เส้นก๊วยเตี๋ยวกับเม็ดข้าว - เส้นก๊วยเตี๋ยวกับเม็ดข้าว นิยาย เส้นก๊วยเตี๋ยวกับเม็ดข้าว : Dek-D.com - Writer

    เส้นก๊วยเตี๋ยวกับเม็ดข้าว

    ผมบอกอะไรไม่ได้มาก มันเป็นเรื่องราวที่เกิดมาจากใจผมเมื่อครั้นอดีตของท่านผู้ซึ่งอันเป็นที่รักทั้งสองได้จากไป "เส้นก๊วยเตี๋ยวกับเม็ดข้าว"

    ผู้เข้าชมรวม

    268

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    268

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ต.ค. 49 / 17:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่วันหนึ่ง

      อากาศช่างเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก แม่ของผมซื้อก๊วยเตี๋ยวมาเป็นอาหารเช้า โดยมีข้าวสวยหุงรออยู่

      แม่ผมตะโกนเรียกให้ผมตื่น "นนๆ ตื่นได้แล้ว"
      ผมขานรับแม่ไปว่า "ตื่นแล้วๆ"
      ผมเปิดตาพร้อมกับสภาพที่เอามือก่ายหน้าผากในขณะที่กายยังล้มนอนอยู่

      แม่ผมหยุดตะโกน พร้อมกับบอกว่าอาหารเช้าวันนี้มีอะไรบ้าง
      "นนๆ วันนี้ม้าซื้อก๊วยเตี๋ยว มาเป็นอาหารเช้าละกันนะ เพราะวันนี้ร้านอาหารตามสั่งเขาปิดน่ะ" 
      "อืม..." เสียงอันแสนขี้เกียจของผมขานรับไป

      ผมนอนเอามือก่ายหน้าผากอยู่สักพัก พลางคิดไปว่า 
      " เฮ้ย!!! วันนี้มีแค่ก๊วยเตี๋ยว แล้วมันจะอิ่มท้องได้อย่างไรเนี่ย คนยิ่งกินจุอยู่"
      ผมคิดไปด้วยความรู้สึกฉุนเฉียวเล็กน้อย

      ผมตื่นเดินลงบันไดไปที่โต๊ะกับข้าวทันที ทั้งที่ผมยังไม่ล้างหน้าและแปรงฟัน ตามประสาชายโสด ที่ไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดกับร่างกายของตัวเองเท่าใดนัก

      ผมเห็นก๊วยเตี๋ยวที่แม่ผมเทใส่จานไว้เรียบร้อยกับข้าวสวยที่ยังอุ่นๆ ในหม้อหุงข้าว

      ผมคิดในใจว่าขืนกินแค่นี้ไม่อิ่มแน่ๆ สายตาผมเริ่มสอดส่ายไปรอบๆโต๊ะกินข้าวจนทั่ว เผื่อว่ามีอะไรพอประทังท้องของผมจนอิ่มและมีแรงมากพอที่จะไปกระทำการอื่นๆได้

      เอ๋! ผมอุทานพร้อมกับมองไปที่หม้อหุงข้าวใบน้อยๆ นานประมาณหนึ่งถึงสองวินาที ผมคิดออกแล้วว่าวันนี้ผมจะกินอะไร

      ผมเดินไปที่ตู้กับข้าว หยิบจานมาหนึ่งใบกับช้อนอีกหนึ่งคัน

      รู้ไหมวันนี้ผมจะกินอะไร? ผมจะกินข้าวสวยกับก๊วยเตี๋ยวเส้นเล็กน้ำนี่แหละ ถึงรสชาติของมันจะไม่อร่อยเท่าไรนักก็ตาม

      ผมรีบตักน้ำในก๊วยเตี๋ยวมาราดบนข้าวแล้วยัดเข้าปากด้วยความหิวทันที
      อืม...
      "รสชาติก็ไม่เลวเท่าไหร่แฮะ" ผมคิด
      อาจจะเป็นเพราะความหิวส่วนหนึ่งด้วย ที่ทำให้รู้สึกอร่อยขึ้นมาอย่างน่าใจหาย

      ผมบี้เส้นก๊วยเตี๋ยวรวมกับข้าว แล้วเอาเข้าปาก

      ----------

      คำแรกที่ผมกินเข้า ผมนึกถึงภาพของอากงเข้ามาในหัวผมทันที

      ผมจำได้ในสมัยเมื่อตอนผมยังตัวเล็ก เวลาที่ผมจะกินก๊วยเตี๋ยว อากงมักจะให้ผมกินคู่กับข้าวสวยด้วยเสมอ ผมถามไปว่าทำไมต้องกินคู่กับข้าวสวยด้วย

      "อากงพลางได้แต่ ยิ้ม แต่ก็ไม่เคยตอบผม แต่ทุกครั้งที่กินเสร็จ ก็อิ่มท้องนานทุกครั้ง" 

      ผมคิดถึงเมื่อตอนอากงขึ้นเรื่อสำเภาลี้ภัยมาที่ประเทศไทยใหม่ๆ ตอนนั้นอากงอายุ ประมาณ 22 ปี นับว่ายังหนุ่มยังแน่นอยู่ทีเดียว

      อากงต้องทำงานหนักเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเต็ม โดยเป็นคนขายหมูในตลาดคลองเตย

      ซึ่งทุกวันหลังจากทำงานเสร็จ อากงต้องดื่มเหล้าก่อนเข้านอนทุกครั้ง
      เพื่อให้ลืมหน้าอาม่าให้ได้...

      อากง เก็บเงินบางส่วนเป็นเวลาเกือบ 10 ปี เพื่อที่จะส่งเงินค่าเรือโดยสาร ไปให้อาม่า เพื่อจะพาลูกชายอีกสองคนและตัวอาม่าเองมาที่เมืองไทย

      แม้นว่าตอนนั้นอากงจะไม่ร่ำรวยแต่ ก็ถือได้ว่าไม่ลำบาก
      เมื่ออาม่ามาถึง อากงดีใจมากๆ ทั้งสองได้ใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้ง หลังจากที่จากกันมาเป็นระยะเวลาอันเนิ่นนาน

      หลังจากนั้นก็ได้มีลูกกันอีกสี่คน

      อากงไม่กินเหล้าอีกแล้ว หลังจากที่กินเหล้าทุกวันเป็นเวลาเกือบ 10 ปีเต็ม อากงยังคงขายหมูเหมือนเดิม เงินทุกก้อนอากงได้มาด้วยความบริสุทธิ์
      ไม่เคยโกงใคร แต่ไม่วายที่จะมีคนดูถูกเหยีอดหยามว่าอากงมีฐานะที่ยากจน แต่อากงไม่เคยสนและใส่ใจ อากงทำงานไปเรื่อยๆ...

      อาม่าก็ช่วยอากงเก็บเงิน และหารายได้เสริมจากการ ใช้จักรเย็บผ้าทำงานรับจ้างเย็บปักถักร้อยทั่วๆไป

      หลังจากที่อากงขายหมูที่ตลาด ก็จะเหลือมันหมูอยู่จำนวนมาก อากงไม่ทันคิดว่าจะเอาไปทำอะไรได้ จึงได้ทิ้งไปเสียทุกครั้ง

      อยู่มาวันหนึ่ง อาม่ารู้สึกว่ามันหมูน่าจะเอามาทำประโยชน์อะไรได้มากกว่านี้ อาม่าจึงได้เจียวมันหมู เอาน้ำมันเก็บใส่ปี๊บไว้ ได้หลายปี๊บพอควร จนวันหนึ่งอาม่าขายน้ำมันหมูไป วันนั้น อาม่าใด้เงินไปพันกว่าบาท ซึ่งนับได้ว่ามากทีเดียวในสมัยนั้น
       
      อาม่าไม่ได้บอกอากง ขายและเก็บเงินไปเรื่อยๆ โดยที่อากงไม่รู้...

      ----------

      อยู่มาวันหนึ่ง อากงได้บ่นพึมพำว่าอยากได้บ้านเป็นของตัวเองสักที จนอาม่าเข้ามาได้ยิน
      อาม่ายิ้ม พร้อมกับบอกอากงว่า  "อยากได้บ้านหลังไหนล่ะ"
      (อาม่าเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่ได้ไปเรียนหนังสือในประเทศจีน)

      อากงสับสนกับคำพูดของอาม่าเล็กน้อย อาม่ายิ้ม และเดินเข้าไปในห้องเก็บของเล็กๆ พร้อมกับหยิบกระป๋องนมข้นเก่าๆออกมา

      อาม่าเปิดกระป๋อง และนำเงินจำนวนหลายหมื่นจากการขายน้ำมันหมูที่อาม่าได้เจียวจากมันหมูที่เหลือจากการขายหมูของอากงในตลาด มาให้อากงดู

      อากงดีใจมากๆ เพราะจะได้มีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว...
      เพราะเงินจำนวนขนาดนั้น ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ ได้หลังนึงเลยทีเดียว...

      ----------

      ก่อนหน้านั้น ผมอยากเล่าถึงเรื่องราวความรักครั้งแรกของอากงกับอาม่าสักเล็กน้อย

      ตอนสมัยอาม่าอยู่ในประเทศจีน อาม่าเรียนจบแล้ว พร้อมที่จะแต่งงาน โดยมีแม่สื่อชักนำอากงให้
       
      ซึ่งยังไม่ทันเจอหน้ากันสักนิด อาม่าก็ไม่อยากแต่งงานกับอากงเสียแล้ว เพราะได้ฟังมาข่าวว่าคนชื่อนี้ นิสัยไม่ดี กินแต่เหล้า ไม่ทำงาน ไร้การศึกษา และเป็นนักเลง

      อากงจึงโดนปฏิเสธ...

      อากงนั่งคิด และพอจะเข้าใจว่า อาม่าต้องเข้าใจผิดว่าอากงเป็นนักเลงอันธพาลคนนั้นแน่ๆ ซึ่งนักเลงคนนั้นมีชื่อเหมือนกับอากง

      อากงจึงเขียนจดหมายส่งไปหาอาม่าว่า " ยังไม่ทันรู้เลยว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไรกัน "

      อาม่าได้รับจดหมาย จึงคิดว่า สงสัยที่ชาวบ้านพูดกันนั้นจะเป็นคนละคนกับอากงเป็นแน่แท้ เพราะอากงมีความรู้ ที่จะสามารถเขียนหนังสือได้ ทั้งชั้นเชิงทางภาษาก็ดี อาม่าเลยตัดสินใจ พร้อมที่จะไปใช้ชีวิตร่วมกับอากงทันที ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันเลยด้วยซ้ำ

      ----------

      หลังจากนั้นทั้งสองได้เช่าซื้ออาคารพาณิชย์หลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งย่านใจกลางเมือง อากงอาม่าและลูกๆ จึงได้เปิดร้านธุรกิจการค้าร่วมกัน จนทำให้ทางบ้านมีฐานะที่เรียกได้ว่าร่ำรวยเลยทีเดียว

      จนปัจจุบัน ย่านนั้นได้เป็น แหล่งธุรกิจการค้าที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

      หลายปีมาแล้วที่ท่านทั้งสองเสียไป โดยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเดียวกันพร้อมกัน และเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน

      ผมยังอดยิ้มไม่ได้ เมื่อท่านทั้งสองอยากพบหน้ากัน นางพยาบาลต้องช่วยกันเข็น เตียงผู้ป่วยทั้งสองไปพบกันอย่างอลวน

      ซึ่งทั้งสองได้แต่เอื้อมมือมาจับกันเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก เพราะต้องสวมหน้ากากให้ออกซิเจน แต่ตอนนั้น อากงใกล้จะเสียเต็มทีแล้ว เลยทำอะไรไม่ได้มาก
       
      ผมเห็นแววตาของอากง เหมือนจะร้องไห้ เมื่อได้จับมืออาม่า

      แม้ว่าลูกๆของท่าน ต่างคนต่างแตกแยกไปคนละทิศคนละทางเนื่องจากมีปัญหาทางด้านมรดก แต่อากงและอาม่ายังอยู่ในใจ ของหลานๆ เกือบยี่สิบคนตลอดมา

      เรื่องราวทั้งหมดที่ผมฉุกคิดขึ้นได้ มันมาจากก๊วยเตี๋ยวหนึ่งชามและข้าวอีกหนึ่งจาน ซึ่งได้เล่าเรื่องราวในอดีต หยาบยันปัจจุบัน

      สะท้อนถึงสังคมที่เปลี่ยนไป...

      จนสุดท้ายผมก็ยังรู้แค่ว่า กินแล้วก็ทำให้ท้องมันอิ่มเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่อยู่ในนั้น มันเหนือกว่าสิ่งอื่นใด รู้สึกถึงความยากลำบาก  ความสุข และความทุกข์ ที่อยู่ในก๊วยเตี๋ยวชามนี้ รู้เรื่องราวต่างๆ ในอดีต ที่ถ่ายทอดผ่านเส้นก๊วยเตี๋ยวกับเม็ดข้าว

      บางทีสองสิ่งนี้อาจเป็นตัวแทนของอากงและอาม่าก็เป็นได้

      ขอไว้อาลัยแด่ท่านทั้งสอง

      จากหลานที่ท่านรัก...

      ตอนนี้คุณกินก๊วยเตี๋ยวแล้วนึกถึงอะไร?

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×