉันกำลังต่อต้านความรักครั้งนี้ แต่อีกใจกลับรู้สึกโหยหาและผูกพัน ทุกอย่างภายในหัวตีกันไปหมดจนฉันทำอะไรไม่ถูก

    “ไม่หรอก เธอจะไม่มีวันรักฮารุโตะ” พูดจบขนมเทียนก็ดึงฉันเข้าไปกอด

    “ถ้างั้น…ทำไมฉันถึงยอมให้เขากอด ยอมให้สัมผัสกันล่ะ แถมยังไม่รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด” พูดออกมาด้วยความไม่เข้าใจ แรกๆ ฉันอาจรังเกียจฮารุโตะ แต่พักหลังกลับโอนอ่อนตามอย่างง่ายดาย มันเริ่มชัดเจนขึ้นก็ตอนที่ถูกวินกอด เป็นครั้งแรกที่ฉันรับรู้ได้ถึงความแตกต่าง

    “มันก็แค่ความหวั่นไหวเล็กน้อย อย่าคิดมากสิ”

    ขนมเทียนปลอบ ฉันพยักหน้าตามอย่างช่วยไม่ได้ คงจริงอย่างที่เธอว่า อย่าพึ่งด่วนสรุป ถ้ารักเขาจริงในใจฉันคงไม่คิดต่อต้านถึงขั้นนี้ ที่ผ่านก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ

    บันทึกพิเศษ: ขนมเทียน

    @เที่ยงคืนตรง

    ฉันมองอันนาที่กำลังหลับพริ้มอยู่บนเตียง สีหน้าของคนตัวเล็กดูผ่อนคลายกว่าเมื่อเย็นมาก เธอเป็นญาติที่เหลือไม่กี่คนของฉัน ครั้งแรกที่รู้ว่าเราทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันทำเอาทั้งตกใจและดีใจ จนถึงกับต้องปฏิญาณตนว่าจะดูแลปกป้องน้องสาวคนนี้ให้ได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ถึงไม่ใช่หน้าที่แต่ฉันก็เต็มใจ

    หลังจากรู้ภูมิหลังของตระกูล จากที่เคยเที่ยวเล่นแบบคนธรรมดาก็เริ่มเปลี่ยน ฉันต้องคอยหลบพวกฮันเตอร์ ไหนจะพวกปีศาจที่ต้องการใช้ประโยชน์จากแม่มด ต้องเรียนรู้เวทมนตร์และคาถาต่างๆ เป็นช่วงที่หนักหนาและเหนื่อยมากสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวแบบฉัน คุณย่าที่เคยเป็นคนให้คำปรึกษาอยู่ๆ ก็หายตัวไป

    “ทำแบบนี้มันถูกแล้วจริงๆ เหรอคะคุณย่า”

    ฉันพึมพำ มองอันนาสลับกับกระปุกยาเล็กที่อยู่บนหัวเตียง เธอกำลังเกิดความรู้สึกรัก เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะกับฮารุโตะชายที่มีสัญลักษณ์เดียวกัน สำหรับแวมไพร์ผู้หญิงที่มีตราเหมือนกัน พวกเขาจะเรียกว่าดอกไม้ของแวมไพร์ แต่สำหรับเหล่าแม่มดพวกเธอเป็นเพียงแค่ดอกไม้ต้องสาป รักที่ก่อเกิดกับแวมไพร์จะนำมาซึ่งความทุกข์ที่เจ็บปวดและทรมานเจียนตาย

    จากที่หาข้อมูลมาได้ อันนาหนีออกจากบ้านมาเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อที่จะได้เข้ามหาลัย C นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้กินมันอีกแล้ว ถึงได้เริ่มมีความรู้สึกรักใคร่เกิดขึ้น

    “ขอโทษนะ แต่เพื่อปกป้องเธอ ฉันจำเป็นต้องถมช่องว่างในหัวใจของเธอ ไม่ให้เหลือ” ถึงจะรู้ว่าเป็นการทำร้ายความรู้สึกของน้องสาวตัวเอง แต่ให้ยืนดูเธอตายทั้งที่รู้อนาคตฉันทำไม่ได้ ขอแค่เพียงอันนากินยาตัวนี้ไปเรื่อยๆ ฉันเชื่อว่าจะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายเหมือนอย่างรุ่นก่อน ใช่ไหมคะคุณย่า มันจะไม่เกิดขึ้นอีก!

    จบบันทึกพิเศษ: ขนมเทียน

    “อื้อ!” ฉันลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยหลังจากพึ่งตื่นนอน เปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้สายลมและแดดอ่อนสอดส่องเข้ามา วันนี้บรรยากาศดีเหมาะกับการออกไปเดินเล่นที่สุด จะเป็นไรไหมนะถ้าฉันจะออกไป ได้ยาระงับฟีโรโมนมาแล้วด้วย

    “อะแฮ่ม! เป็นไงบ้างเมื่อคืนหลับสบายไหมอันนา” ขนมเทียนเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับถือแจกันดอกไม้เข้ามาด้วย

    “หลับสบายมาก ยาระงับฟีโรโมนหรือยาคลายเครียด ทำไมตื่นมาฉันถึงได้ผ่อนคลายสดชื่นขนาดนี้” ฉันถามเย้าพร้อมกับเดินมาช่วยขนมเทียนจัดดอกไม้ ดอกสีขาว กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ต้องคอยจับอย่างเบามือ จะเป็นดอกอะไรไปได้นอกจากดอกแก้ว

    “แต้งกิ้วจ๊ะ ถ้าให้ฉันจัดเองคงเหลือแต่ก้าน” ขนมเทียนพูดขำๆ

    ก๊อก! ก๊อก!

    “เดี๋ยวฉันไปเปิดเอง” ฉันบอกเมื่อร่างบางตรงหน้าทำท่าจะลุกขึ้น ให้ฉันขยับตัวบ้างเถอะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ขนมเทียนเทคแคร์ดูแลอย่างกับฉันเป็นลูกสาว

    “สวัสดีอันนา” คริสยกมือทักทายเมื่อเห็นฉัน เขาดูทำตัวไม่ถูก

    “สวัสดีคริส เอ่อ…ขอบคุณที่อุตส่าห์พามาถึงที่นี่” ฉันทักทายกลับ บอกขอบคุณสำหรับน้ำใจที่เขามีให้

    “ไม่เป็นไร เพื่อนขนมเทียนก็เหมือนเพื่อนฉัน อ้อ อาหารเช้าเสร็จแล้ว จะลงไปกินเลยมั้ย? ” ฉันพยักหน้ายิ้มๆ หิวอยู่พอดี ว่าแต่ทำไมคริสต้องยืนถูมือไปมา

    “แน่นอนย่ะ! ฉันหิวจนสามารถกินหัวนายได้เลยขอบอก” ขนมเทียนเดินมากอดไหล่ฉัน

    “น้อยๆ หน่อยนี่เพื่อนฉัน” เธอชี้หน้าคริสอย่างหาเรื่อง พร้อมกับดันหลังฉันให้เดินไปข้างหน้าเบาๆ ตัวก็มีอยู่แค่นี้ ยังจะทำเป็นนักเลงได้อีก ขนมเทียนสูงกว่าฉันหน่อยเดียวเอง

    “พูดเหมือนฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ” คริสเกาหัวแกร็กๆ

    “ลำดับความสำคัญมันต่างกันย่ะ!”

    ฉันหลุดยิ้ม มองขนมเทียนที่หันไปแลบลิ้นกวนๆ ใส่คริส เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่ได้ถือสาหรือคิดมากอะไร บรรยากาศรอบตัวผ่อนคลายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ จัง ฉันพอแล้วกับเกมบ้าๆ ของพวกแวมไพร์

    หลังจากที่เราทั้งสามเดินไปถึงโต๊ะอาหาร สายตานับสิบคู่ต่างจับจ้องมาที่ฉัน อย่างกับเดจาวู สายตาของพวกเขาเป็นประกายจนฉันต้องเขยิบถอยหลัง ราวกับฝูงหมาป่าที่เห็นก้อนเนื้อชิ้นโต

    “ไอ้มิกซ์เก็บอาการเดี๋ยวนี้ อันนากลัวพวกมึงแล้ว” คริสหันไปปรามเพื่อนตัวเอง

    “แหม! ทำเป็นสั่งพวกกู มึงบอกตัวเองก่อนมั้ยคริส” ชายที่ดูท่าทางทะเล้นพูดขึ้น ก่อนจะหันมาส่งยิ้มหวานหยดย้อยให้ฉัน

    “หยุดเลย! พวกนายนั่นแหละที่จะทำให้เพื่อนฉันกลัว ถอยออกไปตรงนู้นเลย” เป็นขนมเทียนที่เข้ามาขวางหน้าฉัน เธอชี้นิ้วสั่งให้ผู้ชายทั้งสามเขยิบออกไป เอ่อ…ไกลไปมั้ยเพื่อน

    “ขอโทษนะอันนา ที่จริงพวกนี้มันไม่ได้เลวร้ายหรอก พวกมันแค่ดีใจที่ได้เจอเธอตัวจริงน่ะ”

    “ไม่เป็นไรๆ เมื่อกี้แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ” ฉันส่ายหน้าไปมา ถึงทุกคนจะหน้าตาดุ แต่ก็ดูเป็นคนเฟรนลี่ อีกอย่างฉันไม่อยากสร้างความลำบากใจให้พวกเขาด้วย แค่นี้ก็เกรงใจแย่

    “มีอะไรที่เธอทานไม่ได้บ้าง” คริสหันมาถาม

    “อุ๊บ! ไอ้เชี้ยย โคตรจี้ปกติมึงต้องพูดว่าแดกไรได้บ้างไม่ใช่เหรอวะ ฮ่าฮ่า”

    ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบ ผู้ชายที่ชื่อมิกซ์ก็แทรกขึ้นมาก่อน เขาหัวเราะลั่นพร้อมกับกุมท้องตัวเองไปด้วย ให้เดาคริสคงเป็นประเภทโผงผาง พูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่สินะ

    “ไอ้มิกซ์ คือมึงต้องเข้าใจนะเวลาคุยกับคนน่ารัก จะให้กูถามเขาว่าแดกไรไม่ได้บ้าง กูก็รู้สึกผิดไง”

    “ฮิ้วววว ได้ว่ะพ่อมึง ไอ้มิกซ์แม่งไม่โปร”

    จบคำพูดของคริสผู้ชายอีกคนก็ร้องโห่ด้วยความพอใจ ก่อนที่คนอื่นจะเริ่มโห่ตามกลายเป็นลูกโซ่ ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูก อยู่ๆ ก็โดนชมซึ่งหน้า เลยได้แต่ยิ้มตามมารยาทกลับไป กว่ามื้ออาหารที่แสนวุ่นวายจะจบลงก็ทำเอาฉันถึงกับแสบแก้วหูหน่อยๆ

    “อันนาที่นี่มีสวนดอกกุหลาบด้วย เธอสนใจไปดูไหม? ” คริสหันมากระซิบถามฉัน ขณะที่ขนมเทียนกำลังสนใจกับของหวานตรงหน้า ยังกินได้อีกผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่คนอื่นอิ่มจนลุกไปกันหมดแล้วแท้ๆ

    “ว่าไงเธอสนใจไหม” คริสถามย้ำ น้ำเสียงยังคงกระซิบเหมือนเดิม สงสัยกลัวโดนขัดอีก

    “เอาสิ ฉันก็ชอบดอกไม้เหมือนกัน” นิ่งไปเล็กน้อยฉันก็ตอบตกลง ถือว่าเป็นการสูดอากาศธรรมชาติไปด้วย นานทีจะมีโอกาสแบบนี้ 

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×