ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    =Awkward= [BL]

    ลำดับตอนที่ #2 : Inert 2

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 56


    Inert 2





    รู้สึกบรรยากาศในโรงเรียนจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

    “หวัดดีไผ่ กินไรมายัง?”

    “กินมาแล้ว”

    “ว้า…” ทำหน้าเหมือนเสียใจ ดูก็รู้ว่าปั้นขึ้นมาเอง “อุตส่าห์เอาข้าวกล่องมาฝาก อันนี้แม่บ้านเราทำเอง อร่อยมาก”

    “หรอ..”

    พอทำเหมือนสนใจเข้าหน่อย ก็พูดนู่นพูดนี่มาไม่หยุด มองจากสายตาเหมือนจะดูเป็นผู้ใหญ่ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษที่คอยจะเอาแต่ปกป้องคนอื่นไปทั่ว แต่บางครั้งก็มีมุมเด็กๆแสดงออกมา

    “เดี๋ยวเราเดินไปส่ง”

    “ไม่ต้องหรอก...”

    “ไผ่”

    พอถูกเรียกชื่อแบบนี้ เลยไม่รู้จะห้ามยังไง  กระเป๋าถูกแย่งไปถือ “แบกอะไรมา หนักแบบนี้” โดนรื้อกระเป๋าต่อหน้าต่อตา แต่ไม่ห้าม เพราะรู้ว่าห้ามยังไงก็ไม่มีประโยชน์

    “แบกมาแบบนี้ทุกวันไม่หนักหรอ?”

    “ชินแล้ว…”

    “แล้วนี่มาโรงเรียนยังไง”

    “นั่งแท็กซี่มา”

    “บ้านอยู่แถวไหน” พอบอกไป จอห์นก็ทำหน้าครุ่นคิด “เดี๋ยวพรุ่งนี้ เราไปรับแล้วกัน”

    “ไปรับ?”

    “แอบเอารถพ่อมาขับหน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เราขับเก่ง”

    “….”

    “ทางเดียวกันอยู่แล้ว ไม่เป็นปัญหาเลย ตกลงนะ?”

    ที่เดินพูดคุยกันแบบนี้ ก็มีสายตาหลายๆคนจับจ้องอยู่

    อึดอัด ไม่ชอบ

    ไม่ใช่ว่าตอนนี้จะจงเกลียดจงชังอะไรจอห์นมากนัก แต่ที่ไม่ชอบก็เพราะความฮอทที่มันมี กลายเป็นจุดรวมสายตาผู้คน ไม่อยากจะเข้าไปอยู่ในวงนั้น อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พอหลายๆอย่างเปลี่ยนไป เริ่มรู้สึกได้ว่าถ้าปล่อยให้เรื่องแบบนี้ยังเกิดขึ้นต่อ อาจจะถูกดึงออกมายืนกลางแสงไฟนั่นด้วยซักวัน

    “อย่าเข้ามาใกล้มากได้ไหม?”

    “หืม?”

    “ไม่อยากถูกจ้อง”

    “…..”

    “รำคาญสายตาคนอื่น”

    “แล้วรำคาญเราหรือเปล่า?”

    “ก็ยังรำคาญอยู่ แต่น้อยลง”

    “ฟังแบบนี้ก็สบายใจแล้ว” เห็นรอยยิ้มบนหน้านั้น คิดว่าอาจจะต้องหรี่ตามอง หล่อ ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็พูดได้แต่คำนี้ ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน ก็ยังต้องยอมรับความจริง

    เสื้อนักเรียนเหมือนกัน แต่พอไปอยู่บนตัวอีกฝ่าย กลับคล้ายเป็นเสื้อแฟชั่น กางเกงถูกดึงต่ำ ตัดสั้น พอดีเข่า อาจเพราะเป็นลูกครึ่งด้วย เดินไปไหนมาไหนด้วยส่วนสูงแบบนี้จึงคล้ายกับเป็นนายแบบหลุดออกมา

    “เคยถ่ายแบบลงนิตยสารวัยรุ่นฉบับหนึ่งหน่ะ..เขามาตื๊อเป็นเดือน เลยต้องยอม”

    “….”

    “สุดท้าย พอลองถ่ายหน้ากล้องดูครั้งหนึ่ง ครั้งต่อๆไปก็เลยตามมาเต็มไปหมด ไม่อยากปฎิเสธออกไปชัดๆ แต่บางทีก็ต้องทำเหมือนกัน”

    เหมือนมีเสน่ห์บางอย่างดึงดูดออกมา ยืนเฉยๆก็รู้สึก

    “เดี๋ยวตอนเย็นขับไปส่งบ้านนะ”

    “….วันนี้แม่มารับ”

    โกหกไป เพราะไม่อยากจะกลับด้วย

    พรุ่งนี้เหมือนกัน ไม่รู้จะทำยังไงดี ทุกวันนี้เข้าห้องเรียนก็ต้องเจอกับสายตาเพื่อนมองมา บางคนซุบซิบ จงใจให้ได้ยิน “ทำไมคนอย่างมันถึงไปเดินกับจอห์นวะ?” “อย่างน้อยมันก็ทำให้ได้รู้ว่า บนโลกที่มีคนหล่ออย่างไอ้จอห์น ก็ยังมีคนแบบไอ้ไผ่อยู่ด้วย” ถามตัวเอง เสียใจหรือเปล่า หัวใจไม่ยอมตอบกลับมา

    พักกลางวัน หยิบหนังสือติดมือ กำลังจะเดินไปโรงอาหาร ก็ถูกเรียกไว้

    “ไผ่! รอก่อน คิดว่าไม่ทันซะแล้ว” วิ่งมาจากทางเดียวกับห้องเรียน “นี่วิ่งมาเต็มที่แล้วแต่ก็ยังไม่ทันอีกหรอเนี่ย”

    “จะทำอะไร”

    “จะมารับหน้าห้องเรียน”

    “เพื่อนไปไหนหมด”

    “วันนี้คิดว่าจะพาไผ่ไปนั่งกินข้าวด้วยที่โต๊ะ เพื่อนมันไม่ยอมให้เราออกมานั่งกับไผ่แค่สองคนแล้ว”

    “ทำไมเราต้องไปด้วย”

    “น่า ไปกับเราเถอะนะ”

    ในโต๊ะที่มีแต่เสียงดังน่ารำคาญไปหมด หนังสือที่หยิบมาก็อ่านไม่ได้ ไม่มีแม้กระทั่งที่จะวางหนังสือไว้ด้วยซ้ำ เลยวางหนังสือไว้ที่หน้าตักตัวเอง เพื่อนๆจอห์นนั่งเต็มไปหมด อย่างตอนนี้ก็ถูกเบียดประกบ จอห์นนั่งอยุ่ข้างๆ รู้สึกถึงอุณหภูมิร่างกายผ่านเนื้อผ้า

    ร้อน…

    “เฮ้ยไผ่ เราจีนนะ”

    “…สวัสดี เราไผ่”

    “พูดได้จริงๆหรอวะ? ไอ้จอห์น มึงทำได้ไงวะเนี่ย”

    “กูไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย”

    “เช้ดดด พ่อยอดชาย มึงทำให้วิญญาณแว่นพูดได้หว่ะ”

    “ทำไมเรียกไผ่เขาแบบนี้หว่ะ เขามีชื่อ เรียกเขาดีๆดิ ทิวไผ่ ชื่อทิวไผ่”

    “โหย ไอ้จอห์น ไม่ค่อย สาวๆมึงไปไหนหมดล่ะ”

    “สาวเหี้ยไร ไม่มีโว้ย”

    ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเหมือนเป็นหนึ่งในบรรดาสาวๆเหล่านั้น

    ผู้ชายเหมือนกัน .. ทำไมถึงคิดอะไรแบบนั้นนะ

    อย่างมาก ความสัมพันธ์ที่ให้ได้มากที่สุด…ก็คือเพื่อน 

    จะได้ใช้คำว่าเพื่อนกับคนๆนี้หรือเปล่า?

    คนที่มีแต่รอยยิ้มอยู่บนนั้น คนที่สดใสราวกับพระอาทิตย์เสียขนาดนี้…

    คำถามที่มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะตอบได้..





    …………………………….
    …………………….




    เสียงทุบประตูดังเข้ามาในความคิดขณะที่ติดกระดุมอยู่ เดินออกไปเปิดประตูห้องก็เห็นแม่ทำหน้าเบื่อๆ 

    “เพื่อนแกมารับแล้ว ใครกันหน่ะ ทำไมช่วงนี้มารับทุกวัน”

    รู้ทันทีโดยไม่ต้องฟังต่อว่าเป็นใคร เดินย้อนกลับไปในห้อง หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายที่หลัง “นี่ ตอบแม่มาสิ นั่นใคร ดูท่าจะไม่ใช่เด็กเรียนเท่าไหร่ อย่าให้เขาลากแกไปจนเสียการเรียนหล่ะ ไผ่ ไผ่! นี่ฟังแม่อยู่หรือเปล่า”

    “ผมได้ยินแล้วครับ”

    “ได้ยินอย่างเดียวไม่พอหรอกนะ ต้องจำด้วย” เสียงเสียดหูดังตั้งแต่เช้า ใส่รองเท้าอยู่ที่หน้าบ้าน เห็นรถหรูจอดอยู่นอกรั้วออกไป “ช่วงนี้กลับบ้านเย็นตลอด มัวทำอะไรอยู่ที่โรงเรียน ทำไมไม่รีบกลับมาอ่านหนังสือ”

    “ผมทำกิจกรรมอยู่”

    “กิจกรรมอะไร”

    “งานกลุ่มที่โรงเรียน”

    “โกหกแม่หรือเปล่า ไผ่ ทำไมไม่ตั้งใจเรียน”

    “ผมตั้งใจอยู่ครับ…”

    “นี่ประชดแม่หรอ?” ไม่อยากมองหน้าแม่อีกต่อไป ก้มมองรองเท้าพละสีดำ ที่ไม่ได้สะท้อนอะไรให้เห็น

    ตอนนี้ทำหน้าแบบไหนอยู่กันนะ 

    เฉยชาแบบเดิมหรือเปล่า?

    “ผมไปก่อนนะ”

    ไม่รู้ว่าพูดอะไรตามมาแต่ไม่ได้สนใจฟัง

    อาทิตย์ที่สองแล้ว ที่มีจอห์นมาป้วนเปี้ยนรอบตัวตลอด

    จากโทรศัพท์ที่มีไว้แค่รับสายพ่อแม่ ตอนนี้ก็มีอีกเบอร์หนึ่งที่โทรเข้าหาตลอดทุกครั้งที่ว่าง ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไงว่าตอนไหนว่าง ทุกครั้งเวลาเหมาะเจาะจนน่ากลัว

    ชวนคุยเรื่องไม่เป็นเรื่อง บางครั้งก็ต่างคนต่างเงียบ แต่ก็ไม่ได้วางสาย

    “เมื่อกี้แม่ไผ่หรอ?”

    “อืม”

    “ไผ่”

    หันไปมอง รถยังไม่เคลื่อนออกจากที่ จอห์นไม่ได้พูดอะไร แต่ยิ้มให้

    แค่นี้ก็เหมือนสื่อสารเรื่องที่อยากพูดทั้งหมดออกมาได้ แต่ไม่ได้ยิ้มกลับ ไม่รู้จะยิ้มทำไม ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เหมาะกับการยิ้มอะไรเลย

    “เดี๋ยวเย็นนี้พาไปกินไอติม เอาไหม?”

    “ต้องรีบกลับบ้าน”

    “วันนี้ห้องไผ่เลิกสามโมงไม่ใช่หรอ?”

    “เมื่อวานกลับสี่โมงครึ่ง ก็โดนหาว่ากลับบ้านดึก”

    “…งั้นถ้าซื้อมากินบ้านไผ่หล่ะ ได้ไหม?”

    “จอห์น…ไม่ใช่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร?”

    “ทำ..ทำอะไร?”

    “ทำดี..กับเราแบบนี้”

    “จะทำดีกับใครสักคน ต้องมีเหตุผลอย่างนั้นหรอ?”

    “…มันแปลกเกินไป”

    “อย่ากลัวที่จะเชื่อใจใครสิ..”

    บรรยากาศในรถดูจะเงียบสงบลง

    เสียงทุ้มนั้น เหมือนจะกล่อมให้หลงเชื่อ

    “ถ้ายังไม่อยากเชื่อใจใคร อย่างน้อยก็ลองดูได้ไหมไผ่? เชื่อใจผมหน่อย”

    พอเปลี่ยนคำเรียกตัวเอง ก็รู้สึกห้ามใจตัวเองไม่ได้ ที่จะลองเชื่อคำพูดนั้นดู

    สักที่ในความคิด กระซิบให้ลองเชื่อใจคนๆนี้ดูสักครั้ง….







    ………………………………….
    …………………………






    ไม่ได้มาห้างนานแล้ว เสียจนนึกภาพความวุ่นวายแบบนี้ไม่ออก

    ตอนนี้มันแจ่มชัดเสียจนอยากจะเดินกลับไปซะเดี๋ยวนี้

    ผู้คนหลากหลายวัย หลากหลายความคิดเดินเผ่นผ่านกันไปเสียหมด เสียงพูดคุย สายตา ที่กวาดมองไปทั่ว ทำให้รู้สึกประหม่า

    โดนจ้อง…โดนจ้องอยู่หรือเปล่า

    กลายเป็นคนที่หวาดกลัวที่จะอยู่ในฝูงชน อาการแบบนี้มันกลับมาอีกแล้ว

    “ไผ่ ไผ่เป็นอะไรหรือเปล่า”

    “เปล่า”

    “ทำไมหน้าซีดขนาดนั้น อากาศในนี้อบไปหรอ?”

    “ม..ไม่”

    อยากอาเจียน

    หลับตา ก็รู้สึกเหมือนทุกสายตากำลังจ้องมอง ขาสั่นไปหมด ในสายตาเหล่านั้น ได้ยินเสียงความคิดที่ไม่รู้มีจริงหรือไม่กระซิบพูด “ดูนั่นสิ””ไอ้สี่ตาหล่ะ””จะแกล้งอะไรมันดี?” อดีต อดีตที่ยังฝังแน่น โยกประสาทจนสั่นคลอน

    ไม่ ไม่เอาแล้ว

    อย่า..อย่ามายุ่ง

    ทรุดตัวฮวบลงกับพื้นเย็นๆ คนแตกออกเป็นวงกว้าง รู้สึกถึงอ้อมแขนที่โอบไหล่ไว้ “ไผ่ ไผ่เป็นอะไร?” 

    อยู่ในโรงเรียน คนวัยเดียวกัน รู้สึกเหมือนบางครั้งก็สามารถจะกลมกลืนซ่อนอยู่ในความเหมือนนั่นได้ แต่พอมาอยู่ท่ามกลางคนแบบนี้ กลับรู้สึกต่างออกไป

    หายใจไม่ออก..

    “ไผ่!ไผ่!” ถูกโยกตัวจนสั่นไปหมด แว่นตาหลุดออก ภาพรอบตัวพล่าเลือนจนมองไม่ชัด เห็นเพียงเส้นโย้เย้ที่มีเค้าลางของรูปร่างคนเต็มไปหมด ทุกคู่สายตากำลังจับจ้องมา

    กลัว

    “ไผ่ ตั้งสติดีๆ อย่ากลัวไป ไม่มีใครจะทำร้ายไผ่หรอก”

    เชื่อได้ยังไง..

    จะเชื่อคำพูดนี้ได้ยังไง

    “เชื่อจอห์นสิ…”

    เสียงทุ้มนั่นอุ่น

    ในความพร่าเลือนที่มองไม่เห็น เลื่อนกายเข้าใกล้ความอบอุ่นที่อยู่ตรงหน้า ไม่รอช้า อีกฝ่ายโอบกอดแผ่นหลังไว้จนแน่น

    ซุกลงกับอก ได้ยินเสียงหัวใจดังปนไปกับเสียงผู้คนรอบกาย ปลายนิ้วยังสั่น แต่รู้สึกถึงความปลอดภัยที่กลับมา เหมือนในอ้อมแขนเล็กๆนี้ โลกอีกใบที่สงบกำลังโอบล้อมไว้

    “ไผ่ ไม่เป็นไรนะ ผมอยู่ตรงนี้กับไผ่…จะไม่ไปไหนแน่นอน”

    ถูกกล่อมด้วยคำพูดอันอ่อนโยนนั้น จนกล่องของอดีตถูกปิดลง….




    …………………………………..
    ………………………..




    อ้าปากช้าๆ

    ความเย็นที่เข้ามาในปากทำให้รู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง

    ที่ปลายสายตา นัยน์ตาสีน้ำตาลกำลังจ้องมองกลับมา อ่านความคิดไม่ออก 

    ช้อนถูกดึงออกจากปากไปแล้ว ความหวานกระจายไปทั่วโพรงปาก

    “หวานไปหรือเปล่า?”

    “ไม่ กำลังดี…”

    “ขอโทษนะ ที่ไม่ถามไผ่ก่อน”

    “ไม่ ไม่ใช่ความผิดของนาย ก็แค่…” พอเห็นสายตาที่มองกลับมาก็พูดต่อไม่ออก สงสารเหรอ หรือสมเพช “ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้อีก”

    “เป็นอะไร? ทำไมถึงกลัวจนตัวสั่นแบบนั้น ผมตกใจหมด”

    “ทำไมถึงเรียกตัวเองว่าผม?”

    จอห์นถอนหายใจ “ก็แค่อยากจะสุภาพด้วย ฟังแล้วจะได้สบายหูไงครับ” เห็นเรียกเพื่อนก็ใช้มึงกู ยิ่งฟังเลยยิ่งรู้สึกไม่ชินหูสักที 

    ไอศครีมควอตซ์ใหญ่อยู่ในมือของเขา ตักส่งให้กินสลับกันไป ด้วยช้อนเดียวกัน

    ในบ้านหลังนี้ โลกทั้งใบอยู่หลังประตูห้องนอน

    ไม่อยากจะเปิดประตูออกไป เหมือนกับเขตแดนศักดิ์สิทธิ ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้ก้าวเข้ามาในนี้ทั้งนั้น

    คนนี้..เป็นคนแรกที่ได้เข้ามา ในโลกแคบๆที่ออกกฏเกณฑ์ได้เองอย่างอิสระ

    “อยากจะทำดีกับไผ่ ให้ไผ่รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว…”

    “….ไผ่”

    แค่เรียก ก็เหมือนต้องมนต์สะกด…

    ใกล้

    รู้สึกใกล้ จนลมหายใจรดกัน

    ตั้งแต่เมื่อไหร่..

    ที่ช้อน ตกลงกับพื้น จนได้ยินเสียงเหล็กกระทบไม้

    เพียงแค่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น…ริมฝีปากรสไอศครีมก็ประกบเข้าหากัน

    ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้

    รู้แค่เพียงว่า สิ่งที่กำลังจะเกิดนั้น คงไม่อาจจะหยุดได้ง่ายๆอย่างแน่นอน..





    ………………………………..
    ………………………….





    ในรสชาติของไอศครีม มีบางอย่างที่แปลกออกไป

    ลิ้นพัวพันเข้าหากัน ไม่เคยจูบมาก่อน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกงุ่มง่าม แค่ตามการนำของอีกฝ่ายไป

    ได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางอย่างถูกกัด จอห์นตักไอติมด้วยช้อนที่ตกไปแล้ว ไม่ได้รังเกียจ เมื่อปากประกบกันอีกครั้ง ไอติมนั้นก็ถูกผลักเข้ามาในปาก

    มือถูกคว้าไปจับไว้

    จูบที่ทำให้หายใจไม่ออก ถูกปล่อยออกมาหายใจไม่นาน ก็ถูกประกบริมฝีปากกลับไปใหม่

    เอนตัวจนหลังชนกับเตียง เพราะนั่งอยู่ที่พื้น เมื่อถูกรุกหนักจึงถอยหลังหนี

    “ไผ่…”

    “…จะทำอะไร”

    “..อยากกอด”

    ร่างกายร้อน..

    ไม่รู้ทำไม แต่คำปฏิเสธ ไม่ได้อยู่ในหัวเลยสักนิด

    “….ก็เอาสิ..”

    ถูกถอดแว่นออก มองไม่เห็น จึงรีบโผเข้าหาเงาเลือนรางตรงหน้า “เอาแว่นคืนมา…เรามองไม่เห็น”

    “…อย่าใส่แว่นเลยนะ อยากเห็นหน้าไผ่ชัดๆ”

    “…..ขอคืนเถอะ เรามองไม่เห็นจริงๆ”

    “แล้วแบบนี้..เห็นไหม?”

    ถูกประกบปากจูบอีกครั้ง ใกล้ขนาดนี้ก็ไม่เห็น เพราะเหมือนเป็นสัญชาติญาณ ที่ทำให้ต้องปิดตา

    กลัว…

    พอมองเห็นไม่ชัดก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

    “…ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ตรงนี้”

    “อ..อย่าไปไหนนะ”

    “ไม่ไปไหนหรอก…” เหมือนถูกยกทั้งตัวขึ้น หลังเอนลงกับเตียง ถึงจะกลับลำตอนนี้ก็คิดว่าไม่ทันแล้ว

    จึงได้แต่หลับตา….ปล่อยให้อารมณ์และร่างกายพาความรู้สึกไป






    …………………………………….
    ………………………….





    [Inert 2 : complete]
    [26.12.54]


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×