ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : [SF] Besides - 2/3
ลากไม้กวาดไปตามพื้นช้าๆ เสียงสวบสาบของดอกหญ้าที่ผ่านไม้อัดไปมาทำให้ทั้งคนกวาดทั้งห้าหกคนและคนที่นั่งดูคนกวาดยิ่งง่วงกว่าเดิม แดดเช้าลอดผ่านช่องมู่ลี่เข้ามาตกสว่างที่มุมห้อง บนลังกระดาษที่บรรจุขวดน้ำผลไม้มากมาย รวมถึงรุ่นพี่ที่นอนเอาหนังสือนิยายปิดหน้าอยู่ใกล้ๆ
วันนี้คีย์เกือบสาย ขั้นตอนที่เรียกว่าอาบน้ำแต่งตัวถูกตัดออกไปทันทีเมื่อนาฬิกาบอกว่าอีกเพียงยี่สิบนาทีจะถึงเวลานัด เขาแวะซื้อแซนด์วิชราคาถูกที่หน้าปากซอยแล้วก็รีบกระโดดขึ้นแท็กซี่ ถึงมหาวิทยาลัยทันเวลาพอดี พลาดไปอีกนาทีเดียวเขาต้องจ่ายเงินค่ามาสายหลายร้อยวอนตามกฎโหดๆ
“เสร็จแล้วลงไปกวาดห้องที่ชั้นสี่ด้วยนะ วันนี้อองซอมจะแยกลงไปซ้อมข้างล่าง” ร่างเล็กของรุ่นพี่อีกคนที่นั่งเกยคางบนเข่าพึมพำเบาๆ ก่อนจะหงายหลังตามเพื่อนลงไป
“ครับ” เขาพร้อมกับเพื่อนๆ รับคำอย่างอ่อนเพลีย
นอกหน้าต่างห้องโล่งๆ บนชั้นห้า ยอดของต้นไม้บางต้นเท่านั้นที่จะสามารถเติบโตขึ้นมาทักทาย เขาเห็นกระแตตัวเล็กกระโดดข้ามกิ่งไม้ไปมาอย่างร่าเริง
“พี่คีย์ ฝากกวาดตรงนั้นด้วยนะคะ”
ชานยอลกับซอลลี่ที่กำลังย้ายลังบรรจุเจลแต่งผมฝากงานให้ทำเพิ่ม มุมห้องข้างประตูตรงที่เคยมีกล่องลังวางอยู่ฝุ่นหนากว่ามุมไหนๆ
“ได้ๆ”
“เซฟ!” ประตูห้องแกว่งไปมาหลังจากถูกผลักแล้วเด้งคืนกรอบ ผู้ชายร่างสูงในเสื้อยืดลายทางกับกางเกงวอร์มขายาวยิ้มแห้งๆ วิ่งขึ้นบันไดมาคงจะเหนื่อยน่าดู วันนี้วันเสาร์ ลิฟท์ทุกตัวปิด
“เกือบไปแล้วนะมินโฮ” พี่ซูยองที่นอนเฝ้าไวท์บอร์ดจดเวลาอยู่ดีดตัวขึ้นมาจากเบาะโยคะ เวลาปัจจุบันถูกเขียนลงหลังชื่อของคนที่เพิ่งวางกระเป๋าบนโต๊ะสีขาว กระดานนั้นมีชื่อของทีมงานทุกคนปรากฏอยู่ รวมถึงชื่อของเขาเองเป็นชื่อสุดท้ายในมุมเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ
“ซอลลี่ไม่ยอมโทรปลุก...”
“โหย โทรเป็นสิบรอบแล้วเถอะ”
คนที่เพิ่งมาหัวเราะฝืดๆ เดินย้อนกลับไปเปิดประตูให้สองคนที่กำลังอุ้มลังกระดาษเดินออกไปนอกห้องแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาทีมกำกับที่กำลังล้อมวงหน้าเครียดอยู่
“ทำการบ้านมารึเปล่า”
“ทำสิ”
“เอาบทมาดูหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินใครพูดอะไรอีกเมื่อเพลงบัลลาดนุ่มๆ ดังออกมาจากลำโพงหลายตัวบนกำแพง เพื่อนและรุ่นพี่รุ่นน้องหลายคนกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องพร้อมๆ กัน โดนพี่ซูยองสวดไปอีกบทใหญ่ พี่คยูฮยอนไล่ปลุกพวกที่ซ่อนหน้าอยู่ใต้ผ้าห่มให้ตื่นขึ้นมาเตรียมตัว
“มาวอร์มได้แล้ว” เสียงของผู้กำกับอย่างพี่ยุนโฮดูเหมือนจะกระตุ้นต่อมตื่นได้ดีกว่าคำบ่นงัวเงียของพี่คยูฮยอนหลายเท่า
หนังสือเรียนถูกดึงออกมาจากกระเป๋าสำหรับแบ็คสเตจที่ยังใส่ใจเรื่องการเรียนอยู่บ้าง คนในตำแหน่งนี้มีเวลาว่างในทุกๆ วันของการซ้อม เมื่อเข้าใกล้ช่วงสอบจากที่เคยล้อมวงเล่นกีตาร์เล่นไพ่ก็หันมาจับหนังสือจับเล็กเชอร์แทน
“ขอแบ็คสเตจสองคนบล็อคแทนซิลวีกับลูเซียง ยูรินั่งพักก่อนก็ได้ กินยาแล้วใช่มั้ย” พี่ยุนโฮโบกมือไปมาเหมือนจะเสกอะไรสักอย่าง พี่ยูริพยักหน้าเบาๆ เดินกุมหน้าผากไปทางกองถุงนอนที่วางเกะกะอยู่ นางเอกดูจะป่วยๆ มาหลายวันแล้ว
พวกที่อยู่ตำแหน่งเดียวกันพากันเอนหลังลงพื้นทันทีที่สิ้นเสียงผู้กำกับ ถ้าพี่ยุนโฮหันมาเห็นภาพนี้ต้องโดนสาปกันแน่ๆ พี่คยูฮยอนที่นั่งขัดสมาธิจิ้มคอมพิวเตอร์อยู่ใกล้ๆ เลยเลือกรุ่นน้องในสังกัดให้เองก่อนจะเกิดโกลาหล
“คีย์กับเซฮุน ไป”
“ขอเป็นลูเซียง” เซฮุนคว้าบทของตัวเองแล้วรีบเดินเข้ากรอบเวทีไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะได้ละสายตาจากหนังสือ
“อ่าว ให้ซอฮยอนบล็อคแทนมั้ย” เขาท้วงอย่างงงๆ ทำไมไม่ให้ผู้หญิงไปบล็อค ที่จริงควรจะเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งตามที่พี่ยุนโฮบอก
“ซอฮยอนเจ็บขา”
“ซอลลี่...”
“แค่ต่อบทเฉยๆ เอง”
เมื่อสเตจเมเนเจอร์กล่าวอย่างนั้นก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงให้เรื่องยาว เขาหยิบบทของตัวเองขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ สาวเท้าเร็วๆ ตามรุ่นน้องเข้าไปในกรอบของเทปกระดาษที่วางเป็นแถบแทนฉากของเวที หยุดเท้าข้างๆ เพื่อนที่เป็นนักแสดงตัวเอกของเรื่อง
“ฉากสิบเอ็ดจุดสองนะ เริ่มจากตรงที่ซิลวีเดินเข้ามาจากไซด์บี”
เขาไม่รู้ว่าควรมองอะไรตรงไหน ถ้ามองตากลมโตคู่นั้นจะทำให้เพื่อนเสียสมาธิหรือเปล่า เขาเม้มปากเหลือบตามองผ่านไหล่ของร่างสูงไป
“หันมาทางนี้ มองอะไรอยู่”
“อะ... โอเค”
“มองดิ”
“มองแล้วไง”
“คีย์มองจมูกฉันอยู่”
“เริ่มได้แล้ว คีย์เล่นไปเลยนะ ช่วยส่งอารมณ์ให้อองเดรด้วย”
หลับตาลงเพื่อควบคุมสมาธิก่อนจะลืมตาขึ้นเพื่อมองเข้าไปในดวงตาของคนที่ยืนข้างกัน คนตรงหน้าไม่ใช่มินโฮแต่เป็นอองเดร และเขาไม่จำเป็นต้องอินกับบทซิลวี เขามาแทนชั่วคราวเพื่อต่อบทให้เท่านั้น ขอแค่นิ่ง ไม่ทำให้เพื่อนเสียสมาธิตามก็พอ
“ซิลวี... ซิลวีเดี๋ยวก่อน”
“ว่ามา ฉันมีเวลาไม่มาก ต้องกลับเข้าบ้านแล้ว” รู้ตัวเลยว่าเสียงสั่นเลยกระแอมเบาๆ กลบเกลื่อน พี่แทยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่ยุนโฮแอบอมยิ้ม
“มาทางนี้” มือหนากำแน่นดึงข้อมือของเขาให้เดินตาม เขารั้งกลับตามบทที่ต้องแสดง นั่งดูมานับสิบรอบเขาจำเป็นต้องรู้ว่าตัวละครทำอะไรตอนไหน นั่นเป็นหนึ่งในหน้าที่ของแบ็คสเตจเช่นกัน
“คุยกันตรงนี้ก็ได้”
ไม่เคยทำได้เลย มินโฮก็คือมินโฮ เขาแสดงละครไม่เก่ง เขาไม่มีจินตนาการและความเชื่อที่เพียงพอสำหรับการเป็นร่างกายให้กับตัวละครหรือแม้แต่การมองให้ใครๆ กลายเป็นคนอื่น มินโฮยังเป็นมินโฮ มินโฮที่เมื่อเขามองตาแล้วเสียงก็จะสั่น ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ
“ซิลวี พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปหาพ่อของเธอนะ”
“หมายความว่ายังไง”
“เราแต่งงานกันเถอะ”
ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ
“ฉันรักเธอ”
รองเท้าด็อกเตอร์มาร์ตินคู่เดิมทำจังหวะคู่ลงบันไดตอนห้าทุ่ม เลิกดึกขึ้นเรื่อยๆ เพราะสุดสัปดาห์หน้าก็เริ่มแสดงแล้ว ช่วงนี้คนป่วยคนจิตตกเพราะเครียดเต็มห้องซ้อมไปหมด ช่วงแรกเริ่มก็สนุกดีแต่พอความจริงใกล้เข้ามาก็เริ่มจะหัวปั่นหัวหมุน พี่ยุนโฮเริ่มจะบึ้งตึงมากขึ้น พี่แทยอนเหมือนจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ
คีย์เงยหน้ามองลอดช่องระหว่างบันไดขึ้นไปยังไม่เห็นมีวี่แววมาใครบางคนจะตามลงมา
“พี่มินโฮต้องอยู่เจาะแอคติ้งต่อน่ะ ฝากมาบอกว่าไม่ต้องรอเพราะว่าอีกนาน” รุ่นน้องหน้ามึนที่ชื่อเซฮุนค่อยๆ ขยับตัวลงบันไดมาช้าๆ พร้อมกับชานยอล น้ำเสียงที่ฟังดูกวนอารมณ์นั่นไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น คีย์ก็ชินแล้ว
“อ๋อ โอเค” แต่ก็ยังไม่วายชะเง้อมองขึ้นไป เพราะว่าแม่บ้านประจำตึกปิดห้องลงกุญแจไปแล้ว ถ้าจะซ้อมต่อก็น่าจะลงมาซ้อมแถวๆ ใต้ตึกที่โปร่งโล่งมากกว่าอยู่มืดๆ ข้างบน
ชานยอลแกล้งเดินเอาไหล่มาชนทำนองจะแซวก่อนตามเซฮุนที่ท่าทางจะง่วงมากลงไป ตามลงมาก็คือสาวๆ พวกซอลลี่ พี่ซูยอง พี่คยูฮยอน คีย์ที่กำลังตัดสินใจจะก้าวกลับขึ้นไปดูก็เผลอชะงักเมื่อโดนทัก
“ลืมของเหรอคีย์ ห้องล็อคแล้วนะ”
“อ๋อ...” คีย์ไม่ได้ลืมของหรอกแต่ก็ตามน้ำไปเพราะจะให้บอกว่าจะกลับขึ้นไปดูมินโฮก็ไม่ใช่เรื่อง เลยแค่ยิ้มบางๆ แล้วขยับขาช้าๆ ปล่อยให้ทั้งสามคนแซงลงไปก่อน
ได้ยินพี่คยูฮยอนบ่นว่าหิวแล้วชาวแก๊งที่ชอบไปหามื้อดึกกินกันต่อก็ยิ่งเร่งฝีเท้าจนกระทั่งอ้อมลงบันไดลับสายตาไป คีย์ยืนลังเลอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปอีกครั้ง ทั้งๆ ที่มินโฮก็ฝากเซฮุนลงมาบอกแล้วแต่ก็อยากกลับขึ้นไปดู
เพราะว่าพวกนักแสดงคนอื่นก็นำหน้าลงบันไดไปก่อนพวกเขาที่เป็นแบ็คสเตจตั้งนานแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ข้างบนก็น่าจะมีมินโฮกับพี่ยูริ อาจจะมีพี่ยุนโฮด้วยถ้าจะซ้อมต่อ เท้าเล็กยกขึ้นวางบนบันไดขั้นที่สูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งช่วงขาที่ยาวก็ก้าวข้ามมันทีละสองขั้น มัวแต่มองขั้นบันไดในความสลัวเลยไม่ได้มองว่ามีคนเดินสวนลงมา
“อ่าวคีย์ ยังไม่กลับเหรอ” พี่ยุนโฮเดินปิดปากหาวลงมาคนเดียว ยิ่งทำให้คีย์คิดอะไรต่อมิอะไรไปได้อีกร้อยแปดพันเก้าอย่าง ปากก็เลยโกหกออกไปทันที
“เอ่อ... ลืมของไว้หน้าห้องซ้อมน่ะครับ”
“แต่พี่ออกมาก็ไม่เห็นมีอะไรเลยนะ ลืมไว้ที่อื่นรึเปล่า”
“ผมว่าตุ้มหูผมอาจจะตกอยู่แถวนั้น...”
“อ๋อ ให้พี่ขึ้นไปเป็นเพื่อนมั้ย มืดแล้วนะ” พี่ชายใจดีทำท่าจะพลิกตัวกลับขึ้นไปตามทางที่ลงมาเขาก็รีบเอ่ยปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ”
“งั้นก็รีบๆ นะ กลับดีๆ”
รุ่นพี่ตาโหลกระย่องกระแย่งสวนลงไปเมื่อคีย์ก้าวเท้าต่อ อยู่ซ้อมหลังเวลาเลิก แต่พี่ยุนโฮเดินลงไปแล้ว หมายความว่ายังไงเขาไม่อยากคิดมากให้ปวดหัวเลย หัวใจเต้นแรงด้วยความกลัวอะไรบางอย่างและหวั่นใจขึ้นมาตงิดๆ ถึงอย่างนั้นเท้าก็ยังก้าวไม่หยุด เวียนขึ้นไปหนึ่งชั้น สองและสาม พยายามเงี่ยหูฟังเสียงรอบๆ
“มื้อนี้มินโฮต้องเลี้ยงพี่นะ ตามสัญญา”
“ได้อยู่แล้ว อยากกินอะไรล่ะ” เสียงพูดคุยที่ฟังสนิทสนมและเป็นธรรมชาติค่อยๆ ดังขึ้นเมื่อคนพูดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
คีย์รีบเบี่ยงตัวหลบเข้าไปข้างในห้องน้ำทันทีที่ได้ยิน เกือบจะทะเล่อทะล่าออกไปตรงทางเดินแล้ว ถ้าขึ้นมาเร็วกว่านี้อีกนิดอาจจะไม่ได้ยินความจริงก็ได้
ชัดเลยว่าไม่ได้อยู่ซ้อมต่อตามที่น้องชายหัวสีเทาบอก
เสียงหัวเราะหยอกล้อกันของคนทั้งสองดังก้องชัดเจนในหู ทุกประโยคและทุกน้ำเสียงขึ้นลง ในห้องซ้อมนอกจากเวลาเข้าบทแล้วเขาก็ไม่เห็นว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันเป็นพิเศษเพราะก็อยูกันคนละชั้นปี มินโฮมักจะไปขลุกกับแทมินและจงฮยอนที่เป็นนักแสดงผู้ชายชั้นเดียวกันมากกว่า
ไม่กี่วันก่อนเพื่อนในคลาสเรียนเพิ่งจะถามเขาว่าระหว่างมินโฮกับพี่ยูรินี่เรียลขนาดไหน เขาก็ยังซื่อบื้อตอบไปอยู่เลยว่าก็ดูปกติไม่มีอะไรในกอไผ่
แค่อยากรู้ว่าเหตุผลคืออะไร ทำไมมินโฮต้องปิดบัง เพราะไม่จำเป็นเลย พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันมินโฮไม่จำเป็นต้องแอบซ่อนหรือโกหกก็ได้ แค่บอกว่าจะไปกินข้าวต่อกับพี่ยูริตามความจริงก็ได้ เขาไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวของอีกฝ่ายอยู่แล้ว
เหมือนโดนแช่แข็ง ตัวชา ในสมองตอนนี้ลำดับความคิดให้สอดคล้องกันไม่ได้เลย
“ใกล้จะถึงวันแสดงจริงแล้ว ขอให้ทุกคนตั้งใจ ดูแลตัวเองดีๆ นะอย่าให้เจ็บไข้กันไปมากกว่านี้” พี่แทยอนผู้่ช่วยผู้กำกับเอ่ยแทนพี่ยุนโฮที่นั่งหน้าบูดคาดมาสก์ปิดปากไว้ ไข้หวัดแพร่ระบาดไปทั่วคณะละคร อย่างพี่คริสกับคริสตัลก็เริ่มจะมีเสียงขึ้นจมูกบ้างแล้ว ร้อนถึงแบ็คสเตจประจำตัวที่ต้องเฝ้าเตือนให้กินยาหรือพกกระดาษทิชชู่ติดตัวตลอดเวลา
อีกเพียงสองสัปดาห์เท่านั้นจนกว่าจะถึงการแสดงรอบแรกจากทั้งหมดสิบรอบ ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี อย่างการรันทรูเมื่อที่ผ่านมาก็ได้รับคำชมมากมายจากเหล่าอาจารย์และเพื่อนๆ ในคณะ เป็นกำลังใจสำคัญในการพัฒนาตัวเองของนักแสดง
พี่แทยอนแจ้งข่าวเกี่ยวกับการนัดบล็อคเวทีก่อนแต่ละฝ่ายจะแยกย้ายกันไปทำงาน
“คีย์ ไปช่วยคริสต่อบทหน่อย” พี่คยูฮยอนแจกงานให้น้องๆ แล้วก็เอนหลังลงไปนอนฟังเพลงข้างๆ พี่ซูยอง ตำแหน่งที่ว่างยิ่งกว่าแบ็คสเตจก็คือสเตจเมเนเจอร์นี่แหละ
“ครับ”
เขาลากเท้าไปหาเป้าหมายช้าๆ พี่คริสยืนอยู่ริมหน้าต่างที่เปิดกว้าง กำลังวอร์มเสียงอย่างเช่นทุกวัน หลังจากออกกำลังกายพอให้ร่างกายอบอุ่นแล้วนักแสดงก็จะไปประจำตัวแหน่งริมหน้าต่าง เปล่งเสียงให้ดังออกไปไกลที่สุด เป็นการฝึกโฟกัสและสมาธิด้วย
“พี่คริสกินยารึยัง” เอนตัวพิงขอบหน้าต่างข้างๆ พี่ชายตัวสูงเหลือบตามามองก่อนจะเปล่งเสียงตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำเป็นการฝึกไปพร้อมๆ กัน
“กินแล้วครับ!”
เขาหัวเราะเบาๆ กับท่าทางของพี่ชาย จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยๆ หรอก แต่ก็รู้สึกสนิทกันด้วยเหตุผลที่ว่าเห็นหน้ากันทุกวันมาเป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้ว
“คีย์น่ารักจัง!” เสียงเข้มของพี่ชายขี้เล่นดังกังวานไปทั่วห้องท่ามกลางเสียงของนักแสดงคนอื่นๆ ที่พูดบทของตัวเองบ้าง พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยบ้าง
ไม่ได้ประหลาดใจกับคำชมหวานๆ จากพี่คริสเพราะก็ได้ยินประโยคเนื้อความประมาณนี้อยู่ทุกวัน เปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าต้องการจะแกล้งให้ใครเขินอาย พี่คริสเก่งนักล่ะ
พี่ชายตัวสูงดันหัวคีย์ให้เดินไปด้วยกันแทนที่จะจับไหล่ หัวเราะกันเบาๆ พอถึงมุมห้องฝั่งหนึ่งที่เงียบพอจะทำให้มีสมาธิได้คีย์ก็เปิดหนังสือบทของตัวเองที่เละเทะด้วยลายดินสอวาดเป็นพื้นที่เวที ช่วยรุ่นพี่ต่อบทตามที่โดนมอบหมายงานมา พี่แทยอนที่เป็นผู้ช่วยพี่ยุนโฮและรับหน้าที่ดูแลแอคติ้งของพี่คริสเดินตามมาห่างๆ เพื่อมาช่วยเจาะบทและคอมเมนต์เพิ่มเติม
“ตรงฉากเจ็ด ที่คุยกับโมนิค”
“ทำไมต้องให้มาต่อบทเป็นผู้หญิงอยู่เรื่อยเลย” คีย์กระซิบเบาๆ ขณะพลิกหาหน้าที่พี่คริสบอก
“เอาน่าช่วยหน่อย” ร่างในเสื้อเชิ้ตสีสว่างพับแขนยิ้มแห้งๆ คนตัวเล็กยู่ปากแต่ก็ยอมทำตามง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร
“ถ้าเอาชานยอลมาช่วยนี่ก็กลัวจะสมจริงเกินไปไง” พี่แทยอนกอดอกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นักแสดงในความดูแลซึ่งทำเป็นหูทวนลมส่งยิ้มให้เพื่อนๆ นักแสดงคนอื่น พอพูดเรื่องตัวจริงขึ้นมาหน่อยก็เขินแบบนี้เรื่อย
“ก็เอาพวกผู้หญิงสิพี่” คีย์ก็ยังเถียงไม่หยุด
“เริ่มได้” แต่พี่เหมือนที่แทยอนออฟไลน์จากประเด็นนั้นไปแล้ว พี่คริสก็อีกคน เขาถอนใจก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คริส พี่ชายกลายเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบปีที่มีชีวิตอยู่ในสมัยเรเนอซองส์เสียแล้ว
“โมนิค” แขนสองข้างรวบร่างของแบ็คสเตจที่ตัวเล็กกว่ามากเข้าไปกอดไว้ตามบท คีย์เกือบเสียหลักแต่เพราะแขนยาวของคนที่กอดไว้รัดแน่นพอก็เลยไม่ได้ล้มลงไปอย่างที่คิดในวูบแรก
แก้มใสแนบไปกับเสื้อเนื้อดีสีขาวยืนนิ่งๆ ให้คนกำลังเข้าบทกอดไว้ก่อน พี่แทยอนเหลือบมามองคนตัวเล็กวินาทีเดียวก่อนจะเพ่งสมาธิไปยังอีกคนที่พร่ำโมโนล็อกของตัวเองไปเรื่อยๆ คนมาช่วยซ้อมบทก็แค่ยกมือโอบกลับไปหลวมๆ ช่วยส่งอารมณ์ให้ หูก็ฟังบทไปเรื่อยๆ เอ่ยแทรกสั้นๆ บ้างตามไลน์ของตัวละครที่สวมรอยเล่นแทนอยู่
ดวงตาไม่ได้โฟกัสที่จุดไหนเป็นพิเศษ สอดส่ายทั่วรอบห้องแล้วก็เลยดันไปเห็นเพื่อนที่ยังไม่ได้คุยกันตั้งแต่เมื่อคืนกำลังต่อบทอยู่กับนางเอกสาวที่ตอนนี้ใส่ผ้าปิดปากกันหวัดระบาด ถ้ามองไม่ผิดนั่นเป็นฉากสุดท้ายที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ผู้กำกับรุ่นพี่ทำหน้าเครียดขณะพูดคุยกับนักแสดงทั้งสอง
“ต้องจูบจริงนะ รู้อยู่แล้วใช่มั้ย”
“ครับ/จริงดิ เพิ่งรู้” มินโฮพยักหน้ารับง่ายๆ ส่วนพี่ยูริเบิกตากว้างแต่ก็ไม่ได้ดูตกใจมากมาย ส่วนคนแอบได้ยินก็แขนขาแข็งไปทันที
“ไว้ให้ยูริหายก่อนค่อยลองซักครั้งก็ได้ แล้วแต่พวกนายสะดวก แต่วันจริงขอเล่นจริงนะ”
สมาธิแตกกระจายทันที เสียงของพี่คริสที่พึมพำอยู่ข้างหูกลายเป็นความว่างเปล่า ตัวเอกทั้งสองของเรื่องพยักหน้าเนือยๆ
“ประมาณนี้นะ” มินโฮพูด ก่อนจะขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น และคีย์ก็ตัวเย็นวาบเมื่อมือของมินโฮสัมผัสแผ่วเบาที่เรียวหน้าของรุ่นพี่สาวก่อนจะก้มลงจนอยู่ในองศาที่น่ากลัวใจ
ร่างบอบบางฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกของรุ่นพี่ทันที แขนผอมรัดเอวแน่นขึ้นจนร่างสูงเซไปเล็กน้อย ที่กำลังพูดบทของตัวเองอยู่ก็เผลอสะดุดไปทันทีเมื่อรู้สึกว่าคนที่กำลังกอดตัวเองอยู่กำลังตัวสั่น
“คริสพอก่อน” พี่แทยอนสั่งเบรคให้คีย์ก็เลยยิ่งหลับตาแน่น
ตกใจมาก ถึงจะอ่านบทแล้วและรู้มานานแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดว่าอยู่ดีๆ จะได้เห็น ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ คนธรรมดาๆ อย่างเขาไม่เคยคิดจะได้ครอบครองซักสิ่งของมินโฮอยู่แล้วไม่ว่าจะกอดหรือจูบ แต่ถึงอย่างนั้นการมองเห็นสิ่งเหล่านั้นตกเป็นของคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ง่าย แม้ว่าทั้งหมดเป็นการแสดง แม้ว่าพี่ยูริจะใส่ผ้าปิดปากอยู่ก็เถอะ
“คีย์... ไม่เป็นไรนะ” มือใหญ่ของรุ่นพี่ลูบหัวเบาๆ ถึงไม่ได้สนิทกันมากมายแต่ขอยึดตัวรุ่นพี่ไว้ก่อน จะให้เขาลืมตาตอนนี้ ยังทำไม่ได้จริงๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น