ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [SF] Besides - 3/3
คีย์กับเพื่อนๆ แบ็คสเตจนอนเกะกะกันอยู่บริเวณหลังฉากละครที่ประกอบด้วยนั่งร้านและเปเปอร์มาร์เช่ วันนี้ทีมละครยกพลกันมาที่โรงละครเพื่อบล็อกกิ้งบนเวที อีกสองวันก็จะถึงวันแสดงวันแรกแล้ว ทุกวันนี้พวกเขานอนกันวันละสามชั่วโมง นอกจากนั้นก็คืออยู่ด้วยกันกับทีมงานและอ่านหนังสือเตรียมสอบ พอมีเวลาว่างปุ๊บหลังก็เอนติดพื้นปั๊บโดยไม่สนว่าจะเป็นพื้นหญ้า พื้นพรม หรือพื้นบนเวทีที่ตอนนี้อาจมีตะปูและลูกแม็กรอให้กลิ้งไปทับอยู่
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่พี่แทยอนกับพี่คริสช่วยกันปลอบคีย์ เขากับมินโฮก็พูดคุยกันนับคำได้ แต่ก็ใช่ว่าปกติจะคุยกันเยอะ เหมือนว่าคุยกันเพราะจำเป็นต้องเจอหน้า คุยกันตามมารยาทมากกกว่า ถึงอย่างนั้นที่ว่าน้อยอยู่แล้วก็น้อยลงไปอีก ไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงหรอก แต่แค่หน้าที่ก็ต่างกันแล้ว มินโฮต้องอยู่ซ้อมต่อแทบทุกวันหลังจากนั้น นานเป็นชั่วโมงซึ่งไม่รู้ว่าเขาจะรอกลับพร้อมกันไปทำไม และวันนี้คนตัวโตก็รวมกลุ่มอยู่กับนักแสดง วิ่งไปวิ่งมาตามที่พี่ยุนโฮบอกใต้สปอร์ตไลท์ ส่วนเขาก็นั่งอยู่หลังเงาฉาก
ชีทเล็กเชอร์ของเพื่อนร่วมรุ่นแปะอยู่ที่หน้าผาก หลับตาลงเคลิ้มๆ สัมผัสได้ถึงแรงสั่นของพื้นเวทีเพราะมีคนเดินไปเดินมา เสียงเซ็งแซ่ของทีมงานแต่ละฝ่ายเหมือนยากล่อมประสาท สติค่อยๆ หลุดลอย
“คีย์... คีย์”
“ว่า” เป็นแทมินที่ปัดกระดาษปึกหน้าออกจากใบหน้าของเขา แสงสว่างที่เร้นผ่านแนวไม้อัดเข้ามาด้านหลังทำให้เขาแสบตา
“พี่คยูฮยอนเรียกไปบล็อกแทนพี่ยูริ” แทมินเอ่ยเบาๆ เพราะกลัวเพื่อนแบ็คสเตจคนอื่นจะตื่น ส่วนคีย์แทบจะโวยวายให้เวทีพัง บล็อกแทนผู้หญิงอีกแล้ว
“ไม่ไป เอาซอลลี่ไปแทน มันไม่มีสอบแล้ว” ยิ่งตอนนี้แทนพี่ยูริ เข้าฉากกับมินโฮ ขอเถอะ อย่าให้ต้องปวดหัวไปมากกว่านี้เลย
“ซอลลี่ ไปแทนคีย์หน่อย” เพื่อนหน้าหวานก็ดูจะว่าง่าย กระดึ๊บตัวเองไปเขี่ยแขนซอลลี่ที่ขดตัวคุดคู้อยู่ แต่ก็โดนน้องสาวสะบัดแขนออก
ยกหัวขึ้นจากพื้น ดวงตาเรียวเสมองตามแล้วก็ยกชีทขึ้นปิดหน้าเตรียมจะนอนต่อ ปล่อยให้แทมินจัดการไป ไม่ทันจะหลับตาก็มีอีกมือมากำที่ข้อมือผอมดึงให้ลุกขึ้น ด้วยแรงมหาศาลบวกกับไม่ทันตั้งตัวคีย์ก็แทบจะถลาหน้าทิ่มไปตามแรงนั้น เงยหน้าขึ้นมองกำลังจะอ้าปากบ่นก็ต้องสงบปากสงบคำทันที
ดวงตาคู่กลมที่มองมาไม่ได้สื่อความอะไร ว่างเปล่า และคีย์ก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับความว่างเปล่านี้
“คีย์ ฉากสุดท้ายนะ” พี่ยุนโฮที่นั่งเอกขเนกอยู่ตรงที่นั่งแถวที่สามเท้าคางตะโกนบอก มีพี่แทยอนนั่งยิ้มไม่น่าไว้ใจอยู่ข้างๆ ส่วนพี่ยูริไม่รู้ไปอยู่ไหน
“พี่ยูริล่ะ” เอ่ยถามคนที่ไปลากเขาออกมา
“อาหารเป็นพิษ” สบตา ตอบสั้นๆ แล้วก็หมุนตัวกลับไปคุยเรื่องบทกับพี่คริสที่ยืนอยู่ด้วยกัน
คีย์เกือบจะปล่อยเสียงหัวเราะแปลกๆ ออกมา ถ้าพี่ยูริจะป่วยไม่เลิกขนาดนี้ขอแนะนำให้ไปตามเช็คว่าโดนใครเล่นคุณไสยใส่หรือเปล่า ยกมือขยี้ตาแล้วกระพริบถี่ปรับให้ชินกับแสงไฟสว่างจ้าแล้วก็เดินไปเข้าบล็อกตามที่พี่คยูฮยอนชี้นิ้วบอก ฝ่ายพระเอกของเรื่องก็เดินเข้าเวทีไซด์เอเพื่อเตรียมตัว
แทมินกับจงอินล็อกแขนของเขาไว้แน่น ที่จริงนางเอกต้องดิ้นแต่เขาเหนื่อย เขายืนนิ่งเท่าที่หน้าที่กำหนดไว้ เป็นเพียงแบ็คสเตจไม่จำเป็นจะต้องออกแอคติ้งตามบทที่มาเล่นแทนนอกจากใครจะใจดีทำเกินหน้าที่
เพราะเขาก็เป็นแค่ตัวแทน ชั่วคราวก็เท่านั้น ไม่สำคัญว่าจะได้บล็อคแทนกี่หมื่นกี่แสนครั้ง เพราะในการแสดงจริงสิบครั้งที่ทุกคนจะเป็นสักขีพยานนั้น นางเอกก็คือพี่ยูริ ไม่ใช่คีย์
เมื่อมินโฮเดินออกมาทุกคนก็ไม่สนใจคีย์อีกต่อไป มองไปรอบๆ เห็นทีมงานคนอื่นก็กำลังจับจ้องอยู่กับการแสดงตรงหน้า ทั้งฝ่ายแสงที่คุมไฟอยู่บนชั้นสอง ฝ่ายฉากที่ร่อนไปมาบนเวทีบ้าง รวมถึงเพื่อนร่วมคณะที่ไม่มีฝ่ายก็ยังมาจับจองที่นั่งแถวหน้าๆ เพื่อดูการซ้อมที่จริงจังที่สุดเท่าที่เคยดูมา
ใบหน้าของเพื่อนที่เขาแอบชอบต้องแสงไฟเกิดมิติสวยงาม ชายหนุ่มกำลังต่อบทอย่างดุเดือดกับพี่คริส ตามเรื่องต่อไปคือทั้งสองจะต้องประดาบกัน พี่คริสตาย แล้วมินโฮก็จะเดินเข้ามา
จุมพิตนางเอก
“ข้ามฉากฟันดาบไปก่อน ดาบพัง”
เป็นวินาทีที่คีย์อยากจะหายตัวไปจากที่ตรงนี้ คนก็พัง ดาบก็พัง พี่ยุนโฮทิ้งหัวลงกับพนักพิงอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากส่วนพี่แทยอนยกมือปิดปากมองมาทางฝั่งคีย์ ทุกคนที่รู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นก็มองมาทางร่างมอมๆ ในเสื้อยืดสีเทากันหมด
อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่าการพยักหน้าตอบรับของมินโฮและพี่คริสที่ถอยออกไปจากฉากอย่างเงียบเชียบ ขยิบตาอย่างเจ้าเล่ห์ให้นางเอกตัวปลอมครั้งหนึ่งซึ่งนางเอกตัวปลอมในตอนนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะแยกเขี้ยวใส่ใครอีกต่อไปแล้ว แรงรัดที่แขนคลายออก แทมินรุนหลังเขาให้เดินไปข้างหน้า ตรงจุดที่มีเทปติดชื่อไว้บนพื้น ใบหน้าเล็กก้มมองชื่อของรุ่นพี่เจ้าของบท น้ำอุ่นๆ ก็ออกมาคลอตรงหัวตา
ร่างกายอ่อนแรง อุณหภูมิข้างในลดต่ำลง หน้าก็ชาเหมือนขยับไม่ได้เมื่อตาก็มองเห็นคนคนนั้นกำลังเดินเข้ามา
“ขอโทษนะ” มือที่ชื้นเหงื่อหน่อยๆ แตะเบาๆ ที่คางของเขาดันเบาๆ ให้เชิดขึ้น แสงไฟสีส้มด้านหลังมินโฮทำให้เห็นใบหน้าข้างหน้าเป็นเพียงเงา ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้ มากขึ้นและมากขึ้นจนลมหายใจอุ่นกระทบผิวแก้มใส
จมูกของพวกเขาปัดผ่านกันเบาๆ แก้วตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายหยุดในระยะที่เสี่ยงมาก ดวงตาคมที่ห่างไปไม่กี่เซนติเมตรสะท้อนภาพดวงตาของเขา และน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลลงมาในที่สุด
“โอเคพอแล้ว” เสียงของรุ่นพี่ผู้กำกับกลายเป็นเพียงเสียงลม มินโฮยังไม่ขยับและคีย์ก็ไม่กล้าจะเบี่ยงหนี ได้ยินเสียงข้างหลัง แทมินกับจงอินคงกำลังชั่งใจว่าจะเข้ามาแยกพวกเขาออกดีไหม
“มินโฮ” จนกระทั่งพี่แทยอนเรียกชื่ออีกคนถึงได้ถอยออกไปพร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ทิ้งลงข้างลำตัว กระนั้นสายตาก็ยังจับจ้องกัน
เมื่อถอยไปจนเห็นหน้ากันได้ชัดแล้วกรอบตาของร่างสูงก็ขยายกว้าง มือหนาเผลอยกขึ้นเล็กน้อยทำท่าเหมือนจะก้าวเข้ามาหา คนตัวเล็กกว่าตกใจยกเท้าถอยหลังจนไปชนแทมินที่ขวางอยู่
“เป็นอะไรคีย์” เพื่อนชะโงกหน้าข้ามไหล่มามองก็เห็นว่าสีหน้าของคีย์ไม่สู้ดีนัก
“เพลียอะ ปวดหัว... นอนน้อย”
“ไปพักก่อนแล้วกัน” แล้วจึงดึงต้นแขนเขาให้เดินตามไปทางหลังฉากโดยไม่สนว่ารุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างล่างจะท้วงหรือไม่ ซึ่งก็โชคดีไม่มีใครพูดอะไร คีย์สาวเท้าตามแทมินไปอย่างว่าง่าย เมื่อน้ำตาหยดแรกร่วงหล่น หยดต่อมาก็ตามลงมาอย่างง่ายดาย
ขอพักก่อน สภาพร่างกายตอนนี้แย่เต็มทีเพราะต้องอดหลับอดนอนมาหลายวัน อย่าให้จิตใจต้องบอบช้ำไปมากกว่านี้เลย
ทางเดินกลับบ้านว้าเหว่มาหลายวันจนชินชา ตีสองกว่าๆ แล้วขณะที่เจ้าของร่างผอมอ้อยอิ่งไปตามฟุตบาทใต้แสงจันทร์ ในมือมีเพียงหนังสือบทและน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง ไม่อยากจะดื่มกาแฟเพราะก็กลับไปก็กะว่าจะนอนยาวเลย พรุ่งนี้ไม่มีเรียนไม่มีสอบ ตามที่คิดไว้ก็คือตื่นแล้วไปที่หอประชุมตอนห้าโมงเย็น
หวนคิดถึงเรื่องตอนหัวค่ำแล้วก็ถอนหายใจหน่วง พอเข้ามาหลบหลังฉากแล้วเขาก็ปลีกตัวออกไปซื้อของกินที่ร้านขายของชำใกล้ๆ คณะศิลปกรรมศาสตร์ แล้วก็ปล่อยตัวเองซึมและสับสนอยู่ที่ม้านั่งแถวนั้นไม่กลับเข้าไปในหอประชุมอีกจนกระทั่งซอลลี่โทรมาตามให้เข้าไปประชุมก่อนแยกย้าย พี่ยูริมาอยู่ประชุมด้วยสภาพอ่อนเพลีย ใบหน้าซีดเซียว ชัดเจนว่าป่วยหนักป่วยจริง มินโฮนั่งอยู่ข้างๆ กันส่งสายตาที่ตีความไม่ได้มาทางเขาเป็นระยะๆ บางครั้งก็จะหันไปกระซิบกับพี่ยูริบ้าง ส่วนเขาก็ชวนเซฮุนชานยอลคุยไปเรื่อยเปื่อย ไม่อยากจะมองให้หนึบใจ
ยกยิ้มมุมปาก สมเพชตัวเองไปก็เท่านั้น ลมหนาวๆ ที่พัดมาก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกชาหน้าเท่าตอนที่เห็นตัวหนังสือคำว่ายูริบนเทปกาวแปะตรงที่ที่ตัวเองยืนอยู่
เขากับมินโฮรู้จักกันผ่านๆ มาก็ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย แอบมอง แอบดูอยู่ห่างๆ เหมือนเวลาปลื้มศิลปินนักร้องทำนองนั้น การที่สมัครเข้ามาเป็นแบ็คสเตจก็เพราะมินโฮเป็นพระเอกละครนี่แหละไม่มีเหตุผลอื่น ที่เข้ามาก็เพราะอยากเห็นหน้า อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่ได้หวังอะไรไกลเกิน แต่พอได้คุย ได้เดินกลับบ้านด้วยกันมันก็เผลอ แล้วพอเผลอก็เจ็บ
เจ็บมากด้วย
“งี่เง่า” ด่าตัวเองให้ได้ยินเองคนเดียว ขยี้ผมสีบลอนด์ที่หยิกหน่อยๆ เลี้ยวตัวเองเข้าไปในซอยบ้าน
แต่ไม่ทันจะเดินผ่านบ้านหลังแรกเท้าก็ก้าวไม่ไปเมื่อก้มลงเห็นรองเท้าผ้าใบไนกี้ที่คุ้นเคย งัดสายตาขึ้นเรื่อยๆ ก็พบคนตัวสูงในเสื้อยืดสีดำสนิทยืนกอดอกพิงเสาไฟอยู่ เหมือนเลือดลมก็ทำงานผิดปกติอีกครั้ง เป็นครั้งแล้วครั้งเล่า
“เป็นอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถามสั้นๆ เมื่อคีย์หยุดสายตาที่ใบหน้าคมนั่น ยังคงเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา มีเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง สะดุดตาตั้งแต่ครั้งแรกที่มอง คีย์เป็นหนึ่งในคนที่สะดุดแบบนั้น แถมหลังจากนั้นไม่ว่าครั้งที่เท่าไหร่สายตาของเขาก็ไม่เคยมองผ่านไปได้เลย
“เปล่านี่ ก็สบายดี” ใช้เวลาเรียกสติครู่หนึ่งก่อนจะได้ตอบ
“ก็เห็นร้องไห้ตอนอยู่บนเวที”
“ก็... นายทำแบบนั้นกับใครใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ” บ่ายเบี่ยงไปได้ คีย์กลอกตามองไปรอบๆ มองไปทางไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ใบหน้าที่ดูไม่พึงพอใจของคนตรงหน้า
“น้ำตาไหลเพราะตกใจเหรอ”
“ก็ใช่สิ”
นิ่งสนิท ปล่อยให้เรียงรถยนต์และเสียงสวบสาบของหญ้าที่มีแมวเดินผ่านดังขึ้นและเบาลง คีย์ยืนเป็นเป้านิ่งให้อีกคนเพ่งสายตามาทำลายจนเริ่มเปราะพรุนอยู่ในเวลาจำนวนหนึ่ง จนรู้สึกอึดอัดเกินทน หน่วงในใจเกินจะหายใจใกล้กัน หัวใจที่เหนื่อยล้าจึงสั่งให้ด็อกเตอร์มาร์ตินขยับก้าวผ่านร่างที่สูงกว่าไป
“นี่ เป็นอะไรก็บอกมาเถอะ ฉันสับสนนะ” เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังรั้งมือที่กำลังจะไขกุญแจรั้วไว้ คีย์หันกลับไปมองคนที่ยังยืนอยู่ที่เดิม คิ้วหนาของมินโฮขยับเข้าหากันนิดหน่อย
“ไม่ได้เป็นอะไร แต่พี่ยูริเป็นนะ ป่วยบ่อยจริงๆ... แล้วก็ไม่มีอะไรต้องสับสนทั้งนั้น” รู้เลยว่าเสียงของตัวเองแฝงแววประชดประชันไว้ชัดมาก
“คีย์ชอบพี่คริสเหรอ”
“บ้า เอามาจากไหน พี่คริสคุยกับชานยอลอยู่ไม่รู้เหรอ” กุญแจที่ถืออยู่ร่วงลงพื้นทันทีแล้วเจ้าของก็รีบก้มเก็บด้วยมือที่สั่นเหมือนไม่สบาย คีย์หัวเราะเบาๆ กับความซุ่มซ่ามของตัวเองและกับคำถามนั้น
“แล้วคีย์ชอบพี่คริสรึเปล่า”
“ไร้สาระ มินโฮกลับบ้านเถอะ ไม่ง่วงเหรอไงจะตีสามแล้ว” เพราะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำที่ถูกถามคีย์ก็รีบพาตัวเองเข้าไปในอาณาเขตของบ้าน ปลดล็อคประตูบานหนาก่อนแทรกตัวผ่านเข้าไปในตัวบ้าน ทันก่อนที่มินโฮจะพยายามพูดอะไรต่อ ซึ่งพอพูดมาเขาก็ไม่ได้ยินแล้ว
ลมหายใจถูกพ่นออกเสียงดัง นิ้วยาวแหวกม่านบางเพื่อส่องดูข้างนอก มินโฮยืนไม่ขยับไปไหนอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะพลิกตัวออกเดินไปทางปากซอย
สับสนไปหมดแล้ว
เหมือนนกกระจอกแตกรัง เหมือนสมรภูมิรบ เหมือนไฟไหม้หรืออะไรก็ตามแล้วแต่จะมอง ตอนนี้หลังเวทีมีแต่คนวิ่งไปวิ่งมา ทั้งฝ่ายคอสตูมและเมคอัพแฮร์ดูที่โหวกเหวกโวยวายจนจับความในคำพูดลำบาก เสียงพูดคุยวอร์มเสียงของนักแสดงที่แทรกดังขึ้นเป็นช่วงๆ กับอองซอมที่ยกขายกแข้งเพื่อวอร์มร่างกายให้อบอุ่นก่อนจะออกไปเต้น คีย์เองก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำคือตามตัวนักแสดงที่กินข้าวมื้อบ่ายแก่ๆ อยู่มาเติมหน้าเติมปากให้พร้อมเล่นละครในรอบค่ำ
“ตามพี่มินโฮกับพี่ยูริให้หน่อย” ชานยอลป้องปากตะโกนบอกแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องแต่งตัวนักแสดง
ก็ไม่รู้ทำไมเรื่องของมินโฮกับพี่ยูริถึงต้องกลายเป็นปัญหาเป็นธุระของเขาทุกที
ร่างเล็กให้ชุดสีดำทั้งตัวกับผ้าปิดตาลายการ์ตูนเดินผ่านฉากด้านหลังไปยังอีกฝั่งของเวที ด้านหลังหอประชุมมีนักแสดงนั่งบ้างยืนบ้างรวมๆ อยู่กับทีมงานฝ่ายต่างๆ มีมุมอาหารให้ไปตักบริการตัวเองและโต๊ะนั่งกินข้าวจำนวนหนึ่งซึ่งไม่สามารถรองรับจำนวนคนจะกินได้หมด มินโฮกับพี่ยูริดูโดดเด่นท่ามกลางเพื่อนๆ ฝ่ายอื่นด้วยชุดหรูหราฟู่ฟ่าสไตล์ฝรั่งเศส แถมบนใบหน้าก็ถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างดี ถึงสำหรับมินโฮจะดูแปลกไปบ้างแต่พอขึ้นไฟเวทีแล้วสาวๆ ก็ตะลึงก็เป็นแถวๆ
ก้มลองมองเสื้อยืดสีดำไร้ลวดลายกับกางเกงยีนสีดำธรรมดาๆ แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้เลย
“มินโฮ พี่ยูริครับ ไปเติมหน้าเพิ่ม”
“ได้เลยจ้า” เสียงหวานขานตอบส่วนเสียงทุ้มไม่มีหลุดจากปาก ยูริดึงจานข้าวที่ว่างเปล่าของมินโฮโยนใส่ถังขยะด้านหลังแล้วคว้าข้อมือหนาให้ออกเดิน
มินโฮช่วยจับกระโปรงที่ยาวรุ่มร่ามของพี่สาวขณะก้าวขึ้นบันได บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อมองเห็นภาพนี้ พระเอกกับนางเอก เจ้าหญิงกับเจ้าชาย แทบทุกคนที่ยืนเมาท์แตกกันอยู่ก็กลับเงียบลงและหันมาให้ความสนใจ
เหมาะสมกันไปทุกอย่าง
เหมือนหมุดที่คาอยู่แล้วถูกตอกให้แน่นลงไปอีกนิด แค่เลือกที่จะมองทางอื่นอาจจะไม่เจ็บก็ได้
คีย์เบี่ยงตัวหลบให้ทั้งสองเดินผ่านไป กลิ่นน้ำหอมของมินโฮเปลี่ยนไปเพราะกลิ่นน้ำหอมของหญิงสาวข้างๆ เจือจางอยู่ด้วยกัน
สะบัดหัวเบาๆ ไล่ความคิดฟุ้งซ่าน ในใจคิดจะพักตัวเองหาอะไรใส่ท้องแถวนี้ก่อน แต่ไม่ทันได้ก้าวลงบันไดก็ถูกหนึ่งแรงดึงให้เซไปตาม แรงบีบแน่นที่ข้อมือทำให้รู้ถึงขีดอารมณ์ของคนที่จับอยู่ได้ นัยน์ตาคมมีความกรุ่นร้อนปะทุอยู่ภายใน น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อคนทั้งคู่ออกเดิน คีย์ก็ทำได้แค่ตามไปเงียบๆ ไม่กล้าสะบัดมือทิ้ง
เพื่อนร่วมคณะที่พวกเขาเดินผ่านไปต่างพากันมองตาม พี่ยูริที่เดินส่งยิ้มสวยให้ทุกคนยังไม่รู้ว่ามินโฮเกี่ยวใครมาด้วยอีกคน แบ็คสเตจตัวเล็กเดินก้มหน้าไม่คิดจะสบตาใคร ไม่รู้ว่ามองตอบแล้วควรจะทำหน้าแบบไหนดี
“ยังไงล่ะเนี่ย คีย์เหรอ”
“ก็ดูสิจับแน่นเลย” พอได้ยินเสียงซุบซิบของพี่ๆ ฝ่ายคอสตูมเขาก็พยายามจะบิดข้อมือให้เป็นอิสระ แต่อีกคนก็ยิ่งจับแน่น คีย์ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเบาๆ
“พี่ยูริเข้าไปก่อนนะ” เมื่อถึงหน้าห้องมินโฮก็ดึงมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุมของหญิงสาวซึ่งก็ปล่อยออกอย่างไม่ใส่ใจอะไร พี่สาวเอียงหน้ามอง พยักหน้าเบาๆ แล้วผลักประตูสีเหลืองอ่อนเข้าไปด้านใน
“มีอะไร” คีย์ชิงถามก่อนอย่างไม่รอเวลา ซึ่งพระเอกในชุดเสื้อผ้าอย่างขุนนางตะวันตกไม่ได้สนใจเสียงแผ่วเบานั้น อาศัยจังหวะที่คนรอบข้างกำลังวุ่นวายกับงานของตัวเองกระชากคนตัวเล็กกว่าให้ปลิวเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์เล็กๆ ข้างๆ ห้องพักนักแสดงทันที
ประตูไม้ปิดลงเงียบเชียบ ในห้องขนาดเล็ก เงียบและมีเพียงแสงสว่างเส้นเล็กๆ ลอดเข้ามาจากช่องระบายอากาศและใต้ประตูไม้ ลังกระดาษใส่อุปกรณ์ทำฉากและพร็อพสำรองระเนระนาดอยู่รอบตัว
“อะ...” เริ่มประโยคได้ไม่ทันเป็นคำก็ต้องกลั้นหายใจเมื่ออยู่ดีๆ ทั้งร่างก็ถูกคนตัวใหญ่กว่ารวบเข้าไปกอดไว้แน่น วงแขนแกร่งรัดรอบตัวไม่สามารถขยับได้ รู้สึกเหมือนตัวลอยขึ้นนิดหน่อยเพราะอีกฝ่ายสูงกว่าพอสมควร ใบหน้าคมเข้มพักลงตรงบ่าเล็กคล้ายว่าเหนื่อยมาก
คีย์ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่น เหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกปิดสวิตช์ หูอื้อจนเสียงอึกทึกครึกโครมข้างนอกเป็นเป็นเสียงก้องๆ ตึงๆ
“ฉันกับพี่ยูริไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่รู้หรอกนะว่าไปฟังใครหรือเห็นอะไรมาแต่รอฟังฉันก่อนนะ”
สมองพยายามตีความเสียงกระซิบที่ดังชัดเจนข้างใบหู แต่สติที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนจนเมื่อวงแขนรัดแน่นขึ้นอีกเหมือนจะเอาคำตอบรับ
“คีย์...”
“อะ... อือ”
“ตั้งใจทำงานนะ” แรงกอดคลายลง มือกร้านวางลงบนผมสีสว่างโยกหัวเล็กเบาๆ ในความสลัวคีย์เห็นรอยยิ้มแบบที่มักทำให้รู้สึกตัวเบาหวิวๆ ใกล้มาก และงดงามเหลือเกิน
มือนั้นจัดดึงชุดอันอลังการงานสร้างของตัวเองให้เข้าที่เข้าทางแล้วจึงดันประตูห้องเก็บของออกไป ทิ้งให้ร่างผอมทรุดลงพิงกับราวเหล็กของชั้นวางของ หายใจแรงเหมือนปอดจะหลุดออกมาจากอก หัวใจกระตุกเป็นจังหวะรัวเร็วอย่างไม่สามารถสั่งการได้
เล่นแบบนี้ก็แรงไปนะมินโฮ
หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความร่าเริงและความตึงเครียดคละเคล้าผสมกัน วันสุดท้ายของการแสดงละครก็มาถึง ส่วนหนึ่งในใจทุกคนก็รู้สึกดีที่จะได้มีอิสระเอาเวลาไปใช้กับเรื่องส่วนตัว กับงานอดิเรกอย่างอื่นบ้าง แต่อีกใจก็ไม่อยากให้จบลงเพราะยังอยากใช้เวลาร่วมกันกับคนที่ผูกพัน การเข้ามามีส่วนร่วมในทีมละครทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้ครอบครัวใหญ่ๆ เพิ่มมาอีกหนึ่งครอบครัว ไม่ใช่จะลืมจะปล่อยไปง่ายๆ
ผ้าปิดตาของคีย์ทำหน้าที่ได้ดี หลังจากหลับตาสักพักพอลืมตาในความมืดแล้วก็จะมองเห็นเงารางๆ แค่เงารางๆ ก็พอแล้วกับการนำนักแสดงและพร็อพต่างๆ เข้าออกฉากตามจุดที่ใช้สติ๊กเกอร์เรืองแสงแปะไว้
“ไฟปิด” เสียงพี่โคสเตจพูดสั้นๆ คีย์และพวกแบ็คสเตจดึงผ้าปิดตาลงไว้ตรงคอแล้วรีบซอยเท้าเข้าไปในฉากอย่างพวกโจร เพลงสกอร์คั่นฉากดังขึ้นช่วยกลบเสียงฝีเท้าของพวกเขา เปลี่ยนฉากรอบนี้คีย์ต้องพาพี่คริสกลับเข้ามาหลังฉากพร้อมกับดาบที่ตกอยู่บนพื้น
“อยู่นี่ๆ” ได้ยินเสียงแหบของพี่คริสกระซิบเบาๆ ร่างเล็กพุ่งตรงไปที่เงาทะมึนสูงชะลูดของพี่ชายที่วาดมือแหวกอากาศไปมาเหมือนจะจับตัวเขาให้ได้
“ใจเย็นดิ มาแล้ว” ก่อนก้มลงมองหาดาบของพี่ชายที่แอบติดสติ๊กเกอร์แรงแสงไว้ตรงด้ามจับ พอเห็นว่าตกอยู่เฉียงด้านหลังไปหน่อยคีย์ก็ลากมือพี่ชายตามไป ย่อตัวลงเพื่อหยิบพร็อพบนพื้น
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองเห็นรึเปล่า แต่มือคีย์ก็วางแปะลงบนมือของพระเอกที่วางอยู่บนดาบอีกทีพอดิบพอดี เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นเพียงความมืดรูปทรงสมบูรณ์แบบอยู่ตรงหน้า ตกใจยิ่งกว่าเห็นผี เกือบจะหงายหลังลงไปนอนบนพื้นเวที คีย์รีบชักมือออกแล้วจึงเลื่อนไปจับปลายดาบออกแรงดึงให้มาอยู่กับตัวเอง
“ไปด้วย”
“เข้าไซด์เอไม่ใช่เหรอ ไปกับชานยอลสิ” แบ็คสเตจตัวบางกระซิบเบาๆ แฝงอารมณ์หงุดหงิดขณะยื้อแย่งดาบปลอมกัน ด้านหลังเห็นเป็นเงาชานยอลที่แกว่งมือพึมพำชื่อของพระเอกละครอย่างสติหลุด เพลงสกอร์เริ่มเบาลงเป็นสัญญาณเตือน “มินโฮ ไฟจะเปิดแล้ว... ชานยอล อยู่ตรงนี้”
ชานยอลได้ยินเสียงคีย์ก็รีบวิ่งมาทางเงาตะคุ่มๆ ทันที อาศัยจังหวะงงๆ มือเรียวกระชากดาบออกจากมือหนาแล้วรีบพาคนในความดูแลอีกคนเข้าหลังฉากอย่างรวดเร็ว
สปอร์ตไลท์เปิดขึ้นอีกครั้ง หน้าฉากมีพี่ยูริยืนอยู่กับคริสตัลสองคน พรูลมหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าชานยอลพามินโฮเข้าฉากอีกฝั่งหนึ่งทันเวลา มือที่จับพี่ชายอีกคนไว้แน่นก็ค่อยละออก แว่วเสียงตัวร้ายหน้าหล่อหัวเราะเบาๆ
“เหอะ ขำมากปะ” เท่านั้นพี่คริสก็ต้องอมเสียงหัวเราะไว้แน่นปาก มือหนาผลักหัวเขาเบาๆ อย่างที่ชอบเล่นกัน คีย์ก็ต่อยหน้าท้องของพี่ชายคืนไปหนึ่งปั้น
พลันพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่เพิ่งแย่งดาบกันเป็นเด็กๆ อยู่หน้าฉากเดินผ่านหลังเวทีจากอีกฝั่งมาทางนี้เพื่อเปลี่ยนชุดเตรียมเข้าฉากต่อไป ลูกแก้วสีเข้มนั้นทอประกายของความไม่พอใจรุนแรงจนน่ากลัว ชานยอลที่เดินตามหลังมาได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้คีย์ สงสัยจะโดนระเบิดไปแล้ว
มินโฮหยุดยืนตรงหน้าพวกเขา พระเอกกับตัวร้ายจ้องหน้ากัน ฝ่ายพระเอกนั้นมองรุ่นพี่เหมือนอยากจะเอาดาบแทงส่วนคนอายุมากกว่าก็จุดยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก เหมือนมีประจุไฟฟ้าโยนไปโยนมาระหว่างดวงตาสองคู่ คนที่อยู่ตรงกลางมองแล้วก็ปวดหัว พี่คริสชอบกวน ชอบหาเรื่องอยู่เรื่อย
“พี่มินโฮเปลี่ยนชุดๆ” เป็นรุ่นน้องตัวโย่งที่แทรกขึ้นมา ดันไหล่มินโฮเบาๆ ให้เดินต่อ คนมีหน้าที่จึงออกเดิน กระนั้นก็ยังไม่ยอมหลบสายตาไปจนกระทั่งพ้นกรอบประตู
ชานยอลมุ่นคิ้วมาทางร่างหนาที่โพสท่าหล่ออยู่ด้านหลังเขาก่อนจะตามมินโฮเข้าไปด้านใน ใช้หลังดันประตูให้ปิดลง พี่คริสก็หลุดขำออกมาอีกครั้ง
“มินโฮมันชอบคีย์นะ”
“อย่ามั่ว เขาไม่ได้พูดแบบนั้นเลยสักคำ”
“ไม่มั่วเลย แค่นี้ดูไม่ออกก็บ้าแล้ว เด็กประถมยังดูออกเลยคีย์”
เข็มนาฬิกาหมุนไปอีกครึ่งวงกลม เรื่องราวดำเนินมาจนถึงฉากสุดท้าย ในความมืดใต้ผ้าปิดตา คีย์เงี่ยหูฟังเสียงดาบไร้คมกระทบกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งได้ยินเสียงของแข็งกระทบพื้นและกระดอนต่ออีกสองสามที จนเงียบสนิท บ่งบอกว่าพระเอกได้จัดการส่งตัวร้ายลงนรกไปแล้ว
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” เสียงหวานใสกังวานทั่ว ภาพในหัวคือพี่ยูริที่หลุดจากการรั้งตัวของนายทหารสองคน
“ฮือ จะจบแล้วเหรอ” เสียงซอลลี่แทรกขึ้นมาใกล้ๆ ตอนนี้พวกเขากำลังยืนต่อแถวเกาะไหล่กันยาวเป็นขบวนรถไฟเพื่อให้ไม่วิ่งชนกันตอนออกไปหน้าฉาก สาวผมสั้นโยกตัวไปมา ทำให้คนผิวขาวหัวเราะเบาๆ
“เจ็บตรงไหนมั้ย ขอโทษนะที่มาช้า” เสียงทุ้มไพเราะสะท้อนไปทั้งหอประชุมขนาดใหญ่
มือของคีย์บีบเบาๆ ที่ไหล่ของน้องสาว อมยิ้มบางๆ ได้ยินเสียงซอลลี่ซอยเท้าอยู่กับที่ปลดล่อยความตื่นเต้น เขาเองก็ใช่ย่อย อะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วร่าง จะมีก็แต่เซฮุนที่ยืนเกาะไหล่เขาอยู่ด้านหลังเท่านั้นที่ดูจะผ่อนคลายเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเคยตื่นเต้นอะไรกับเขาบ้างในชีวิตนี้
“ฉันรักเธอ แต่งงานกันเถอะ/จะจบแล้วๆ” จริงๆ เขาก็ฟังมาหลายสิบครั้งแล้ว แต่ทฤษฎีที่ว่าบ่อยแล้วก็จะชินมันใช้ไม่ได้กับเหตุการณ์นี้ คีย์ก็เลือกจะใช้เสียงตัวเองกลบเสียงนั้น รู้ว่ามันเป็นละคร รู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถึงไม่ใช่เรื่องจริงก็ยังเจ็บจริงอยู่ดีไม่รู้ทำไม
ย้อนคิดถึงเมื่อวันก่อนที่มินโฮดึงเขาเข้าไปในห้องเก็บของแล้วพูดอะไรแปลกๆ กับตอนที่แย่งดาบกันหน้าเวทีวันนี้ รวมถึงคำพูดของพี่คริสหลังจากนั้น เขาไม่อยากเข้าข้างตัวเองเลย กลัวว่าถ้าคิดไปเองคงเจ็บยิ่งกว่าละคร
ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาพวกเขาก็เพียงแค่เห็นหน้ากันทุกวัน แต่จะเรียกว่าสนิทสนมกันได้รึเปล่าเขาก็ไม่มั่นใจ ที่แน่ๆ คือคีย์ได้เห็นมินโฮในอีกมุมหนึ่งที่ถ้าเพียงเรียนด้วยกันหรือเดินผ่านกันในโรงอาหารจะไม่มีวันได้เห็น
นอกจากมินโฮจะเป็นหนุ่มหล่อใจดีประจำคณะแล้วมินโฮก็ยังชอบเล่นมุกตลก ซึ่งบางทีก็แป้ก เป็นคนขี้เซา ชอบดื่มน้ำแอปเปิ้ล ไม่ชอบกินช็อกโกพายเพราะไส้มันไม่อร่อยและพอจะร้องเพลงได้บ้างอย่างที่เห็นร้องในฉากมิวสิเคิลบนเวที เขามั่นใจว่าบรรดาหนุ่มสาวที่แอบปลื้มมินโฮอยู่เหมือนเขาคงไม่มีทางรู้ข้อเท็จจริงพวกนี้แน่
และยิ่งเขาเป็นคนที่ได้รู้ ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นๆ ที่แอบชอบมินโฮอยู่นิดหน่อย
“ไฟปิดจ้า” เสียงพี่โคสเตจรอบนี้ฟังดูกระตืกรือร้นที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“จบแล้ว!/เย่”
“พี่คีย์พาพี่มินโฮเข้านะ เดี๋ยวเก็บแทมินกับจงอินเอง” เซฮุนกระซิบเบาๆ พร้อมกับที่เขาดึงผ้าปิดตาลง พอฟังเข้าใจความหมายและกำลังจะหันไปแย้งก็ถูกรุ่นน้องดันให้วิ่งออกมาหน้าฉาก
“เดี๋ยวก่อน...”
ในความมืดดำที่เห็นทุกอย่างเป็นเพียงรูปร่างสีทึมขยับไหว เงาของเซฮุนหายไปแล้วด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับแทมินและจงอินก็ไม่ได้อยู่ตรงที่ที่ติดเทปเรืองแสงไว้ คีย์หันคว้างขณะที่ทั้งแบ็คสเตจและนักแสดงวิ่งวุ่นอยู่รอบตัว เพลงฟินาเล่ดังขึ้นพร้อมเสียงปรบมือของคนดู ท่ามกลางความโกลาหล เงาบอบบางของพี่ยูริถูกชานยอลดึงเข้าฉากไปอีกฝั่ง เหลือหนึ่งคนด้านหน้าสุดของเวที แม้จะเป็นเงาแต่คีย์ก็จะได้แม่นยำ
“มินโฮ มานี่” คีย์ทิ้งลมหายใจทั้งหมดในปอดออก ก้าวยาวๆ ไปคว้ามือของอีกคนก่อนจะออกแรงดึง แต่เพราะแรงน้อยเกินไปหรือมินโฮแข็งแรงมาก เหตุผลสักอย่างนั้นทำให้ทั้งสองยังยืนอยู่ที่เดิม
มินโฮเหมือนฝังรากแก้วรากฝอยของตัวเองลงกับพื้นเวทีไปแล้ว จะฉุดจะดึงยังไงก็ไม่ขยับเขยื้อน ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรทั้งนั้นนอกจากยืนนิ่งเหมือนหุ่นขึ้ผึ้งอยู่กลางเวที จนร่างในชุดสีดำที่กลืนไปกับความมืดเริ่มหงุดหงิด และในที่สุด
“เข้าเองก็แล้วกัน” หมุนตัวเตรียมจะวิ่งเข้าหลังฉากสองแขนแกร่งก็ยกตัวคีย์ลอยหวือกลับมาอยู่ที่เดิม
“ฉันชอบคีย์นะ”
พร้อมสปอร์ตไลท์ที่เปิดขึ้น และเสียงพึมพำของคนดูด้านล่าง
ทั้งสองร่างนิ่งสนิท นานเพียงไม่กี่วินาทีแต่ก็ทำให้สติสัมปัญชัญญะหลุดลอยไป แสงสว่างที่สาดกระทบทั้งดวงตาและร่างกาย คราวนี้กลับกัน เขามองไม่เห็นคนดู แต่คนดูเห็นเขาชัดเลย
แล้วอะไรอีกที่มินโฮพูดออกมา เหมือนจะได้ยินไม่ค่อยถนัด เหมือนฝันๆ อยู่
ไฟปิดลง แต่เสียงกระซิบกระซาบยังไม่หยุด แว่วเสียงวอล์กกี้ทอล์กกี้ของฝ่ายต่างๆ และเสียงอุทานของทีมงานด้านหลังเวที คนตัวขาวถูกสาปให้กลายเป็นหินไปแล้ว
“คีย์... คีย์” เผลอหยุดหายใจไปหลายวินาที ทิ้งตัวพิงกับอกแกร่งที่รอรับอยู่ด้านหลัง เรี่ยวแรงจะขยับร่างกายไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
ถูกคนผิวเข้มช้อนตัวขึ้นแล้วก้าวช้าๆ ไปตามสติ๊กเกอร์บอกทางบนพื้น เพลงฟินาเล่ค่อยๆ เบาลงจนเงียบกริบเมื่อพวกเขาหลบเข้าหลังฉากเรียบร้อยแล้วและคีย์ถูกวางลงอย่างปลอดภัยบนพื้น
“ขอโทษทีพี่คิดว่าทุกคนเข้ามาครบแล้ว” แว่วเสียงพี่ที่ใส่อินเตอร์คอมอยู่พูดเบาๆ คีย์พยักหน้าให้คำขอโทษนั้นแล้วก็กระพริบตาปริบๆ มืด แล้วสว่างแล้วก็มืด เล่นเอาตาพร่า
ตรงหน้ามีซอลลี่ เซฮุนที่หน้าตาดูงงๆ กับเหตุการณ์เมื่อยี่สิบวินาทีก่อน ได้ยินเสียงพี่ซูยองเล็ดลอดมาจากวอล์กกี้ทอล์กกี้ในมือของรุ่นพี่คนหนึ่ง จับไม่ค่อยเป็นศัพท์แต่ท่าทางจะประสาทเสียอยู่ไม่น้อย
ไฟสีส้มสว่างจ้าสะท้อนกับฉากอีกครั้ง สกอร์เพลงดังขึ้น ร่างเล็กหันไปทันเห็นแผ่นหลังกว้างของผู้ที่รับบทตัวเอกก้าวออกไปหน้าม่านสีดำเพื่อโค้งขอบคุณผู้ชม ตามด้วยนักแสดงคนอื่นๆ เรียงกันไปเป็นขบวน เสียงปรบมือชื่นชมดังกึกก้องอีกครั้ง มาจากทั้งคนดูและทีมงานฝ่ายต่างๆ ที่ต่างดีใจเมื่อหน้าที่สิ้นสุดลง ซอลลี่ดึงเขาเข้าไปกอดแล้วกระโดดไปรอบๆ เซฮุนยิ้มบางถูกดึงเข้ามาร่วมวงด้วย ช่างพวกสเตจเมเนเจอร์ไปก่อนเถอะ
และพอคีย์ระลึกขึ้นมาได้ว่าประโยคที่มินโฮพูดนั้นประกอบด้วยคำว่าอะไรบ้าง รอยยิ้มก็ถูกจุดขึ้น และน้ำตาก็ไหลลงมาเงียบๆ
งานเสร็จแล้ว ละครจบแล้ว
ต่อไปนี้จะมีแต่เรื่องจริง
ทางเท้าตอนตีสามร้างไร้ผู้คนเป็นภาพที่คีย์คุ้นเคยมาตลอดเดือนล่าสุด เดินผ่านจนจำได้ว่าหลอดไฟดวงไหนใกล้จะหมดอายุ คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่กับบรรยากาศแบบนี้ ถึงจะอ่อนล้าอยากทิ้งตัวใส่เตียงแรงๆ แล้วหลับให้วิญญาณออกจากร่างสักสิบสองชั่วโมง คีย์ก็ยังเดินทอดน่องช้าๆ เซไปเซมาคล้ายคนเมา อาจจะเมาอากาศก็ได้
“ดีใจจัง” คนที่เดินตามมาเอ่ยเสียงห้าวแล้วสืบเท้าขึ้นมาอยู่ข้างๆ กัน หน้าเรียวเอียงไปมองคนผิวสีน้ำผึ้ง มุ่นคิ้วเป็นคำถาม “ก็คีย์ยอมกลับบ้านด้วยกัน”
“ฉันไม่ยอมกลับกับมินโฮตอนไหนล่ะ”
“ก็เมื่อก่อนคีย์จะทำเป็นผูกเชือกรองเท้าช้าๆ รอฉันออกจากห้อง แต่หลังๆ มานี้หายแว๊บๆ”
“นี่รู้เหรอ”
เสียงหัวเราะแบบเฉพาะตัวของมินโฮตอนนี้ทำให้คีย์อายแทบจะแทรกตัวเข้าไปหลบในกำแพงอิฐ ยิ่งฝ่ามือกร้านที่แกว่งมาในจังหวะที่พอดีคว้าเอามือของเขาไปจับไว้ แทรกนิ้วต่อนิ้วประสานกันพอดี ก็ไม่รู้ว่าทำไมคีย์ถึงปล่อยให้อีกคนทำแบบนั้นง่ายๆ รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านนิ้วของอีกฝ่ายส่งมา จั๊กจี้นิดๆ แต่รู้สึกดีไม่นิด
“ถ้าไฟไม่เปิดก่อนนะ” แววตาคมที่ตอนนี้ทอความอ่อนโยนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า วันนี้ไม่มีเมฆและดวงจันทร์ก็กลมสวยดี
“ทำไม”
“จับจูบแล้วพูดจริงๆ”
“เหอะๆ เตี๊ยมกับเซฮุนไว้สินะ”
"จริงๆ พี่คริสกับชานยอลช่วยคิดด้วยน่ะ"
พวกเขาเดินผ่านซอยบ้านของร่างใหญ่มาแล้ว คีย์ไม่ได้ท้วงอะไรเพราะก็รู้ว่าไม่เกิดผลเปลี่ยนแปลงอะไร รองเท้าไนกี้และด็อกเตอร์มาร์ตินยังย่ำจังหวะของตัวเอง ไม่ได้พร้อมกัน ไม่ได้ลงตัว แต่ก็เป็นแบบที่คีย์ชอบตลอดมา
ก็ยังเผลอตั้งใจคุมจังหวะเสียงรองเท้าอยู่ อาจจะเกร็งจนอีกคนผิดสังเกต
“เป็นอะไร” คำถามเดิมเหมือนที่เคยถาม คีย์เลือกที่จะไม่ตอบ
“เปล่า” ส่งยิ้มสวยให้แทน
ทางเดินทอดยาวไปข้างหน้า ตอนนี้มินโฮก็เป็นมินโฮ ไม่ได้สวมบทขุนนางยุคโบราณที่ต้องเปิดตัวให้คนดูตลอดเวลา ตอนนี้พวกเขากำลังเดินไปด้วยกัน ด้านข้างของมินโฮก็ดูดีออก
ไม่มีละครแล้ว
“ขอบคุณนะที่มาเป็นแบ็คสเตจ ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะเข้าไปคุยกับคีย์ยังไง”
ตาเรียวสีอ่อนตวัดขึ้นมองแสดงความสงสัยไม่ปิดบัง ประสานสายตากับลูกแก้วคู่สวยที่เป็นประกายล้อแสงไฟ เหมือนมีน้ำใสๆ หล่อเลี้ยงดวงตานั้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ดูเศร้าเหมือนจะร้องไห้แต่กลับดูอิ่มเอมสดใส
“นี่คิดว่าฉันไม่เคยมองคีย์มาก่อนเลยเหรอ ฉันไม่ใช่คนชุ่ยๆ แบบที่ว่ามองๆ แค่สามเดือนแล้วขอคบเลยหรอกนะ”
“ขอคบอะไร”
“คบกันนะ”
เหมือนโดนหมัดน็อค เหมือนอากาศไม่ยอมไหลเข้าปอด เหมือนเลือดแข็งตัว เหมือนระบบการทำงานในร่างกายพังไปหมด คีย์อึกอัก แล้วก็หวนคิดไปถึงต้นเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดงุ่นง่านใจอยู่ได้หลายวัน
“แล้ว... แล้วพี่ยูริล่ะ” ดึงมือออก จะด้วยขัดเขินหรือยังไม่พอใจคีย์ก็ไม่แน่ใจตัวเองเท่าไหร่
“ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย อินกับละครมากไปเหรอ”
“ก็วันนั้นมินโฮฝากเซฮุนมาบอกว่าจะซ้อมต่อ...”
“ก็ใช่ ไปซ้อมต่อจริงๆ นะ แต่ไปซ้อมต่อที่บ้านพี่ยุนโฮน่ะ วันนั้นต้องแก้บทไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย สงสัยเห็นแต่พี่ยุนโฮเดินลงมาก่อนล่ะสิ”
“แล้ว... แล้วเลี้ยงข้าวอะไร”
“ฮะ... ได้ยินเหรอ” ตาโตเปิดเผยความประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้ตำหนิอะไรที่คีย์แอบไปสอดรู้สอดเห็น “ก็ไปกินข้าวกันก่อนไปบ้านพี่ยุนโฮ สัญญาไว้ว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ยูริเพราะเขาช่วยทำรายงานให้ แค่นั้นแหละ”
คำอธิบายที่อีกคนให้มาก็สมเหตุสมผลดี น้ำเสียงของคนพูดก็เรียบนิ่งไม่ได้ส่อแววว่าปั้นเรื่องมาเล่า คนตัวขาวอยากจะเอาหัวไปโขกเสาไฟเหลือเกิน เข้าใจผิดไปเอง แล้วยังกล้าไปซักไซ้ให้เขาอธิบายอีก อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปแอบไว้ตรงไหนแล้ว
“แสดงว่าหลบอยู่ในตึกสินะ ร้ายจริงๆ”
ไม่ได้พูดอะไรกันอีก เท้าสองคู่ตบลงพื้นเป็นจังหวะเดิมๆ มาเรื่อยๆ ตามอิฐตัวหนอนที่ปูเป็นระเบียบ จนกระทั่งเลี้ยวเข้ามาในซอยบ้านของคนตัวเล็กกว่า และหยุดนิ่งที่หน้ารั้วสีขาวที่เขาเพิ่งสังเกตว่ามันดูดีมากๆ ใต้แสงจันทร์ในเวลานี้
“สรุปว่าไงดี” มือหนาเอื้อมมาเกี่ยวมือบางไปครอบครองไว้อีกครั้ง “คบกันนะ”
เจ้าของบ้านหลังสวยเม้มปากแน่นจนเห็นเป็นเส้นตรง ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายบีบคลายเป็นจังหวะที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน รัว แรง มือไม้ก็เหมือนงอกออกมาผิดที่ผิดทาง ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหนถึงจะเหมาะสม รองเท้าหนังเคาะพื้นเป็นจังหวะ คีย์กำลังพยายามหาเสียงของตัวเองอยู่
“ตอนนี้ก็ยังมืดอยู่นะ” ตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด กลอกตามองไปทั่วท้องฟ้าที่มีดาวกระจายตัวเป็นจุดเล็กๆ “สมมติว่าไฟยังปิดอยู่สิ”
ปากอิ่มของคนตรงหน้าเผยยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะทุ้มต่ำ โครงหน้าคมค่อยๆ โน้มลงมา จมูกโด่งแตะจมูกรั้นแลกเปลี่ยนลมหายใจพร้อมกับเปลือกตาที่ขยับยุกยิกก่อนปิดสนิท ริมฝีปากอุ่นร้อนนาบทับลงมาปิดกลีบปากอิ่มสีชมพู แนบชิดจนไม่มีช่องว่าง ท่อนแขนสองข้างโอบร่างผอมให้เข้าไปใกล้กันมากขึ้น เป็นไปตามธรรมชาติคีย์ยกมือขึ้นวางบนบ่าหนา รู้สึกถึงฟองอากาศมากมายทีเบียดดันกันอยู่ในสมอง กระทั่งได้ลมหายใจคืนเมื่อมินโฮผละออกไปและเอ่ยเบาๆ ข้างๆ หู
“ดีใจจัง”
และนี่คือเรื่องจริง
THE REAL ONE HAS STARTED
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น