ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระวัง!! ไวรัสสื่อรัก

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๖.๑

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 48


    บทที่ 6



    เบื้องหน้าประตูไม้สีน้ำตาลเข้มบานใหญ่ มีร่างเล็กๆของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ มือเรียวเล็กกำเข้าแล้วยกมันขึ้นจดบานประตูครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างลังเลว่าควรจะเคาะดีหรือไม่ สายลมเย็นๆ ยามใกล้รุ่งพัดผ่านร่างบางให้สะดุ้งเฮือกด้วยที่ไม่ค่อยได้สัมผัสบรรยากาศเวลานี้เท่าไรนัก เธอจึงตัดสินใจจะเคาะประตูเพื่อเข้าไปปลุกผู้เป็นเจ้าของบ้าน ในขณะเดียวกันก็เบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่ค่อยเต็มใจแต่ก็เคาะลงบนประตูตรงหน้านั้นอย่างเต็มแรง



    โป๊ก! โป๊ก!



    ..บ้านนี้มันมีอะไรแปลกๆอีกจนได้สิน่า..เสียงเคาะประตูอะไรดังโป๊ก..สรินดาซึ่งยังคงไม่หันหน้าไปมอง ‘ประตู’ คิดอย่างเหนื่อยใจ และเมื่อยังไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้อง เธอจึงรวบรวมกำลังแล้วเคาะเข้าไปอีกครั้งเต็มแรง



    โป๊ก!



    พร้อมหันหน้าไปมองประตูห้องแล้ว...



    “โอ๊ย!”



    “เฮ้ย!!!” สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน สายตาของสรินดาที่เพิ่งหันมาพบกับผู้เป็นเจ้านายซึ่งยืนตั้งการ์ดเตรียมพร้อมสำหรับตั้งรับกำปั้นของเธอ ส่วนตัวเธอเองก็ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่ตรงนั้น ปากอยากจะเอ่ยขอโทษแต่ก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา ดวงตาเบิกกว้าง ยังไม่ลดกำปั้นลงจากสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นประตู



    “เธอเล่นอะไรของเธอตั้งแต่เช้าน่ะฮะ สรินดา!” เคนว่าพลางคลำหัวป้อยๆ นี่เขาต้องเจ็บตัวกี่ครั้งแล้วนะ ตั้งแต่เจอยัยถึกนี่มา



    “เอ้อ...ฉัน...ฉัน..ขอโทษๆ นายเป็นไรมากเปล่าน่ะ” สรินดาว่าพลางเข้าไปดูอาการเคน มือเรียวเลิกผมผู้เป็นเจ้านายขึ้นแล้วไล้ไปตามรอยแดงบนหน้าผากซึ่งเธอเคาะไปเต็มแรง แต่ในใจก็นึกสงสัยอย่างไม่ไว้วางใจคนตรงหน้าสักเท่าไรนัก นิ้วชี้ของเธอจึงจิ้มปึ๊กเข้าที่กลางรอยช้ำ



    “โอ้ย เจ็บนะ จิ้มมาได้ไง”



    “อ้าว ใครจะไปรู้ล่ะ เผื่อนายแกล้งเจ็บขึ้นมา ฉันก็จะได้รู้ทันไง” สรินดาโต้



    “เจ็บจริงๆน่ะสิ ไม่เชื่อเธอก็ลองดูบ้างมั้ยล่ะ” สรินดาส่ายหัวไปมา พลางมองไปที่เคนอย่างขอโทษ



    “ขอโทษแล้วกัน ไหนดูซิ” เคนหลบทันที กลัวว่าจะโดนจิ้มอีก “ไม่ต้องหลบน่า ฉันไม่ทำอะไรแล้ว”



    สรินดาค่อยๆเลิกผมเคนขึ้นอีกครั้งเพื่อพิจารณาดูรอยช้ำที่เธอได้ฝากไว้ เธอค่อยๆเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาใสๆของเธอตรวจดูบริเวณนั้นอย่างละเอียด ลมหายใจแผ่วเบาของทั้งสองอยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ เคนรู้สึกหายใจไม่คล่องอย่างประหลาด สรินดามุ่นคิ้วน้อยๆแล้วถอยออกมานิดหนึ่ง ก่อนจะ...



    ป๊าบ!



    ฝ่ามือเธอตีซ้ำที่รอยเดิมจนเขาสะดุ้งเฮือกกุมหน้าผากไว้ สีหน้าแสดงความเจ็บปวดอย่างถึงขีดสุด ปากร้องออกมาไม่เป็นภาษา... เจ็บจนน้ำตาคลอเบ้า...



    “อย่ามาเวอร์น่า ช้ำก็แค่นี้ โดนตีก็แค่นั้น ทำเป็นสำออยไปได้ ผู้ชายภาษาอะไรวะ” สรินดาว่า



    “เออสิ! ใครมันจะไปถึกเหมือนเธอล่ะ”



    “นายว่าใครถึกหา!”



    “หยุดนะ! สรินดา เธอคิดว่าเธอเป็นใครกัน ตั้งแต่ตื่นเช้ามานี่เธอทำร้ายร่างกายฉันไปสามครั้งแล้วนะ ที่อยู่อาศัยก็ให้อยู่ฟรีๆแลกกับการทำงานนิดๆหน่อยๆ เห็นว่าไม่สบายก็ยกงานเบาๆให้ แล้วนี่เธอขอบคุณความหวังดีของฉันด้วยการเคาะหัวฉันสามครั้งแล้วเถียงฉันฉอดๆตั้งแต่ตอนเช้าวันแรกของการทำงานรึไง!”

    เธออ้าปากจะโต้กลับ หากสายตาอันเย็นชาและคมกริบดังคมมีดของเคนที่เบือนมาสบเหมือนจะเชือดเฉือนใจเธอ..



    ...ไม่เคยเลย...สายตาอย่างนั้น...



    จริงสินะ.. ฐานะของเธอ ต่ำต้อยกว่าเขานักนี่



    ก็แค่ลูกจ้าง..ไม่มีสิทธิ์ที่จะเถียงเจ้านาย



    แววตาสดใสเป็นประกายดูหม่นหมองลงทันตา



    “เออ ขอโทษ” เธอกล่าว แล้วพาร่างบางๆให้เดินห่างออกไป



    ปล่อยให้ภายในหัวใจอันแข็งแกร่งของผู้เฝ้ามองอยู่เบื้องหลังไหววูบขึ้นมาอย่างที่เจ้าตัวรู้สึกได้.. ประหลาด





                                                                 ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~





    สรินดาหยิบสมุดเลคเชอร์ของเธอ ที่อานนท์จดมาให้วางลงบนโต๊ะ อย่างหวังจะอ่านทบทวนอีกสักรอบสองรอบ หากมือบางเพียงแค่กรีดขอบกระดาษเล่น สายตาเลื่อนลอย พลิกหน้ากระดาษไปมาไม่ได้ให้ความสนใจสมุดเจ้ากรรมสักนิดเดียว



    เธอหมุนปากกาในมือเล่น พลางคิดถึงเรื่องที่เธอรู้สึกเป็นกังวลหลังจากที่ผู้เป็นเจ้านายบึ่งรถยนต์คันหรูออกจากอาณาบริเวณบ้านอย่างเร่งรีบเมื่อเช้า ก่อนจะมาสะดุดอยู่ที่สายตาเย็นชาคู่นั้น พลันหัวใจก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา



    หรือเธอจะเป็นภาระของเขาจริงๆ



    ท้องฟ้ายามสิบนาฬิกาดูจะแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย แสงรพิพรรณทอประกายอ่อนๆ สาดกระทบต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวเป็นเงาวับ ประสาทหูของเธอสดับรับฟังเสียงกริ่งแบบมาตรฐานที่ดังขึ้น หากในเวลานี้เธอไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น อย่างน้อยก็ก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนคุ้นหูเสียงนั้นล่ะ



    “นนท์...อานนท์!! ไอ้นนท์ว๊อยยย!!” สรินดาชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอ้าออกเอาไว้ เพื่อรับลมเย็น นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอเพ่งมองอาคันตุกะคนใหม่



    หญิงสาวผิวขาว หน้าออกละม้ายคล้ายคนจีนในชุดกางเกนยีนส์ขนาดพอดีตัว และเสื้อรัดรูปพอประมาณ ที่เผยให้เห็นสั ดส่วนได้รูป กำลังยืนตะโกนอยู่หน้าบ้านวชิรานินทร์ โดยมีลุงยามพยายามกั้นตัวเอาไว้ ไม่ให้เดินเข้ามาภายในบ้าน



    “หลิง..” สรินดาอุทานเบาๆ ก่อนจะทะลึ่งตัว วิ่งจ้ำพรวดออกไปหน้าบ้าน



    หากจะนับตามศักดิ์ หลิงก็เป็นญาติผู้พี่ของอานนท์ แต่ถ้านับตามอายุจริงๆ ก็รุ่นๆเดียวกับเธอนั่นล่ะ



    “นี่ลุง ฉันก็บอกลุงแล้วว่ามาหาน้อง อ่านปากออกมั้ย มา-หา-น้อง ได้โปรดเข้าใจหน่อยเถอะโว้ยยย” เจ้าหล่อนเน้นถึงวัตถุประสงค์ทีละคำ หากพนักงานรักษาความปลอดภัยยังทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม โดยการไม่รับรู้ถึงปัญหาอะไรเลยทั้งสิ้น



    “ไม่ได้ครับ คุณท่านยังไม่ได้อนุญาต”



    “โฮ่ยย~ย ให้มันได้งี้เซ่ พูดภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงฮะ” ญาติผู้พี่ของอานนท์สบถอุบ อารมณ์เสีย



    “หลิง” สรินดาส่งเสียงเรียก พอเจ้าของนามหันมาเห็นหล่อน ก็ทำท่าดีอกดีใจ ชี้ไม้ชี้มือมาที่เธอยกใหญ่



    “เห็นมั้ยลุง เนี่ยเพื่อนฉัน บอกแล้วก็ไม่เชื่อ”



    “อ่าเหอ...นี่เพื่อนฉันเองลุง” สรินดาหันไปอธิบายกับลุงยามเพิ่มเติม เพื่อเป็นการยืนยัน







    สรินดาเดินกึ่งลากกึ่งจูงสาวหน้าหมวยไปยังห้องนอนของอานนท์ โดยไม่ต้องรอเคาะประตูให้เป็นพิธีการแม้แต่ทีเดียว หลิงก็เปิดประตูผลัวะ เดินดุ่มๆเข้าไปเขย่าตัวคนบนเตียงอย่างแรง



    “ตื่นว๊อย... ตื่นๆๆๆ จะนอนอะไรกันนักกันหนาวะไอ้นนท์” อานนท์งัวเงีย สะบัดมือหลิงออก ก่อนยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดศีรษะ เพื่อเป็นการตัดรำคาญ



    หลิงส่งเสียงจึ๊กๆจั๊กๆไม่พอใจในลำคอ ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องน้ำครู่หนึ่ง และกลับออกมาพร้อมกะละมังใบใหญ่ ...ไม่ทันที่สรินดาจะได้ส่งเสียงใดๆ



    โครม~!!



    น้ำเย็นเจี๊ยบอันตรธานหายไปทั้งสิ้น เพราะถูกสาดโครมลงไปยังคนบนเตียงทั้งกะละมัง หากอานนท์ยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เพียงส่งเสียงสะลึมสะลือโวยวายขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น กะละมังใบเปล่าจึงถูกเขวี้ยงไปอีก และคงไม่พลาดเป้าถ้าร่างสูงไม่ไหวตัวทันเสียก่อน



    “เจ๊ อย่าเล่นแรงได้มั้ย” นนท์ปรามทั้งๆที่ยังตาปรือๆอยู่ มือยกเสยผมสีดำสนิทที่ยาวประบ่าเล็กน้อย ให้เข้าที่เข้าทาง



    “ก็รู้ว่าฉันเป็นไง ทำไมเสือ กนอนต่อวะ” หลิงเอานิ้วผลักหน้าผากร่างสูงแรงๆ จนอานนท์เซไปเล็กน้อย ก่อนบ่นออกมาเสียงไม่เบาสักเท่าไหร่ ...คล้ายว่าอยากจะให้คนถูกบ่นได้ยินอยู่แล้ว



    “โฮ่ย บ่นเข้าไป... แล้วนี่เจ๊มาทำไมเนี่ย”



    สาวหมวยกอดอก เบิกตาตี่ๆที่แทบจะเป็นเส้นตรงให้โตขึ้นเล็กน้อย ก่อนถามเสียงสูง ไม่พอใจ



    “อะไรห๊ะ ทำไมฉันจะมาหาแกไม่ได้ ฉันเป็นพี่แกนะว๊อยย ไอ้นนท์”



    “เฮอะ ก็เห็นพูดอย่างงี้ทุกที” นนท์ว่าปลงๆ ก่อนกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเหนื่อยหน่าย



    “ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี แกไปอาบน้ำเลยไปจะได้ไปกันซะที” สาวหมวยสั่งเป็นการเป็นงาน



    “ไปไหน” ไม่ใช่เสียงของอานนท์ที่ถามขึ้นมา หากเป็นเสียงของสรินดาเอง



    “แกก็เหมือนกันไปแต่งตัวไป๊ไอ้ริน ฉันจะพาไปเลี้ยงฉลอง”



    “เฮ้ย! จะเลี้ยง? แน่เหรอเจ๊ ไม่ใช่ว่าพาไปกิน แล้วชิ่งหนี ปล่อยให้รินจ่ายคนเดียวเหมือนคราวที่แล้วนะ” หญิงสาวถามอย่างไม่ไว้ใจ



    “เฮ้ๆ อย่ามาดูถูกนะ คราวนั้นฉันมีธุระด่วนจริงๆ แต่คราวนี้รับรองไม่อั้น”



    “จริงง่ะ ไปขโมยตังค์อาม่ามารึเปล่าเนี่ย” นนท์อ้างถึงคดีที่ญาติสาวเคยทำไว้ หากหลิงกลับโบกมือยุ่ง แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ



    “เปล๊า.. ทำไมพวกแกชอบขุดคุ้ยอดีตจริงๆเลยเนี่ย แกเห็นฉันแย่ขนาดปรับปรุงตัวไม่ได้เลยรึไง”



    “ก็คนมันเคยมีประวัติ” อานนท์สวนขึ้นมาทันที



    “เฮอะ.. แล้วฉันจะโชคดีมาเลี้ยงพวกแกบ้างไม่ได้รึยังไง”



    “แล้วเจ๊ไปโชคดีอะไรมาเล่า... ชนะพนันบอล? พนันม้า? หรือเล่นไพ่ได้มา?”



    “เฮ้ๆ! พูดดีๆนะเว่ย ไอ้พวกนั้นฉันลด ละ เลิก หมดแล้ว”



    “แล้วเจ๊ไปทำอะไรมาล่ะ” สรินดาถามอย่างตัดรำคาญ



    “ถูกลอตเตอรี่” คำตอบที่ทำให้สองเสียงร้องออกแทบจะพร้อมประสานกัน



    “ห๊ะ! เท่าไหร่??”



    “ฮะๆ ไม่มากหรอกแค่แสนเดียวเอง”



    “แสนนึง!” สาวหมวยพยักหน้าหงึกๆแทนคำตอบ ราวกับภูมิใจในความโชคดีของตัวเองซะเต็มประดา





    จากนั้นไม่นาน บ้านวชิรานินทร์ก็เหลือพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ดูแลบ้านเพียงลำพัง ขณะที่ผู้อาศัยสองคนพร้อมด้วยอาคันตุกะออกไปเลี้ยงฉลองอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารหน้าปากซอย



    “โห เจ๊ เลี้ยงทั้งทีไม่ลงทุนเอาซะเลย” นนท์บ่นหลังจากที่ก๋วยเตี๋ยวสามชามถูกวางลงบนโต๊ะ



    “เอาน่า ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ออกจะอร่อย ใช่มั้ยไอ้ริน”



    “ฮื่อ”



    “เออ แล้วแกไปอยู่บ้านใหญ่ๆ อย่างนั้นได้ไงฮะ ริน ไม่เห็นเหมาะกับแกเลย” หลิงถาม



    “โหย เจ๊ รู้ว่าไม่เหมาะ แต่มันไม่มีที่ไปนี่”



    “ไม่มีที่ไป?”



    “เออ นี่เดินผ่านมาไม่เห็นอพาร์ตเมนต์ฉันรึไง ไหม้เหลือแต่กองขี้เถ้าเนี่ย”



    “อ๋อ นั่นอพาร์ตเมนต์แกรึ นึกว่ากองเผาขยะ”



    “เหอะๆ ว่าแต่ เจ๊ให้ฉันไปอยู่ด้วยได้ป่ะ”



    “อะไรของแก ไอ้ริน” อานทท์แทรกขึ้น “บ้านนั้นก็อยู่ฟรีกินฟรี จะย้ายออกไปทำไม”



    “เออ บ้านออกจะหรูหราปานนั้นน่าสบายออกจะตาย แกจะย้ายมาอยู่เล้าไก่ของฉันทำไม”



    “โธ่ สบายกายก็จริงอยู่ แต่ฉันไม่สบายใจ เคยได้ยินมั้ย คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก”





    ||..2 l3 C..||

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×