ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Inert 1
Inert 1
เช้ามาโรงเรียน..มองไปก็เห็นคนที่เกลียดที่สุด
เกลียดเวลามันยิ้ม มันหัวเราะ เกลียดเวลามันรายงานหน้าชั้นแล้วได้รับเสียงตรบมือพร้อมคำชม เกลียดคะแนนระดับท็อปของมัน เกลียดเวลามันเล่นกีฬาแล้วพาทีมชนะ
เกลียด
เกลียดทุกอย่างที่เป็นมัน
หัวใจได้แต่ตะโกนร้องอัดแน่นเต็มอกไปหมด
“เฮ้ย ไอ้จอห์น ไปเล่นบาสกัน”
เพื่อนๆรายล้อมรอบตัวมันเต็มไปหมด เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ไม่ได้อยากได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย
อยากจะอยู่คนเดียว..
อยากอยู่เงียบๆ ในที่ที่ไม่มีใครเห็น
ตอนนี้ความปรารถนาก็เป็นจริงไปครึ่งหนึ่ง จะอยู่หรือไม่ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจ ที่ยังรบกวนจิตใจอยู่ก็คงเป็นเพราะเสียงที่วุ่นวายนี่หล่ะ
“เฮ้ย อย่าผลักกูสิวะ”
สิ้นเสียงนั้น ร่างทั้งร่างของเจ้าของเสียงก็หงายหลังชนเข้ากับโต๊ะผม กระติกที่ปิดฝาไม่แน่นล้มลงกับโต๊ะงานที่ทำมาสองคืน กลายเป็นกระดาษเปียกๆในชั่วพริบตา
“ข..ขอโทษครับ เป็นไรหรือเปล่า”
“…..”
“ไอ้จอหน์ มึงไม่ต้องไปพูดกับมันหรอก ยังไงแม่งก็ไม่ตอบอยู่ดี”
“ได้ไง กูทำรายงานเขาเปียกหมดเลย งานไรวะเนี่ย ไม่เคยเห็น” พูดกับเพื่อน แล้วพูดกับตัวเอง ทำไมต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาด้วย “ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจ”
“ช่างมันเหอะ”
เสียงแหบแห้ง เพราะไม่ได้เปิดปากพูดคุยกับใครมานาน
อยู่ในมุมที่ไม่เคยมีใครมองเห็น นานเสียจนเริ่มจะลืมวิธีพูดคุยกับคนอื่นไปเสียแล้ว
“พวกมึงไปเหอะหว่ะ กูไม่ไปเล่นแล้ว”
“อ้าว ได้ไงวะไอ้จอห์น ไม่มีมึง พวกกูเล่นไม่สนุกหรอก”
“เราขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริง”
“ไอ้จอห์น มึงฟังกูหรือเปล่าวะ ไอ้แว่นแม่งไม่คิดมากหรอก มันทำอันเก่าได้ อันใหม่ก็คงทำได้เหมือนกัน”
“ไหงมึงพูดเหี้ยๆไรงี้วะ”
ทะเลาะกันเองให้ดู อย่างกับจะเล่นละครให้ดู
น่ารำคาญ
โกยรายงานที่เปียกไว้เป็นกองเดียว ยกชีทหนี แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้ เผลอสะดุ้งทั้งตัว นานแล้ว ที่ไม่มีใครมาจับตัวแบบนี้ “อย่าพึ่งไปสิ”
“แล้วจะอยู่ทำไม”
“เราจะช่วยนายทำใหม่ไง”
“ที่บ้านยังมีไฟล์อยู่ ก็แค่ปริ้นท์ใหม่”
“ส่งเข้าเมลล์เรามาสิ เดี๋ยวปริ้นท์ใหม่ให้”
“บอกว่าไม่เป็นไรไง”
“ไอ้จอห์น มึงมาเหอะ กูรำคาญแม่ง ไปกัน”
“มึงหยุดยุ่งกับกูซักทีเถอะ! กูทำผิด กูก็ต้องรับผิดชอบดิ”
“เออๆ กูไม่ยุ่งแล้ว เสร็จมึงก็ตามมาแล้วกัน”
เพื่อนกลุ่มนั้นวิ่งหายไปแล้ว แต่เขายังอยู่ ยังอยู่ตรงหน้านี้
ด้วยสีหน้าที่ราวกับเสียใจในการกระทำของตัวเองเหลือเกิน ที่แสดงออกมานี่เรื่องจริงหรือเปล่า? หรือจะเป็นแค่ละครอีกฉากกันแน่ มันจะมีคนแบบนี้บนโลกด้วยหรือไง คนที่ครบทุกด้านขนาดนั้น..แล้วจะมาสนใจคนที่แสนจะน่าเบื่อ คนที่ถูกเรียกว่าวิญญาณในห้อง..
เผลอมองใบหน้านั่น
ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นลูกครึ่ง ผมสีออกน้ำตาลหน่อยๆ จะเห็นชัดเมื่อไปยืนกลางแดด ดวงตาสีไม้ ร่างกายสูงสมส่วน ไม่ว่ายังไง มายืนด้วยกันแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนโลกคนละใบอยู่ดี
“หน้าเรามีอะไรติดอยู่หรอ?”
“ป…เปล่า”
“ชื่ออะไร ทำไมไม่เคยเห็นเลย”
จะไปเคยเห็นได้ยังไง คนที่ออกจะเจิดจรัสซะขนาดนั้น แค่ยืนอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกแสบตาแล้ว “ไผ่ อยู่ห้องหนึ่ง”
“เราจอห์น ห้องสามนะ”
พยักหน้าไป ไม่อยากคุยต่อ เห็นสาวๆสองสามคนมุมนู้นมองอยู่นานแล้ว ความจริงรู้ว่ามีคนมองอยู่หลายคน ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา
“อย่าพึ่งไปสิ จดเมลล์เราไปก่อน”
“จะเอาไปทำไม”
“ก็ส่งไฟล์ใหม่มาให้ไง เดี๋ยวเราปริ้นท์ให้เอง”
ดูท่าจะไม่ยอมรับฟังคำปฏิเสธของใครทั้งสิ้น เลยเปิดสมุด ให้จดด้วยดินสอลงไป สาวๆคงจะอยากได้หลายคน “อย่าเอาไปแจกใครหล่ะ” พูดกำชับ ดูท่าจะรู้ตัวดีว่าตัวเองก็ฮอทอยู่ไม่น้อย
กลับถึงบ้าน นั่งจ้องเมลล์นั่นอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งไฟล์อะไรนั่นไปให้
นั่งปริ้นท์ใหม่ทั้งหมด ในห้องที่มีแต่แสงออกมาจากหน้าจอคอม พ่อตะโกนเข้ามาในห้อง “อ่านหนังสือได้แล้ว” กองหนังสือวางอยู่บนโต๊ะนั้น กองสูง ไม่อยากอ่าน เบื่อ จนไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายังไง
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปิดคอมพ์ ย้ายตัวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ อดที่จะหดหู่กับตัวเองไม่ได้…
……………………………
………………….
“ทำไมเมื่อวานนายไม่ส่งเมลล์มา?”
“…ลืม”
“ตั้งใจใช่ไหม?”
ถ้าตอบว่าใช่ คนดีอย่างมันจะหนีไปร้องไห้หรือเปล่า
เห็นผู้หญิงสองสามคนกำลังจะเดินเข้ามาหามัน เลยรีบออกห่าง “โทษทีนะ แต่เดี๋ยวต้องไปเรียนต่อแล้ว”
“เรียนอะไร เคมีหรอ?” เหลือบมองหนังสือที่กอดไว้ในอก เห็นชัดขนาดนี้จะยังถามอีกทำไม “งั้นกลางวันเจอกัน”
“ทำไมต้องเจอกันอีก”
“เรายังไม่ได้ขอโทษนายเลย”
“ขอโทษไปแล้ว และก็ไม่ได้ต้องการเพิ่ม”
“อย่าปฏิเสธกันแบบนั้นสิ” ทำไมถึงได้ตื้อกันมากขนาดนี้ หันหลังกลับไป แล้วไปอยู่กับพรรคพวกที่แสนเจิดจรัสนั่นซะเถอะ อย่ามายุ่งกับคนตายซากแบบนี้เลย
“…รำคาญ”
เหมือนจะเห็นแววตาเสียใจอยู่ในนัยน์ตาสีไม้นั่น
เป็นช่วงเวลาเดียวกัน ที่ความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉายพาดความเสียใจนั้น
อากาศเหมือนจะเย็นลงในชั่วขณะนึง
ไม่ ไม่ได้รู้สึกเสียใจที่พูดคำนี้ออกไปเลย
ใช้ปลายนิ้วดันแว่นขึ้น “ขอตัวนะ” เดินตัดผ่านไปตามระเบียงที่คนเดินกันให้วุ่น คิดว่าคงจะไม่ได้เจออีก..
เพราะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แถมเป็นคนเฉยชา เลยอาจจะดูเหมือนของแปลกในตาของอีกฝ่ายสินะ ถึงได้เข้ามาคุย มายุ่งด้วย แต่อีกไม่นานก็คงจะเบื่อแล้วตีจากไปเอง เหมือนกับที่หลายๆคนเคยทำ
การเป็นคนน่าเบื่อ ไม่ใช่สิ่งที่อยากเป็น แต่เพราะเป็นสิ่งที่เป็น ถึงไม่รู้จะแก้ยังไง
เดินตามหลังเพื่อนห้องเดียวกันไป ไม่มีใครชวนคุย ไม่มีใครตบไหล่เรียก จะมีคุยบ้างก็ตอนส่งงานหรือทำงานกลุ่ม มีประโยชน์กับเพื่อนได้แค่นี้
แต่ก็ไม่ได้อยากก้าวไปหา ไม่อยากก้าวออกจากที่ๆยืนอยู่ เพราะไม่รู้ทางข้างหน้าเป็นยังไง เลยจะไม่ก้าวออกไป
กอดสมุดเคมีในแขนแน่น รู้สึกถึงความเย็นของกระดาษเพียงลำพัง..
………………………………..
…………………………
“นี่ ร้านนี้นี่ร้านไหนหรอ”
“ติดกับร้านขายน้ำ”
“น่ากินจัง ขอกินสักคำได้ไหม?”
“….”
“ไม่ตอบแปลว่าให้นะ”
“ทำไมไม่ไปนั่งกับเพื่อนตัวเอง”
“ก็อยากนั่งด้วย”
“ทำไม”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่แค่อยากนั่งด้วย”
มันเป็นเกมอะไรหรือเปล่า
เคยเห็นตามนิยายเก่าๆที่มักจะมีการแกล้งแบบนี้ประจำ มาตีสนิทเด็กสุดเฉิ่ม แต่สักวันหนึ่งก็จะหายไป
ทิ้งให้เคว้งอยู่ลำพังอีกครั้ง…
“เล่นพนันกับใครไว้หรือเปล่า”
“หมายความว่ายังไง?” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ จึงขยายความต่อให้ “ไปพนันกับใครให้มาตีสนิทเราหรือเปล่า?”
“เปล่านิ จะไปเล่นแบบนั้นทำไม มีคนเล่นอะไรแบบนั้นด้วยหรอ”
“เปล่า…”
“ฮะฮะฮะ คิดได้อย่างไงหน่ะ เรื่องแบบนั้น ถ้าไม่ใช่นิยายก็คงจะไม่ได้เห็นหรอก”
นั่นสินะ คิดมากไปเอง
แต่ไม่ว่ายังไงก็สงสัยอยู่ดี
อยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันจนหมดจาน อีกฝ่ายชวนพูดคุยตลอด น่ารำคาญ รู้สึกเหมือนโดนบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไปจนไม่ปลอดภัย อยากจะหนีไปให้พ้น แต่จอห์นคงจะเก่งเรื่องการสะกดรอย เดินไปไหนมาไหนในโรงเรียนที่กว้างแสนกว้างก็เจอกันเกือบทุกคาบที่ย้ายตึกเรียน
ห้องสามไม่ได้อยู่ใกล้ แต่ก็ขยันพาหน้ามาให้เห็นบ่อยๆ เป็นแบบนี้อยู่หลายวัน แม้จะพูดออกไปหลายครั้งแล้วว่ารำคาญ แต่ก็ยังไม่ละซึ่งความพยายาม
เพราะอะไร?
เพราะอะไรกัน? พยายามใช้สมองของเด็กที่ได้รับแต่คำชื่นชมในด้านการเรียนมาตลอด แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้ แม้แต่สมองก็ยังช่วยอะไรไม่ได้
หัวใจหล่ะ จะตอบได้หรือเปล่า
พยายามเรียกหา แต่ดูเหมือนจะมีเพียงก้อนเนื้อที่เต้นได้ เลือดสูบฉีดเข้าและออก ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียนรู้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
บางครั้ง รู้สึกเหมือนเดินไปไหนมาไหนด้วยช่องว่างขนาดใหญ่บนตัว ที่คนอื่นมองผ่านทะลุไปได้ ความรู้สึกที่มีอยู่เต็มสิบ คิดว่าตัวเองอาจจะมีแค่หนึ่งหรือสองเท่านั้น มันทำงานได้ช้า และออกจะเฉื่อยชาเกินกว่าที่จะเข้าใจ
หลับตาลงนอน
ไม่ได้ฝัน
ทว่าในความว่างเปล่านั้น ได้ยินเสียง เสียงที่ตัวเองรำคาญ เสียงที่ไม่อยากได้ยิน
“อยากอยู่ด้วย…”
เคยได้ยินคำนี้ครั้งหนึ่ง เมื่อยืนดูคะแนนอยู่หน้าห้องเคมี
“อยากจะอยู่ห้องเดียวกัน..แต่คงไปเรียนห้องนั้นไม่ไหวหรอก”
ผลการเรียนจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้ไปเรียนที่ห้องหนึ่ง ห้องที่คัดแต่เด็กหัวกะทิมาเรียนด้วยกัน
ไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่เงียบ ออกไป ออกไปซักที
“อยากจะอยู่ข้างๆ….”
เผลอหันไปมองหน้า เพราะอีกฝ่ายสูงกว่าน้อย จึงเหมือนต้องเงยหน้าขึ้นสบตา
ไม่ได้รู้สึกใจเต้น อันที่จริง ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น
สายตาว่างเปล่า จ้องมองตอบสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
บางครั้ง รู้สึกได้ว่าจอห์นก็คงจะมีช่องว่างในตัวเหมือนๆกัน แต่ที่ผิดกันคงจะเป็นของเขา ที่มันขยายออกขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่พอจะใส่ความรู้สึกใดๆลงไป
ผ่านไปไม่รู้ตั้งกี่วัน มีขนมมาวางบนโต๊ะพร้อมกระดาษโพสอิท “ตั้งใจเรียนนะ” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆออกจากปากแม่ เต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสนจะอึดอัด บางทีนั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของความว่างเปล่าในตัว
ยกขนมนั้นให้เพื่อนที่นั่งข้างๆ จึงทำให้ได้พูดกันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดเทอมสองมา
………………………
……………….
ทำไมต้องมาเรียนพร้อมกัน
วันสุดท้ายของอาทิตย์
ไม่น่าเชื่อ ว่านี่พึ่งจะผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียวหลังจากที่เจอหน้ากันครั้งแรก
ไม่ได้ตั้งใจหันไปมอง แต่พอเหลือบไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองอยู่ เป็นสายตาที่น่าอึดอัด เพราะเวลาจ้องจะไม่ว่อกแว่กสนใจอย่างอื่น จึงรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ทุกคนจับจ้อง
ได้ยินเสียงร้องแซวโห่ของพวกผู้ชาย “นั้นมันน้องกิ๊ฟไม่ใช่หรอวะ” กิ๊ฟ เพื่อนร่วมห้อง ไม่แน่ใจว่าคนไหนแต่เคยได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ คิดว่าน่าจะสวย “จอห์น คนนี้มึงอย่าแย่งกูเลยนะ กูขอเหอะ”
“เฮ้ย กูไม่ได้จีบเขาซักหน่อย”
“กูเห็นเขาเข้ามาคุยกับมึง”
“ทักกันเฉยๆหน่ะ”
จะฟังทำไม? คิดได้อย่างนั้นก็หันกลับมาสนใจสิ่งที่อาจารย์พูด อาจจะออกสอบ เพราะฉะนั้นต้องทำ ทำให้เต็มที่
เพื่ออะไร…
ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
ให้วิ่งอีกแล้ว ไม่อยากวิ่งอีกต่อไปแล้ว
เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย วิ่งแค่สองรอบจึงเหนื่อย โดนเพื่อนในห้องล้อว่าตุ๊ด เอาเถอะ จะเรียกยังไงก็เชิญ
ได้ยินเสียงรองเท้าวิ่งตามอยู่ข้างหลัง คงจะตามมาสักพักแล้ว ไม่ได้อยากหันกลับไปมอง
“เหนื่อยหรอ?”
“….”
“คุยกับเราหน่อยสิ”
“ทำไมต้องคุย…อาจารย์..ให้วิ่ง ไม่ได้ให้คุย”
“ใจร้ายจัง”
“เลิกยุ่งซักที”
“ทำไมถึงชอบไล่เราอยู่เรื่อย” จอห์นเร่งเท้าขึ้นมาวิ่งคู่กัน อยากวิ่งหนี แต่ไม่มีแรงพอ เพราะถูกชวนคุย เลยยิ่งเหนื่อยขึ้นไปอีก
หยุดวิ่งก็ไม่ได้ เสียงนกหวีดไล่ตามหลังมา
“หน้าซีดๆนะ”
“ไม่ได้..เป็นอะไร”
แดดร้อนกว่าปกติ
รู้สึกเหมือนพระอาทิตย์จะขยายขนาดขึ้น…
“เฮ้ย! ไผ่”
เสียงที่แสนจะเกลียดดังขึ้นมาในความคิด
ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบ ดับวูบลง..
………………………………….
……………………….
ได้ยินเสียงบางอย่าง
ตึก ตึก ตึก
เหมือนเสียงหัวใจ..
ลืมตาขึ้นมา แนบหลังของอีกฝ่ายอยู่
มองจากมุมนี้เห็นแค่ผม แต่ผมสีน้ำตาลแบบนี้ คงมีแค่คนเดียว
ถูกแบกขึ้นหลัง แนบชิด ร่างกายที่สัมผัสกัน สร้างความรู้สึกแปลกๆ
ไม่เคยใกล้กับใครแบบนี้มานานขนาดไหนแล้ว?...
จำไม่ได้
“ไผ่ ได้ยินไหม?”
เหมือนจอห์นจะเรียกมาแบบนี้สักพัก คงกำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องพยาบาล
“ได้ยิน”
“อดทนอีกแป็ปนึงนะ จะถึงห้องพยาบาลแล้ว”
“ไม่ต้อง”
“…..”
“ไม่ต้องไปห้องพยาบาล โอเคดี ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“ให้อาจารย์เขาเช็คหน่อยเถอะ จะได้สบายใจ”
ไม่ได้กังวลใจอะไร
อาจจะแค่เหนื่อย
ตายก็ดี แต่อย่าพิการเป็นพอ เดี๋ยวจะกลายเป็นภาระให้กับคนอื่น
“ไม่ได้กังวลอะไรอยู่แล้ว”
“แต่เราเป็นห่วง…”
เสียงนั้นดูร้อนรน
เรื่องจริงหรือเปล่า…ความรู้สึกที่แสดงอออกมาหน่ะ มันมาจากสิ่งที่เรียกว่าหัวใจใช่ไหม?
ทำไม ?
ผู้หญิงดังๆในโรงเรียนหลายคนก็แอบชอบอยู่ไม่ใช่หรือไง ทั้งๆที่เป็นคนเล่าเรื่องนั้นให้ฟังแท้ๆ
คำว่าเป็นห่วง
ซึมลึกเข้าไปในใจ…
เหมือนน้ำฝนที่โปรยปรายลงบนทะเลทรายอ้างว้าง
ไม่ได้สัมผัสความชุ่มช่ำแบบนี้มานาน…นานเสียจนลืมความรู้สึกนี้ไป
จอห์นเดินเข้ามาในชีวิต ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น
พร้อมกับความชุ่มชื้นที่โปรยปรายลงมาในหัวใจ…
“…ขอบคุณ”
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ…ขอบคุณนะที่ไม่ไล่เราไปอีก”
………………………………………
…………………………….
[Inert 1: complete]
[24.12.54]
เช้ามาโรงเรียน..มองไปก็เห็นคนที่เกลียดที่สุด
เกลียดเวลามันยิ้ม มันหัวเราะ เกลียดเวลามันรายงานหน้าชั้นแล้วได้รับเสียงตรบมือพร้อมคำชม เกลียดคะแนนระดับท็อปของมัน เกลียดเวลามันเล่นกีฬาแล้วพาทีมชนะ
เกลียด
เกลียดทุกอย่างที่เป็นมัน
หัวใจได้แต่ตะโกนร้องอัดแน่นเต็มอกไปหมด
“เฮ้ย ไอ้จอห์น ไปเล่นบาสกัน”
เพื่อนๆรายล้อมรอบตัวมันเต็มไปหมด เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ ไม่ได้อยากได้ยินเสียงเหล่านั้นเลย
อยากจะอยู่คนเดียว..
อยากอยู่เงียบๆ ในที่ที่ไม่มีใครเห็น
ตอนนี้ความปรารถนาก็เป็นจริงไปครึ่งหนึ่ง จะอยู่หรือไม่ ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครสนใจ ที่ยังรบกวนจิตใจอยู่ก็คงเป็นเพราะเสียงที่วุ่นวายนี่หล่ะ
“เฮ้ย อย่าผลักกูสิวะ”
สิ้นเสียงนั้น ร่างทั้งร่างของเจ้าของเสียงก็หงายหลังชนเข้ากับโต๊ะผม กระติกที่ปิดฝาไม่แน่นล้มลงกับโต๊ะงานที่ทำมาสองคืน กลายเป็นกระดาษเปียกๆในชั่วพริบตา
“ข..ขอโทษครับ เป็นไรหรือเปล่า”
“…..”
“ไอ้จอหน์ มึงไม่ต้องไปพูดกับมันหรอก ยังไงแม่งก็ไม่ตอบอยู่ดี”
“ได้ไง กูทำรายงานเขาเปียกหมดเลย งานไรวะเนี่ย ไม่เคยเห็น” พูดกับเพื่อน แล้วพูดกับตัวเอง ทำไมต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาด้วย “ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจ”
“ช่างมันเหอะ”
เสียงแหบแห้ง เพราะไม่ได้เปิดปากพูดคุยกับใครมานาน
อยู่ในมุมที่ไม่เคยมีใครมองเห็น นานเสียจนเริ่มจะลืมวิธีพูดคุยกับคนอื่นไปเสียแล้ว
“พวกมึงไปเหอะหว่ะ กูไม่ไปเล่นแล้ว”
“อ้าว ได้ไงวะไอ้จอห์น ไม่มีมึง พวกกูเล่นไม่สนุกหรอก”
“เราขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริง”
“ไอ้จอห์น มึงฟังกูหรือเปล่าวะ ไอ้แว่นแม่งไม่คิดมากหรอก มันทำอันเก่าได้ อันใหม่ก็คงทำได้เหมือนกัน”
“ไหงมึงพูดเหี้ยๆไรงี้วะ”
ทะเลาะกันเองให้ดู อย่างกับจะเล่นละครให้ดู
น่ารำคาญ
โกยรายงานที่เปียกไว้เป็นกองเดียว ยกชีทหนี แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้ เผลอสะดุ้งทั้งตัว นานแล้ว ที่ไม่มีใครมาจับตัวแบบนี้ “อย่าพึ่งไปสิ”
“แล้วจะอยู่ทำไม”
“เราจะช่วยนายทำใหม่ไง”
“ที่บ้านยังมีไฟล์อยู่ ก็แค่ปริ้นท์ใหม่”
“ส่งเข้าเมลล์เรามาสิ เดี๋ยวปริ้นท์ใหม่ให้”
“บอกว่าไม่เป็นไรไง”
“ไอ้จอห์น มึงมาเหอะ กูรำคาญแม่ง ไปกัน”
“มึงหยุดยุ่งกับกูซักทีเถอะ! กูทำผิด กูก็ต้องรับผิดชอบดิ”
“เออๆ กูไม่ยุ่งแล้ว เสร็จมึงก็ตามมาแล้วกัน”
เพื่อนกลุ่มนั้นวิ่งหายไปแล้ว แต่เขายังอยู่ ยังอยู่ตรงหน้านี้
ด้วยสีหน้าที่ราวกับเสียใจในการกระทำของตัวเองเหลือเกิน ที่แสดงออกมานี่เรื่องจริงหรือเปล่า? หรือจะเป็นแค่ละครอีกฉากกันแน่ มันจะมีคนแบบนี้บนโลกด้วยหรือไง คนที่ครบทุกด้านขนาดนั้น..แล้วจะมาสนใจคนที่แสนจะน่าเบื่อ คนที่ถูกเรียกว่าวิญญาณในห้อง..
เผลอมองใบหน้านั่น
ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นลูกครึ่ง ผมสีออกน้ำตาลหน่อยๆ จะเห็นชัดเมื่อไปยืนกลางแดด ดวงตาสีไม้ ร่างกายสูงสมส่วน ไม่ว่ายังไง มายืนด้วยกันแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนโลกคนละใบอยู่ดี
“หน้าเรามีอะไรติดอยู่หรอ?”
“ป…เปล่า”
“ชื่ออะไร ทำไมไม่เคยเห็นเลย”
จะไปเคยเห็นได้ยังไง คนที่ออกจะเจิดจรัสซะขนาดนั้น แค่ยืนอยู่ใกล้ๆก็รู้สึกแสบตาแล้ว “ไผ่ อยู่ห้องหนึ่ง”
“เราจอห์น ห้องสามนะ”
พยักหน้าไป ไม่อยากคุยต่อ เห็นสาวๆสองสามคนมุมนู้นมองอยู่นานแล้ว ความจริงรู้ว่ามีคนมองอยู่หลายคน ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา
“อย่าพึ่งไปสิ จดเมลล์เราไปก่อน”
“จะเอาไปทำไม”
“ก็ส่งไฟล์ใหม่มาให้ไง เดี๋ยวเราปริ้นท์ให้เอง”
ดูท่าจะไม่ยอมรับฟังคำปฏิเสธของใครทั้งสิ้น เลยเปิดสมุด ให้จดด้วยดินสอลงไป สาวๆคงจะอยากได้หลายคน “อย่าเอาไปแจกใครหล่ะ” พูดกำชับ ดูท่าจะรู้ตัวดีว่าตัวเองก็ฮอทอยู่ไม่น้อย
กลับถึงบ้าน นั่งจ้องเมลล์นั่นอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งไฟล์อะไรนั่นไปให้
นั่งปริ้นท์ใหม่ทั้งหมด ในห้องที่มีแต่แสงออกมาจากหน้าจอคอม พ่อตะโกนเข้ามาในห้อง “อ่านหนังสือได้แล้ว” กองหนังสือวางอยู่บนโต๊ะนั้น กองสูง ไม่อยากอ่าน เบื่อ จนไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้ออกมายังไง
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ปิดคอมพ์ ย้ายตัวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ อดที่จะหดหู่กับตัวเองไม่ได้…
……………………………
………………….
“ทำไมเมื่อวานนายไม่ส่งเมลล์มา?”
“…ลืม”
“ตั้งใจใช่ไหม?”
ถ้าตอบว่าใช่ คนดีอย่างมันจะหนีไปร้องไห้หรือเปล่า
เห็นผู้หญิงสองสามคนกำลังจะเดินเข้ามาหามัน เลยรีบออกห่าง “โทษทีนะ แต่เดี๋ยวต้องไปเรียนต่อแล้ว”
“เรียนอะไร เคมีหรอ?” เหลือบมองหนังสือที่กอดไว้ในอก เห็นชัดขนาดนี้จะยังถามอีกทำไม “งั้นกลางวันเจอกัน”
“ทำไมต้องเจอกันอีก”
“เรายังไม่ได้ขอโทษนายเลย”
“ขอโทษไปแล้ว และก็ไม่ได้ต้องการเพิ่ม”
“อย่าปฏิเสธกันแบบนั้นสิ” ทำไมถึงได้ตื้อกันมากขนาดนี้ หันหลังกลับไป แล้วไปอยู่กับพรรคพวกที่แสนเจิดจรัสนั่นซะเถอะ อย่ามายุ่งกับคนตายซากแบบนี้เลย
“…รำคาญ”
เหมือนจะเห็นแววตาเสียใจอยู่ในนัยน์ตาสีไม้นั่น
เป็นช่วงเวลาเดียวกัน ที่ความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไร ฉายพาดความเสียใจนั้น
อากาศเหมือนจะเย็นลงในชั่วขณะนึง
ไม่ ไม่ได้รู้สึกเสียใจที่พูดคำนี้ออกไปเลย
ใช้ปลายนิ้วดันแว่นขึ้น “ขอตัวนะ” เดินตัดผ่านไปตามระเบียงที่คนเดินกันให้วุ่น คิดว่าคงจะไม่ได้เจออีก..
เพราะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ แถมเป็นคนเฉยชา เลยอาจจะดูเหมือนของแปลกในตาของอีกฝ่ายสินะ ถึงได้เข้ามาคุย มายุ่งด้วย แต่อีกไม่นานก็คงจะเบื่อแล้วตีจากไปเอง เหมือนกับที่หลายๆคนเคยทำ
การเป็นคนน่าเบื่อ ไม่ใช่สิ่งที่อยากเป็น แต่เพราะเป็นสิ่งที่เป็น ถึงไม่รู้จะแก้ยังไง
เดินตามหลังเพื่อนห้องเดียวกันไป ไม่มีใครชวนคุย ไม่มีใครตบไหล่เรียก จะมีคุยบ้างก็ตอนส่งงานหรือทำงานกลุ่ม มีประโยชน์กับเพื่อนได้แค่นี้
แต่ก็ไม่ได้อยากก้าวไปหา ไม่อยากก้าวออกจากที่ๆยืนอยู่ เพราะไม่รู้ทางข้างหน้าเป็นยังไง เลยจะไม่ก้าวออกไป
กอดสมุดเคมีในแขนแน่น รู้สึกถึงความเย็นของกระดาษเพียงลำพัง..
………………………………..
…………………………
“นี่ ร้านนี้นี่ร้านไหนหรอ”
“ติดกับร้านขายน้ำ”
“น่ากินจัง ขอกินสักคำได้ไหม?”
“….”
“ไม่ตอบแปลว่าให้นะ”
“ทำไมไม่ไปนั่งกับเพื่อนตัวเอง”
“ก็อยากนั่งด้วย”
“ทำไม”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ แต่แค่อยากนั่งด้วย”
มันเป็นเกมอะไรหรือเปล่า
เคยเห็นตามนิยายเก่าๆที่มักจะมีการแกล้งแบบนี้ประจำ มาตีสนิทเด็กสุดเฉิ่ม แต่สักวันหนึ่งก็จะหายไป
ทิ้งให้เคว้งอยู่ลำพังอีกครั้ง…
“เล่นพนันกับใครไว้หรือเปล่า”
“หมายความว่ายังไง?” ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ จึงขยายความต่อให้ “ไปพนันกับใครให้มาตีสนิทเราหรือเปล่า?”
“เปล่านิ จะไปเล่นแบบนั้นทำไม มีคนเล่นอะไรแบบนั้นด้วยหรอ”
“เปล่า…”
“ฮะฮะฮะ คิดได้อย่างไงหน่ะ เรื่องแบบนั้น ถ้าไม่ใช่นิยายก็คงจะไม่ได้เห็นหรอก”
นั่นสินะ คิดมากไปเอง
แต่ไม่ว่ายังไงก็สงสัยอยู่ดี
อยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันจนหมดจาน อีกฝ่ายชวนพูดคุยตลอด น่ารำคาญ รู้สึกเหมือนโดนบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวมากเกินไปจนไม่ปลอดภัย อยากจะหนีไปให้พ้น แต่จอห์นคงจะเก่งเรื่องการสะกดรอย เดินไปไหนมาไหนในโรงเรียนที่กว้างแสนกว้างก็เจอกันเกือบทุกคาบที่ย้ายตึกเรียน
ห้องสามไม่ได้อยู่ใกล้ แต่ก็ขยันพาหน้ามาให้เห็นบ่อยๆ เป็นแบบนี้อยู่หลายวัน แม้จะพูดออกไปหลายครั้งแล้วว่ารำคาญ แต่ก็ยังไม่ละซึ่งความพยายาม
เพราะอะไร?
เพราะอะไรกัน? พยายามใช้สมองของเด็กที่ได้รับแต่คำชื่นชมในด้านการเรียนมาตลอด แต่ก็ยังไม่เข้าใจ เรื่องแบบนี้ แม้แต่สมองก็ยังช่วยอะไรไม่ได้
หัวใจหล่ะ จะตอบได้หรือเปล่า
พยายามเรียกหา แต่ดูเหมือนจะมีเพียงก้อนเนื้อที่เต้นได้ เลือดสูบฉีดเข้าและออก ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียนรู้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น
บางครั้ง รู้สึกเหมือนเดินไปไหนมาไหนด้วยช่องว่างขนาดใหญ่บนตัว ที่คนอื่นมองผ่านทะลุไปได้ ความรู้สึกที่มีอยู่เต็มสิบ คิดว่าตัวเองอาจจะมีแค่หนึ่งหรือสองเท่านั้น มันทำงานได้ช้า และออกจะเฉื่อยชาเกินกว่าที่จะเข้าใจ
หลับตาลงนอน
ไม่ได้ฝัน
ทว่าในความว่างเปล่านั้น ได้ยินเสียง เสียงที่ตัวเองรำคาญ เสียงที่ไม่อยากได้ยิน
“อยากอยู่ด้วย…”
เคยได้ยินคำนี้ครั้งหนึ่ง เมื่อยืนดูคะแนนอยู่หน้าห้องเคมี
“อยากจะอยู่ห้องเดียวกัน..แต่คงไปเรียนห้องนั้นไม่ไหวหรอก”
ผลการเรียนจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้ไปเรียนที่ห้องหนึ่ง ห้องที่คัดแต่เด็กหัวกะทิมาเรียนด้วยกัน
ไม่รู้จะพูดอะไร จึงได้แต่เงียบ ออกไป ออกไปซักที
“อยากจะอยู่ข้างๆ….”
เผลอหันไปมองหน้า เพราะอีกฝ่ายสูงกว่าน้อย จึงเหมือนต้องเงยหน้าขึ้นสบตา
ไม่ได้รู้สึกใจเต้น อันที่จริง ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น
สายตาว่างเปล่า จ้องมองตอบสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
บางครั้ง รู้สึกได้ว่าจอห์นก็คงจะมีช่องว่างในตัวเหมือนๆกัน แต่ที่ผิดกันคงจะเป็นของเขา ที่มันขยายออกขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีที่พอจะใส่ความรู้สึกใดๆลงไป
ผ่านไปไม่รู้ตั้งกี่วัน มีขนมมาวางบนโต๊ะพร้อมกระดาษโพสอิท “ตั้งใจเรียนนะ” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆออกจากปากแม่ เต็มไปด้วยความคาดหวังที่แสนจะอึดอัด บางทีนั่นอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของความว่างเปล่าในตัว
ยกขนมนั้นให้เพื่อนที่นั่งข้างๆ จึงทำให้ได้พูดกันเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดเทอมสองมา
………………………
……………….
ทำไมต้องมาเรียนพร้อมกัน
วันสุดท้ายของอาทิตย์
ไม่น่าเชื่อ ว่านี่พึ่งจะผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียวหลังจากที่เจอหน้ากันครั้งแรก
ไม่ได้ตั้งใจหันไปมอง แต่พอเหลือบไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมองอยู่ เป็นสายตาที่น่าอึดอัด เพราะเวลาจ้องจะไม่ว่อกแว่กสนใจอย่างอื่น จึงรู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่ทุกคนจับจ้อง
ได้ยินเสียงร้องแซวโห่ของพวกผู้ชาย “นั้นมันน้องกิ๊ฟไม่ใช่หรอวะ” กิ๊ฟ เพื่อนร่วมห้อง ไม่แน่ใจว่าคนไหนแต่เคยได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ คิดว่าน่าจะสวย “จอห์น คนนี้มึงอย่าแย่งกูเลยนะ กูขอเหอะ”
“เฮ้ย กูไม่ได้จีบเขาซักหน่อย”
“กูเห็นเขาเข้ามาคุยกับมึง”
“ทักกันเฉยๆหน่ะ”
จะฟังทำไม? คิดได้อย่างนั้นก็หันกลับมาสนใจสิ่งที่อาจารย์พูด อาจจะออกสอบ เพราะฉะนั้นต้องทำ ทำให้เต็มที่
เพื่ออะไร…
ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
ให้วิ่งอีกแล้ว ไม่อยากวิ่งอีกต่อไปแล้ว
เพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย วิ่งแค่สองรอบจึงเหนื่อย โดนเพื่อนในห้องล้อว่าตุ๊ด เอาเถอะ จะเรียกยังไงก็เชิญ
ได้ยินเสียงรองเท้าวิ่งตามอยู่ข้างหลัง คงจะตามมาสักพักแล้ว ไม่ได้อยากหันกลับไปมอง
“เหนื่อยหรอ?”
“….”
“คุยกับเราหน่อยสิ”
“ทำไมต้องคุย…อาจารย์..ให้วิ่ง ไม่ได้ให้คุย”
“ใจร้ายจัง”
“เลิกยุ่งซักที”
“ทำไมถึงชอบไล่เราอยู่เรื่อย” จอห์นเร่งเท้าขึ้นมาวิ่งคู่กัน อยากวิ่งหนี แต่ไม่มีแรงพอ เพราะถูกชวนคุย เลยยิ่งเหนื่อยขึ้นไปอีก
หยุดวิ่งก็ไม่ได้ เสียงนกหวีดไล่ตามหลังมา
“หน้าซีดๆนะ”
“ไม่ได้..เป็นอะไร”
แดดร้อนกว่าปกติ
รู้สึกเหมือนพระอาทิตย์จะขยายขนาดขึ้น…
“เฮ้ย! ไผ่”
เสียงที่แสนจะเกลียดดังขึ้นมาในความคิด
ก่อนที่จะรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบ ดับวูบลง..
………………………………….
……………………….
ได้ยินเสียงบางอย่าง
ตึก ตึก ตึก
เหมือนเสียงหัวใจ..
ลืมตาขึ้นมา แนบหลังของอีกฝ่ายอยู่
มองจากมุมนี้เห็นแค่ผม แต่ผมสีน้ำตาลแบบนี้ คงมีแค่คนเดียว
ถูกแบกขึ้นหลัง แนบชิด ร่างกายที่สัมผัสกัน สร้างความรู้สึกแปลกๆ
ไม่เคยใกล้กับใครแบบนี้มานานขนาดไหนแล้ว?...
จำไม่ได้
“ไผ่ ได้ยินไหม?”
เหมือนจอห์นจะเรียกมาแบบนี้สักพัก คงกำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องพยาบาล
“ได้ยิน”
“อดทนอีกแป็ปนึงนะ จะถึงห้องพยาบาลแล้ว”
“ไม่ต้อง”
“…..”
“ไม่ต้องไปห้องพยาบาล โอเคดี ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“ให้อาจารย์เขาเช็คหน่อยเถอะ จะได้สบายใจ”
ไม่ได้กังวลใจอะไร
อาจจะแค่เหนื่อย
ตายก็ดี แต่อย่าพิการเป็นพอ เดี๋ยวจะกลายเป็นภาระให้กับคนอื่น
“ไม่ได้กังวลอะไรอยู่แล้ว”
“แต่เราเป็นห่วง…”
เสียงนั้นดูร้อนรน
เรื่องจริงหรือเปล่า…ความรู้สึกที่แสดงอออกมาหน่ะ มันมาจากสิ่งที่เรียกว่าหัวใจใช่ไหม?
ทำไม ?
ผู้หญิงดังๆในโรงเรียนหลายคนก็แอบชอบอยู่ไม่ใช่หรือไง ทั้งๆที่เป็นคนเล่าเรื่องนั้นให้ฟังแท้ๆ
คำว่าเป็นห่วง
ซึมลึกเข้าไปในใจ…
เหมือนน้ำฝนที่โปรยปรายลงบนทะเลทรายอ้างว้าง
ไม่ได้สัมผัสความชุ่มช่ำแบบนี้มานาน…นานเสียจนลืมความรู้สึกนี้ไป
จอห์นเดินเข้ามาในชีวิต ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น
พร้อมกับความชุ่มชื้นที่โปรยปรายลงมาในหัวใจ…
“…ขอบคุณ”
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ…ขอบคุณนะที่ไม่ไล่เราไปอีก”
………………………………………
…………………………….
[Inert 1: complete]
[24.12.54]
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น