ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SHINee - minkey short fiction warehouse

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF] San Cesse

    • อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 56







     
     
     
     
     
    ก่อนอื่นผมอยากบอกทุกคนไว้ว่าอย่าคาดหวังว่าจะได้รับความสุขจากเรื่องราวความรักของผม


    เรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าให้คุณฟังไม่ได้มีความโลดโผนตื่นเต้นใดๆ


    เจ็บปวดครับ ความรักของผมเป็นความทรงจำที่ช่างแสนเจ็บปวดและทุกข์ระทม


    อย่างไรก็ตามความรักที่หมายความตามคำว่าความรักจริงๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีค่าควรซาบซึ้ง ผมไม่อยากให้คุณร้องไห้สงสารผมเพราะผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่น่าสงสาร


    วันเวลาช่วยเยียวยาความรู้สึกครับ


    เขาจากไป เกือบยี่สิบปีได้แล้ว








































    "ให้ช่วยมั้ยคะคุณลุง”


    นั่นคริสตัลครับ เด็กสาวข้างบ้านที่ชอบจะแวะมาเยี่ยมเยียนผมเสมอๆ แลกเปลี่ยนสิ่งสวยงามเช่นสูตรอาหารและประสบการณ์ความรักซึ่งกันและกัน เธอมักช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนความรู้เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมมอบให้


    เป็นเด็กที่จิตใจงามจริงๆ


    “มาสิ ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ มาคนต่อให้ลุงหน่อย”


    ว่าแล้วส่งไม้พายให้เด็กสาวที่รับไปคนต่ออย่างชำนาญมือ ผมหันไปหยิบแม่พิมพ์ที่ล้างสะอาดแล้วมาเช็ดให้แห้งวางให้เธอ


    “เอ้า เทได้แล้วล่ะ”


    ของหวานสีขาวถูกบรรจงเทลงไปในพิมพ์อย่างช้าๆ จากช่องหนึ่งแล้วพักไปเทอีกช่องหนึ่ง เด็กสาวยิ้มบางๆ ใช้ไม้พายกวาดของเหลวสีขาวในหม้อสแตนเลสลงจนครบทุกช่อง















    “แต่งตัวซะสวยเชียวทำไมยังไม่ออกไปเที่ยวอีกล่ะ”


    ผมเอ่ยถามเมื่อเราออกมานั่งรอช็อกโกแลตเซตตัวที่นอกชาน ผมยกชาอุ่นๆ ขึ้นจิบ รู้สึกถึงกลิ่นมะลิที่อวลกรุ่นอยู่บนผิวน้ำสีเหลือง


    คริสตัลไม่ยอมแตะชาแก้วโปรดสักจิบ หลังจากถูกถามเธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วก็พึมพำเบาๆ


    “เขาไม่โทรมาหาหนูหลายวันแล้วค่ะ โทรไปก็ตัดสายทิ้ง”


    เธอกำลังหมายถึงเจ้าหนุ่มที่เธอเผลอไปฝากรักไว้เมื่อวันเดียวกันในเดือนก่อน เพื่อนร่วมชั้นที่เป็นผู้ถูกกล่าวถึงเสมอในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรักของเรา


    “เขาอาจจะยุ่งอยู่ก็ได้นะ ลองโทรไปอีกสิ”


    “หนูว่าบางทีหนูอาจจะไม่สมหวังแล้วล่ะค่ะคุณลุง”


    เธอเงยหน้าขึ้นมา ปากเรียวที่ทาลิปสติกสีสวยยิ้มอย่างอ่อนแรง แววตาที่มักจะสดใสก็ไม่เป็นอย่างเดิม


    “ไม่หรอกน่า หลานลุงออกจะน่ารัก”


    เธอหัวเราะเบาๆ เรียวหน้าอ่อนเยาว์หันมองออกไปที่ทะเลสาบหลังบ้านที่แสงอาทิตย์สะท้อนสว่างจนแสบตา


    ผมว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะต้องโง่มากหากเขาปฏิเสธความรักของเธอได้ลงเมื่อเธองดงามทั้งกายและใจเช่นนี้ แต่จากเรื่องราวที่เคยได้ฟัง เขาไม่ใช่คนโง่หรอกครับ


    “นั่งเล่นไปก่อนนะ เดี๋ยวลุงไปเอาช็อกโกแล็ตมาให้ชิม” 















    “คุณลุงคะ!”


    ไม่ทันจะเอาช็อกโกแลตออกจากพิมพ์หมดสาวน้อยก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในห้องครัว มือขาวกำโทรศัพท์มือถือที่ส่งเสียงร้องไม่หยุดไว้แน่น


    “เขา... เขาโทรมาค่ะ”


    ใบหน้าสวยแลดูตื่นตระหนก ผมอดขำไม่ได้กับท่าทีของเธอ แล้วก็หันไปสนใจกับการแกะช็อกโกแล็ตออกจากพิมพ์ต่อ


    “หนูก็รับสิ”


    แต่เสียงริงโทนเพลงน่ารักก็ยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเสียที


    “เอ้า เดี๋ยวเขาก็ตัดสายก่อนหรอก”


    คริสตัลพยักหน้าแรงๆ เรียกสติตัวเองทั้งที่ตายังเหม่อลอยอยู่ก่อนเสียงเพลงจากเครื่องมือสื่อสารจะเงียบไป เธอยกมันขึ้นแนบหูช้าๆ แล้วกรอกเสียงเบาๆ ไปตามสาย


    “สวัสดีค่ะ”


    “…”


    “ค่ะ... ค่ะ”


    เธอกดตัดสายแล้วแขนเรียวข้างที่กำโทรศัพท์เครื่องเล็กก็ทิ้งลงอย่างหมดแรง เธอเดินมาเกาะโต๊ะฝั่งตรงข้ามก่อนจะมองหน้าผมอย่างเลื่อนลอย


    “ว่าไง”


    “สวนสาธารณะค่ะ”


    ผมยิ้ม วางแม่พิมพ์พลาสติกลงแล้วก็ส่งมือไปลูบผมเธอเบาๆ หลานสาวข้างบ้านได้แต่กระพริบตาปริบๆ มองผม เหมือนจะไม่รับรู้อะไร


    “ก็ไปสิ เดี๋ยวเขาก็ไม่รอหรอก”


    ส่งยิ้มให้กำลังใจไปให้ เธอก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมาบ้าง แก้มนวลขึ้นสีชมพูหน่อยๆ ก่อนจะรับคำ


    “ขอบคุณนะคะคุณลุง”


    ร่างเพรียวคว้ากระเป๋าใบเล็กแล้วก็รีบวิ่งออกไป ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มส่งให้เธอโชคดี กำลังจะเอาไวท์ช็อกโกแล็ตก้อนกลมใส่กล่องสีขาวเธอก็วิ่งกลับมาเข้ามาหยิบของหวานในถาดใส่ปากไปชิ้นหนึ่ง


    “อร่อยมากเลยค่ะ ฝากความรักและความคิดถึงให้คุณลุงคิบอมด้วยนะคะ”


    ก่อนจะวิ่งกลับออกไปอีกครั้ง






































    วันนี้เป็นวันที่สิบสี่มีนาคม ไวท์เดย์ ถ้าจะพูดถึงความสำคัญของเทศกาล เป็นวันที่จะตอบแทนวันวาเลนไทน์ที่แสนหวานด้วยไวท์ช็อกโกแล็ต ต้นเหตุแห่งโรคเบาหวานที่แสนน่ารัก


    เด็กรุ่นหนุ่มสาวเขาคงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้กันหรอก นี่แหละครับความแก่ คุณจะหัวเราะเยาะผมก็ได้ เด็กๆ อย่างพวกคุณน่ะยังห่างไกลนัก


    เขาน่ะชอบกินช็อกโกแล็ต คิบอมน่ะครับ แต่ดันแพ้ช็อกโกแล็ต เขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอ เที่ยวแพ้นู่นแพ้นี่ไปหมดเสียแทบทุกอย่าง ต้องพิถีพิถันกับการกินมากจริงๆ ผมที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนวิชาเชฟจากยุโรปกลับมา ต้องยอมแพ้ไปเลย อาหารทะเลคำเท่าช้อนโต๊ะ หรือค็อกเทลที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์แม้เพียงเปอร์เซนต์เดียวก็ทำให้ผื่นแดงขึ้นลามไปทั้งตัว


    เขาผิวขาวมาก เขาโดนแดดไม่ได้เลย เป็นโรคแพ้แสงแดดหรือ CAD เผื่อใครเรียนแพทย์อาจจะรู้จัก เขาไม่ยอมใส่ชุดประหลาดๆ เพื่อป้องกันอาการ คุณหมอจึงอนุญาตให้เขาออกจากบ้านได้เฉพาะช่วงที่ดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เพราะฉะนั้นเขาถึงชอบฤดูหนาวมากเมื่อเวลากลางคืนจะยาวนานกว่ากลางวัน


    ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เขาก็ขี้หนาวเป็นที่สุดหน้าหนาวทีไรเขาจะต้องใส่เสื้อหนาวสี่ชั้นขึ้นไป นั่นมันทำให้เขาตัวกลมน่ากอดมาก


    เวลาผ่านมาเป็นสิบๆ ปี แต่ผมก็ยังจำสัมผัสกอดของเขาได้ครับ เขาสูงเลยปลายจมูกของผมมานิดหน่อย เวลากอดกันเขามักจนวางศีรษะบนบ่าของผมและผมก็ชอบสูดดมกลิ่นแชมพูเด็กของเขา


    ความรู้สึกคิดถึงไม่เคยหายไปครับ















    นาฬิกาบอกเวลาสี่โมงเย็น ไวท์ช็อกโกแล็ตถูกบรรจุลงในกล่องเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง ผมเอากล่องสีขาวใส่ถุงกระดาษ เอาเสื้อโค้ทตัวยาวมาสวม หมวกใบเก่าสีน้ำตาลแขวนอยู่ที่ราวแขวนข้างประตู


    ผมเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานหยิบหนังสือเล่มที่เขาซื้อมาให้ออกมา ไม่ลืมจะเอาแว่นตาสำหรับอ่านหนังสือไปเปลี่ยนด้วย


    ส่องกระจกดูความเรียบร้อยก่อนจะออกจากบ้าน ผมของผมเป็นสีเทาเข้มเกือบจะหมดแล้ว ริ้วรอยแห่งความชราก็เริ่มชัดขึ้นทุกวันๆ


    ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน


    คนแก่ก็ชอบพูดอะไรไปเรื่อย อย่าใส่ใจเลยครับ


    ฟ็อก ลาบราดอร์สีเทาที่อายุอานามก็มากแล้วกลับเข้ามาทางช่องสุนัขผ่านด้านล่างของประตู มันเดินตรงมาหาผมที่หน้ากระจก ผมตบหัวมันเบาๆ สองสามทีเป็นการต้อนรับกลับแล้วมันก็เดินไปทางถาดน้ำข้างโต๊ะทำงาน


    ผมถอดแว่นออกมาเช็ดกับผ้าเช็ดแว่นที่ผมมักจะพกใส่กระเป๋ากางเกงเสมอ เป็นผ้าผืนเก่าที่คิบอมปักชื่อของผมด้วยด้ายสีเขียวเข้มที่ริมหนึ่ง


    พอแก่แล้วจะใกล้หรือไกลก็มองไม่เห็นทั้งนั้น อีกเหตุผลหนึ่งที่พกผ้าเช็ดแว่นตาติดตัวเสมอก็เพราะผมอยากมองเห็นโลกให้ชัดที่สุด


    ผมมองเห็นโลกแทนเขา แล้วก็อ่านหนังสือแทนเขาที่ไม่สามารถทำมันได้อีกต่อไปครับ


    หยิบรองเท้าหนังคู่เก่งออกมาจากตู้ วันนี้ต้องเดินไกลและเดินนาน แต่เพราะผมชอบออกกำลังกายเสมอในช่วงที่ยังมีแรงเยอะกว่านี้ การจะเดินซักห้าหกกิโลก็ยังไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงเท่าไร


    ขณะใส่ถุงเท้าแล้วก็ได้สังเกตมือของตัวเองที่ไม่ค่อยจะเต่งตึงเหมือนคนรุ่นคุณเท่าไหร่ เอาเถอะถึงพวกคุณจะรำคาญแต่ก็ขอฝากไว้สักเรื่องหนึ่ง


    อย่าอายเมื่อร่างกายของคุณชราลง


    มือของผมมีร่องรอยเมื่อใช้มันมานานหลายสิบปี แต่มันก็เป็นมือที่เคยกอดคนที่ผมรัก


    ร่างกายของคุณ เป็นร่างกายที่คนที่คุณรักเคยกอดและสัมผัส แม้มันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็อย่าได้ใส่ใจ


    เพราะจริงๆ แล้วสิ่งที่เขากอดคือหัวใจของคุณต่างหาก








































    คิบอมเป็นคนที่ร้องเพลงได้เพราะมาก


    มันอาจจะเหมือนนิยายหรือนิทานสักเรื่อง ผมกำลังเดินกลับบ้านหลังจากทำงานและได้ยินเสียงเพลงแว่วหวานดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ผมถึงกับปีนกำแพงขึ้นไปดูเหมือนเด็กวัยรุ่นที่อยากรู้อยากเห็น แล้วก็เห็นเขา ใส่ชุดสีขาว เกาะขอบหน้าต่างและเงยหน้ามองดวงจันทร์


    ผมคิดว่าเขาเป็นนางฟ้า


    หลังจากคบกันเขาก็ไม่ค่อยจะยอมร้องเพลงให้ผมฟัง นอกจากจะเป็นโอกาสพิเศษเท่านั้น เขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนว่าเขาจะร้องเพลงก็ต่อเมื่อผมเล่นดนตรีให้ ผมที่เลิกเล่นกีต้าร์ไปตั้งแต่เข้ามัธยมปลายจึงต้องกลับมารื้อฟื้นมันอีกครั้งเพื่อเราจะได้สร้างดนตรีของเราด้วยกัน


    ในวันเกิดของผมเขาเล่นเปียโนพร้อมกับร้องเพลงให้ผม เขาจูบผมและเอ่ยขอบคุณที่ผมเกิดมาเพื่อเป็นรักแรกและรักสุดท้ายของเขา


    นั่นเป็นวินาทีที่ผมตัดสินใจว่าผมจะไม่มีวันทอดทิ้งเขา ผมจะดูแลเขาตลอดไป









































    หน้าร้านดอกไม้ ผมเลือกดอกลิลลี่สีขาว ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความหมาย แค่เพราะคิบอมเขาชอบผมก็หยิบมันขึ้นมา


    คิบอมชอบดอกไม้ทุกชนิดที่เป็นสีขาว เขาบอกว่ามันเหมือนกับเขา สีอ่อนๆ นั่นเมื่อช้ำก็สังเกตเห็นได้ชัดเหมือนกับเขาที่ร่างกายไม่แข็งแรง เขาว่าดอกไม้สีขาวจืดชืดเหมือนชีวิตเขาที่จืดชืด


    ผมเห็นด้วยว่าดอกไม้สีขาวนั้นเหมือนคิบอมที่สุด แต่ในทางกลับกันผมไม่เห็นว่ามันจะจืดชืดหรือน่าเบื่อแต่อย่างใด ดอกไม้สีขาวบอบบางน่าทะนุถนอม สูงส่ง และเงียบสงบ นี่ต่างหากสิ่งที่เหมือนกับเขา


    “คุณลุงสบายดีนะคะ”


    ซอฮยอน พนักงานสาวประจำร้านดอกไม้ร้านประจำของผมถามไถ่ขณะจัดดอกไม้สีขาวให้เข้าที่อย่างเบามือ


    “เรื่อยๆ ล่ะหนู หนูล่ะ ไวท์เดย์ไม่มีหนุ่มๆ ให้ช็อกโกแล็ตมากินเล่นบ้างเหรอ”


    “แค่เรียนแล้วก็ทำงานก็แทบจะไม่มีเวลาพักแล้วล่ะค่ะ”


    ผมสีดำยาวสลวยพลิ้วไปมาเมื่อเธอสั่นศีรษะปฏิเสธ หัวเราะเบาๆ แล้วก็ยิ้มให้กับดอกไม้ที่เธอรัก เธอเลือกริบบิ้นสีเขียวอ่อนมาผูกรอบๆ กระดาษสีขาว จับก้านให้เข้าที่อีกนิดหน่อยแล้วก็ส่งให้ผม


    “คุณลุงรอเดี๋ยวนะคะ หนูอยากฝากดอกไม้ไปให้คุณคิบอมด้วย”


    เธอกล่าวก่อนจะวิ่งเข้าไปหลังร้านโดยส่งเจ้าวอลนัท สุนัขพุดเดิ้ลสีน้ำตาลออกมารับลูกค้าแทน เจ้าแก่ลาบราดอร์กับเจ้าพุดเดิ้ลดมกลิ่นกันและกันอย่างคุ้นเคย ก่อนเจ้าตัวเล็กจะวิ่งนำออกไปนอกร้าน ให้เจ้าตัวใหญ่เดินตามไปช้าๆ


    “ลุงมินโฮสวัสดีครับ”


    “อ้าว ยงฮวา มาหาซอฮยอนล่ะสิ”


    ผมกับยงฮวาทักทายกันอย่างคนคุ้นเคย เจ้าเด็กคนนี้เป็นญาติของผมเอง คิบอมรักเขามาก ตอนนี้อายุสักยี่สิบห้าได้แล้วมั้ง ผมก็จำไม่ค่อยได้ เอาเป็นว่าเด็กนี่ติดคิบอมยิ่งกว่าผมเสียอีก ร้องห่มร้องไห้ใหญ่เมื่อคุณลุงที่รักจากไป


    “เมื่อวานผมแวะไปทำความสะอาดที่สุสานมา วันนี้คุณลุงจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”


    “ขอบใจนะยงฮวา คิบอมต้องดีใจมากแน่ๆ ที่เธอไปเยี่ยมเขา”


    สักพักพนักงานสาวก็กลับออกมาพร้อมช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อเล็ก เมื่อเธอเห็นยงฮวาที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมเธอก็เอียงหัวไปทางประตูเชิงว่าให้ออกไปรอข้างนอก ชายหนุ่มยิ้มให้เธอ โค้งตัวให้ผมก่อนจะกลับออกไปนอกร้าน


    “ขอบคุณนะ”


    ผมรับดอกช่อดอกไม้มาไว้ในอ้อมแขนเพิ่มอีกช่อหนึ่งก่อนจะกล่าวขอบคุณในน้ำใจของเธอ


    “หนูอยากมีความรักแบบคุณลุงบ้างจังค่ะ”


    เธอยิ้มน่ารัก พูดพลางมองดอกไม้ในอ้อมแขนของผมแล้วก็เลื่อนกลับมาสบตากัน


    “ความรักไม่ว่าแบบไหนก็มีค่าทั้งนั้น แต่อย่าอยากมีความรักแบบลุงเลย มันล้าแล้วก็ทรมานนะ”


    “แต่มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์และมั่นคงที่สุดเลยค่ะ”


    “ถ้าหนูต้องการความมั่นคงล่ะก็ ลุงว่าหมอนั่นก็ไม่เลวหรอกนะ”







































    คิบอมเป็นคนคิดมากและนั่นทำให้เขาฝันร้ายบ่อยๆ


    เมื่อคบกันได้เกือบปีผมก็ขออนุญาตคุณแม่ของคิบอมเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย ผมรู้คุณแม่ไม่ยอมแน่หากผมจะขอให้เขาจากบ้านหลังนี้ไป เลยต้องใจกล้าหน้าด้านขอเข้ามาดูแลคิบอมที่บ้านของเขา คุณแม่ก็เมตตาความรักของพวกเราจึงอนุญาตอย่างง่ายดาย


    ผมมักจะนอนอ่านหนังสือให้เขาฟังทุกคืน ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือปรัชญาที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่คิบอมก็จะคอยอธิบายให้ฟังตลอด เราถกเถียงกันบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านไป คิบอมเป็นคนฉลาด เขามักจะมีคำพูดที่เฉียบแหลม เอ่ยมันออกมาได้ง่ายดายเหมือนกำลังชวนกินข้าว ทำให้ผมชื่นชมได้เสมอ


    หลังจากนั้นเขาก็จะขยับเข้ามากอดผม ผมจะต้องโอบเขาไว้และลูบผมของเขาเบาๆ จนกว่าเขาจะหลับ คิบอมบอกว่ามันทำให้เขาหลับสนิท


    แต่ก็มีบางครั้งที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมน้ำตานองหน้า มักจะฝันเรื่องเดิมๆ เป็นต้นว่าอาการกำเริบหรืออยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีใคร ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะนอนคุยกันจนเช้าเพราะเขาไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีก


    ครั้งที่รุนแรงที่สุด เขาตื่นขึ้นมาแล้วก็เขย่าตัวผมใหญ่ พอผมลืมตาขึ้นเขาก็โผเข้ากอดผม ร้องไห้อยู่ราวชั่วโมงกว่าจะสามารถปลอบประโลมให้หยุดได้ คิบอมว่าเขาฝันว่าผมตาย


    ผมสัญญากับเขาว่าผมจะไม่ตายจากเขาไปไหนแน่นอน เขาก็สัญญาเช่นกันว่าเขาจะดูแลตัวเองให้ดี เราจะได้อยู่ด้วยกันให้นานที่สุด









































    ชั่วโมงกว่าแล้ว ผมกับเจ้าสุนัขแก่เดินกันมาไกล แล้วก็ถึงจุดหมายแรก บ้านเก่าของคิบอม บ้านหลังที่เราได้ร่วมสร้างความทรงจำมากมาย การตกลงคบกัน จูบแรกและการเป็นของกันและกันโดยสมบูรณ์ก็เกิดขึ้นที่นี่


    ตอนนี้มันเป็นบ้านที่มีผู้อยู่อาศัยใหม่ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ กับคิบอมเลยแต่เจ้าของบ้านก็ช่างเป็นคนอัธยาศัยดี


    ผมลงนิ้วกับออดข้างๆ รั้วบ้าน สักพักชายหนุ่มวัยทำงานคนหนึ่งก็ออกมาเปิดรั้วให้


    “สวัสดีครับคุณมินโฮ”


    “สวัสดีครับคุณบยองฮี”


    เขาผายมือเชิญให้ผมเข้ามาในบริเวณบ้าน หลายๆ อย่างดูเปลี่ยนไปจากปีก่อนที่ผมมาแวะเยือน ตัวบ้านได้รับการทาสีใหม่อย่างดี ทางรถในบ้านก็ดูเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคงเป็นบริเวณสวนที่ผมขอร้องให้เขารักษามันไว้ในสภาพเดิม ซึ่งเจ้าของบ้านคนใหม่ที่รักธรรมชาติก็ไม่ได้มีความตั้งใจจะทำอะไรกับมันอยู่แล้ว


    “คุณมินโฮเป็นอย่างไรบ้างครับ”


    “ตามประสาคนมีอายุล่ะคุณ ป่วยกระเสาะกระแสะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย”


    “ต้องการให้ผมช่วยอะไรคุณมินโฮบอกได้นะครับ”


    ได้แต่พยักหน้าเบาๆ รับน้ำใจของบยองฮี เขาเป็นคนดีจริงๆ


    “เชิญคุณมินโฮตามสบายเลยครับ เดี๋ยวผมเอาน้ำมาให้”


    บยองฮีว่าแล้วกลับเข้าไปในตัวบ้าน ผมเดินตัดสนามหญ้าเล็กๆ ไปยังริมรั้วไม้ที่ผุแตกบางส่วน ต้นไม้ที่ยืนแผ่กิ่งก้านโดดเดี่ยวอยู่ข้างม้านั่งตัวเก่าตอนนี้ถูกประดับด้วยดอกไม้สีชมพูและดูแข็งแรงดี


    มันเป็นซากุระที่ผมปลูกร่วมกับคิบอมครับ


    โชคดีที่เดือนมีนาคมเป็นช่วงที่ซากุระออกดอกพอดี ผมเลยได้ชื่นชมดอกไม้สีหวานทุกๆ ปี


    เจ้าต้นไม้แห่งคำสัญญาไม่ได้สูงขึ้นไปกว่าเดิมแต่ผมก็สัมผัสได้ถึงอายุของมันที่เพิ่มขึ้น กิ่งก้านเล็กไหวเมื่อต้องลม พาให้บางดอกร่วงหล่นลงประดับพื้นเป็นพรมสีชมพู


    กลิ่นเฉพาะตัวของมันทำให้ผมผ่อนคลายได้เสมอ


    “น้ำครับ”


    “ขอบคุณนะๆ จริงๆ ผมแวะมาครู่เดียว ไม่ต้องลำบากก็ได้”


    “ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”


    ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่สีหลุดร่อนไปตามเวลา บยองฮีนั่งลงข้างๆ เขายื่นสมุดปกหนังสีน้ำตาลที่ดูค่อนข้างเก่ามาให้ผม


    “ของคุณคิบอมน่ะครับ ผมเจออยู่บนหลังตู้”


    ผมรับมาเปิดดู ข้างในมีลายมือที่คุ้นเคยเขียนบันทึกเป็นระเบียบ เส้นตัวอักษรของเขาชัดเจนและอ่านง่าย นิ้วผมเผลอลูบไปตามรอยปากกาสีดำเบาๆ


    “คุณมินโฮครับ เมื่อคืนผมฝัน”


    ผมละสายตาจากหนังสือขึ้นมอง เขายิ้มอย่างสุภาพให้ผมก่อนจะกล่าวต่อไป


    “ผมฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ผิวขาวมาก หน้าสวยเหมือนผู้หญิง ยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานนั้น เขามองลงมาหาผมตรงนี้ ยิ้มแล้วก็เอ่ยขอบคุณผมซ้ำๆ”


    เขามองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องนอนชั้นสองที่ในวันเก่าต้องติดฟิล์มทึบเพื่อป้องกันแสงแดดที่จะทำร้ายคิบอม ตอนนี้มันเปิดกว้างเพื่อรับลม ผ้าม่านสีอ่อนพลิ้วเบาๆ อยู่ในกรอบไม้สีเข้ม


    “คิบอม”


    “ผมว่าคุณคิบอมมีความสุขดีครับ”


    ซากุระดอกหนึ่งร่วงลงมาบนมือของผม เหมือนมีมือหนึ่งมากุมไว้ให้ความอบอุ่น


    “ขอบคุณนะคุณบยองฮี” 






































    คิบอมมีความฝัน


    เขาฝันอยากเป็นหมอ เป็นเจ้าของร้านอาหาร อยากมีบ้านริมทะเลสาบ เขาจะออกไปพายเรือเล่นทุกวัน เขาฝันมากมาย แต่เขาไม่ค่อยชอบพูดให้ใครฟังแม้แต่ผม


    เขากลัวที่จะพูดถึงความฝันเพราะมันทำให้เขามีความสุขได้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อพูดจบ ความฝันก็สลายหายไปพร้อมกับเรื่องเล่าที่จบลง


    เราเคยคุยกันเรื่องนี้ครั้งหนึ่ง เขาเล่าถึงทุกอย่างที่เขาอยากทำ ทุกอย่างที่เขาอยากเป็น แววตาของเขา ผมจำได้ดีว่ามันส่องประกายแวววาวเพียงใดยามพูดถึงการได้มีชีวิตอย่างที่ใจต้องการ


    สุดท้ายเขาบอกกับผมว่า ความฝันที่เป็นจริงเพียงอย่างเดียวของเขาคือการมีผมอยู่ด้วยกัน


    ผมหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วก็สวมมันให้เขา เขาร้องไห้หนักมาก พร่ำเอ่ยคำรักและขอบคุณไม่หยุด









































    ทางขึ้นไปหาคิบอมค่อนข้างชันและมืดทึบด้วยดำแพงของบ้านเก่าแก่หลังใหญ่ที่สร้างบริเวณไหล่เนินกับต้นไม้สูงที่ไร้คนดูแล ผมเดินลากขาขึ้นไปอย่างไม่รีบร้อน เจ้าฟ็อกก็คงเหนื่อยเช่นกัน กระนั้นนิสัยขี้เกียจของมันก็ถูกหย่อนใส่ถาดอาหารไว้ที่บ้านเพราะมันรู้ดีว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน


    ป้ายชื่อสุสานบอกผมกับฟ็อกว่าเราเดินทางมาถึงแล้ว


    แสงอาทิตย์ส่องลอดกิ่งก้านของต้นไม้เป็นเงาลายบนพื้น ที่พักผ่อนนิรันดร์ของผู้จากไป ลมพัดมาแผ่วเบาขยับใบไม้ให้ไม่นิ่งจนเกินไป เสียงลมเป็นเสียงเดียวที่เกิดขึ้นในบริเวณ บรรเลงกล่อมผู้นิทราให้สบายอารมณ์


    จริงๆ แล้วก็ไม่เพียงผู้นิทราแล้วเท่านั้น ผมเองก็ชอบฟังมัน หรือจริงๆ ผมใกล้จะนิทราแล้วล่ะครับ


    ผมเดินผ่านแผ่นหินของใครหลายๆ คนลึกเข้าไปเรื่อยๆ สุนัขตัวใหญ่รู้ทางเดินนำเข้าไปก่อน มันคงคิดถึงนายคนแรกของมันน่ะครับ


    ลึกสุดของสุสานมีต้นโอ๊คต้นใหญ่แผ่กิ่งก้าน กวาดมือแหวกกิ่งไทรเล็กที่ระย้าพันต้นไม้ใหญ่ ผ่านเข้าไปในที่ที่สงบกว่า คิบอมกำลังหลับใหลอยู่ใต้แผ่นหินสีขาวหลังต้นโอ๊คนั้น


    มือที่เหี่ยวย่นของผมสัมผัสกับแผ่นหินเบาๆ คิบอมโชคดีที่ได้หยุดเวลาไว้กับร่างที่อ่อนวัย ภายใต้หินสีขาวทรงไม้กางเขนที่หนักแน่นมั่นคง ต่างกับผมที่ภาพสุดท้ายที่คนจะจดจำคือร่างกายทีน่าเวทนา


    ช่อดอกไม้สองช่อถูกวางลงหน้าแผ่นหิน รวมถึงกล่องไวท์ช็อกโกแล็ตที่ผมเปิดฝาออกแล้ว


    “เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีสินะ”


    ขาที่ใช้เดินมานานเริ่มล้าผมจึงตัดสินใจนั่งลงขัดสมาธิกับพื้นหญ้า ใครมาเห็นเข้าคงเวทนาชายแก่ที่แม้แต่จะยืนเคารพหลุมศพยังทำไม่ได้


    “เมื่อวันก่อนผมทำซัมกเยทังสูตรของคุณด้วยนะ เอาไปแบ่งคริสตัลกับบ้านคุณชิมกินเขาก็ว่าอร่อยกันทุกคน พวกเขาฝากผมมาขอบคุณคุณด้วย”


    ฟ็อกที่เดินสำรวจไปรอบๆ แล้วเดินกลับมานอนลงข้างๆ ผม หัวหนักๆ ของมันพาดบนตักของผม เจ้าหมาตัวใหญ่หลับตาลง คงเหนื่อยมาก ผมลูบหัวมันเบาๆ หยิบไวท์ช็อกโกแล็ตมากินทีละก้อน


    “เจ้าฟ็อกก็ชักจะแก่ขึ้นทุกวันๆ อีกไม่นานมันอาจจะหนีผมไปอยู่กับคุณ”


    ฟ็อกครางออกมาเบาๆ


    “อ้อ ดอกไม้อีกช่อ จากซอฮยอนนะ เด็กพนักงานร้านดอกไม้ เจ้ายงฮวาหลานคุณหลงเธอหัวปักหัวปำเลยทีเดียว”


    ผมหัวเราะเบาๆ


    “อ่าใช่ ผมต้องอ่านหนังสือต่อสินะ”


    ผมหยิบแว่นอ่านหนังสือออกมาจากเสื้อเชิ้ตเปลี่ยนกับแว่นที่ใส่อยู่ หยิบหนังสือเล่มเล็กจากกระเป๋าในเสื้อโค้ต คิบอมเขารอบคอบใส่ปกพลาสติกไว้อย่างดีทำให้หน้าปกหนังสือไม่ชำรุดไป พลิกหนังสือไปยังบทที่ผมอ่านค้างไว้เมื่อปีที่แล้ว


    “ภายใต้ผ้าคลุมลายดาราแห่งจักรวาล เธอและฉันเป็นเพียงธุลี
    โอ้ธุลีที่แสนไร้ค่า กี่ละอองจึงจะเติมเต็มได้หนึ่งจักรวาล


    ไพศาลใหญ่ยิ่ง บริเวณที่เหล่าเศษผงเกลื่อนกลาดดาษดา
    กระแสแห่งพระเจ้านำทาง เราที่ไร้ค่าจึงได้พบกันและกำเนิดค่าต่อกัน


    การพบและจากของเศษผงเช่นเรา เป็นกำหนดแห่งพระเจ้าที่สูงส่งเหนือจักรวาล
    หากร้องไห้ ขอน้ำตานั้นจงมาจากความปิติ สำหรับการพบกันแห่งเราในครั้งหน้า”


    สายลมที่เพิ่งหยุดไปเมื่อครู่พัดมาอีกครั้ง หน้ากระดาษพลิกเปลี่ยนไปที่หน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นกระดาษเปล่า มีลายมือของเขาเขียนไว้ ลงวันที่เป็นวันวาเลนไทน์เมื่อยี่สิบปีก่อน กับข้อความว่า ‘ผมรักคุณ’


    “ผมก็รักคุณ”






























    จริงๆ แต่งไว้นานแล้ว เก็บไว้ในบอร์ดชายนี่ ว่างๆ เลยเอามาลงเผื่อมีใครไม่เคยอ่าน อิอิ จริงๆ มีอีกหลายเรื่องนะที่เคยขีดๆ เขียนๆ ไว้ จะค่อยๆ ทยอยลงนะคะ ฝากติดตามด้วยนะคะ


     

    LITTLE �SWEET
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×