ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [OS] San Cesse - Reach (Key)
ตีสาม
เพดานข้างบนนั่นเป็นสีขมุกขมัวเพราะแสงสว่างจากเบื้องล่าง ปกติไม่มีใครมองเห็นเมฆหรอกเวลามืดๆ แต่วันนี้เขามองเห็น มันเหมือนควันไฟที่ไม่ได้ดูสวยงาม แต่เพราะมีดวงจันทร์สีเทากับดาวจำนวนหนึ่งอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างก็เลยดูลงตัว
ม้านั่งเหล็กสีขาวถลอกไปบ้าง บางส่วนก็สนิมจับเสียแล้ว ซึ่งเขาชอบและมองว่ามันดูแอนทีคดี เขาชอบจะออกมานั่งตากลมหลังเที่ยงคืนเสมอ แม่บอกว่านี่แหละเหตุผลที่ทำให้จามอย่างเรื้อรังแต่เขาไม่เคยสนใจสักที จนแม่เพลียจะเตือนแล้ว หลังๆ มานี่ก็แค่บอกว่าให้เอาเสื้อไหมพรมออกไปใส่ด้วย
บ้านของเขาอยู่บนหน้าผาเล็กๆ รั้วบ้านก็คือรั้วริมหน้าผา ตอนเด็กๆ เขาไม่ชอบเลยเพราะกลัวความสูง แต่ตอนนี้เขาหลงใหล อยากจะลองปีนออกไปยืนนอกรั้ว เขย่งปลายเท้าอย่างหมิ่นเหม่บนพื้นหินที่แคบกว่าเท้า แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นแม่จะต้องกรี๊ดแน่ๆ
ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเลย จนกระทั่งฉันได้ก้มมองมือของตัวเอง และคิดว่ามือของเรานั้นเคยสอดประสานกันได้อย่างพอดี
ปลายเท้าแกว่งไปมา เขาสังเกตเห็นหอยทากตัวใหญ่บนพื้นที่มีตะไคร่จับบางๆ มันจะใช้เวลานานขนาดไหนกันกว่าจะเดินไปถึงบันไดไกลๆ ตรงนั้น อาจจะเป็นตอนที่พระอาทิตย์ส่องกลางหัวแล้วก็เป็นได้
“ภายใต้ผ้าคลุมลายดาราแห่งจักรวาล เธอและฉันเป็นเพียงธุลี
โอ้ธุลีที่แสนไร้ค่า กี่ละอองจึงจะเติมเต็มได้หนึ่งจักรวาล
ไพศาลใหญ่ยิ่ง บริเวณที่เหล่าเศษผงเกลื่อนกลาดดาษดา
กระแสแห่งพระเจ้านำทาง เราที่ไร้ค่าจึงได้พบกันและกำเนิดค่าต่อกัน
การพบและจากของเศษผงเช่นเรา เป็นกำหนดแห่งพระเจ้าที่สูงส่งเหนือจักรวาล
หากร้องไห้ ขอน้ำตานั้นจงมาจากความปิติ สำหรับการพบกันแห่งเราในครั้งหน้า”
กลอนเปล่าสามบทนี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาไปสอยมาจากร้านหนังสือมือสอง เขาชอบจะอ่านมันซ้ำๆ จนสุดท้ายก็จัดการเขียนลงโพสอิทแปะไว้บนหัวเตียง เหมือนมันจะช่วยทำให้ฝันดีได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาฝันร้ายอีกเลย เขาเคยพยามยามจะแต่งกลอนเปล่าบ้าง แต่บางทีมันก็ยากกว่าการแต่งกลอนที่มีสัมผัสเสียอีก
เมื่อฉันคิดถึงเธอ ฉันก็ไม่เหงาจนเกินไป
เขาชอบฝัน ฝันถึงใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก ผู้ชายร่างสูงที่มีไหล่กว้างดูอบอุ่น ตัวเขาเป็นผู้ชายอายุสิบแปด และเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะชอบผู้ชาย แต่ก็แปลกที่ในความฝันนั้นเขามีความสุขเหลือเกินเมื่อได้เดินเคียงข้างกัน ความสุขแบบที่ครึ่งหนึ่งของกันและกันจะสามารถมอบให้กัน
เขารู้สึกถึงมือที่จับกันแม้ภาพในความฝันมือของพวกเขาไม่แม้แต่จะบังเอิญแกว่งมาชนกัน เขาเรียกมันว่าฝันดี แต่เมื่อฝันบ่อยๆ มันก็จะดีเกินไป และอะไรที่เกินไปมันไม่ดีหรอก
พักหลังมานี้เขาจึงออกมานั่งเล่นบ่อยขึ้น เลือกนอนให้น้อยลงเพื่อที่จะได้เหนื่อยแล้วหลับลึกไม่ฝันอะไรเลย จริงอยู่ที่เขาแยกแยะออกระหว่างความฝันกับชีวิตจริงแต่ก็กลัวว่าวันหนึ่งเขาอาจลืมวิธี บางทีคิดแล้วก็ตลกตัวเองที่ทำให้มันเป็นเรื่องซีเรียสจริงจังขนาดนี้ แต่ในเมื่อการนอนสามชั่วโมงก็เพียงพอแล้วเขาก็เลือกใช้เวลาชีวิตให้คุ้มดีกว่า
ส่วนโพสอิทก็ยังอยู่ที่เดิม
ฉันคิดถึงเธอทุกครั้งที่กระพริบตา และคืนนี้ฉันก็จะคิดถึงเธอ
ความโปร่งโล่งของสภาพแวดล้อมรอบๆ ทำให้สมองคิดอะไรๆ น้อยลง แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะไม่คิดถึง แม้จะไม่ได้ฝันแต่บางครั้งการนั่งอยู่ตรงนี้ก็เหมือนกับกำลังฝันอยู่
เขาเอนหลังด้วยความเมื่อยล้า พักคอกับขอบม้านั่งแหงนหน้ามองอะไรสักอย่าง อาจเป็นโมเลกุลของอากาศถ้ามันอยู่ตรงนั้น หรืออาจเป็นความสันโดษ ความว่างเปล่า ความชินชา
เสียงเปียโนลอยมาจากบ้านหลังใกล้ๆ กัน มุมปากยกยิ้มบางๆ พี่สาวคนสนิทแอบซ้อมดนตรีอีกแล้ว ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่เล่นดนตรีเก่ง ฟังอะไรก็เพราะไปหมด แต่เธอกลับบอกว่ามันห่วยยิ่งกว่าละเมอเล่น เขาขำแล้วขำอีกเมื่อฟังคำเปรียบเทียบนั้นแต่อีกคนก็ยังขมวดคิ้ว
จริงๆ แล้วนี่คืออีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาชอบออกมานั่งตรงนี้ เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นทีหลังและช่วยทำให้การไม่หลับไม่นอนดูมีน้ำหนักมากขึ้น เธอกำลังจะบินไปแข่งเปียโนที่สิงคโปร์วันเสาร์หน้าซึ่งเธอตั้งใจกับมันมากๆ นอกจากจะซ้อมหนักแล้วยังชวนเขาไปทัวร์ไหว้พระขอพรอีกด้วย เขามองว่ามันงมงายแต่ก็ยอมไปเป็นเพื่อน ก็เขาชอบเธอนี่
ปิดเปลือกตาลง ปลายนิ้วกระดิกไปตามทำนองของเปียโนที่หนักหน่วงแล้วพลันโหยหา เขาปล่อยให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงอันละมุนละไม มองเห็นปลายนิ้วสวยกำลังพรำลงบนคีย์เปียโนสีขาว
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเพลงแรกจะจบลง ซึ่งเพลงที่สองก็เริ่มบรรเลงต่อกันในทันที เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย มือเรียวหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปถึงเธอ
‘เพราะจัง พี่เก่งอยู่แล้วน่า อย่าหักโหมเกินไปนะ’
เสียงเปียโนพลันหยุดลงและเขาคิดว่าเธอคงได้รับกำลังใจที่ส่งไปแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรจะนอนเสียที วันนี้เขาเถลไถลนานกว่าทุกวันเพราะพี่สาวลงมาซ้อมช้ากว่าปกติเกือบชั่วโมง
สองขาที่แสนขี้เกียจพาร่างให้ยืนตรง มือถือสั่นครืดคราดในกระเป๋ากางเกงเขาจึงดึงมันออกมาดู ยิ้มกว้างตั้งแต่ก่อนจะเห็นข้อความเสียอีก
‘ขอบคุณนะคีย์ ไปนอนได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย... ตอนบ่ายไปดูหนังกัน’
หย่อนมือถือกลับลงในที่ของมันแล้วขยับเท้าเตรียมจะหันหลังเข้าบ้าน แต่เสียงดนตรีที่ลอยมาตามลมทำให้เขาเหมือนถูกสะกดให้ตัวแข็งทื่อ ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเปียโน
ออกจะน่าแปลกใจอยู่เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครมาเล่นกีตาร์โปร่งตอนตีห้าแบบนี้ ท่วงทำนองแสนอ่อนหวาน ร่าเริงและกำลังบอกอะไรบางอย่าง เขาว่ามันเป็นเหมือนเป็นคำอวยพร
เขาตามเสียงไปจนถึงรั้วเหล็กสีเขียวเข้มริมหน้าผา วางมือลงบนขอบรั้วที่สูงระดับเอวแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า ทิศทางของตัวโน้ตน่าจะลอยมาจากบ้านที่อยู่ชั้นผาข้างล่าง ลมเย็นๆ พัดมาและดอกซากุระบนต้นที่แผ่กิ่งก้านใหญ่ริมรั้วก็ร่วงลงบนหัวของเขา เหมือนมีมือหนึ่งลูบลงบนผมด้วยความห่วงหา
เมื่อดวงตาพลันสว่างขึ้น ปีกที่หนักก็กลับเบา ฉันได้สัมผัสท้องฟ้าและรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์สีส้มดวงโต เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแสงแรกของวัน
แสงจากดวงอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าเป็นแสงที่สวยงามเกินจะรู้สึกถึงมันได้ทั้งหมด เขาเบิกตากว้างกับแสงสีส้ม ชมพูและม่วงที่ไหลรวมกันเหมือนใครเผลอปาดพู่กันพลาด ฝูงนกที่บินผ่านไปเห็นเป็นเงาดำ เมฆเหมือนจะโดนทำให้ละลายด้วยความอบอุ่นนั้น ลมเย็นยังพัดมาไม่หยุด ปลายผมของเขาพลิ้วสะบัดเบาๆ
ฉันจะลืมโลกใบเก่าไป แต่ฉันสาบานว่าฉันจะไม่ลืมเธอ
หากเสียงของฉันจะย้อนไปในวันวานได้ ฉันจะกระซิบข้างๆ หูของเธอ
ฉันอยากให้เธอมาอยู่ตรงนี้ข้างๆ กัน
เขายิ้มโดยไม่รู้ว่ายิ้มทำไม เขาอาจจะกำลังยิ้มแทนใครบางคน เมื่อสองรอยยิ้มเหมือนจะเป็นรอยยิ้มเดียวกัน น้ำตาหยดหนึ่งพลันแห้งเมื่อลมสัมผัส
จริงๆ ซองแซสส่วนแรกเขียนไว้ก่อนส่วนนี้นานมาก แล้ววันนึงเปิดกลับไปอ่านก็นึกเคลิ้มอยากเขียนต่อ คือเว้นระยะห่างกันเกือบปีได้ล่ะมั้งสำหรับสองส่วนนี้ โอเค อย่างน้อยพอได้อ่านวันชอตของคีย์เรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้เศร้ามากเกินไปใช่มั้ย
เพดานข้างบนนั่นเป็นสีขมุกขมัวเพราะแสงสว่างจากเบื้องล่าง ปกติไม่มีใครมองเห็นเมฆหรอกเวลามืดๆ แต่วันนี้เขามองเห็น มันเหมือนควันไฟที่ไม่ได้ดูสวยงาม แต่เพราะมีดวงจันทร์สีเทากับดาวจำนวนหนึ่งอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างก็เลยดูลงตัว
ม้านั่งเหล็กสีขาวถลอกไปบ้าง บางส่วนก็สนิมจับเสียแล้ว ซึ่งเขาชอบและมองว่ามันดูแอนทีคดี เขาชอบจะออกมานั่งตากลมหลังเที่ยงคืนเสมอ แม่บอกว่านี่แหละเหตุผลที่ทำให้จามอย่างเรื้อรังแต่เขาไม่เคยสนใจสักที จนแม่เพลียจะเตือนแล้ว หลังๆ มานี่ก็แค่บอกว่าให้เอาเสื้อไหมพรมออกไปใส่ด้วย
บ้านของเขาอยู่บนหน้าผาเล็กๆ รั้วบ้านก็คือรั้วริมหน้าผา ตอนเด็กๆ เขาไม่ชอบเลยเพราะกลัวความสูง แต่ตอนนี้เขาหลงใหล อยากจะลองปีนออกไปยืนนอกรั้ว เขย่งปลายเท้าอย่างหมิ่นเหม่บนพื้นหินที่แคบกว่าเท้า แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นแม่จะต้องกรี๊ดแน่ๆ
ความเงียบไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเลย จนกระทั่งฉันได้ก้มมองมือของตัวเอง และคิดว่ามือของเรานั้นเคยสอดประสานกันได้อย่างพอดี
ปลายเท้าแกว่งไปมา เขาสังเกตเห็นหอยทากตัวใหญ่บนพื้นที่มีตะไคร่จับบางๆ มันจะใช้เวลานานขนาดไหนกันกว่าจะเดินไปถึงบันไดไกลๆ ตรงนั้น อาจจะเป็นตอนที่พระอาทิตย์ส่องกลางหัวแล้วก็เป็นได้
“ภายใต้ผ้าคลุมลายดาราแห่งจักรวาล เธอและฉันเป็นเพียงธุลี
โอ้ธุลีที่แสนไร้ค่า กี่ละอองจึงจะเติมเต็มได้หนึ่งจักรวาล
ไพศาลใหญ่ยิ่ง บริเวณที่เหล่าเศษผงเกลื่อนกลาดดาษดา
กระแสแห่งพระเจ้านำทาง เราที่ไร้ค่าจึงได้พบกันและกำเนิดค่าต่อกัน
การพบและจากของเศษผงเช่นเรา เป็นกำหนดแห่งพระเจ้าที่สูงส่งเหนือจักรวาล
หากร้องไห้ ขอน้ำตานั้นจงมาจากความปิติ สำหรับการพบกันแห่งเราในครั้งหน้า”
กลอนเปล่าสามบทนี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาไปสอยมาจากร้านหนังสือมือสอง เขาชอบจะอ่านมันซ้ำๆ จนสุดท้ายก็จัดการเขียนลงโพสอิทแปะไว้บนหัวเตียง เหมือนมันจะช่วยทำให้ฝันดีได้ หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาฝันร้ายอีกเลย เขาเคยพยามยามจะแต่งกลอนเปล่าบ้าง แต่บางทีมันก็ยากกว่าการแต่งกลอนที่มีสัมผัสเสียอีก
เมื่อฉันคิดถึงเธอ ฉันก็ไม่เหงาจนเกินไป
เขาชอบฝัน ฝันถึงใครบางคนที่เขาไม่รู้จัก ผู้ชายร่างสูงที่มีไหล่กว้างดูอบอุ่น ตัวเขาเป็นผู้ชายอายุสิบแปด และเขาไม่เคยคิดว่าเขาจะชอบผู้ชาย แต่ก็แปลกที่ในความฝันนั้นเขามีความสุขเหลือเกินเมื่อได้เดินเคียงข้างกัน ความสุขแบบที่ครึ่งหนึ่งของกันและกันจะสามารถมอบให้กัน
เขารู้สึกถึงมือที่จับกันแม้ภาพในความฝันมือของพวกเขาไม่แม้แต่จะบังเอิญแกว่งมาชนกัน เขาเรียกมันว่าฝันดี แต่เมื่อฝันบ่อยๆ มันก็จะดีเกินไป และอะไรที่เกินไปมันไม่ดีหรอก
พักหลังมานี้เขาจึงออกมานั่งเล่นบ่อยขึ้น เลือกนอนให้น้อยลงเพื่อที่จะได้เหนื่อยแล้วหลับลึกไม่ฝันอะไรเลย จริงอยู่ที่เขาแยกแยะออกระหว่างความฝันกับชีวิตจริงแต่ก็กลัวว่าวันหนึ่งเขาอาจลืมวิธี บางทีคิดแล้วก็ตลกตัวเองที่ทำให้มันเป็นเรื่องซีเรียสจริงจังขนาดนี้ แต่ในเมื่อการนอนสามชั่วโมงก็เพียงพอแล้วเขาก็เลือกใช้เวลาชีวิตให้คุ้มดีกว่า
ส่วนโพสอิทก็ยังอยู่ที่เดิม
ฉันคิดถึงเธอทุกครั้งที่กระพริบตา และคืนนี้ฉันก็จะคิดถึงเธอ
ความโปร่งโล่งของสภาพแวดล้อมรอบๆ ทำให้สมองคิดอะไรๆ น้อยลง แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะไม่คิดถึง แม้จะไม่ได้ฝันแต่บางครั้งการนั่งอยู่ตรงนี้ก็เหมือนกับกำลังฝันอยู่
เขาเอนหลังด้วยความเมื่อยล้า พักคอกับขอบม้านั่งแหงนหน้ามองอะไรสักอย่าง อาจเป็นโมเลกุลของอากาศถ้ามันอยู่ตรงนั้น หรืออาจเป็นความสันโดษ ความว่างเปล่า ความชินชา
เสียงเปียโนลอยมาจากบ้านหลังใกล้ๆ กัน มุมปากยกยิ้มบางๆ พี่สาวคนสนิทแอบซ้อมดนตรีอีกแล้ว ตัวเขาเองไม่ใช่คนที่เล่นดนตรีเก่ง ฟังอะไรก็เพราะไปหมด แต่เธอกลับบอกว่ามันห่วยยิ่งกว่าละเมอเล่น เขาขำแล้วขำอีกเมื่อฟังคำเปรียบเทียบนั้นแต่อีกคนก็ยังขมวดคิ้ว
จริงๆ แล้วนี่คืออีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาชอบออกมานั่งตรงนี้ เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นทีหลังและช่วยทำให้การไม่หลับไม่นอนดูมีน้ำหนักมากขึ้น เธอกำลังจะบินไปแข่งเปียโนที่สิงคโปร์วันเสาร์หน้าซึ่งเธอตั้งใจกับมันมากๆ นอกจากจะซ้อมหนักแล้วยังชวนเขาไปทัวร์ไหว้พระขอพรอีกด้วย เขามองว่ามันงมงายแต่ก็ยอมไปเป็นเพื่อน ก็เขาชอบเธอนี่
ปิดเปลือกตาลง ปลายนิ้วกระดิกไปตามทำนองของเปียโนที่หนักหน่วงแล้วพลันโหยหา เขาปล่อยให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงอันละมุนละไม มองเห็นปลายนิ้วสวยกำลังพรำลงบนคีย์เปียโนสีขาว
ผ่านไปเนิ่นนานกว่าเพลงแรกจะจบลง ซึ่งเพลงที่สองก็เริ่มบรรเลงต่อกันในทันที เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเล็กน้อย มือเรียวหยิบมือถือที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปถึงเธอ
‘เพราะจัง พี่เก่งอยู่แล้วน่า อย่าหักโหมเกินไปนะ’
เสียงเปียโนพลันหยุดลงและเขาคิดว่าเธอคงได้รับกำลังใจที่ส่งไปแล้ว ถึงเวลาที่เขาควรจะนอนเสียที วันนี้เขาเถลไถลนานกว่าทุกวันเพราะพี่สาวลงมาซ้อมช้ากว่าปกติเกือบชั่วโมง
สองขาที่แสนขี้เกียจพาร่างให้ยืนตรง มือถือสั่นครืดคราดในกระเป๋ากางเกงเขาจึงดึงมันออกมาดู ยิ้มกว้างตั้งแต่ก่อนจะเห็นข้อความเสียอีก
‘ขอบคุณนะคีย์ ไปนอนได้แล้วเดี๋ยวไม่สบาย... ตอนบ่ายไปดูหนังกัน’
หย่อนมือถือกลับลงในที่ของมันแล้วขยับเท้าเตรียมจะหันหลังเข้าบ้าน แต่เสียงดนตรีที่ลอยมาตามลมทำให้เขาเหมือนถูกสะกดให้ตัวแข็งทื่อ ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงเปียโน
ออกจะน่าแปลกใจอยู่เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครมาเล่นกีตาร์โปร่งตอนตีห้าแบบนี้ ท่วงทำนองแสนอ่อนหวาน ร่าเริงและกำลังบอกอะไรบางอย่าง เขาว่ามันเป็นเหมือนเป็นคำอวยพร
เขาตามเสียงไปจนถึงรั้วเหล็กสีเขียวเข้มริมหน้าผา วางมือลงบนขอบรั้วที่สูงระดับเอวแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า ทิศทางของตัวโน้ตน่าจะลอยมาจากบ้านที่อยู่ชั้นผาข้างล่าง ลมเย็นๆ พัดมาและดอกซากุระบนต้นที่แผ่กิ่งก้านใหญ่ริมรั้วก็ร่วงลงบนหัวของเขา เหมือนมีมือหนึ่งลูบลงบนผมด้วยความห่วงหา
เมื่อดวงตาพลันสว่างขึ้น ปีกที่หนักก็กลับเบา ฉันได้สัมผัสท้องฟ้าและรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์สีส้มดวงโต เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นแสงแรกของวัน
แสงจากดวงอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้าเป็นแสงที่สวยงามเกินจะรู้สึกถึงมันได้ทั้งหมด เขาเบิกตากว้างกับแสงสีส้ม ชมพูและม่วงที่ไหลรวมกันเหมือนใครเผลอปาดพู่กันพลาด ฝูงนกที่บินผ่านไปเห็นเป็นเงาดำ เมฆเหมือนจะโดนทำให้ละลายด้วยความอบอุ่นนั้น ลมเย็นยังพัดมาไม่หยุด ปลายผมของเขาพลิ้วสะบัดเบาๆ
ฉันจะลืมโลกใบเก่าไป แต่ฉันสาบานว่าฉันจะไม่ลืมเธอ
หากเสียงของฉันจะย้อนไปในวันวานได้ ฉันจะกระซิบข้างๆ หูของเธอ
ฉันอยากให้เธอมาอยู่ตรงนี้ข้างๆ กัน
เขายิ้มโดยไม่รู้ว่ายิ้มทำไม เขาอาจจะกำลังยิ้มแทนใครบางคน เมื่อสองรอยยิ้มเหมือนจะเป็นรอยยิ้มเดียวกัน น้ำตาหยดหนึ่งพลันแห้งเมื่อลมสัมผัส
จริงๆ ซองแซสส่วนแรกเขียนไว้ก่อนส่วนนี้นานมาก แล้ววันนึงเปิดกลับไปอ่านก็นึกเคลิ้มอยากเขียนต่อ คือเว้นระยะห่างกันเกือบปีได้ล่ะมั้งสำหรับสองส่วนนี้ โอเค อย่างน้อยพอได้อ่านวันชอตของคีย์เรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้เศร้ามากเกินไปใช่มั้ย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น