ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    =Awkward= [BL]

    ลำดับตอนที่ #5 : Inert 5

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 56


    Inert 5






    เดินตามเสียงฝีเท้าข้างหน้าไป..

    ไม่รู้ว่าจะไปไหน แต่จุดหมายปลายทาง ไม่ใช่รถแม่ที่จอดรออยู่

    หรือจะพูดตรงๆ ก็ต้องบอกว่า รถแม่อะไรที่ว่านั่นไม่มีหรอก แม่ไม่ได้จะมารับ เอาเข้าจริงๆ แม่ยังขับรถไม่เป็นด้วยซ้ำ

    “…ไม่โทรไปหาแม่หรือไง”

    สะดุ้งตอนเสียงนั้นดังแทรกขึ้นมา เพราะตลอดทางก็มีแต่ความเงียบ

    “…โกหกสินะ”

    ทำไมถึงได้รู้ทุกอย่างขนาดนี้

    หวาดระแวง

    เวลาคิดอะไรออกไป เผลอพูดออกไปด้วยหรือเปล่า ทำไมถึงได้รู้ทุกความคิด

    “จะอ้างอะไรอีกหล่ะ จะกลับไปอ่านหนังสือสอบ? แบบนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเหมือนกัน”

    “…..”

    “ทำไมไม่พูด? หรือจะเป็นใบ้ไปแล้วจริงๆ”

    กำลังคิด

    คิดว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไรต่อ

    คลิปภาพ คลิปเสียง

    อย่างไหนที่สมควรจะกำจัดทิ้งก่อน

    คลิปภาพสินะ เพราะมีแต่เสียง จะบอกว่าตัดต่อเสียงเอาก็ยังน่าจะพอฟังขึ้น หลังจากนั้น ก็หาใครก็ได้ที่มีอำนาจพอ ฟ้องเรื่องนี้ขึ้นมา

    อาจจะถูกมองด้วยสายตาคนเป็นพันๆ…

    …แล้วจะกล้าหรอ กล้าพอที่จะอยู่ท่ามกลางสายตาเหล่านั้นหรอ…

    เพราะจอห์นดัง ไม่ว่าใครในโรงเรียนนี้ก็รู้จัก ดูจากการที่ผ่านไปไหนมาไหนก็จะมีคนทักทายตลอด ยิ้มกลับด้วยรอยยิ้มแบบนั้น นั่นก็สร้างขึ้นมาใช่รึเปล่า?

    “….จะไปไหน”

    “บ้านกับโรงเรียน ชอบที่ไหนมากกว่ากัน”

    ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้น

    ไม่อยากอยู่สักที่ อยากจะหายไปให้พ้นๆ ยิ่งตอนนี้ ก็อยากจะหายไปจริงๆ

    “บ้าน”

    ถ้าตอบโรงเรียน ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไร

    สายตาคนหลายๆคู่กำลังจับจ้อง… ถ้าเป็นอย่างนั้น ที่บ้านน่าจะดีกว่า

    บ้านใคร?

    กลับมาที่รถคันเดิม อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลๆ แต่จากที่ดูวันนั้นแล้ว ความแข็งแรงที่ต่างกันเยอะ ยังไงก็หนีไม่พ้น เก็บแรงไว้ให้สมองคิดน่าจะดีกว่า

    “คงไม่ต้องเปิดประตูให้หรอกนะ”

    ประชดประชัน 

    เป็นคนที่ชอบพูดจาเสียดแทงคน

    นี่คือตัวจริงใช่ไหม?

    หรือก็เป็นอีกแค่เปลือกนึงเหมือนกัน

    รถแล่นออกจากโรงเรียนไป

    รู้สึกอะไรบางอย่างในความว่างเปล่า

    …สิ่งนั้นเรียกว่าความกลัว




    ……………………………………………..
    ……………………………..




    บ้านหลังใหญ่

    มีผู้คนเต็มไปหมด แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่คนรับใช้ เพราะเห็นใส่ชุดขาวกระโปรงดำยาวจนเลยเข่า คล้ายชุดเครื่องแบบ

    หนีไม่ได้

    ดูก็รู้ บ้านหรูขนาดที่มียามมาเปิดประตูให้ เกลียดคนรวย ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ในเวลานี้ เหลือบเห็นกล้องวงจรปิดหลายจุด น่าจะเป็นกล้องจริงที่ไม่ใช่แค่กล้องดัมมี่หลอก รั้วสูง ไม่มีทางปีนหนีออกไปได้

    บางที คลิปนั้นอาจจะอยู่ในคอมพิวเตอร์

    แต่เริ่มไม่คิดแบบนั้น เมื่อไม่เห็นจอห์นจะห่วงคอมพิวเตอร์สักเท่าไหร่

    เดินตามเข้าไปถึงในห้องนอน ไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไร ทำเพียงมองไปรอบๆ จะถูกฆ่าทิ้งหรือเปล่านะ ถ้าต่อสู้ออกไป ไม่รู้.. ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนตรงหน้า เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้กลับมาอย่างไร

    แทบไม่มีของที่เป็นกระจกอยู่ในห้อง..

    ไม่ดี เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลย

    เกิดอะไรขึ้นมาจะใช้อะไรป้องกันตัว

    ในกระเป๋า ไม่มีของมีคม ถูกคัดกรองออกหมดแล้ว แม่ไม่เคยให้พก ดูเหมือนจะรู้ว่าลูกยังมีปัญหา แต่ไม่เคยคิดแก้ไขหรือใส่ใจ

    ไม่อยากกลับเข้าไปอยู่ในห้องสีขาว

    จึงต้องคิดหาวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด อะไรก็ได้ ที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาตามมา

    เคยมั่นใจ ในความคิดของตัวเอง

    แต่ไม่ใช่อีกต่อไป เมื่อเจอคนที่เหนือกว่า

    จอห์นไม่ได้มีดีแค่หน้าตา นั่นจึงเป็นความจริงที่แสนจะน่ากลัว

    ชั่วเวลาที่คิด ก็ถูกผลักลงกับเตียง

    แว่นตาถูกดึงออก พยายามจะยื้อแล้ว แต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ ถูกนั่งทับอยู่ที่กลางตัว ดิ้นไม่หลุด ตอนนี้สถานการณ์แย่ขึ้น ได้ยินเสียงแตกของกระจก แว่นตาถูกขว้างเข้าใส่ผนัง มองเห็นไม่ชัด ปวดตา

    ก่อนที่ภาพจะมืดดำ ถูกยกหัวขึ้น จอห์นใช้ผ้ามัดตาไว้แน่น แม้แต่จะลืมตายังทำไม่ได้ ดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ใต้แรงที่กดไว้ตรงหน้าท้อง แขนถูกรวบไปกดอยู่เหนือหัว ไม่ต่างจากรอบตา ถูกมัดที่ข้อมือไว้แน่นเหมือนกัน

    มีแค่ที่ขายังเป็นอิสระ แต่คงทำได้แค่ถีบไปมา ไร้ประโยชน์ จึงเลือกที่จะอยู่นิ่งๆแทน

    พอโดนมัดข้อมือท่านี้ เลยไม่รู้จะแก้มัดได้อย่างไร ถ้ามัดแบบไขว้หลังยังพอจะหาวิธีได้ แต่ถ้ามัดแบบนี้ คงจะจบเห่

    ทำยังไง..

    ตอนนี้ คงต้องดูสถานการณ์ไปก่อน

    “คุยกันดีๆคงไม่ฟังแน่นอน ก็มีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น”

    “…ต้องการอะไรกันแน่”

    “สมองอย่างนาย…น่าจะคิดเองได้นะ”

    คิดไม่ได้ 

    เพราะคิดไม่ได้จึงรู้สึกพ่ายแพ้

    กลัว แต่บอกตัวเองว่าไม่กลัว ขาสั่น แต่ก็ยังทำตัวเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น

    “…กลัวหรอ?”

    เสียงนั้น ดูเยาะเย้ย

    พูดจากที่ที่สูงกว่า ทั้งในความเป็นจริง และความคิด

    เสียงนั้นบางทีก็ดูเฉียดเข้ามาใกล้ บางครั้งก็เหมือนดังมาจากที่ไกลๆ แรงกดที่ท้องหายไป ทำให้หายใจคล่องขึ้น

    สติทั้งหมดอยู่ที่การได้ยิน รู้สึกปั่นป่วนในท้องไปเสียหมด

    “ไม่…”

    “..อวดดีจังนะ นิสัยเย่อหยิ่งเย็นชา จริงๆแล้วเป็นคนแบบนี้อย่างนั้นหรอ”

    “ก็ใส่หน้ากากเข้าหากันทั้งคู่ ต่างกันตรงไหน”

    “จริงๆแล้ว…นายเป็นคนแบบไหนกัน?”

    “…ถามตัวเองไม่ดีกว่าหรือไง”

    น่าแปลก

    พูดตอบออกไปอย่างอิสระ 

    ในความกลัวนั้น มีความรู้สึกหนึ่งที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด

    “คนอย่างนายมันว่างเปล่า…”

    รู้สึกเหมือนถูกจ้องมองเข้าไปในตา แม้จะมีผ้าสีดำกันอยู่

    ชาไปทั้งตัว..

    “ข้างในนั้น…มันมีอะไรอยู่หรือเปล่า? หัวใจ นายมีมันไหม?”

    “…นายมันบ้า”

    ถ้าไม่มีหัวใจ เลือดจะสูบฉีดได้ยังไง

    ถ้าไม่มีหัวใจ จะมีเสียงหัวใจเต้นนี่หรือ?

    ไม่เคยหยุดทำงาน ทำหน้าที่ของมัน ไม่มีหยุดพัก

    แค่นั้น…มีหน้าที่แค่นั้น..

    พูดแบบนี้ต้องการจะสื่ออะไร ตีความไม่ออก

    ได้ยินเสียงเหมือนเครื่องอิเลกโทรนิคส์อะไรซักอย่างถูกเปิด เดาว่าเป็นอะไรก็ตามที่สามารถบันทึกภาพได้

    แบล็คเมลล์อีกงั้นหรอ?

    ต้องทำยังไง?

    “….อึก”

    งอตัวเข้าหากัน จิกแขนเข้ากับที่นอน ทำเสียงเหมือนเจ็บปวด

    ไม่รู้ว่าจะฟังแล้วเชื่อหรือเปล่า เพราะปกติเวลาเจ็บ ไม่เคยจะส่งเสียงออกมา เก็บไว้คนเดียว รอจนกว่าจะหายปวดไปเอง

    “เล่นละครหรอไง..”

    “ป…ปวดท้อง”

    ทุรนทุราย ..

    เป็นยังไงกันนะ ไม่เคยเป็นมาก่อน 

    ความรู้สึกเจ็บเจียนตายมันเป็นยังไงกัน..

    เพราะมีแต่ความว่างเปล่า จึงได้แต่แสดงออกตามภาพที่เคยเห็น

    “อยากอ้วก…”

    “…เป็นอะไร”

    “..อึก…อื้อ..”

    รู้สึกเหมือนอีกฝ่ายลุกออกไปจากเตียง ไม่รู้ไปไหน แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นปวดหัวปวดท้องไม่หยุด

    ได้ยินเสียงเท้าเดินเข้ามาใกล้ หัวใจเต้น ตึก ตึก ตึก ไม่ได้เต้นเร็วขึ้น แต่ก็รู้สึกว่ากังวล

    ฝ่ามือนั่นกดลงบนท้อง แรง แรงเสียจนคิดว่าถ้าปวดจริงๆ อาจจะร้องออกมาไม่หยุด แต่เพราะว่ามันเป็นละคร เลยไม่รู้จะทำอะไรต่อ

    “ไหน? ไหนบอกว่าเจ็บไง”

    “…..”

    แกล้งทำต่อก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

    “ตรงไหน? ตรงนี้หรือเปล่า”

    น้ำหนักที่ท้องเพิ่มมากขึ้น ถูกกดแน่น จนรู้สึกอึดอัด “จะอ้วกไม่ใช่หรอไง? ทำไมไม่รู้สึกอะไรเลยหล่ะ?”

    เกลียด..

    เกลียดที่รู้ไปซะทุกเรื่อง ทำให้กลายเป็นแค่ไอ้งั่งในสายตา

    “หึ เล่นละครได้แค่ระดับนี้ อย่าคิดจะลองดีกว่านะ น่าสมเพช”

    “ก็นายมันเก่ง หลอกคนได้ทั้งโรงเรียน”

    “แบบไหนกันนะ คือตัวจริง?” พูดเหมือนเป็นเรื่องสนุก “รู้ไหม? ตอนนี้มีคนเป็นพันกำลังเฝ้าดูนายกับฉันที่นอนอยู่บนเตียงนี้”

    “ท..ทำอะไร?”

    “อ่อ แล้วก็อย่าเข้าใจผิดว่าเมื่อกี้ที่ลุกออกไป คิดจะไปหยิบยาอะไรให้หรอกนะ ก็แค่ไปเปิดเว็บแคมมาก็เท่านั้น คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้ว”

    เว็บแคม…

    คอมพ์ที่นี่ ตอนเดินเข้ามา ไม่เห็นกล้องสักตัว

    “คอมพ์นายไม่มีเว็บแคม”

    “แล้วคิดว่าจะใช้อย่างอื่นแทนกล้องปัญญาอ่อนนั่นไม่ได้เชียวหรือไง”

    “…นี่ก็เรื่องโกหกใช่ไหม?”

    พึมพำกับตัวเอง

    แพ้ แพ้อีกแล้ว

    จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เป็นเรื่องที่เดาต่อไม่ยาก ไม่ใช่เด็กใสซื่อที่จะไม่รู้ ว่าคนนับพันที่ว่านั้น กำลังกระหาย..อยากเห็นอะไรกัน

    “เรื่องจริงต่างหากหล่ะ…ไผ่”



    …………………………….
    ……………………… 


    คนกำลังดูเป็นพันๆ..

    นั่นเรื่องจริงหรือเปล่า

    สายตา ที่กำลังจับจ้องไปทุกส่วน

    ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นใช่ไหม?

    ถูกใช้เป็นเรื่องตลก บางที พรุ่งนี้อาจจะมีคนจำได้ 

    ไม่อยากไปไหน ไม่อยากออกจากบ้าน ไม่สิ ต้องพูดว่าอยากกลับบ้านก่อน อยากกลับ อยากกลับไปอยู่คนเดียว ในห้อง ที่เหมือนโลกทั้งใบ

    ไม่อยากออกมาพบเจอใคร ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น

    อยากจะหายไปจากโลกนี้ เงียบๆเพียงลำพัง

    แรง..ไม่มากพอที่จะดิ้นหนี

    ในโพรงปาก มือของเขาแทรกเข้ามา แม้จะกัดนิ้วนั้นไปหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่เอาออกไปซักที รู้สึกได้ว่าเมื่อยกราม 

    “ขืนกัดลิ้นตายไป คนที่จะลำบากก็คือฉัน เข้าใจใช่ไหม?”

    เวลาแบบนี้สมควรจะร้องไห้หรือเปล่า

    ทำไม..

    ไม่รู้สึกอะไร

    ถูกดันไปมาตามแรงโยก ก็เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกอะไรนอกเหนือจากนี้

    เหนื่อย

    ไม่ใช่แค่กาย แต่เหมือนหัวใจก็เหนื่อยตาม

    “ไม่ดิ้นเลยหรือไง? ไม่สนุกเลย”

    จะทำหน้าแบบไหนกันอยู่นะ

    มองเห็นแต่ความมืด ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา

    “ทั้งๆที่วันนั้น มันส์กว่านี้แท้ๆ แต่กลับกลายเป็นตุ๊กตาตายซากซะแบบนี้ น่าผิดหวังจัง”

    ผ้าปิดตาถูกดึงออก ไม่อยากหันไป ไม่รู้ว่าที่ตรงนั้นมีกล้องตั้งอยู่จริงๆหรือเปล่า แต่ก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะหันไปมอง

    “Gimcrack..”

    ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร เพราะตอนนี้ เหมือนความรับรู้จะอยู่ห่างจากความเข้าใจ

    “…นายมันตายไปแล้ว ไผ่”

    เสียงนั้น

    คิดอะไรอยู่ถึงพูดด้วยเสียงแบบนั้น

    “ถึงหัวใจนายจะเต้นอยู่ แต่นายมันก็ตายไปแล้ว…”

    อาจจะตายไปแล้วจริงๆ…อย่างที่จอห์นพูดก็ได้

    ได้ยินเสียงน้ำหยดลงไปบนผิวน้ำที่เรียบเฉย สร้างวงคลื่นกระจายออกไปทั่ว…



    …………………………………….
    ……………………….


    นอนมองเพดาน ไม่ได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรในหัวสักนิด

    ได้ยินเสียงโทรศัพท์ร้องติดต่อกันมาหลายทีแล้ว อาจเป็นเพราะแสงอาทิตย์ที่หายไป คนโทรมาน่าจะเป็นแม่

    รู้สึกถึงเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ตวัดตาไปมอง เห็นจอห์นที่พึ่งอาบน้ำเสร็จกำลังเดินตรงมาทางนี้ แต่ก็วนกลับไปที่อื่น มองไม่ชัด เพ่งมากก็ปวดตา เลยย้ายสายตากลับไปจ้องเพดานเหมือนเดิม เห็นเป็นเพียงพื้นหลังสีขาว ดูคล้ายก้อนเมฆในท้องฟ้า

    “แม่นายโทรมา”

    ทำไมถึงได้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เลยนะ

    เมื่อยล้าไปทั้งตัว อาจจะทำให้ไม่อยากขยับ พรุ่งนี้ยังมีสอบอีก แต่รู้สึกว่าอาจจะไปไม่ไหว

    หัวใจ…เหมือนหยุดเต้นไปแล้ว

    ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากแม้แต่จะหายใจต่อ ไม่ได้รู้สึกเศร้าจนอยากตาย แต่แค่หาเหตุผลที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไม่เจอ

    ทุกวันนี้อยู่เพื่ออะไร

    ฝัน..

    เคยฝันอะไรมาก่อนนะ?

    ทุกวันนี้ หลับตาลงตอนกลางคืน ไม่เคยฝันอะไร สิ่งที่พบเห็นก็มีเพียงความมืดหลังเปลือกตากับความเงียบเท่านั้น

    “ถ้าไม่รับก็ปิดเครื่องไปซะ รำคาญ”

    ฟังแล้วแต่ก็ไม่ได้ขยับตัว รู้สึกเหมือนจะถูกเหวี่ยงโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่พยายามแม้แต่จะหา

    เห็นเงาพาดผ่านมา ทว่าก็ยังจับจ้องอยู่ที่ผนัง

    “สติแตกไปแล้วหรือไง”

    หันไปมองช้าๆ สีหน้าไม่ได้บอกความรู้สึกอะไร ที่เคยคิดว่ามีความว่างเปล่าในตัวอยู่เหมือนกัน ไม่น่าจะคิดผิด

    “ถ้าจะตายก็ออกไปตายที่อื่นซะ อย่ามานอนตายที่นี่ ขี้เกียจเก็บศพ”

    สายตาบ่งบอกว่าน่ารำคาญ

    คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นสายตาแบบนี้มาก่อน

    อาจจะเป็นสายตาของแม่ เวลาเห็นผลสอบก็ได้หล่ะมั้ง

    ถ้าที่หนึ่งยังดีไม่พอ สิ่งต่อไปที่ต้องทำคืออะไร

    ไม่มีคำตอบ และก็ไม่รู้จะถามใครเหมือนกัน

    “ไปอาบน้ำซะ จะพาไปส่งบ้าน”

    ลุกขึ้นจากเตียง เจ็บ แต่ก็เป็นแค่กายเท่านั้นที่รู้สึก ใจยังเรียบเฉย

    ถูกคว้าแขนไว้ ไม่เข้าใจว่าทำไม หันกลับไปมอง

    “เลือด..”

    อ่อ รู้มาสักพักแล้ว

    ไหลยาวไปถึงต้นขา อดคิดไม่ได้ว่าเหมือนกับผู้หญิงวัยประจำเดือน

    “..แล้วไง”

    “ก็ไม่แล้วไง บอกให้รู้เฉยๆ แต่คนอย่างนายคงจะไม่ใส่ใจอะไรอยู่แล้ว บอกไว้ก่อนว่าในห้องน้ำไม่มีมีดโกน ไม่ต้องมองหา”

    ที่เตียงก็คงจะเลอะเหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะ ถือซะว่า เป็นของที่ระลึก 

    มีอ่างอาบน้ำ แต่ก็ไม่ได้อยากจะแช่ตัว อยากอาบให้เสร็จไวๆ ตัวสั่นแต่ไม่รู้สึกว่าหนาว น้ำที่ไหลผ่านตัวกลายเป็นสีเลือดไปสักพัก ก่อนจะจางหายไปเป็นปกติ

    จะต่างกันตรงไหน ร้าวกับแตก..

    ก่อนหน้านี้ก็ร้าวมามาก ตอนนี้ก็แค่แตกออกเท่านั้น คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่

    ทำเพียงแค่ลูบน้ำไปกับตัว อาบเสร็จก็เดินออกมา ไม่มีผ้าขนหนู หรือเสื้อผ้าสำรองในห้องน้ำ

    เห็นจอห์นขมวดคิ้ว โยนผ้าขนหนูมาให้ เป็นผืนเดียวกับที่ใช้เมื่อครู่ เลยยังเปียกอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไร

    เดินไปหยิบเสื้อนักเรียนของตัวเองที่พื้น กระดุมหายไปหลายเม็ด เห็นเงาลางๆของกระดุมบางเม็ดยังตกอยู่ที่พื้น ใส่กางเกงตามไป 

    จำได้ว่ากระเป๋าตกอยู่แถวประตู เตะเท้าไปจนเจอ ไม่มีแว่นสำรองอยู่ในนั้น ทั้งๆที่เก็บไว้ตลอดแท้ๆ

    ไม่ต้องถามก็รู้ว่าหายไปไหน

    จำได้ว่าเคยถูกรื้อกระเป๋าครั้งหนึ่ง คงจะสำรวจมาหมดแล้ว

    “หาแว่นหรอไง?”

    ไม่ตอบ

    ไม่รู้จะตอบไปทำไม ยังไงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรอยู่ดี

    คิดว่าต่อไปนี้ เอาคลิปนั่นไปให้คนอื่นดูก็คงไม่ต่างกัน ไหนๆก็ฉายผ่านแคมฟร็อคไปแล้วนิ จะต่างกันตรงไหน

    ไม่ได้ยอมแพ้ แต่แค่ไม่อยากสู้ต่อ

    ไม่ได้ท้อถอย แต่แค่รู้สึกเหนื่อยหน่ายเท่านั้น

    เขาไม่ได้คืนแว่นให้

    เดินไปตามภาพเลือนลางที่นำออกไป ท้องฟ้าข้างนอกมืดแล้ว 

    เจ็บ

    เดินไม่ค่อยถนัดด้วย

    เปิดประตูรถขึ้นไป บนรถก็มีแต่ความเงียบที่สมควรจะคิดว่าน่าอึดอัด

    “…พูดอะไรออกมาสักคำสิ”

    พูดอะไร..

    อยากฟังอะไรหล่ะ..

    “พูดไม่ได้หรอไง? เมื่อกี้กัดลิ้นขาดไปแล้วหรอ?”

    “ไปตายซะ…”

    “หึ…ดูเหมือนคนพูดจะตายก่อนนะ”

    “ก็ดี จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก”

    “ไม่สนุกเลยหรือไง?”

    สนุก..

    จะหาเรื่องอะไรมาให้รู้สึกสนุก ไม่มีอะไรให้รู้สึกแบบนั้นสักนิด

    “หรือว่าชอบแบบเดิมมากว่า ไผ่ครับ? ไผ่คิดว่าไงครับ”

    “แบบไหนก็น่ารังเกียจทั้งนั้น..”

    เกลียด

    เกลียดเวลาได้ยินจอห์นพูดแบบนี้

    มันตอกย้ำให้เห็นความโง่ของตัวเอง

    ในช่วงเวลาสั้นๆก็มีความรู้สึกขึ้นมา…แต่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี

    “อย่าตายซะก่อนหล่ะ..”

    ครั้งหนึ่งที่เคยจูบกันแทนคำบอกลา ตอนนี้จูบนั้นกลับกลายเป็นคำพูดที่ฟังแล้วแปร่งหู…


    …………………………………….
    ………………………..





    [Inert 5 : complete]
    [29.12.54]
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×