ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Deux side | สองมุม #kookmin

    ลำดับตอนที่ #5 : begin

    • อัปเดตล่าสุด 3 ต.ค. 64


     

    5

     

         5 เดือนผ่านไป

         นับจากวันนั้นทุกอย่างเป็นปกติมาตลอด จองกุกหันมาให้ความสนใจมากขึ้นกับเรื่องศาสตร์การป้องกันตัวและศึกษาทุกอย่างที่เกี่ยวกับมนุษย์ ยิ่งเขารู้มากเท่าไหร่ว่ามนุษย์เป็นอย่างไรนั้นยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเขา เพราะจุดอ่อนของมนุษย์แต่ละคนต่างกัน การที่เขาต้องเอาวิญญาณของคนที่จิตบริสุทธิ์มาฟังดูอาจจะง่ายกว่าการเก็บจิตหยาบก็จริง แต่ก่อนที่มนุษย์ทุกคนจะตายล้วนยังมีความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่...หรือง่ายๆคือยังมีพันธะ

         และในการเก็บจิตบริสุทธิ์นั้นเขาเองก็ไม่สามารถใช้กำลังหรือเวทย์อะไรดึงวิญญาณมาได้ทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ใช้ได้คือคำพูด...และแน่นอนมันทำให้ร่างสูงเบื่อหน่าย เพราะทุนเดิมก็ไม่ใช่คนชั่งเจรจาอยู่แล้ว นั้นเลยเป็นสาเหตุที่เจ้าตัวต้องพาตัวเองออกมาจากภวังความคิดทั้งหลายแล้วมาใส่อารมณ์กับเหล่าพี่ๆองค์รักษ์แทนเช่นตอนนี้

         เคร้ง! เคร้ง! ผลัวะ!! 

         “อึก!...นับวันแรงเจ้ายิ่งมากนะจองกุก” นัมจุนพูดพร้อมกุมอกตรงที่โดนเท้าของจองกุกถีบเข้าไปเต็มแรง

         “...” จองกุกไม่ได้ตอบรับคำของนัมจุนเพียงแต่ยืนมือไปช่วยดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมา

         “นี้เจ้ามีเรื่องอะไรในหัวรึ” ร่างสูงเมื่อลุกขึ้นมาได้ก็ปัดฝุ่นและถามอีกฝ่าย

         “ช่องว่างข้าเยอะลือ” จองกุกถามกลับ

         “เปล่าหรอกแต่เจ้าไม่เคยออกแรงมากเพียงนี้” 

          “นิดหน่อย...มิได้หนักหนาอะไร” จองกุกตอบ

         จองกุกตอบนัมจุนก่อนปลดผ้าพันมือของตัวเองออกซึ่งมันก็เป็นสัญญาณว่ามันวันนี้การซ้อมจะจบลงเท่านี้ นัมจุนจึงหันไปบอกให้อีกสี่คนหยุดและช่วยกันเก็บอุปกรณ์โดยมีเพียงนัมจุนกับจองกุกเท่านั้นที่แยกออกมา

         “จองกุกเจ้าเองไม่ได้อยู่เพียงลำพังเจ้ามีพวกข้า ความใดก็ได้บอกเถิดถ้ามันจำให้เจ้าเบาลง” นัมจุนพูดแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างจองกุก

         “ข้าไม่เป็นอะไรนั้นคือความจริงอย่ากังวล...พวกท่านพี่เถิด...ได้ศึกษาเรื่องมนุษย์บ้างลือไม่”จองกุกถามกลับ

         “ก็พอรู้อะไรขึ้นมาบ้างแต่ข้าว่ามันคงไม่ต่างจากเรามากหรอก”

         “อืม ข้าก็ว่าท่านเอาตัวรอดได้” นัมจุนมักหัวไวกับทุกเรื่องอยู่แล้วไม่น่าเป็นห่วง

         “จองกุก

         ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ๆก็มีเสียงหวานที่คุ้นเคยแทรกมาจากทางด้านหลังของทั้งคู่ นัมจุนจึงเงยหน้าขึ้นแต่ยังไม่ได้หันหลังไปก็พบว่าอีกสี่คนที่เก็บของอยู่ในตอนแรก ตอนนี้ได้ยืนทำความเคารพไปทางด้านหลังของเขาแล้ว… ซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าใครบ้างที่จะทำให้พวกเขาต้องทำท่านี้

         “ใจคอพวกเจ้าก็จะไม่ส่งเสียงบอกข้าเลยหรืออย่างไร” นัมจุนกร่นว่าน้องเบาๆกับตัวเองแล้วจึงเดินไปที่ทั้งสี่คนแล้วทำท่าเดียวกัน และไม่วายหันไปกระทุงศอกใส่แทฮยองที่ยิ้มเยาะเย้ยเขาอยู่ 

         “ท่านแม่มีอะไรลือ” จองกุกยืนขึ้นแล้วถามบุคคลที่พึ่งมาใหม่

         หญิงสาวยิ้มบางๆให้กับลูกชายตัวเองก่อนจะส่งมือของตัวเองไปกุมมือของลูกชายไว้ นิ้วเรียวทั้งห้าผสานเข้ากันกับมือหนาบวกกับสายตามารดาตอนนี้ที่ดูเหมือนจะเศร้าลงอย่างผิดสังเกต เพียงแค่นี้ก็เป็นคำตอบของจองกุกได้แล้วว่าเรื่องที่แม่ของเขาจะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องอะไร

         “ไปหาท่านพ่อเจ้าหน่อยเถอะลูก มีความสำคัญที่เจ้าต้องรู้”

         โฮยอนพูดจบก็ละสายตาจากลูกของตนไปยังเหล่าองครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

         “พวกเจ้าก็เหมือนกันนะ”

        “ครับ!!!”

     

         ห้องโถงกลาง

         เมื่อร่างสูงเข้ามากลางห้องโถงตามคำมารดาก็พบว่ามีคณะกรรมการผู้อาวุโสรออยู่แล้ว จองกุกและเหล่าองครักษ์เดินมาหยุดต่อหน้าของราชา ทั้งหกคนโน้มตัวเคารพก่อนจะกับมายืนตัวตรงอีกครั้ง

         กึก กึก กึก

         ราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในตอนแรกได้ก้าวลงมา เสียงฝีเท้าของราชาที่ก้าวลงบันไดแต่ละขั้นนั้นดังกึกก้องทั้งห้องโถงที่เงียบสงัด บรรยากาศระหว่างร่างสูงและผู้เป็นพ่อแลดูจะแตกต่างออกไปจากทุกที ครั้งนี้ดูเหมือนความจริงจังที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว...ก่อนที่ความรู้สึกแบบนั้นจะจบลงเมื่อฝีเท้าของราชานั้นหยุดลงหน้าบุตรของตนเอง

         “จอน จองกุก...พ่อว่าเจ้าน่าจะรู้ความสำคัญที่พ่ออยากจะบอกเจ้าแล้วใช่ลือไม่” 

         “ครับ ข้าทราบ” ร่างสูงตอบ

         “อืม...ก็ดีแล้ว หน้าที่ที่แท้จริงของเจ้ากำลังจะเริ่ม การไปโลกมนุษย์ครั้งนี้จงตั้งใจทำหน้าที่และเก็บเกี่ยวสิ่งดีงามกลับมาให้ได้มากที่สุด...หากแต่มนุษย์นั้นแสนจะเข้าใจยาก อย่าปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกของตัวเองทำให้เสียการ”

         “…”

         “พวกเจ้าก็เช่นกัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดจะได้ไม่เสียใจภายหลัง”

         “...”

         “เจ้าจงไปเตรียมตัว”

         “…”

         “ย่ำรุ่งพรุ่งนี้พวกเราทุกคนจะไปส่งเจ้ายังโลกมนุษย์”

         ทุกอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทุกคนต่างแตกแยกย้ายออกไปจากห้องประชุมใหญ่แล้ว เหลือเพียงแค่ร่างสูงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงอยู่ จองกุกถอนหายใจทิ้งหนึ่งครั้งก่อนจะนั่งลงกับขั้นบันได สายตาทอดออกไปผ่านกำแพงของห้องที่เป็นกระจกใสไปยังกลุ่มเมฆสีขาวที่ล่องลอยอยู่ ในหัวของร่างสูงยังคงเต็มไปด้วยใบหน้าของจีมินและคำพูดในวันนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อไปในทางไหนแต่หากในตอนนี้ยังไงก็คงไม่ใช่ในทางที่ดีเป็นแน่ 

         รอข้าเถอะปาร์คจีมิน ข้าจะบอกให้เจ้าเข้าในสิ่งที่ข้าจะสื่อ

     

     

         เช้าตรู่ของวันถัดมา

         “รักษาเนื้อรักษาตัวให้จงดีนะลูก”

         “ครับ ท่านแม่”

         “งั้นก็ไปเถิดลูก”

         โฮยอนพูดและลูบหัวลูกชายตัวเองเป็นการบอกลาก่อนที่บรรดาองครักษ์ทั้งห้าจะมารวมกัน ณ ประตูใหญ่ที่จะใช้นำไปยังโลกมนุษย์ ร่างสูงจึงต้องแยกตัวออกมาจากมารดาและมารวมกับทุกคน

         “ข้าตื่นเต้นเหลือเกินท่านพี่! ข้าละยากเห็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์จนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” แทฮยองพูดกับนัมจุน

         “เดี๋ยวเถอะแทฮยอง การนี้ไม่ได้ไปเพื่อเสพสุขนะ” นัมจุนตอบด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังมากนัก

         “แหม่…ท่านพี่ อย่าให้ข้าเห็นว่าท่านสนใจเหมือนที่ข้าสนในหนา ท่านโดนข้าล้อแน่” 

         “ไม่มีทางเสีย แต่ตอนนี้ฟังราชาก่อนการอื่นไว้ทีหลัง”

         การที่ไปโลกมนุษย์ครั้งนี้จะกินเวลานานถึงสองปี ในระหว่างสองปีนี้จองกุกต้องเรียนรู้ว่ามนุษย์นั้นเป็นอย่างไรให้ได้มากที่สุด ฟังดูอาจเหมือนง่าย แต่หากจองกุกใช้เวทย์ทำให้มนุษย์คืนชีพหรือทำให้หายจากความเจ็บปวดเมื่อไหร่ สิ่งที่จองกุกได้ร่ายไปก็จะกลับมา ใช่…หมายความว่าจองกุกเองจะเป็นฝ่ายที่ตายหรือรับความเจ็บนั้นมา

         

         [ JK PART]

        “ที่ๆแรกที่เราจะไปเก็บวิญญาณที่โลกมนุษย์ก็คือโรงเรียน ส่วนในครั้งต่อไปเจ้าจะรู้ด้วยตัวเองว่าต่อควรจะไปต่อที่ไหน” ราชาพูดจบก็ส่งสัญญาณอันเป็นสมควร

         และหลังจากนั้นทั้งหกได้ร่ายเวทย์ที่จะนำพาตัวเองไปยังโลกมนุษย์ ภาพทุกอย่างของทั้งหกคนกลายเป็นม่านสีขาวปิดบังทัศกายภาพที่เห็นอยู่ในตอนแรก แต่เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นม่านสีขาวก็ได้จางหายไปและบรรยากาศรอบตัวก็เกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง ร่างสูงมองไปรอบๆสถานที่ที่ตัวเองยืนอยู่อย่างพินิจ 

         สระน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลึกเพียงใด ด้านซ้ายมีเก้าอี้ที่ใช้สังเกตการณ์ตั้งอยู่และท้ายสุดของสระน้ำก็มีหอคอยที่มีบันไดให้เดินขึ้นไปและกระโดดลงมา ถ้าจำไม่ผิดมนุษย์คงเรียกมันว่าสระว่ายน้ำ

         และร่างสูงก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ เพราะพี่ทั้งห้าของตนนั้นไม่ได้อยู่กับตน…แต่นั้นก็ยังไม่เท่ากับเวลาที่ควรจะเป็นตอนเช้าเช่นเดียวกับตอนที่จากมาจากสวรรค์ ถึงแม้สระน้ำนี้จะอยู่ในร่มแต่ก็ยังพอมีกระจกทำให้เห็นว่ายามนี้ราตรีได้ปกคลุมท้องฟ้าอยู่

     

    ตุบ

    เดินให้มันเร็วๆหน่อยสิวะ!!!

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    TBC ;

         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×