ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Morning after Dark รัตติกาลสีเลือด

    ลำดับตอนที่ #1 : :::: Vampire THE Series :::: If we ever meet again

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 57


                                                                                                                             I

    If we ever meet again…

     

     

              แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก

                   

    มือบางวางลงบนผนังปูนชื้นพร้อมกับหอบจนตัวโยน หญิงสาวพลิกตัวเอาหลังพิงผนังแทนแล้วเสยผมยาวสลวยของตนเอง

               

    กึก...กึก...กึก

                   

    เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นคอนกรีตดังก้องไปทั่วตรอกเล็กที่หญิงสาวยืนอยู่ ร่างบางหันควับไปตามที่มาของเสียงก่อนจะเริ่มวิ่งไปตามตรอกทางเดินอีกครั้ง

                   

    ร่างเล็กลัดเลาะไปตามซอกตึกที่เชื่อมกันอย่างเป็นระเบียบของนครลอนดอน แต่เพียงไม่นานร่างเล็กถึงกับต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเบื้องหน้าของเธอเป็นกำแพงปูน รอบข้างไร้หนทางให้ไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่คือเสียงฝีเท้าที่ยังคงระดับเดิม ไม่มีการเปลี่ยนจังหวะให้เร็วขึ้น ราวกับว่าไม่เร่งรีบจัดการกับ เหยื่อที่วิ่งวุ้นเป็นหนูติดจั่นอย่างเธอเลย

                   

    หญิงสาวหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางรอดแต่เหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว...

                   

    ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนเดินเอื่อยๆเข้ามาหาเธอพร้อมกับสายลมที่ทำเอาร่างบางเย็นเยือกราวกับอยู่ในฤดูหนาว ภายในตรอกมีแต่ความมืดแต่หญิงสาวกลับเห็นนัยน์ตาสีแดงเรืองและเขี้ยวเงาวับที่เผยออกมาจากริมฝีปากหนาของอีกคนได้อย่างเด่นชัด ร่างบางถอยรูดมาจนแผ่นหลังชนกับผนังปูน มือน้อยที่สั่นระริกกำไม้กางเขนที่ห้อยคอไว้แน่น ปากก็พึมพำถึงพระผู้เป็นเจ้าให้เมตตาลูกแกะผู้หลงทางอย่างเธอ  

                   

    ในที่สุดคำสวดอ้อนวอนของหญิงสาวก็สัมฤทธิ์ผล ร่างของผู้คุกคามตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะแสยะยิ้มร้ายมาทางหญิงสาว

                   

    “แกอย่ามายุ่งเรื่องของฉัน” ร่างสูงไม่ได้มองมาที่หญิงสาวแต่นัยน์ตาสีเรืองกลับมองผ่านไปยังด้านหลังของเธอแทน

                   

    “นอสเฟอราตู* อย่างแกมากกว่ามั้งที่อย่ามายุ่ง”  เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นเหนือหัวของร่างบาง หญิงสาวหันไปมองเหนือหัวของตนเอง ร่างสูงของชายหนุ่มยืนอยู่บนแผ่นคอนกรีต เช่นเดียวกับผู้คุกคาม นัยน์ตาของเขานั้นก็เรืองแสงเช่นกันแต่เป็นสีน้ำเงินแซฟไฟต์แทน

                   

    “หึ...กลับไปนอนในโรงศพไปไอ้ลูกหมา”

                   

    “พูดอย่างนี้ไม่รู้รึไงว่าฉันเป็นใคร!!

                   

    “เลือดบริสุทธิ์อย่างพวกแกเดาไม่ยากหรอ”

                   

    “อย่างนั้นหรอ...งั้นบอกหน่อยซิว่าฉันเป็นใคร” ร่างสูงของชายหนุ่มกระซิบเสียงรอดไรฝันออกมาอย่างสะกดกลั้นอารมณ์

                   

    “หนึ่งในทายาทแห่งตะวันออก เวเนิร์น ไมนอฟ” ร่างของชายหนุ่มกระโดดมาจากผนังคอนกรีตสูงมาอยู่ด้านหน้าของร่างหญิงสาวที่มองเหตุการณ์ข้างหน้าด้วยความสับสน

                   

    “รู้ก็ดีงั้นก็ไสหัวไปได้แล้ว!!

                   

    “โทษทีว่ะ ฉันยังกลับไม่ได้ตราบใดที่ยังไม่ได้ผู้หญิงคนนั้น”

                   

    “หึ...เดี๋ยวนี้พวกนั้นมันตกต่ำขนาดให้นอสเฟอราตูอย่างแกมาทำงานให้เลยหรอวะ น่าสมเพสสิ้นดี” ชายหนุ่มแสยะยิ้มกลับไปให้ชายตรงหน้าที่ตอนนี้มือใหญ่กำหมัดแน่นจากคำยั่วยุของชายหนุ่ม

                   

    “เดี๋ยวแกก็รู้ว่านอสเฟอราตูอย่างฉันมีดีอะไร” สิ้นคำประกาศกร้าว  อมนุษย์ทั้งสองก็กระโจนใส่กันอย่างรวดเร็ว นอสเฟอราตูกางกรงเล็บที่เปรียบเสมือนอาวุธประจำกายของตนออกแล้วตวัดใส่ศัตรูตรงหน้าไม่ยั้ง แต่ในทางกลับผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นสายเลือดบริสุทธิ์อย่างเวเนิร์นกลับไม่ใช่อาวุธใดเลยนอกจากมือเปล่า ร่างสูงสามารถหลบกรงเล็บของอีกฝ่ายได้ด้วยความรวดเร็วก่อนจะฉวยโอกาสปล่อยหมัดเข้าเต็มหน้าท้องของอีกฝ่ายจนนอสเฟอราตูเสียหลักล้มลงกับพื้น

                   

    อึก

                   

    “ไหนล่ะของดีที่แกว่า นอสเฟอราตูอย่างแกอย่าริอาจมาต่อกรกับเลือดบริสุทธิ์อย่างฉันอีก เข้าใจไหม!”เวเนิร์นลงส้นเท้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแรง

                   

    “ฝาก...ไว้ก่อน...เหอะ...แก” ร่างใต้เท้าพูดออกมาด้วยเสียงที่ลอดไรฟัน ตนรู้ว่าการเอาชนะเลือดบริสุทธิ์นั้นไม่ใช้เรื่องง่าย แต่ก็ไม่คิดว่าจะแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้

                   

    “ดูเหมือนว่าแกกับฉัน...คงไม่ได้เจอกัน....อีกแล้วมั้ง” นอสเฟอราตูถึงกับเบิกตากว้างเมื่อเห็นร่างสูงดึงเอาลิ้มโลหะที่ได้รับการออกแบบอย่างงดงามออกมาจากข้างลำตัว แล้วบรรจงไล้นิ้วเรียวไปตามสันของมันก่อนจะแสยะยิ้มออกมา

                   

    “ดะ...เดี๋ยว! ถ้าแกฆ่าฉัน แกก็ไม่มีวันรู้ที่อยู่ของพวกนั้น”

                   

    “หึ...แต่ฉันไม่อยากรู้ว่ะ”

               

    อ๊ากกกกก

                   

    สิ้นคำตอบของเวเนิร์นลิ่มโลหะก็ถูกปักลงตรงหน้าอกของนอสเฟอราตูอย่างแรงจนเลือดสีดำสนิทไหลออกมาจากปากแผลนองไปทั่วบริเวณ นอสเฟอราตูดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด ร่างสูงจึงกดลิ่มโลหะเข้าไปให้ลึกกว่าเดิมอีกเพียงไม่นานร่างนั้นก็นิ่งสนิท นัยน์ตาที่เคยเป็นสีแดงเรืองกลับกลายเป็นสีดำอย่างมนุษย์ทั่วไป เวเนิร์นดึงลิ่มโลหะออกจากหน้าอกของนอสเฟอราตูก่อนจะเก็บเข้าฟักที่เหน็บไว้ข้างตัวตามเดิม นัยน์ตาคมจ้องไปที่ศพตรงหน้าก่อนจะยิ้มให้กับผลงานของตัวเอง

                   

    เปาะ

                   

    “ไงล่ะแม่ลูกเกะผู้หลงทาง” ร่างสูงหันไปเอ่ยกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนจะดีดนิ้วของตนเองหนึ่งครั้ง ร่างไร้วิญญาณด้านหลังก็หายไปเหลือไว้เพียงแต่เศษเถ้าธุลีเท่านั้น

                   

    หญิงสาวยืนตัวสั่นออกอาการหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า วงหน้าสวยหันซ้ายหันขวาเพื่อหาทางหนีอีกครั้งทั้งที่รู้ว่าหนีไหนไม่ได้

                   

    “ฉันยกออสการ์ปีนี้ให้เธอเลย แสดงเก่งจริงๆ”

                   

    “หึ...ก็นิดหน่อยถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้นายก็คงไม่โผล่หัวออกมาหรอก” เมื่อถูกจับได้หญิงสาวก็เปลี่ยนบุคลิกของตนทันที จากที่เคยแสร้งเป็นกลัวก็กลายเป็นยืนกอดอกหลังพิงกำแพงสนทนากับชายหนุ่มอย่างสบายใจ

                   

    “เธอคิดจะล่าฉันรึไง”

                   

    “หึ...ฉันไม่ล่าเลือดบริสุทธิ์ นายเองก็น่าจะรู้นี่”

                   

    “เธอดูจะมั่นใจจังนะว่าฉันจะมา” ร่างบางยกยิ้มก่อนจะปรายตามองเวเนิร์น

                   

    “ก็ไม่แน่ใจหรอกแค่เสี่ยงดู” ร่างสูงเดินเข้าไปประชิดตัวของหญิงสาว เวเนิร์นยกมือขึ้นไล้เรียวหน้าสวยช้าๆ

                   

    “เธอไม่น่าเกิดเป็นนักล่าเลยจริงๆ เสียดายหน้าสวยๆ” มือเรียวเปลี่ยนทิศทางไปเป็นยกมือเนียนของอีกฝ่ายขึ้นมาลูบเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตมือของเจ้าหล่อน “เสียดายมือนิ่มๆของเธอ”

                   

    “อย่ามากะล่อนกับฉัน!” หญิงสาวสะบัดมือออกจากการเกาะกุมอย่างแรง “จริงอยู่ที่ฉันไม่ล่าเลือดบริสุทธิ์ ...แต่ฉันก็ทำได้นะ...หากจำเป็น” หญิงสาวหยิบสร้อยที่ถูกเสื้อยืดสีดำปิดอยู่ออกมา จี้ของสร้อยเส้นนี้ทำจากเขี้ยวหมาป่าที่ถูกลับจนคมกริบ อาวุธสิ่งเดียวที่จะใช้ฆ่าเลือดบริสุทธิ์ เธอพกมันไว้เพราะเพื่อนรักของเธอขอร้องถึงแม้เธอจะรู้สึกรำคาญมันก็ตาม

                   

    “โอเคๆ ฉันขอโทษแล้วกัน...ว่าแต่เธอมีธุระอะไรกับฉัน” เวเนิร์นถอยห่างออกมาจากหญิงสาวเล็กน้อยเพื่อให้เธอเก็บอาวุธอันตรายนั้นไปก่อนจะยิงคำถามใส่หญิงสาว

                   

    “ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าพวกนายเข้ามาในเขตตะวันตกทำไม”

                   

    “นี่เธอไม่รู้อะไรเลยหรอ”

                   

    “รู้อะไร” หญิงสาวขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเจอชายหนุ่มย้อนถามกลับ

                   

    “พวกฉันมาลอนดอนก็เพราะเพื่อนรักเธอนั่นแหละ” เวเนิร์นพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าแม่นักล่าสาวจะไม่รู้ข่าวคราวของเพื่อนรักเลย

                   

    “เพื่อนรัก...ยะ ยัยโอริวเป็นอะไร ฉันจะไปหามัน”  เมื่อสมองสั่งการร่างบางก็ตั้งท่าจะไปหาเพื่อนรักทันที

                   

    “ถึงเธอไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก” ร่างบางชะงักก่อนจะหันมาหาเวเนิร์นช้าๆ “เพื่อนเธอไม่เป็นอะไรหรอกไอ้เวสกับท่านพ่อกำลังช่วยอยู่”

                   

    เมื่อได้อย่างนั้นหญิงสาวก็โล่งใจ เธอค่อนข้างจะไว้ใจเจอร์ราจเพราะเขาเป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าเลือดบริสุทธิ์ทั้งปวงและยังเชี่ยวชาญด้านตำนานการรักษาต่างๆไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ถ้าถึงมือเจอร์ราจก็ถือว่าหายห่วง

                   

    “ว่าแต่ ยัยโอริวเป็นอะไร”

                   

    “เธอรู้จักตำนานของลูซิเฟอร์ไหม” เวเนิร์นหันหลังให้หญิงสาวก่อนจะเดินเอื้อยๆไปตามตรอกที่ตนอยู่มุ่งหน้าออกไปยังมหานครเบื้องหน้า

                   

    “...”

     

    ร่างบางนิ่งเงียบรอฟังตำนานที่เวเนิร์นกำลังจะเล่าให้ฟัง สองขาก็เดินตามเวเนิร์นออกไป

                   

    "ลูซิเฟอร์เคยเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ แต่หลงใหลในอำนาจและรูปลักษณ์ของตัวเองจนมากเกินพอดี ริอาจเอาตัวเองไปเปรียบกับพระเจ้า ทำให้พระองค์ขับไล่ลูซิเฟอร์ออกจากสวรรค์ ลูซิเฟอร์โกรธแค้นมากถึงแม้ว่าจะถูกขับไล่ออกมาแล้วแต่ก็ยังไม่สำนึกและคิดตั้งตนเป็นอริต่อพระเจ้า"

     

    "..."

     

    "บนพื้นโลกลูซิเฟอร์ได้รวบรวมเหล่าซาตานและอมนุษย์ทั้งหลายเข้าเป็นพวก เพื่อเริ่มลัทธิต่อต้านพระเจ้าซึ่งแน่นอนที่เหล่าเลือดบริสุทธิ์จะถูกชักชวน แต่บรรพบุรุษของเราเข้มแข็งพอที่ปฏิเสธและตั้งตนเป็นปรปักษ์กับลูซิเฟอร์พร้อมทั้งรวบรวมเหล่าพันธ์ที่สูงส่งจากทั่วมุมโลกเข้าด้วยกัน แผนการรวบรวมเหล่าพันธ์บนโลกมนุษย์จึงเป็นอันไม่สำเร็จ ขาดเผ่าพันธุ์บนผืนโลกก็เหมือนกับตัดกำลังตัวเองไปมากกว่าครึ่ง ลูซิเฟอร์จึงพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเกิดสงคราม คำสาปจึงเกิดขึ้น”

                   

    “ใช่คำสาปที่ว่าทุกห้าร้อยปีจะมีทายาทแห่งลูซิเฟอร์กำเนิดขึ้นบนโลกใช่ไหม”

                   

    “ใช่...และมันก็ครบกำหนดเมื่อ 23 ปีที่แล้ว”

                   

    “อย่าบอกนะว่า...”

                   

    “โอริวเป็นทายาทแห่งลูซิเฟอร์” คำตอบของเวเนิร์นทำเอาร่างบางชะงัก เธอไม่เคยคิดว่าเพื่อนรักของตนจะเป็นทายาทแห่งด้านมืด

                   

    “โอริวรู้เรื่องนี้ไหม”

                   

    “รู้คืนนี้”

                   

    “หมายความว่ายังไง”

                   

    “ทายาทแห่งลูซิเฟอร์จะเกิดในคืนพระจันทร์เต็มดวง และเมื่อเขาหรือเธออายุครบ 23 ปี สัญชาตญาณดิบของแต่ละเผ่าพันธุ์จะถูกปลุกขึ้นมา” ร่างสูงหยุดฝีเท้าลงเมื่อเดินออกมาจนเจอกันถนนใหญ่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์ยามรัตติกาลที่ทอแสงนวลให้หมู่มวลสรรพสัตว์ใช้ชีวิตในยามค่ำคืน

                   

    “คืนนี้...โอริวจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นี่หรือคือเหตุผลที่ทำให้ฉันถูกกันออกจากโอริว” หญิงสาวพูดออกมาอย่างแผ่วเบา ในใจคอยแต่จะกังวลเรื่องของเพื่อนตัวเอง

                   

    “ใช่ พวกฉันเลยมาอยู่ที่นี่ไง”

     

     ÿ   ÿ  ÿ  ÿ  ÿ  ÿ  ÿ  ÿ  ÿ  ÿ

     

    St. James, London

              

    ประตูไม้ที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรถูกเปิดออกช้าๆ พร้อมกับร่างสูงของผู้มาเยือนต่างวัยทั้งสองคนที่แทรกตัวเข้ามาภายในวิหารศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์

                   

    “ผมรอคุณตั้งนานนะเจอร์ราจ” เสียงของชายวัยกลางคนผู้ครอบครองตำแหน่งประมุขแห่งสายเลือดบริสุทธิ์ตะวันตก ผู้ปกครองมหาครองลอนดอนเอ่ยขึ้นกับผู้มาเยือน

                   

    “ถ้าผมไม่มาแล้วคุณจะเสียใจคริสเตียน” ประมุขแห่งสายเลือดบริสุทธิ์ตะวันออก ผู้ปกครองนครมอสโกตอบกลับ ทั้งสามคนพูดกันอีกสองสามประโยคก่อนจะเดินไปหาโอริวที่หลับตาพริ้มอยู่บนแท่นศิลากลางวิหาร ร่างบางถูกพันธนาการไปด้วยสายหนังรัดอย่างแน่นหนา 

                   

    เจอร์ราจมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เห็นผ่านกระจกใสแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่บริเวณหลังคาโดม ดวงจันทร์สีนวลเริ่มโผล่พ้นกลีบเมฆมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่เริ่มคืนสติสัมปชัญญะมากขึ้นตามแสงของศศิธรที่สาดส่องเข้ามากระทบร่างบาง

                   

    “เวสเริ่มเตรียมพิธีได้แล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน”  เจอร์ราจหันมาบอกลูกชายของตนเอง เวสเทิร์นพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปนั่งบนแท่นศิลาข้างร่างบาง ในมือปรากฏถ้วยสำริดโบราณหนึ่งใบและเขี้ยวของหมาป่าที่ถูกลับจนขึ้นเงา

                   

    เขี้ยวหมาป่าเป็นเหมือนเหรียญที่มีสองหน้า ด้านหนึ่งของเขี้ยวหมาป่าจะถูกใช้เพื่อการรักษา ใช้ในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่จะปรากฏแต่ในเหล่าเลือดบริสุทธิ์ หรืออีกด้านหนึ่งที่เขี้ยวหมาป่าถูกใช้ในกรณีของความชั่วร้าย ถูกใช้เป็นลิ่มในการสังหารเลือดบริสุทธิ์ที่สูงส่งเหล่านี้

                   

    จันทราโผล่พ้นกลีบเมฆออกมาครบดวง เมื่อแสงนวลกระทบเข้ากับร่างบางได้อย่างเต็มที่ นัยน์ตาสีแซฟไฟต์ก็เบิกโพล่ง ร่างบางกระตุกขึ้นมาจนแทบจะลุกขึ้นนั่งหากไม่ติดสายหนังที่รัดตนเองไว้ เขี้ยวสีเงินเริ่มงอกออกมามากกว่าปกติ เจอร์ราจและคริสเตียนตรงเข้าไปจับไหล่และเท้าทั้งสองข้างของหญิงสาวกดลงกับแท่นศิลาเพื่อที่เวสเทิร์นจะได้ทำพิธีได้สะดวก

                   

    เขี้ยวคมของหมาป่าถูกจรดลงบนข้อมือของเวสเทิร์นก่อนจะออกแรงกรีดจนได้เลือดขณะที่ปากก็ยังบริกรรมบทสวดต่างๆ ข้อมือหนายกขึ้นก่อนจะเทเลือดที่ไหลออกมาลงในถ้วยสำริด จากนั้นเวสเทิร์นก็กรีดข้อมือของร่างบางตรงหน้าแล้วเทเลือดที่ได้ลงในถ้วยสำริดนั้น

                   

    ถ้วยสำริดถูกนำไปวางบนแท่นหน้าองค์พระบิดาท่ามกลางวงเวทที่ถูกวาดไว้อย่างวิจิต เลือดสีแดงสดของเวสเทิร์นและเลือดสีดำสนิทของโอริวยังไม่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจนกระทั่งปลายเขี้ยวคมสัมผัสกับเลือดของทายาททั้งสอง ของเหลวในถ้วยสำริดกลายเป็นสีแดงสดก่อนที่ร่างสูงจะดื่มเลือดนั้นลงไป

                   

    เวสเทิร์นเดินกลับมาทีแท่นศิลาที่ร่างบางนอนอยู่อีกครั้ง

                   

    “พร้อมนะเวส” เจอร์ราจถามย้ำกับลูกชาย

                   

    “ครับ” เวสเทิร์นตอบกลับ เจอร์ราจและคริสเตียนจึงปล่อยมือจากโอริวและปลดสายหนังออกทำให้ร่างบางกระตุกพยายามจะลุกขึ้นเพื่อไป ล่าอย่างที่เธอต้องการ

                   

    เขี้ยวเงาวับของหญิงสาวฝังลงบนต้นของเวสเทิร์น กลิ่นเลือดมนุษย์ที่เจืออยู่ในร่างของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างบางตอบรับได้เป็นอย่างดี ร่างของเวสเทิร์นกระตุกวูบเพราะความเจ็บปวดที่ได้รับจากเขี้ยวที่แทรกอยู่ในร่างกายตน

                   

    เพียงไม่นานเมื่อโอริวได้สัมผัสกับเลือดที่ผ่านการทำพิธีมา ร่างบางก็สงบลงพร้อมกับสติที่หายไปอีกครั้ง



    * นอสเฟอราตูเป็นแวมไพร์ชนิดหนึ่งที่มีนิสัยค่อนข้างเก็บตัว เป็นสายพันธ์ที่จะเกิดขึ้นได้เพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นคือพ่อแม่ของตนต้องเป็นบุตรนอกสมรส และตรก็ต้องเป็นบุตรนอกสมรสด้วย







    Talk :
    ก็แค่อยากรีไรท์แค่นั้นเองงง ไม่มีอะไรทำแค่นั้น ขอโทษนะครับที่หายไปเลย หึหึ
    หายไปปั่นฟิคมา
    อย่าว่ากันน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×