ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [SF] Bass Bridge
สภาพดินฟ้าอากาศสำหรับเขามันมีความน่าสนใจพอๆ กับคำถามที่ว่าต้นไม้ของคนข้างบ้านถูกรดน้ำหรือยัง
แต่เขาจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศดี เขาจำได้ดีเพราะพี่ๆ ที่บริษัทต่างก็พูดว่าวันนั้นอากาศดี
เรียวขาเล็กก้าวช้าๆ ไปตามจังหวะกลองทำนองเพลงอิเล็กโทรนิคที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เอาจริงๆ แล้ววันนี้จะเป็นวันที่ดีมากถ้าเขาไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายโปรโมชั่นลดราคาหน้าร้านหนังสือที่เขาเพิ่งควักเงินจ่ายให้ไปเมื่อวันก่อน
ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ให้ตายเถอะ ถ้าเขารออีกหน่อยคงประหยัดไปได้ราวสองหมื่นวอนเลยทีเดียว คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจจริงๆ
กระป๋องน้ำอัดลมบนพื้นที่มักจะถูกเก็บทิ้งถังขยะข้างทางจึงกลายเป็นอุปกรณ์ระบายอารมณ์ไปอย่างน่าสงสาร
เขาเดินเตะมันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปากซอยจนถึงสะพานข้ามธารน้ำเล็กๆ หน้าบ้าน กระป๋องสีขาวลอยสูงขึ้นไป ตกกระทบพื้นส่งเสียงไม่ค่อยน่าฟังแล้วก็กลิ้งกลับลงมา
อย่างน้อยการเอาชนะความชันของสะพานตรงนี้ก็น่าจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้นิดนึงล่ะนะ
โคมไฟตามแนวสะพานถูกเปิดขึ้นตามเมื่อก้าวแรกของเขาเหยียบไต่ขึ้นไปบนความสูงนั้น และเพราะมันให้ฟีลคนพิเศษ เลยอารมณ์ดีขึ้นมาอีกหน่อย
แก้มอิ่มยกขึ้นเมื่อกระป๋องเจ้าปัญหาขึ้นมานอนแน่นิ่งอยู่บนส่วนที่เป็นพื้นเรียบของสะพานได้
ลงจากสะพานนี้แล้วแกจะได้ไปนอนสบายๆ ในถังขยะแน่นอนกระป๋องน้อยๆ ไม่ต้องห่วง
พลั่ก
เสียงนั้นเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน ซึ่งคีย์ก็ไม่ได้ยินมันหรอก ความแปลกใจที่เสียงก๊องแก๊งนั้นหายไปต่างหากที่ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สบตาแบบเต็มๆ ตากับคนตัวสูงที่สะพายเบสเดินสวนกันทุกวันทำงานในเวลาหกโมงครึ่ง
ไม่ทันที่จะได้เอ่ยขอโทษ ร่างโปร่งในเสื้อเชิ้ตลายทางสีอ่อนก็เดินจากไปแล้ว
ทิ้งไว้แต่รอยยิ้มที่คีย์คิดว่ามันดูดีที่สุดในโลกเลย
จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดแบบนั้นมาตลอด
จริงๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่ๆ บอกว่าอากาศดีมาก แต่เขาไม่เห็นด้วยสักนิด นี่มันร้อนบรรลัยเลย แก้มของเขาขึ้นสีแดง เหงื่อออกเยอะกว่าทุกวัน
นี่เขาเริ่มสนใจสภาพอากาศตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
‘ขอโทษนะครับที่เตะกระป๋องไปโดนขาคุณ’
จริงๆ เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาสามวันแล้ว สามวันที่เดินสวนกันบนสะพานแต่เขาก็หาโอกาสเอ่ยปากขอโทษไม่ได้ซักทีเมื่ออีกคนเอาแต่เดินท่องจำโน้ตให้หนังสือเพลงเล่มหนาตลอดเวลา
รู้สึกค้างใจนั่นแหละ แต่อีกหนึ่งคือความหงุดหงิดที่อย่างน้อยก็น่าจะสนใจคนที่พยายามขอโทษบ้าง
วันที่สี่ คำเอ่ยขอโทษจึงถูกแปรรูปเป็นลายมือสวยบนกระดาษสีเหลืองอ่อนแผ่นเล็ก
คีย์เดินตรงไปหาเขาคนนั้น หน้าเล็กๆ ของคนตัวสูงกว่าเงยขึ้นเมื่อในกรอบสายตายังเห็นอยู่ว่ามีคนเดินตรงเข้ามาแบบที่ว่าชนแน่ๆ ล่ะงานนี้
จบลงที่กระดาษแผ่นนั้นถูกเสียบลงไประหว่างสันหนังสือ แล้วคนตัวเล็กกว่าก็รีบสาวเท้าจากมา
เพราะระยะห่างนี่มันใกล้กันกว่าที่เขาเคยคิดไว้น่ะสิ
มินโฮคงแปลกใจที่คนขอโทษไม่ยิ้มเลย
ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาคิดว่าหัวใจเขาจะวายตายไปแล้วนี่
‘คุณต้องรับผิดชอบ’
กระดาษสีเขียวอ่อนกับตัวหนังสือที่ไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าไหร่ถูกวางแปะลงบนหนังสือเล่มบนสุดในวงแขนของคีย์
ร่างสูงก้มลงผูกเชือกรองเท้าของตนข้างหน้าเขา ลุกขึ้นกระชับกระเป๋าเบส ยิ้มให้แล้วก็รีบวิ่งลงสะพานไป
หมายความว่าไงล่ะเนี่ย?
หรือหัวเข่ามินโฮจะเป็นแผลแล้วต้องการให้เขาจ่ายค่าเสียหายให้กันล่ะ มันคงสมเหตุสมผลดีถ้าไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเมื่อกี้มันช่างเป็นยิ้มที่ดูใจดีเหลือเกิน
ใกล้จะทุ่มนึงแล้ว เข็มนาฬิกาที่ข้อมือบอกอย่างนั้น คีย์ภาวนาให้คนตัวสูงไปถึงที่ทำงานทันเวลา
มินโฮเป็นนักดนตรีที่ผับแถวกังนัม ซึ่งย่านนั้นไกลจากบ้านของเจ้าตัวที่อยู่ห่างจากบ้านของคีย์ไปสิบสองหลังอยู่พอสมควร
จริงๆ แล้วเขาน่ะรู้อีกอะไรเยอะแยะเลยเกี่ยวกับคนคนนั้น
เช่นมินโฮสูง 187 เซนติเมตร มินโฮเล่นกีต้าร์เบสมาตั้งแต่ม.ต้น และแฟนเก่าของมินโฮชื่อชองอึนฮี อายุห่างกับมินโฮสี่ปี ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยปีสามที่คอนกุก
ตลกดีที่ลืมไปแล้วว่าเขาไปเอาข้อมูลจับฉ่ายพวกนั้นมาจากไหน
มันก็เป็นอีกวันที่ร่างสูงในเสื้อยืดสีดำเดินถือหนังสือเพลงเล่มหนาขึ้นสะพานมา แล้วเขาก็สอดกระดาษสีเหลืองอ่อนไว้ระหว่างหน้านั้น
‘จะให้ผมรับผิดชอบยังไงดี?’
เขาเดาว่ามินโฮก็คงต้องการอาศัยกระดาษแผ่นเล็กๆ พวกนี้ในการสื่อสารระหว่างพวกเขาต่อไป ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามเขาไม่อยากรู้เท่าไหร่หรอก
ถ้าอยากจะพูดกันเจ้าตัวคงต้องละสายตาจากหนังสือเสียบ้าง
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่มินโฮเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ในจังหวะเดียวกับที่คีย์แทบจะวิ่งหนีลงจากสะพาน
ขยันทำเขาเมื่อยขาจริงๆ นะ
“:)”
นี่คือโน้ตที่เขาได้รับในวันต่อมา
เจ้าของบ้านหลังที่ห่างจากเขาไปสิบสองหลังยังคงดูดีถึงจะไปตัดผมที่ยาวจนมัดได้เสียสั้นเหมือนเด็มมัธยม
คีย์โกหกตัวเองไม่เป็น จึงยอมรับกับตัวเองในใจว่ามินโฮกับผมสั้นๆ น่ะเท่มากจริงๆ
ถึงห้องนอนปุ๊บก็กระโดดขึ้นเตียงนอนปั๊บ แสงจากดวงจันทร์ข้างนอกเพียงอย่างเดียวไม่สว่างพอจะทำให้มองเห็นอะไรๆ ในห้องได้ แต่ภาพสะพานที่มีกรอบรูปเป็นกรอบหน้าต่างยังชัดเจนตลอดเวลา
คีย์ไม่ได้เปิดไฟห้องนอนเพราะชอบความสลัวที่เป็นแบบนั้น มันเป็นวิธีคลายเครียดที่เขาทำเป็นประจำทุกวัน ตาสีน้ำตาลหลับลงปล่อยสมองให้คิดไปเรื่อยเปื่อย
คิดดูแล้วก็แปลก ทั้งๆ ที่วันนี้เขากลับบ้านช้าไปตั้งครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังเดินสวนกับอีกคนบนสะพานได้
หรือมินโฮจะรอเขา ตลกล่ะ อีกคนก็มีงานการต้องไปทำเหมือนกัน
จริงๆ ก็อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองบ้างแต่ก็อย่างที่บอกว่าโกหกไม่เป็น ยิ่งโกหกตัวเองนี่ยิ่งแย่ใหญ่
นอนเล่นได้สักพักก็ลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป กระเพาะเล็กๆ ของเขาเริ่มประท้วงแล้ว ขี้เกียจทำกับข้าวเสียด้วย คงต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอก
มือเรียวริดกระดุมเสื้อเชิ้ตบนร่างออกทีละเม็ดก่อนจะโยนลงตะกร้าผ้า
แผ่นกระดาษสีเขียวร่วงจากกระเป๋าเสื้อลงบนพื้นห้องกระเบื้องชื้นน้ำ
แล้วเขาก็เห็นว่าด้านหลังหน้ายิ้มนั้นมีตัวหนังสือเล็กๆ ขยุกขยิกอยู่ที่ริมด้านล่าง
ถ้าจะพูดให้เจาะจง มันเป็นตัวเลขหลายตัวในจำนวนที่ถ้าคนเกาหลีเห็นก็ต้องดูออกว่านี่มันเบอร์โทรศัพท์ชัดๆ
สองวันแล้วที่เขาได้เบอร์โทรของอีกคนมา แล้วก็สองวันแล้วที่มินโฮหายไปจากสะพานสีขาวที่พวกเขาต้องเดินข้ามมันทุกวัน นาฬิกาที่เสาใกล้ๆ ก็บอกเวลาชัดเจนดี เขาไม่ได้กลับบ้านช้าเสียหน่อย นี่ก็วันที่สามแล้วที่ไร้เงาเจ้าของกีต้าร์เบสตัวใหญ่นั่น
หรือมินโฮจะรีบออกไปก่อน หรือจะออกช้ากว่าปกตื หรือบางทีมินโฮอาจจะใช้ซอยด้านหลัง แต่นั่นมันก็อ้อมไกลเกินไป แล้วทั้งหมดทั้งมวลนั่นเพราะต้องการหลบหน้าเขาหรือเปล่า
ตามหลักแล้วเขาต้องเป็นฝ่ายหลบหน้าอีกคนไม่ใช่หรือไง
หรือคนคนนั้นอาจจะนอนไม่สบายอยู่ที่บ้าน
ไวเท่าความคิดขาเรียวก็เร่งจังหวะพาความสงสัยผ่านหน้าบ้านตัวเองเลยไปถึงสิบสองหลังแน่ะ
แสงไฟสีอ่อนจากชั้นบนยังเปิดอยู่ เจ้าของบ้านคงอยู่ในห้องนอน คีย์แอบรู้มาว่าตอนนี้พ่อแม่ของมินโฮอยู่ต่างจังหวัดจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนในห้องจะเป็นใครอื่นนอกจากคนตัวสูงที่ไม่ได้เห็นหน้ามาสามวันแล้ว
เขายืนมองบ้านหลังนั้นอยู่ไม่นานก่อนจะรีบพาตัวเองย้อนกลับไปที่บ้านของตน
เบอร์โทรศัพท์ข้างหลังโน้ตแผ่นนั้นเขาบันทึกไว้ในมือถือก่อนจะอาบน้ำตอนนั้นเสียอีก และตอนนี้คงได้เวลากดโทรออกแล้วล่ะมั้ง
ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากจะถามว่าจะให้เขารับผิดชอบหัวเข่าของอีกคนยังไง
แค่นั้นแหละ
จนแล้วจนรอด โทรไปกว่าสิบครั้งก็ไม่มีคนรับสาย เขาคิดว่าบางทีคนตัวสูงอาจจะป่วยจริงๆ แล้วหลับเป็นตายไปแล้ว หรือเขาจะบันทึกเบอร์ผิด หลังจากที่โน้ตแผ่นนั้นเปียกน้ำมันก็เลอะรอยปากกาเป็นดวงๆ จนอ่านตัวเลขเหล่านั้นไม่รู้เรื่อง เลยไม่รู้ว่ากดเลขผิดไปสักตัวสองตัวหรือเปล่า
อยากจะโทรไปอีกหลายๆ รอบแต่ก็กลัวจะกลายเป็นคนเซ้าซี้น่ารำคาญ
ถึงจะไม่เคยพูดกันสักประโยค แต่คนมันเป็นห่วงได้มั้ยเล่า
โทรศัพท์มือถือถูกวางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโทรทัศน์ คนตัวบางอยู่ในเสื้อยืดลายสปอนจ์บ๊อบที่เก่าและย้วยมากกับกางเกงขาสั้น ข่าวเศรษฐกิจในจอตรงหน้าไม่เคยทำให้เขาสนใจได้เลย แต่คีย์ก็เปิดมันทิ้งไว้ให้บ้านที่มีเขาคนเดียวไม่เงียบเหงาจนหดหู่
ครืด ครืด
หน้าจอเล็กสว่างขึ้น มีรูปซองจดหมายบินไปบินมา สงสัยพี่โบจองกลัวเขาจะลืมส่งอีเมล์ให้ลูกค้าล่ะมั้งถึงส่งข้อความมาเตือน ซึ่งสารภาพก็ได้ว่าเขาลืมไปแล้วจริงๆ
คว้ามือถือพลางเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ นิ้วสวยกดดูข้อความที่แสนจะมั่นใจว่ามาจากพี่สาวที่บริษัทแน่นอนแต่ก็พบว่าผิดคาดอย่างคาดไม่ถึง
‘from: minho (010 XXXX XXXX)ขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยม’
เหตุจากข้อความดังกล่าว ทำให้เขาลืมส่งอีเมล์ให้ลูกค้าและโดนพี่โบจองวิ่งไล่ตีทั่วแผนกในวันต่อมา
ล่วงเลยมาจนถึงอาทิตย์ ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องออกไปวิ่งเล่นในตัวเมือง แต่ไม่ใช่สำหรับมือเบสตัวสูงที่ทำงานแทบทุกวัน จริงๆ เขาก็แอบรู้มาอีกน่ะแหละว่าคนคนนั้นมักจะขอหยุดงานในทุกวันอังคารแต่เจ้าของร้านก็ใจร้ายไม่ค่อยจะให้วันว่างกับคนหล่อสักเท่าไหร่
แถมยังแอบรู้มาอีกว่าที่ผับนั้นน่ะ มินโฮป๊อปสุดๆ เลย
เขาออกจากบ้านในช่วงบ่ายอ่อนๆ เพื่อมาเยี่ยมคุณตาคุณยายที่บ้านพักคนชราใกล้ๆ มันเป็นกิจวัตรที่คีย์ทำทุกวันอาทิตย์ ข้อหนึ่งเพื่อที่จะได้ไม่เหงา ข้อสองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าเมืองหาเรื่องใช้เงิน
วันนี้เขาอบคุ้กกี้เนยไปฝากคุณตาคุณยายด้วย ซึ่งก็ได้รับคำชมมาอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่เขารู้จักตัวเองว่าทำอะไรได้ดีหรือไม่ดี
คุ้กกี้ที่อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วกับคำชมที่โอเวอร์เกินจริงอย่างที่คนสูงอายุชอบพูดกันเรียกกำลังใจของเขาได้อย่างเต็มเปี่ยม เขาขึ้นนั่งบนจักรยานแล้วปั่นออกจากตึกสีขาวช้าๆ อารมณ์ดีชะมัด
คุ้กกี้โหลเล็กๆ กระดอนขึ้นลงเล็กน้อยตามแรงกระแทกของจักรยาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพาหนะคู่ใจนี่จะต้องพาเขาเลยจากบ้านตัวเองไปอีกสิบสองหลังอย่างแน่นอน
เขาจอดจักรยานที่หน้าบ้านคนป่วย วางโหลคุ้กกี้ไว้ที่เสารั้วก่อนจะรีบปั่นจักรยานกลับบ้านของตัวเอง กลัวจะถูกเห็นเหมือนครั้งก่อน
เก็บจักรยานเรียบร้อยแล้วถึงกดส่งข้อความไปหาอีกคน
‘กินคุ้กกี้เนยแล้วหายไวๆ นะครับ’
นี่ขนาดแค่กดส่งข้อความเขายังเขินแทบบ้า ให้เจอหน้ากันตอนนี้ต้องหัวใจวายจริงๆ แน่ๆ
ดีใจจริงๆ ที่พอวันจันทร์คนสะพายกระเป๋าเบสก็กลับมาเดินสวนกันบนสะพานได้อีกครั้ง คุ้กกี้เนยของเขาวิเศษจริงๆ
โคมไฟตามแนวสะพานถูกเปิดขึ้นนับจากฝั่งตรงข้ามกับที่คีย์ยืนอยู่ เหมือนนำให้คนที่อยู่อีกฝั่งเดินขึ้นมาเจอกันตรงกลางสะพาน
มินโฮในเสื้อเชิ้ตพับแขนสีดำกับเดปยีนสีซีดหยุดยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดและมองดูเขาที่เดินกำลังช้าๆ ขึ้นไป คีย์พยายามทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ที่สุดในโลกแต่ก็รู้จักตัวเองดีว่าเขาแสดงละครไม่เก่งเลย
ในจังหวะที่คนตัวเล็กเดินผ่านมือเบสไป ระยะห่างมันใกล้เสียจนเขาได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ของอีกคน
และเสียงนุ่มทุ้มที่พูดว่า
“ขอบคุณครับ”
นั่นทำให้ขาของเขาก้าวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนลงจากสะพานมายืนอยู่ที่หน้าบ้าน เกือบลืมหายใจแน่ะ
พอหันกลับไปมองก็เห็นแผ่นหลังของอีกคนค่อยๆ ลับสายตาลงไปช้าๆ เหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
ถ้านี่เป็นความฝันล่ะก็อย่าปลุกเขาเลย
เขาเพิ่งเข้าใจและปลาบปลื้มกับสิ่งที่ได้คิดขึ้นเอาเองก็วันนั้น
เสียงของมินโฮ นุ่มทุ้ม เหมือนเสียงของเบสที่มินโฮเล่นเลย
บนสะพานสีขาวที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้สองข้างทางและลำธารใส หลังจากวันนั้นเขากับมินโฮก็เริ่มทักทายกันบ้างด้วยประโยคสั้นๆ เป็นต้นว่า “กลับมาแล้วเหรอครับ” หรือ “งานหนักมั้ยวันนี้”
ไม่ต้องเดาเลยว่าประโยคที่ยกตัวอย่างเป็นประโยคของมินโฮทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นอีกฝ่ายนั่นแหละที่มักจะทักเขาก่อนเสมอ กระดาษโน้ตที่เขาเคยส่งให้ไปก็ยังเหน็บอยู่ในหนังสือที่มินโฮถือออกมาจากบ้านทุกวัน
ส่วนโน้ตสีเขียวที่มินโฮให้มา อย่าขำนะถ้าเขาบอกว่าเขาวางไว้ใต้หมอนทั้งสองแผ่นเลย
จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องดีที่ร่างสูงจะละสายตาจากหนังสือเพลงนั่นบ้าง กลัวจริงๆ ว่าจะไปเดินชนเดินสะดุดอะไรให้ได้แผล
เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ นะ ไม่ได้มีความคิดอื่นแอบแฝงเลย
โอเค เขาโกหกไม่เก่ง
วันนี้เป็นวันอังคาร ที่มินโฮบอกเขาเมื่อวานว่าเจ้าของร้านใจดีให้เขาหยุดพักได้ ซึ่งคีย์ก็ยินดีด้วยจริงๆ ถึงจะแอบคิดว่าเขาจะไม่ได้เจอร่างสูงบนสะพานตอนกลับบ้านเหมือนวันก่อนๆ
เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนลงสะพานมาถึงหน้าบ้าน ก็เห็นร่างของเจ้าของบ้านเลขที่สิบสองกำลังยืนหอบอยู่ตรงหน้า กำลังจะยกมือขึ้นขยี้ตาเมื่อคิดว่าตาฝาด แต่ก็คิดได้ว่ามันคงน่าเกลียดทีเดียวหากว่าข้างหน้าคือความจริง
มินโฮยืดตัวเต็มความสูงพร้อมกับเผยยิ้มที่ดูดีมากๆ แล้วเสียงเบสนุ่มๆ ก็พูดออกมาเป็นประโยคว่า
“ไปกินข้าวกันนะครับ”
มันน่าเกลียดมั้ยนะที่เขาไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธอยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเดินขึ้นและลงสะพานจากฝั่งเดียวกัน ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆ
มินโฮพาเขาไปที่ร้านอาหารเล็กๆ ริมถนนใหญ่ เป็นร้านอาหารที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่คนย่านนี้อย่างเขาและคนข้างๆ รู้ดีว่ารสชาติอย่างนี้หากินที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ระหว่างทางคนชวนบอกเขาว่านี่คือการรับผิดชอบหัวเข่าของเจ้าตัวที่คีย์ทำให้ช้ำ
แต่ก็เป็นแค่รอยนิดหน่อย มินโฮว่าอย่างนั้นเมื่อเห็นสีหน้าแย่ๆ ของเขา
คนตรงข้ามสั่งพีบิมบับให้ตัวเองแล้วก็ชาจังมยอนสำหรับคีย์ บังเอิญอย่างน่าประหลาดใจที่มันเป็นเมนูประจำของเขาพอดิบพอดี
ระหว่างมื้อค่ำของพวกเขา คีย์จำไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรออกไปบ้าง ส่วนใหญ่มินโฮจะเล่าเรื่องของตัวเองสลับกับถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ของเขาบ้าง เขาคิดว่าถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่มินโฮเขาคงรำคาญจนลุกออกจากร้านไปแล้ว นี่เขากำลังคิดทำตัวหลายมาตรฐานรึเปล่า
จากที่เคยคิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นพวกขรึมๆ ติสท์ๆ ประเภทที่ว่าโลกส่วนตัวสู๊งสูงเหมือนเพื่อนๆ เขาที่เป็นดนตรีเหมือนกัน มินโฮกลับเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมามากๆ มากอย่างที่เขาคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“คีย์ไม่ค่อยพูดเลย พูดเยอะๆ หน่อยสิ” เสียงเบสกล่าวกลั้วหัวเราะก่อนจะคีบเห็ดในจานของตัวเองเข้าปาก
“คีย์นี่น่ารักจริงๆ”
ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าแก้มตัวเองแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“คีย์มีแฟนรึยัง”
ประโยคนี้เล่นซะเขาแทบตกเก้าอี้ ไม่ได้เวอร์นะ เกือบตกจริงๆ เลยล่ะ
นาฬิกาที่เสาบอกเวลาสองทุ่มห้าสิบสองนาที เป็นเวลาที่เขากับมินโฮกำลังเดินกลับบ้านอย่างอิ่มขั้นสุด แต่ถ้าเปรียบเทียบกันเขาว่าเขาคงจะอิ่มกว่าคนข้างๆ แน่นอน
ก็คนมันอิ่มใจนี่นะ
สะพานเล็กๆ ที่ทอดตัวอยู่ข้างหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ปกติเขามักจะนึกให้ซอยเล็กๆ ที่ยาวแสนยาวนี้หดสั้นลงเพื่อที่เขาจะได้รีบถึงบ้านอาบน้ำกินข้าวไวๆ แต่ในตอนนี้เขาอยากจะสวดมนต์ขอพรให้เส้นทางนี้ยาวไปอีกเป็นกิโลๆ
มินโฮกำลังฮัมเพลงอยู่ข้างๆ มันเป็นเพลงที่โรแมนติกมากๆ เพลงหนึ่งของนักร้องรุ่นคุณแม่ เขาอดไม่ได้ที่จะขยับปากร้องตาม แน่ล่ะเขาไม่ใช่คนเสียงดี เขารู้จักตัวเองดี เลยทำแค่ขยับปากตามไง
สะพานสีขาวประดับด้วยโคมไฟสีส้มอ่อน ท่ามกลางหมู่ไม้ เขาไม่เคยออกมาเดินเล่นในเวลาแบบนี้เลยไม่เคยรู้ว่าสะพานหน้าบ้านของเขานั้นสวยงามราวกับฉากในเทพนิยาย
พวกเขาเดินขึ้นไปบนสะพานพร้อมๆ กัน บรรยากาศเหมือนในหนังรักสักเรื่องที่เขาเคยดูกับเพื่อนๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มันเป็นตอนจบที่พระเอกจูบนางเอกและขอแต่งงาน
โรแมนติกมากๆ คิดแล้วก็เขินไปเอง
มินโฮเดินมาส่งเขาถึงหน้ารั้วบ้าน ทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ทำให้เขาที่ปลดล็อกกุญแจเสร็จแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
“คีย์”
“ครับ”
“มันอาจจะเร็วเกินไปแต่ว่า...”
“...”
“เราคบกันได้มั้ยครับ”
มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำขออนุญาต ซึ่งคีย์คิดว่ามันน่ารักมากๆ เลย
ข้อหนึ่ง คีย์โกหกไม่เก่ง ยิ่งเฉพาะการโกหกตัวเอง
ข้อสอง คีย์รู้จักตัวเองดี
ข้อสาม คีย์คิดว่าพวกเขารู้สึกเหมือนกัน
ข้อสี่ มินโฮมีเสียงที่ทุ้มนุ่มเหมือนเบส ซึ่งคีย์ชอบมากๆ
มีเหตุผลตั้งสี่ข้อ มันก็คงไม่น่าเกลียดเนอะที่คีย์ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธอยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว
แต่งไว้นานมากๆ แล้วเรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็สองสามปีได้แล้วแหละ ช่วงเริ่มแต่งใหม่ๆ เลย พอได้เอามาลงเด็กดีแล้วก็คิดถึงแปลกๆ ใครชอบก็ฝากคอมเมนต์และแชร์ต่อด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
แต่เขาจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่อากาศดี เขาจำได้ดีเพราะพี่ๆ ที่บริษัทต่างก็พูดว่าวันนั้นอากาศดี
เรียวขาเล็กก้าวช้าๆ ไปตามจังหวะกลองทำนองเพลงอิเล็กโทรนิคที่ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เอาจริงๆ แล้ววันนี้จะเป็นวันที่ดีมากถ้าเขาไม่บังเอิญเหลือบไปเห็นป้ายโปรโมชั่นลดราคาหน้าร้านหนังสือที่เขาเพิ่งควักเงินจ่ายให้ไปเมื่อวันก่อน
ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ให้ตายเถอะ ถ้าเขารออีกหน่อยคงประหยัดไปได้ราวสองหมื่นวอนเลยทีเดียว คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจจริงๆ
กระป๋องน้ำอัดลมบนพื้นที่มักจะถูกเก็บทิ้งถังขยะข้างทางจึงกลายเป็นอุปกรณ์ระบายอารมณ์ไปอย่างน่าสงสาร
เขาเดินเตะมันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปากซอยจนถึงสะพานข้ามธารน้ำเล็กๆ หน้าบ้าน กระป๋องสีขาวลอยสูงขึ้นไป ตกกระทบพื้นส่งเสียงไม่ค่อยน่าฟังแล้วก็กลิ้งกลับลงมา
อย่างน้อยการเอาชนะความชันของสะพานตรงนี้ก็น่าจะทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้นิดนึงล่ะนะ
โคมไฟตามแนวสะพานถูกเปิดขึ้นตามเมื่อก้าวแรกของเขาเหยียบไต่ขึ้นไปบนความสูงนั้น และเพราะมันให้ฟีลคนพิเศษ เลยอารมณ์ดีขึ้นมาอีกหน่อย
แก้มอิ่มยกขึ้นเมื่อกระป๋องเจ้าปัญหาขึ้นมานอนแน่นิ่งอยู่บนส่วนที่เป็นพื้นเรียบของสะพานได้
ลงจากสะพานนี้แล้วแกจะได้ไปนอนสบายๆ ในถังขยะแน่นอนกระป๋องน้อยๆ ไม่ต้องห่วง
พลั่ก
เสียงนั้นเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน ซึ่งคีย์ก็ไม่ได้ยินมันหรอก ความแปลกใจที่เสียงก๊องแก๊งนั้นหายไปต่างหากที่ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สบตาแบบเต็มๆ ตากับคนตัวสูงที่สะพายเบสเดินสวนกันทุกวันทำงานในเวลาหกโมงครึ่ง
ไม่ทันที่จะได้เอ่ยขอโทษ ร่างโปร่งในเสื้อเชิ้ตลายทางสีอ่อนก็เดินจากไปแล้ว
ทิ้งไว้แต่รอยยิ้มที่คีย์คิดว่ามันดูดีที่สุดในโลกเลย
จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดแบบนั้นมาตลอด
จริงๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พี่ๆ บอกว่าอากาศดีมาก แต่เขาไม่เห็นด้วยสักนิด นี่มันร้อนบรรลัยเลย แก้มของเขาขึ้นสีแดง เหงื่อออกเยอะกว่าทุกวัน
นี่เขาเริ่มสนใจสภาพอากาศตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
‘ขอโทษนะครับที่เตะกระป๋องไปโดนขาคุณ’
จริงๆ เหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาสามวันแล้ว สามวันที่เดินสวนกันบนสะพานแต่เขาก็หาโอกาสเอ่ยปากขอโทษไม่ได้ซักทีเมื่ออีกคนเอาแต่เดินท่องจำโน้ตให้หนังสือเพลงเล่มหนาตลอดเวลา
รู้สึกค้างใจนั่นแหละ แต่อีกหนึ่งคือความหงุดหงิดที่อย่างน้อยก็น่าจะสนใจคนที่พยายามขอโทษบ้าง
วันที่สี่ คำเอ่ยขอโทษจึงถูกแปรรูปเป็นลายมือสวยบนกระดาษสีเหลืองอ่อนแผ่นเล็ก
คีย์เดินตรงไปหาเขาคนนั้น หน้าเล็กๆ ของคนตัวสูงกว่าเงยขึ้นเมื่อในกรอบสายตายังเห็นอยู่ว่ามีคนเดินตรงเข้ามาแบบที่ว่าชนแน่ๆ ล่ะงานนี้
จบลงที่กระดาษแผ่นนั้นถูกเสียบลงไประหว่างสันหนังสือ แล้วคนตัวเล็กกว่าก็รีบสาวเท้าจากมา
เพราะระยะห่างนี่มันใกล้กันกว่าที่เขาเคยคิดไว้น่ะสิ
มินโฮคงแปลกใจที่คนขอโทษไม่ยิ้มเลย
ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นเขาคิดว่าหัวใจเขาจะวายตายไปแล้วนี่
‘คุณต้องรับผิดชอบ’
กระดาษสีเขียวอ่อนกับตัวหนังสือที่ไม่ค่อยน่าชื่นชมเท่าไหร่ถูกวางแปะลงบนหนังสือเล่มบนสุดในวงแขนของคีย์
ร่างสูงก้มลงผูกเชือกรองเท้าของตนข้างหน้าเขา ลุกขึ้นกระชับกระเป๋าเบส ยิ้มให้แล้วก็รีบวิ่งลงสะพานไป
หมายความว่าไงล่ะเนี่ย?
หรือหัวเข่ามินโฮจะเป็นแผลแล้วต้องการให้เขาจ่ายค่าเสียหายให้กันล่ะ มันคงสมเหตุสมผลดีถ้าไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเมื่อกี้มันช่างเป็นยิ้มที่ดูใจดีเหลือเกิน
ใกล้จะทุ่มนึงแล้ว เข็มนาฬิกาที่ข้อมือบอกอย่างนั้น คีย์ภาวนาให้คนตัวสูงไปถึงที่ทำงานทันเวลา
มินโฮเป็นนักดนตรีที่ผับแถวกังนัม ซึ่งย่านนั้นไกลจากบ้านของเจ้าตัวที่อยู่ห่างจากบ้านของคีย์ไปสิบสองหลังอยู่พอสมควร
จริงๆ แล้วเขาน่ะรู้อีกอะไรเยอะแยะเลยเกี่ยวกับคนคนนั้น
เช่นมินโฮสูง 187 เซนติเมตร มินโฮเล่นกีต้าร์เบสมาตั้งแต่ม.ต้น และแฟนเก่าของมินโฮชื่อชองอึนฮี อายุห่างกับมินโฮสี่ปี ตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยปีสามที่คอนกุก
ตลกดีที่ลืมไปแล้วว่าเขาไปเอาข้อมูลจับฉ่ายพวกนั้นมาจากไหน
มันก็เป็นอีกวันที่ร่างสูงในเสื้อยืดสีดำเดินถือหนังสือเพลงเล่มหนาขึ้นสะพานมา แล้วเขาก็สอดกระดาษสีเหลืองอ่อนไว้ระหว่างหน้านั้น
‘จะให้ผมรับผิดชอบยังไงดี?’
เขาเดาว่ามินโฮก็คงต้องการอาศัยกระดาษแผ่นเล็กๆ พวกนี้ในการสื่อสารระหว่างพวกเขาต่อไป ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ตามเขาไม่อยากรู้เท่าไหร่หรอก
ถ้าอยากจะพูดกันเจ้าตัวคงต้องละสายตาจากหนังสือเสียบ้าง
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่มินโฮเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ในจังหวะเดียวกับที่คีย์แทบจะวิ่งหนีลงจากสะพาน
ขยันทำเขาเมื่อยขาจริงๆ นะ
“:)”
นี่คือโน้ตที่เขาได้รับในวันต่อมา
เจ้าของบ้านหลังที่ห่างจากเขาไปสิบสองหลังยังคงดูดีถึงจะไปตัดผมที่ยาวจนมัดได้เสียสั้นเหมือนเด็มมัธยม
คีย์โกหกตัวเองไม่เป็น จึงยอมรับกับตัวเองในใจว่ามินโฮกับผมสั้นๆ น่ะเท่มากจริงๆ
ถึงห้องนอนปุ๊บก็กระโดดขึ้นเตียงนอนปั๊บ แสงจากดวงจันทร์ข้างนอกเพียงอย่างเดียวไม่สว่างพอจะทำให้มองเห็นอะไรๆ ในห้องได้ แต่ภาพสะพานที่มีกรอบรูปเป็นกรอบหน้าต่างยังชัดเจนตลอดเวลา
คีย์ไม่ได้เปิดไฟห้องนอนเพราะชอบความสลัวที่เป็นแบบนั้น มันเป็นวิธีคลายเครียดที่เขาทำเป็นประจำทุกวัน ตาสีน้ำตาลหลับลงปล่อยสมองให้คิดไปเรื่อยเปื่อย
คิดดูแล้วก็แปลก ทั้งๆ ที่วันนี้เขากลับบ้านช้าไปตั้งครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังเดินสวนกับอีกคนบนสะพานได้
หรือมินโฮจะรอเขา ตลกล่ะ อีกคนก็มีงานการต้องไปทำเหมือนกัน
จริงๆ ก็อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองบ้างแต่ก็อย่างที่บอกว่าโกหกไม่เป็น ยิ่งโกหกตัวเองนี่ยิ่งแย่ใหญ่
นอนเล่นได้สักพักก็ลุกขึ้นคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป กระเพาะเล็กๆ ของเขาเริ่มประท้วงแล้ว ขี้เกียจทำกับข้าวเสียด้วย คงต้องออกไปหาอะไรกินข้างนอก
มือเรียวริดกระดุมเสื้อเชิ้ตบนร่างออกทีละเม็ดก่อนจะโยนลงตะกร้าผ้า
แผ่นกระดาษสีเขียวร่วงจากกระเป๋าเสื้อลงบนพื้นห้องกระเบื้องชื้นน้ำ
แล้วเขาก็เห็นว่าด้านหลังหน้ายิ้มนั้นมีตัวหนังสือเล็กๆ ขยุกขยิกอยู่ที่ริมด้านล่าง
ถ้าจะพูดให้เจาะจง มันเป็นตัวเลขหลายตัวในจำนวนที่ถ้าคนเกาหลีเห็นก็ต้องดูออกว่านี่มันเบอร์โทรศัพท์ชัดๆ
สองวันแล้วที่เขาได้เบอร์โทรของอีกคนมา แล้วก็สองวันแล้วที่มินโฮหายไปจากสะพานสีขาวที่พวกเขาต้องเดินข้ามมันทุกวัน นาฬิกาที่เสาใกล้ๆ ก็บอกเวลาชัดเจนดี เขาไม่ได้กลับบ้านช้าเสียหน่อย นี่ก็วันที่สามแล้วที่ไร้เงาเจ้าของกีต้าร์เบสตัวใหญ่นั่น
หรือมินโฮจะรีบออกไปก่อน หรือจะออกช้ากว่าปกตื หรือบางทีมินโฮอาจจะใช้ซอยด้านหลัง แต่นั่นมันก็อ้อมไกลเกินไป แล้วทั้งหมดทั้งมวลนั่นเพราะต้องการหลบหน้าเขาหรือเปล่า
ตามหลักแล้วเขาต้องเป็นฝ่ายหลบหน้าอีกคนไม่ใช่หรือไง
หรือคนคนนั้นอาจจะนอนไม่สบายอยู่ที่บ้าน
ไวเท่าความคิดขาเรียวก็เร่งจังหวะพาความสงสัยผ่านหน้าบ้านตัวเองเลยไปถึงสิบสองหลังแน่ะ
แสงไฟสีอ่อนจากชั้นบนยังเปิดอยู่ เจ้าของบ้านคงอยู่ในห้องนอน คีย์แอบรู้มาว่าตอนนี้พ่อแม่ของมินโฮอยู่ต่างจังหวัดจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนในห้องจะเป็นใครอื่นนอกจากคนตัวสูงที่ไม่ได้เห็นหน้ามาสามวันแล้ว
เขายืนมองบ้านหลังนั้นอยู่ไม่นานก่อนจะรีบพาตัวเองย้อนกลับไปที่บ้านของตน
เบอร์โทรศัพท์ข้างหลังโน้ตแผ่นนั้นเขาบันทึกไว้ในมือถือก่อนจะอาบน้ำตอนนั้นเสียอีก และตอนนี้คงได้เวลากดโทรออกแล้วล่ะมั้ง
ไม่ใช่อะไรหรอก แค่อยากจะถามว่าจะให้เขารับผิดชอบหัวเข่าของอีกคนยังไง
แค่นั้นแหละ
จนแล้วจนรอด โทรไปกว่าสิบครั้งก็ไม่มีคนรับสาย เขาคิดว่าบางทีคนตัวสูงอาจจะป่วยจริงๆ แล้วหลับเป็นตายไปแล้ว หรือเขาจะบันทึกเบอร์ผิด หลังจากที่โน้ตแผ่นนั้นเปียกน้ำมันก็เลอะรอยปากกาเป็นดวงๆ จนอ่านตัวเลขเหล่านั้นไม่รู้เรื่อง เลยไม่รู้ว่ากดเลขผิดไปสักตัวสองตัวหรือเปล่า
อยากจะโทรไปอีกหลายๆ รอบแต่ก็กลัวจะกลายเป็นคนเซ้าซี้น่ารำคาญ
ถึงจะไม่เคยพูดกันสักประโยค แต่คนมันเป็นห่วงได้มั้ยเล่า
โทรศัพท์มือถือถูกวางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยหน้าโทรทัศน์ คนตัวบางอยู่ในเสื้อยืดลายสปอนจ์บ๊อบที่เก่าและย้วยมากกับกางเกงขาสั้น ข่าวเศรษฐกิจในจอตรงหน้าไม่เคยทำให้เขาสนใจได้เลย แต่คีย์ก็เปิดมันทิ้งไว้ให้บ้านที่มีเขาคนเดียวไม่เงียบเหงาจนหดหู่
ครืด ครืด
หน้าจอเล็กสว่างขึ้น มีรูปซองจดหมายบินไปบินมา สงสัยพี่โบจองกลัวเขาจะลืมส่งอีเมล์ให้ลูกค้าล่ะมั้งถึงส่งข้อความมาเตือน ซึ่งสารภาพก็ได้ว่าเขาลืมไปแล้วจริงๆ
คว้ามือถือพลางเดินขึ้นไปข้างบนเพื่อใช้คอมพิวเตอร์ นิ้วสวยกดดูข้อความที่แสนจะมั่นใจว่ามาจากพี่สาวที่บริษัทแน่นอนแต่ก็พบว่าผิดคาดอย่างคาดไม่ถึง
‘from: minho (010 XXXX XXXX)ขอบคุณนะครับที่มาเยี่ยม’
เหตุจากข้อความดังกล่าว ทำให้เขาลืมส่งอีเมล์ให้ลูกค้าและโดนพี่โบจองวิ่งไล่ตีทั่วแผนกในวันต่อมา
ล่วงเลยมาจนถึงอาทิตย์ ไม่มีความจำเป็นสำหรับเขาที่จะต้องออกไปวิ่งเล่นในตัวเมือง แต่ไม่ใช่สำหรับมือเบสตัวสูงที่ทำงานแทบทุกวัน จริงๆ เขาก็แอบรู้มาอีกน่ะแหละว่าคนคนนั้นมักจะขอหยุดงานในทุกวันอังคารแต่เจ้าของร้านก็ใจร้ายไม่ค่อยจะให้วันว่างกับคนหล่อสักเท่าไหร่
แถมยังแอบรู้มาอีกว่าที่ผับนั้นน่ะ มินโฮป๊อปสุดๆ เลย
เขาออกจากบ้านในช่วงบ่ายอ่อนๆ เพื่อมาเยี่ยมคุณตาคุณยายที่บ้านพักคนชราใกล้ๆ มันเป็นกิจวัตรที่คีย์ทำทุกวันอาทิตย์ ข้อหนึ่งเพื่อที่จะได้ไม่เหงา ข้อสองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเข้าเมืองหาเรื่องใช้เงิน
วันนี้เขาอบคุ้กกี้เนยไปฝากคุณตาคุณยายด้วย ซึ่งก็ได้รับคำชมมาอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ไม่ได้หลงตัวเองนะ แต่เขารู้จักตัวเองว่าทำอะไรได้ดีหรือไม่ดี
คุ้กกี้ที่อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วกับคำชมที่โอเวอร์เกินจริงอย่างที่คนสูงอายุชอบพูดกันเรียกกำลังใจของเขาได้อย่างเต็มเปี่ยม เขาขึ้นนั่งบนจักรยานแล้วปั่นออกจากตึกสีขาวช้าๆ อารมณ์ดีชะมัด
คุ้กกี้โหลเล็กๆ กระดอนขึ้นลงเล็กน้อยตามแรงกระแทกของจักรยาน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพาหนะคู่ใจนี่จะต้องพาเขาเลยจากบ้านตัวเองไปอีกสิบสองหลังอย่างแน่นอน
เขาจอดจักรยานที่หน้าบ้านคนป่วย วางโหลคุ้กกี้ไว้ที่เสารั้วก่อนจะรีบปั่นจักรยานกลับบ้านของตัวเอง กลัวจะถูกเห็นเหมือนครั้งก่อน
เก็บจักรยานเรียบร้อยแล้วถึงกดส่งข้อความไปหาอีกคน
‘กินคุ้กกี้เนยแล้วหายไวๆ นะครับ’
นี่ขนาดแค่กดส่งข้อความเขายังเขินแทบบ้า ให้เจอหน้ากันตอนนี้ต้องหัวใจวายจริงๆ แน่ๆ
ดีใจจริงๆ ที่พอวันจันทร์คนสะพายกระเป๋าเบสก็กลับมาเดินสวนกันบนสะพานได้อีกครั้ง คุ้กกี้เนยของเขาวิเศษจริงๆ
โคมไฟตามแนวสะพานถูกเปิดขึ้นนับจากฝั่งตรงข้ามกับที่คีย์ยืนอยู่ เหมือนนำให้คนที่อยู่อีกฝั่งเดินขึ้นมาเจอกันตรงกลางสะพาน
มินโฮในเสื้อเชิ้ตพับแขนสีดำกับเดปยีนสีซีดหยุดยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดและมองดูเขาที่เดินกำลังช้าๆ ขึ้นไป คีย์พยายามทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ที่สุดในโลกแต่ก็รู้จักตัวเองดีว่าเขาแสดงละครไม่เก่งเลย
ในจังหวะที่คนตัวเล็กเดินผ่านมือเบสไป ระยะห่างมันใกล้เสียจนเขาได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ของอีกคน
และเสียงนุ่มทุ้มที่พูดว่า
“ขอบคุณครับ”
นั่นทำให้ขาของเขาก้าวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนลงจากสะพานมายืนอยู่ที่หน้าบ้าน เกือบลืมหายใจแน่ะ
พอหันกลับไปมองก็เห็นแผ่นหลังของอีกคนค่อยๆ ลับสายตาลงไปช้าๆ เหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน
ถ้านี่เป็นความฝันล่ะก็อย่าปลุกเขาเลย
เขาเพิ่งเข้าใจและปลาบปลื้มกับสิ่งที่ได้คิดขึ้นเอาเองก็วันนั้น
เสียงของมินโฮ นุ่มทุ้ม เหมือนเสียงของเบสที่มินโฮเล่นเลย
บนสะพานสีขาวที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้สองข้างทางและลำธารใส หลังจากวันนั้นเขากับมินโฮก็เริ่มทักทายกันบ้างด้วยประโยคสั้นๆ เป็นต้นว่า “กลับมาแล้วเหรอครับ” หรือ “งานหนักมั้ยวันนี้”
ไม่ต้องเดาเลยว่าประโยคที่ยกตัวอย่างเป็นประโยคของมินโฮทั้งนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นอีกฝ่ายนั่นแหละที่มักจะทักเขาก่อนเสมอ กระดาษโน้ตที่เขาเคยส่งให้ไปก็ยังเหน็บอยู่ในหนังสือที่มินโฮถือออกมาจากบ้านทุกวัน
ส่วนโน้ตสีเขียวที่มินโฮให้มา อย่าขำนะถ้าเขาบอกว่าเขาวางไว้ใต้หมอนทั้งสองแผ่นเลย
จริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องดีที่ร่างสูงจะละสายตาจากหนังสือเพลงนั่นบ้าง กลัวจริงๆ ว่าจะไปเดินชนเดินสะดุดอะไรให้ได้แผล
เขาคิดอย่างนั้นจริงๆ นะ ไม่ได้มีความคิดอื่นแอบแฝงเลย
โอเค เขาโกหกไม่เก่ง
วันนี้เป็นวันอังคาร ที่มินโฮบอกเขาเมื่อวานว่าเจ้าของร้านใจดีให้เขาหยุดพักได้ ซึ่งคีย์ก็ยินดีด้วยจริงๆ ถึงจะแอบคิดว่าเขาจะไม่ได้เจอร่างสูงบนสะพานตอนกลับบ้านเหมือนวันก่อนๆ
เดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนลงสะพานมาถึงหน้าบ้าน ก็เห็นร่างของเจ้าของบ้านเลขที่สิบสองกำลังยืนหอบอยู่ตรงหน้า กำลังจะยกมือขึ้นขยี้ตาเมื่อคิดว่าตาฝาด แต่ก็คิดได้ว่ามันคงน่าเกลียดทีเดียวหากว่าข้างหน้าคือความจริง
มินโฮยืดตัวเต็มความสูงพร้อมกับเผยยิ้มที่ดูดีมากๆ แล้วเสียงเบสนุ่มๆ ก็พูดออกมาเป็นประโยคว่า
“ไปกินข้าวกันนะครับ”
มันน่าเกลียดมั้ยนะที่เขาไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธอยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเดินขึ้นและลงสะพานจากฝั่งเดียวกัน ความรู้สึกนี้มันดีจริงๆ
มินโฮพาเขาไปที่ร้านอาหารเล็กๆ ริมถนนใหญ่ เป็นร้านอาหารที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร แต่คนย่านนี้อย่างเขาและคนข้างๆ รู้ดีว่ารสชาติอย่างนี้หากินที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ระหว่างทางคนชวนบอกเขาว่านี่คือการรับผิดชอบหัวเข่าของเจ้าตัวที่คีย์ทำให้ช้ำ
แต่ก็เป็นแค่รอยนิดหน่อย มินโฮว่าอย่างนั้นเมื่อเห็นสีหน้าแย่ๆ ของเขา
คนตรงข้ามสั่งพีบิมบับให้ตัวเองแล้วก็ชาจังมยอนสำหรับคีย์ บังเอิญอย่างน่าประหลาดใจที่มันเป็นเมนูประจำของเขาพอดิบพอดี
ระหว่างมื้อค่ำของพวกเขา คีย์จำไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรออกไปบ้าง ส่วนใหญ่มินโฮจะเล่าเรื่องของตัวเองสลับกับถามเรื่องนู้นเรื่องนี้ของเขาบ้าง เขาคิดว่าถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่มินโฮเขาคงรำคาญจนลุกออกจากร้านไปแล้ว นี่เขากำลังคิดทำตัวหลายมาตรฐานรึเปล่า
จากที่เคยคิดว่าคนตรงหน้าจะเป็นพวกขรึมๆ ติสท์ๆ ประเภทที่ว่าโลกส่วนตัวสู๊งสูงเหมือนเพื่อนๆ เขาที่เป็นดนตรีเหมือนกัน มินโฮกลับเป็นคนที่เปิดเผยและตรงไปตรงมามากๆ มากอย่างที่เขาคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“คีย์ไม่ค่อยพูดเลย พูดเยอะๆ หน่อยสิ” เสียงเบสกล่าวกลั้วหัวเราะก่อนจะคีบเห็ดในจานของตัวเองเข้าปาก
“คีย์นี่น่ารักจริงๆ”
ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าแก้มตัวเองแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“คีย์มีแฟนรึยัง”
ประโยคนี้เล่นซะเขาแทบตกเก้าอี้ ไม่ได้เวอร์นะ เกือบตกจริงๆ เลยล่ะ
นาฬิกาที่เสาบอกเวลาสองทุ่มห้าสิบสองนาที เป็นเวลาที่เขากับมินโฮกำลังเดินกลับบ้านอย่างอิ่มขั้นสุด แต่ถ้าเปรียบเทียบกันเขาว่าเขาคงจะอิ่มกว่าคนข้างๆ แน่นอน
ก็คนมันอิ่มใจนี่นะ
สะพานเล็กๆ ที่ทอดตัวอยู่ข้างหน้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ปกติเขามักจะนึกให้ซอยเล็กๆ ที่ยาวแสนยาวนี้หดสั้นลงเพื่อที่เขาจะได้รีบถึงบ้านอาบน้ำกินข้าวไวๆ แต่ในตอนนี้เขาอยากจะสวดมนต์ขอพรให้เส้นทางนี้ยาวไปอีกเป็นกิโลๆ
มินโฮกำลังฮัมเพลงอยู่ข้างๆ มันเป็นเพลงที่โรแมนติกมากๆ เพลงหนึ่งของนักร้องรุ่นคุณแม่ เขาอดไม่ได้ที่จะขยับปากร้องตาม แน่ล่ะเขาไม่ใช่คนเสียงดี เขารู้จักตัวเองดี เลยทำแค่ขยับปากตามไง
สะพานสีขาวประดับด้วยโคมไฟสีส้มอ่อน ท่ามกลางหมู่ไม้ เขาไม่เคยออกมาเดินเล่นในเวลาแบบนี้เลยไม่เคยรู้ว่าสะพานหน้าบ้านของเขานั้นสวยงามราวกับฉากในเทพนิยาย
พวกเขาเดินขึ้นไปบนสะพานพร้อมๆ กัน บรรยากาศเหมือนในหนังรักสักเรื่องที่เขาเคยดูกับเพื่อนๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มันเป็นตอนจบที่พระเอกจูบนางเอกและขอแต่งงาน
โรแมนติกมากๆ คิดแล้วก็เขินไปเอง
มินโฮเดินมาส่งเขาถึงหน้ารั้วบ้าน ทำท่าอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ทำให้เขาที่ปลดล็อกกุญแจเสร็จแล้วต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
“คีย์”
“ครับ”
“มันอาจจะเร็วเกินไปแต่ว่า...”
“...”
“เราคบกันได้มั้ยครับ”
มันไม่ใช่คำขอร้อง แต่เป็นคำขออนุญาต ซึ่งคีย์คิดว่ามันน่ารักมากๆ เลย
ข้อหนึ่ง คีย์โกหกไม่เก่ง ยิ่งเฉพาะการโกหกตัวเอง
ข้อสอง คีย์รู้จักตัวเองดี
ข้อสาม คีย์คิดว่าพวกเขารู้สึกเหมือนกัน
ข้อสี่ มินโฮมีเสียงที่ทุ้มนุ่มเหมือนเบส ซึ่งคีย์ชอบมากๆ
มีเหตุผลตั้งสี่ข้อ มันก็คงไม่น่าเกลียดเนอะที่คีย์ไม่มีความคิดที่จะปฏิเสธอยู่ในหัวเลยสักนิดเดียว
แต่งไว้นานมากๆ แล้วเรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดก็สองสามปีได้แล้วแหละ ช่วงเริ่มแต่งใหม่ๆ เลย พอได้เอามาลงเด็กดีแล้วก็คิดถึงแปลกๆ ใครชอบก็ฝากคอมเมนต์และแชร์ต่อด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น