ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ ๔
บทที่ 4
รัฐภูมินั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้  มือที่อังอยู่บนใบหน้าแดงเนียนก่ำของร่างบางบนเตียง สัมผัสได้ถึงความร้อนจี๋ จนต้องรีบชักมือออก
ไข้สูงขนาดนี้ยังซ่าได้ ฤทธิ์มากเสียจริง
“..พ่อ.. แม่.....รินกลัว..” ริมฝีปากซีดเซียวไร้สีสันพึมพำจับใจความได้ยาก ศีรษะส่ายไปมา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้า มือบางไขว่คว้าตะกายอากาศ
เขาจึงคว้าข้อมือเธอไว้หมายให้เธอสงบ และจัดที่จัดทางให้เธอนอนได้สะดวกขึ้น ทว่ามือเล็กที่ร้อนผ่าวกับเกาะมือเขาไว้แน่น
“..แม่ ..รินร้อน” ร่างบางหอบหายใจถี่กระชั้น ริมฝีปากเซียวยังคงพึมพำไม่หยุด จนเคนเริ่มทำลุกลี้ลุกลนอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มพยายามแกะแขนรินออก เพื่อที่จะไปเตรียมผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัว หากเธอกลับกำแขนเขาแน่นยิ่งขึ้น... แน่นเสียจนเล็บคมๆจิกลงไปในเนื้อเขา
โอ๊ย! ยัยบ้าเอ๊ย ขนาดร่อแร่อย่างนี้ยังประทุษร้ายเขาไม่เลิก!!
แรงจิกกดหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียจนรัฐภูมิไม่อยากจะทนเจ็บต่อ จึงต้องรีบสะบัดแขนออกอย่างแรง
“ม่ายยยยยย~ย!!” สรินดาสะดุ้งตื่น ใบหน้าแดงเนียนก่ำเผือดสีลงเล็กน้อยแต่ยังคงหอบหายใจแรงๆอยู่ ภาพเหตุการณ์ในความฝันยังคงติดตาคาใจ
...ก็แค่ฝัน...ฝันเท่านั้นเอง... หญิงสาวพยายามเตือนตัวเอง
“เป็นอะไรไป” ชายข้างกายถามขึ้น คิ้วขมวดมุ่น
หากพอสายตาแลเห็นร่างสูงข้างๆ จึงนั่งลำดับเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่จะสำรวจสิ่งรอบข้าง ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้? สรินดาวางมือทาบหน้าผากของตนอาจด้วยท่าทางครุ่นคิด หรือเพราะอาการปวดศีรษะ
...ร้อน ...ไฟ...
...ฝัน ..ไฟไหม้..
..ไฟ..
..อพาร์ตเมนต์..
ไฟไหม้อพาร์ตเมนต์!!
ฝันรึเปล่า!? ฝันร้ายแน่ๆ!!
“สรินดา เธอ.. โอเครึเปล่า” รัฐภูมิเริ่มกังวลกับท่าทีแปลกๆ ของเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่โต้ตอบอะไรเขาเลย นอกจาก..
เพื่อเป็นการยืนยันความจริง มือน้อยของหญิงสาวค่อยๆยื่นออกไปข้างๆตัว แล้วหยิกลงไปเต็มแรงที่แก้มของบุรุษที่นั่งสังเกตอาการเธออยู่ข้างๆ
“เฮ้ย!” รัฐภูมิกระโดดถอยหลังออกมา ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าป้อยๆ “จะหาเรื่องกันหรือไง”
“..ก็ไม่ได้ฝันนี่หว่า”
“เออสิ ยัยถึก ไข้สูงขนาดนี้ยังซ่าก่อเรื่องได้อีก”
“นายว่าใคร ฮะ?” สรินดากุมขมับ รู้สึกมึนๆเล็กน้อย
ติ๊ดตะลิดติ๊ด...
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้หญิงสาว ก่อนกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
ปลายสายพูดอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็ยื่นโทรศัพท์มือถือส่งมาให้เธอที่นั่งหน้าตาเอ๋อเหรอ
“ฉัน?”
“ของเธอ”
“โทรศัพท์..”
นายเคนพยักหน้า
“ให้ฉัน?”
“ไปเช็คประสาทก่อนดีมั้ย สรินดา” เคนยืนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเอือมๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “โทรศัพท์ถึงเธอ สรินดา รับสายซะ”
“แหะๆ” รินจึงได้แต่ส่งรอยยิ้มแหยๆกลับคืน และต้องเปลี่ยนเป็นจ้องเขาเขม็งอย่างหาเรื่อง เมื่อเธอได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากปากของเขาว่า “โง่จริง”
ทว่าความสนใจของสิ่งที่อยู่ในมือมีมากกว่า..
แม่เจ้าประคุณเอ๊ย! เกิดมาเพิ่งเคยได้แตะ
“ฮัลโหลๆ... เฮ้ย!..ฮัลโหล~ล..พูดเซ่!!” รินตะคอกเสียงใส่โทรศัพท์
“ยัยเบ๊อะเอ๊ย!! ประสาทกลับหรือยังไง” เคนพูดด้วยสีหน้าอนาถจิต
“กลับบ้าอะไรเล่า”
“โทรศัพท์ยังคุยกลับหัวกลับหาง ถ้าประสาทเธอไม่กลับ โลกคงกลับตาลปัตรไปแล้ว”
“ชิ แล้วก็ไม่บอก” รินพึมพำหน้าเสีย ก่อนหันหัวโทรศัพท์เจ้ากรรมให้ถูกต้อง แล้วกรอกเสียงลงไป “โหลๆ”
“ไอ้รินว๊อยย! นนท์นะ ได้ยินรึยัง”
“ไอ้เวร แกจะตะโกนหาพระแสงดาบง้าวอะไรวะ”
“เออๆ ขอโทษเว่ย” อานนท์พูดแบบขอไปที ก่อนจะพูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ไอ้ริน..แกเอ๊ย~ ซวยแล้วรู้มั้ย”
“ซวยเซ่! ฉันไม่มีที่ซุกหัวนอนเนี่ย”
“แก...ไวไวควิก” เสียงเครือๆส่งผ่านมา
“อะไร? ไวไวควิก? เออ..ถ้าจะซื้อมาฝากก็ดี กำลังหิว แต่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้มั้ยวะ เบื่อแล้วอ่ะ ก่อนออกจากอพาร์ตเมนต์ก็เพิ่งจะ... ห๊ะ!! เฮ้ย!!”
เมื่อถ้อยคำที่ยังกล่าวไม่จบทำให้เธอหวนนึกอะไรขึ้นมาได้ หญิงสาวชะงักกึก ปากอ้าค้าง ใบหน้าเผือดสี.. โทรศัพท์มือถือร่วงหล่นลงไปบนพื้น
เฮือก.. ไวไวควิก!!!
บรรลัยแล้ว!!
“เฮ้ย! ยัยประสาท ถ้าโทรศัพท์ฉันเจ๊ง เธอตายแน่” เคนเริ่มโวยวาย หากรินกลับไม่ได้สนใจสักนิด
”เคน...ไวไวควิก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“จะมากินอะไรตอนนี้”
“ไวไวควิก.. โอ้ย ไอ้รินเอ๊ย~”
“เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“ฉันต้มไวไวควิกกิน..แล้ว...แล้วฉันก็...ลืมปิดแก๊ส”
“ฮะ!.... แล้วไง?”
“แล้วไง! ฉันก็ซวยน่ะเซ่! โอ้พระเจ้า! โฮ~“
สรินดาซบหน้าลงกับหมอนอยู่นาน คนข้างกายไม่รู้จะปลอบด้วยวิธีการใด ในเมื่อเธอเอาแต่ส่งเสียงครวญครางอยู่อย่างนี้
“เอาน่า เรื่องมันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก คนเราผิดพลาดกันได้นี่นา”
“ เคน เพราะนายแท้ๆ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแปลกๆแหม่งๆพิกล
“หือ?“
“บ๊าเอ๊ย! เพราะนาย ไอ้นนท์มันอยากให้ฉันไปขอโทษนาย ถึงได้ลากฉันออกไปจนลืมปิดแก๊ส...ฮึ! เพราะนายคนเดียว” หญิงหาทางพาลไปใส่ชายหนุ่มจนได้
“ยัยเพี้ยน ฉันไปเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ได้ทีก็โยนกลองมาให้ ไม่มีสำนึกเลยว่าคนเขาอุตส่าห์พาเธอมาส่งถึงโรงพยาบาล จ่ายค่ารักษาให้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้เธอเป็นลมอยู่หน้าบ้านฉันก็ดีเท่าไหร่ นี่อะไร ตื่นขึ้นมาก็พาลซะแล้ว ขอบคุณสักคำยังไม่มี”
ร่างบางสะอึก เงียบกริบไปครู่หนึ่ง สีหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อครุ่นคิดตามคำที่เขาระรัวใส่เธอ
“เออ เอาเถอะ ฉันผิดเองที่ทำให้อานนท์ต้องลากเธอมาขอโทษฉัน” รัฐภูมิพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชดเล็กน้อยก่อนจะหันหลังให้เธอทันทีที่กล่าวจบ
“เง่อ.. เคน..” ทว่าเจ้าของนามไม่ตอบกลับ เดินหยิบนู่นดูนี่ไปทั่วห้อง หญิงสาวพยายามเรียกซ้ำหลายรอบ หากสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบเช่นเคย  “นายเคน..”
บ๊ะ!! นายนี่ หูมีปัญหารึไง ..หรือขี้งอน!?
“ไอ้เคนว๊อยยย!!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียง สุดท้ายได้แต่นั่งไอแค่กๆ แต่ดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย
“อะไร”
“อ่ะแฮ่ม.. ขอ...” รินยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องพูดแล้ว กินยานี่แล้วก็นอนซะ” เขาพูดพลางยื่นยาที่หมอจัดเตรียมไว้ให้พร้อมแก้วบรรจุน้ำ
“ขอ...”
“ก็บอกว่าไม่ต้องพูดไงเล่า! ฉันขี้เกียจจะทะเลาะกับเธอแล้วเข้าใจมั้ย”
“ขอน้ำ.. อีกแก้ว” เธอกล่าวเสียงแผ่วขณะที่นัยน์ตาคู่สวยมองไปยังแก้วน้ำในมือของเคน
“..เป็นโรคขาดน้ำหรือไง”
“ก็ขออีกไม่ได้หรือไง”
“ดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยเติม” สรินดารับแก้วที่เขายื่นให้มาถือไว้ในมือ “เอ้ายาด้วย”
“ฮื่อ เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยกิน”
“ยัยเบ๊อะ ไม่กินยาแล้วไข้จะหายมั้ยฮะ” ไม่พูดเปล่าหากยัดยาใส่มือของเธอด้วย
“โธ่ ไม่ถึงกับตายหรอกน่า”
“ไม่ตาย แต่เปลืองค่ารักษาพยาบาลที่ฉันต้องจ่าย หัดเกรงอกเกรงใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันซะบ้าง”
“เหอะ โธ่เอ๊ย นึกว่าจะห่วงเรา เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ..ที่แท้ห่วงเงินตัวเอง” บ่นพึมพำกับตัวจบก็ก้มลงดื่มน้ำจนกระทั่งลดไปครึ่งแก้ว แล้วเหลือบมองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่เงียบเสียงไปไม่โต้ตอบกลับมา
มีเพียงแววตาเยียบเย็น ส่งผ่านความหมายว่าขุ่นเคืองเธอเป็นที่สุดมาให้
“เอ้อ.. คือฉัน..”
แม้จะกล่าวไม่จบประโยชน์ร่างโปร่งสูงก็ผละจากที่ต้องนั้นไปโดยไม่เฉียดเข้าใกล้เธอ
“เคน.. นายเคน”
“ทำไม”
“เอ่อ ฉันขอ..” ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ เขาเดิมตรงมาหาพร้อมด้วยน้ำขวดใหญ่แล้วรินน้ำเติมให้จนเกือบเต็ม “เฮ้ย ไม่ใช่ๆ คือฉันจะขอ..”
“จะขออะไรมากมาย” เขาบ่น
“ว๊อยย.. ก็ฟังซะทีเซ่!! ฉันจะบอกนายว่าขอโทษๆ แล้วก็ขอบคุณนายด้วย” ดวงหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงมาเล็กน้อย
“ก็ฉันบอกเธอแล้วไงว่าไม่....” เคนยังทันพูดจบประโยคดี เสียงใสๆก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
“เฮอะๆ ฟังนะ ที่ฉันพูดขอโทษกับนายเนี่ย ก็เพราะว่าจะได้หมดเวรหมดกรรมกับนายไปซะที ไม่ได้ซาบซึ้งในพระคุณอันใหญ่หลวงซะเต็มประดาของนายหรอก เข้าใจมั้ยฮะ?” รินแก้ตัว
“เธอคิดว่าเธอจะหมดเวรหมดกรรมกับฉันง่ายๆงั้นหรือ”
“ทำไม นายงอนอะไรนักหนาวะ ผู้ชายภาษาอะไรเนี่ย ขี้งอนเหมือน..” คำพูดสุดท้ายนั้นถูกกลืนหายลงไปในลำคอ พร้อมกับแววตาประกายเจ้าเล่ห์
“เหมือน? เหมือนอะไร.. เธอพูดมาให้จบนะ”
“ฮะๆ เปล่าๆ ไม่มีอะไร.. เอาเป็นว่าฉันเข้าใจนายน่า..อ้อ.. เชิญนายออกไปข้างนอกด้วย ฉันจะได้นอนพัก” สรินดาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็นด้วยการพูดตัดบทไล่เคนออกไปจากห้อง
“ออกไปข้างนอก?” เคนถามพลางเลิกคิ้วสูง “นี่เธอห้องนี้ฉันก็เป็นคนออกตังค์ให้เธอนะ แล้วรถฉัน เพื่อนเธอก็เอาไป เธอจะให้ฉันกลับบ้านยังไงล่ะ”
“ก็เรียกรถแท็กซี่สิ โฮ่ย!! ทำไมนายถึงได้ฉลาดไร้ประโยชน์อย่างนี้นะ” รินพูดแกมประชดประชัน
“เออ ไร้ประโยชน์ แต่มีปัญญารักษาเธอให้หายได้ก็แล้วกันน่า เอ้า! ยาในมือน่ะ กินๆเข้าไป”
“ฮ้า~ ยาเหรอ?” คนป่วยถามตาโต
“เออ ถืออยู่นานแล้วเมื่อไหร่จะกินมันซะที” เขาว่า นิ่งดูสีหน้าของหญิงสาวครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าใจอะไรได้ขึ้นมาเลาๆ “ฮะๆ อย่าบอกนะว่าหญิงถึกอย่างเธอ ไม่กล้ากินยา”
“ใครว่า..” รินสะบัดน้ำเสียงไม่พอใจ
“งั้นก็กินซะสิ” นัยน์ตาดุดันแกมบังคับของเขาจับจ้องมองเป๋งมา จนรินได้แต่เข่นเขี้ยวพึมพำอาฆาตเบาๆ
“อย่าให้ฉันหายนะ ไม่งั้นนายไม่รอดแน่ ฮึ”
“นี่สรินดา กำแพงมีหู ประตูมีตา คนแถวนี้ยังไม่แก่ ได้ยินนะว่าเธอพูดอะไร..” เคนพูดเปรยๆขึ้นมา ก่อนสำทับซ้ำเติมในเรื่องที่หญิงสาวกำลังกลุ้มอยู่ต่อ “อ้อ แล้วเธอก็ควรคิดคำให้การกับตำรวจไว้ดีๆล่ะ ระวังจะจนมุม” 
“ฮึ! เอาเถอะ คนอย่างสรินดา นิภาวรรณ ไม่มีวันจนมุมหรอก!!” เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น แล้วคว้ายาใส่ปาก ก่อนจะกินน้ำตามเข้าไปหลายอึก
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
และแล้วแผนการเอาตัวรอดของสรินดาก็เริ่มต้นขึ้นต่อหน้าตำรวจที่สอบสวนสาเหตุของไฟไหม้
“ไม่ทราบ พอจะมีเบาะแสอะไรบ้างไหมครับ” นายตำรวจถามอย่างสุภาพ
“..ฉันคิดว่าฉันเห็นผู้ชายคนนึงถือถัง..เหมือนถังน้ำมันเดินเตร่อยู่หลังอาคารก่อนไฟจะลุกค่ะ” สรินดาให้การพร้อมแสร้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาที่มาจากการหาว ด้วยดวงหน้าที่ซีดเพราะไข้ที่ยังไม่หายดี ทำให้ดูเหมือนว่าเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้มีผลกระทบต่อเธอมาก
“เฮ้..ก็ไหนเธอ แอ่ก!” เสียงค้านมาพร้อมกับหมัดซัดเข้าที่หลังจนคนพูดจุกจนว่าอะไรต่อไม่ออก
“..เออออตามฉันไปเหอะน่ะ แล้วจะเอาอะไรฉันให้ทั้งนั้น” รินหันกลับไปกระซิบ
“ผู้ชาย? หน้าตาเป็นยังไงครับ” ตำรวจคนเดิมมีสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที “เฮ้! เอาโน๊ตบุ๊คมาสกรีนหน้าคนร้ายหน่อย” พอพูดจบ ตำรวจอีกคนก็กุลีกุจอมา ยกคอมพิวเตอร์ขึ้นเตรียมพร้อม
“เอ้อ..” สรินดากำลังนึกถึงหน้าตาคนร้าย ผู้ซึ่งยังไม่เคยเกิดมาบนโลก
“สีผมเป็นยังไงครับ”
“ สี..เขียว” รินหลุดปากพูด เพราะมองเห็นแผงลอยขายผักอยู่ไม่ไกล
“หา? สีเขียว?” ตำรวจคนบันทึกสีหน้าเหรอหรา แต่เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ฮื่อ แล้วหยิกฟูเป็นก้อนๆ” หญิงสาวหยุดชั่วครู่ แล้วพล่ามต่อ “ฟันแทบไม่มี เห็นชัดๆแค่ซี่เดียว”
หน้าคนสกรีนรูปเหยเกขึ้นทุกที พอๆกับที่สรินดาเริ่มสนุกกับการอธิบายขึ้นเรื่อยๆ   
“อ้อ! เขามีแผลเป็นอยู่ที่แก้มด้วยนะ”
“แก้มข้างไหน”
“ทั้งสองข้าง..อืม..มาบรรจบกันตรงกลางเหมือนหนวด”
“มีอะไรอีกไหม”
“อื้ม.. ไม่มีแล้ว” รินยิ้มร่า แต่แล้วสีหน้าตะลึงค้างก็ปรากฏ เมื่อคุณตำรวจผู้แสนดีหันคอมพิวเตอร์มาให้เธอได้เห็นโฉมหน้า ‘คนร้าย’ ที่เธอโมเมขึ้นมาอย่างชัดๆ
ตัวประหลาดบัดซบที่มันไม่น่ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จมูกหักงอ ปากกว้าง ฟันหลอ ผมสีเขียวพองฟู กับแผลเป็นเด่นแสนเด่นรูปกล้วยหันมาชนกันพอดีที่ใต้คาง
เอื๊อก
รินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลซิกๆ
“คุณแน่ใจเหรอครับ” ตำรวจหนุ่มถามพลางทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ
“แหะๆ คือมันมืดน่ะค่ะ เห็นไม่ค่อยชัด” รินยิ้มแหย พลางหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆที่พยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้หลุดขำออกมา
“จริงๆแล้ว มันไม่มีคนระ.....โอ้ยย!!” เท้าหนักๆของริน กระทืบโครมลงบนเท้าของร่างสูงอย่างแรง
“นี่เธอ!!” เคนส่งสายตาดุดัน แล้วชี้หน้าอาฆาตหญิงสาว
“อะไร!?” รินส่งสายตามาดหมาย ง้างหมัดเตรียมจะชกชายหนุ่มอีกรอบ
“เอ้อ.. คือคุณตำรวจครับ ยัยนี่เพิ่งหายไข้ สติยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”
โฮ่ย... เกิดมาไม่เคยต้องยอมใครขนาดนี้ ฮึ! ฝากไว้ก่อนเถอะยัยถึก
“นายว่าใครสติไม่ดีฮะ” เสียงใสโวยขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“เห็นมั้ยครับคุณตำรวจ คนบ้าไม่เคยยอมรับว่าตัวเองบ้าหรอกครับ ยังไงผมว่าเราไว้ค่อยสอบปากคำวันหลังแล้วกันนะครับ” รัฐภูมิพูดจบ ก็ถือวิสาสะดึงแกมลากสรินดาออกมาทันที ไม่สนใจเสียงท้วงของตำรวจหนุ่ม และภาพของสัตว์ประหลาดบัดซบ...
ร่างสูงของอานนท์วิ่งเข้ามาหาพลางหอบแฮ่กๆ ชายหนุ่มมองเจ้านายของตัวเอง ก่อนจะตวัดสายตามาที่เพื่อนซี้ที่ทำหน้าบูดเหมือนตูดลิง
“ไอ้ริน แก...เป็นอะไรมากมั้ย”
“เฮอะ! ไม่เป็นมั้ง รังหนูที่แกเกลียดนักเกลียดหนา มันตายไปแล้วนี่” รินตอบเสียงสะบัด “ว่าแต่แกเหอะ หายไปไหนมาวะ”
“ฉัน.. เก็บมาให้แก” อานนท์ยื่นกรอบรูปไม้ที่มีรอยไหม้เพราะถูกไฟรนส่งมาให้เธอ ภายในเป็นรูปของชาย หญิงวัยกลางคน ยืนส่งยิ้มกว้าง โดยอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังกอดตุ๊กตาหมีตัวน้อยในมือแน่น ปากมอมแมมเลอะเทอะคลี่ออก เผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างแจ่มใส จนนัยน์ตาโตๆใสแจ๋วหยีลงไปเล็กน้อย
สรินดามือสั่นเมื่อรับมันมา ริมฝีปากเม้มแน่น เพื่อข่มใจไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอนิ่งไปขณะหนึ่ง ภาพความฝันที่ดูเหมือนจะลืมเลือนไปแล้ว กลับปรากฏแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเสียอย่างไรอย่างนั้น ...เสียงกรีดร้องครั้งนั้นยังคงดังก้องติดหูของเธอ
รัฐภูมิมองลูกน้องที่ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยให้หญิงสาวอย่างออกนอกหน้า ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน
เฮอะ! หมันไส้!! ..เออ! ก็รู้กันแค่สองคนนี่ เขามันคนนอก ชิ~!!
“แก...โอเคนะ ไม่ต้องคิดมากนะ ไอ้ริน” เสียงของชายหนุ่มเจือความรู้สึกผิดเอาไว้เล็กน้อย เพราะตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่เป็นคนสะกิดแผลใจของหญิงสาวให้ระลึกถึงเรื่องนั้น..
“อืม...ขอบใจ” รินส่งยิ้มเพลียๆให้เพื่อนซี้ทีหนึ่ง
“จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” เสียงคนเป็นส่วนเกินดังขัดบรรยากาศซึมเศร้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“อ้าว..คุณเคนยังอยู่อีกเหรอครับ” คำตอบที่ทำให้รัฐภูมิเขาชักสีหน้าปุเลี่ยนๆ อารมณ์หมั่นไส้ลูกน้องตนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น
หากอานนท์ที่ให้ความสนใจเจ้านายเพียงแวบเดียวนั้น ไม่ได้สังเกตสังการอาการเจ้านายหนุ่มของตนสักเท่าไร หันไปถามเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยต่อ
“เออ..ไอ้ริน คืนนี้แกจะนอนไหนวะ”
จริงสิ...แล้วคืนนี้เธอจะไปนอนที่ไหนกันนะ
มันเป็นคำถาม ที่ไร้ซึ่งคำตอบ...
                                                            ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
ขอคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจกับนักเขียนทุกคนหน่อยนะคะ!
ปล.คอมเมนต์กับจำนวนคนอ่านไม่บาลานซ์กัน นั่นเป็นเพราะ!.. นักอ่านเงา!! จงปรากฏตัวออกมาซะ >[]<
รัฐภูมินั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้  มือที่อังอยู่บนใบหน้าแดงเนียนก่ำของร่างบางบนเตียง สัมผัสได้ถึงความร้อนจี๋ จนต้องรีบชักมือออก
ไข้สูงขนาดนี้ยังซ่าได้ ฤทธิ์มากเสียจริง
“..พ่อ.. แม่.....รินกลัว..” ริมฝีปากซีดเซียวไร้สีสันพึมพำจับใจความได้ยาก ศีรษะส่ายไปมา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้า มือบางไขว่คว้าตะกายอากาศ
เขาจึงคว้าข้อมือเธอไว้หมายให้เธอสงบ และจัดที่จัดทางให้เธอนอนได้สะดวกขึ้น ทว่ามือเล็กที่ร้อนผ่าวกับเกาะมือเขาไว้แน่น
“..แม่ ..รินร้อน” ร่างบางหอบหายใจถี่กระชั้น ริมฝีปากเซียวยังคงพึมพำไม่หยุด จนเคนเริ่มทำลุกลี้ลุกลนอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มพยายามแกะแขนรินออก เพื่อที่จะไปเตรียมผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัว หากเธอกลับกำแขนเขาแน่นยิ่งขึ้น... แน่นเสียจนเล็บคมๆจิกลงไปในเนื้อเขา
โอ๊ย! ยัยบ้าเอ๊ย ขนาดร่อแร่อย่างนี้ยังประทุษร้ายเขาไม่เลิก!!
แรงจิกกดหนักขึ้นเรื่อยๆ เสียจนรัฐภูมิไม่อยากจะทนเจ็บต่อ จึงต้องรีบสะบัดแขนออกอย่างแรง
“ม่ายยยยยย~ย!!” สรินดาสะดุ้งตื่น ใบหน้าแดงเนียนก่ำเผือดสีลงเล็กน้อยแต่ยังคงหอบหายใจแรงๆอยู่ ภาพเหตุการณ์ในความฝันยังคงติดตาคาใจ
...ก็แค่ฝัน...ฝันเท่านั้นเอง... หญิงสาวพยายามเตือนตัวเอง
“เป็นอะไรไป” ชายข้างกายถามขึ้น คิ้วขมวดมุ่น
หากพอสายตาแลเห็นร่างสูงข้างๆ จึงนั่งลำดับเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่จะสำรวจสิ่งรอบข้าง ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้? สรินดาวางมือทาบหน้าผากของตนอาจด้วยท่าทางครุ่นคิด หรือเพราะอาการปวดศีรษะ
...ร้อน ...ไฟ...
...ฝัน ..ไฟไหม้..
..ไฟ..
..อพาร์ตเมนต์..
ไฟไหม้อพาร์ตเมนต์!!
ฝันรึเปล่า!? ฝันร้ายแน่ๆ!!
“สรินดา เธอ.. โอเครึเปล่า” รัฐภูมิเริ่มกังวลกับท่าทีแปลกๆ ของเธอ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่โต้ตอบอะไรเขาเลย นอกจาก..
เพื่อเป็นการยืนยันความจริง มือน้อยของหญิงสาวค่อยๆยื่นออกไปข้างๆตัว แล้วหยิกลงไปเต็มแรงที่แก้มของบุรุษที่นั่งสังเกตอาการเธออยู่ข้างๆ
“เฮ้ย!” รัฐภูมิกระโดดถอยหลังออกมา ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าป้อยๆ “จะหาเรื่องกันหรือไง”
“..ก็ไม่ได้ฝันนี่หว่า”
“เออสิ ยัยถึก ไข้สูงขนาดนี้ยังซ่าก่อเรื่องได้อีก”
“นายว่าใคร ฮะ?” สรินดากุมขมับ รู้สึกมึนๆเล็กน้อย
ติ๊ดตะลิดติ๊ด...
เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะ ชายหนุ่มส่งสายตาขุ่นเคืองมาให้หญิงสาว ก่อนกดปุ่มรับสาย
“ฮัลโหล”
ปลายสายพูดอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็ยื่นโทรศัพท์มือถือส่งมาให้เธอที่นั่งหน้าตาเอ๋อเหรอ
“ฉัน?”
“ของเธอ”
“โทรศัพท์..”
นายเคนพยักหน้า
“ให้ฉัน?”
“ไปเช็คประสาทก่อนดีมั้ย สรินดา” เคนยืนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าเอือมๆ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “โทรศัพท์ถึงเธอ สรินดา รับสายซะ”
“แหะๆ” รินจึงได้แต่ส่งรอยยิ้มแหยๆกลับคืน และต้องเปลี่ยนเป็นจ้องเขาเขม็งอย่างหาเรื่อง เมื่อเธอได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากปากของเขาว่า “โง่จริง”
ทว่าความสนใจของสิ่งที่อยู่ในมือมีมากกว่า..
แม่เจ้าประคุณเอ๊ย! เกิดมาเพิ่งเคยได้แตะ
“ฮัลโหลๆ... เฮ้ย!..ฮัลโหล~ล..พูดเซ่!!” รินตะคอกเสียงใส่โทรศัพท์
“ยัยเบ๊อะเอ๊ย!! ประสาทกลับหรือยังไง” เคนพูดด้วยสีหน้าอนาถจิต
“กลับบ้าอะไรเล่า”
“โทรศัพท์ยังคุยกลับหัวกลับหาง ถ้าประสาทเธอไม่กลับ โลกคงกลับตาลปัตรไปแล้ว”
“ชิ แล้วก็ไม่บอก” รินพึมพำหน้าเสีย ก่อนหันหัวโทรศัพท์เจ้ากรรมให้ถูกต้อง แล้วกรอกเสียงลงไป “โหลๆ”
“ไอ้รินว๊อยย! นนท์นะ ได้ยินรึยัง”
“ไอ้เวร แกจะตะโกนหาพระแสงดาบง้าวอะไรวะ”
“เออๆ ขอโทษเว่ย” อานนท์พูดแบบขอไปที ก่อนจะพูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ไอ้ริน..แกเอ๊ย~ ซวยแล้วรู้มั้ย”
“ซวยเซ่! ฉันไม่มีที่ซุกหัวนอนเนี่ย”
“แก...ไวไวควิก” เสียงเครือๆส่งผ่านมา
“อะไร? ไวไวควิก? เออ..ถ้าจะซื้อมาฝากก็ดี กำลังหิว แต่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้มั้ยวะ เบื่อแล้วอ่ะ ก่อนออกจากอพาร์ตเมนต์ก็เพิ่งจะ... ห๊ะ!! เฮ้ย!!”
เมื่อถ้อยคำที่ยังกล่าวไม่จบทำให้เธอหวนนึกอะไรขึ้นมาได้ หญิงสาวชะงักกึก ปากอ้าค้าง ใบหน้าเผือดสี.. โทรศัพท์มือถือร่วงหล่นลงไปบนพื้น
เฮือก.. ไวไวควิก!!!
บรรลัยแล้ว!!
“เฮ้ย! ยัยประสาท ถ้าโทรศัพท์ฉันเจ๊ง เธอตายแน่” เคนเริ่มโวยวาย หากรินกลับไม่ได้สนใจสักนิด
”เคน...ไวไวควิก” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“จะมากินอะไรตอนนี้”
“ไวไวควิก.. โอ้ย ไอ้รินเอ๊ย~”
“เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“ฉันต้มไวไวควิกกิน..แล้ว...แล้วฉันก็...ลืมปิดแก๊ส”
“ฮะ!.... แล้วไง?”
“แล้วไง! ฉันก็ซวยน่ะเซ่! โอ้พระเจ้า! โฮ~“
สรินดาซบหน้าลงกับหมอนอยู่นาน คนข้างกายไม่รู้จะปลอบด้วยวิธีการใด ในเมื่อเธอเอาแต่ส่งเสียงครวญครางอยู่อย่างนี้
“เอาน่า เรื่องมันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก คนเราผิดพลาดกันได้นี่นา”
“ เคน เพราะนายแท้ๆ” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแปลกๆแหม่งๆพิกล
“หือ?“
“บ๊าเอ๊ย! เพราะนาย ไอ้นนท์มันอยากให้ฉันไปขอโทษนาย ถึงได้ลากฉันออกไปจนลืมปิดแก๊ส...ฮึ! เพราะนายคนเดียว” หญิงหาทางพาลไปใส่ชายหนุ่มจนได้
“ยัยเพี้ยน ฉันไปเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ได้ทีก็โยนกลองมาให้ ไม่มีสำนึกเลยว่าคนเขาอุตส่าห์พาเธอมาส่งถึงโรงพยาบาล จ่ายค่ารักษาให้เป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้เธอเป็นลมอยู่หน้าบ้านฉันก็ดีเท่าไหร่ นี่อะไร ตื่นขึ้นมาก็พาลซะแล้ว ขอบคุณสักคำยังไม่มี”
ร่างบางสะอึก เงียบกริบไปครู่หนึ่ง สีหน้าสลดลงเล็กน้อยเมื่อครุ่นคิดตามคำที่เขาระรัวใส่เธอ
“เออ เอาเถอะ ฉันผิดเองที่ทำให้อานนท์ต้องลากเธอมาขอโทษฉัน” รัฐภูมิพูดด้วยน้ำเสียงแกมประชดเล็กน้อยก่อนจะหันหลังให้เธอทันทีที่กล่าวจบ
“เง่อ.. เคน..” ทว่าเจ้าของนามไม่ตอบกลับ เดินหยิบนู่นดูนี่ไปทั่วห้อง หญิงสาวพยายามเรียกซ้ำหลายรอบ หากสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบเช่นเคย  “นายเคน..”
บ๊ะ!! นายนี่ หูมีปัญหารึไง ..หรือขี้งอน!?
“ไอ้เคนว๊อยยย!!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียง สุดท้ายได้แต่นั่งไอแค่กๆ แต่ดูเหมือนจะเรียกความสนใจจากเขาได้ไม่น้อย
“อะไร”
“อ่ะแฮ่ม.. ขอ...” รินยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ขัดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องพูดแล้ว กินยานี่แล้วก็นอนซะ” เขาพูดพลางยื่นยาที่หมอจัดเตรียมไว้ให้พร้อมแก้วบรรจุน้ำ
“ขอ...”
“ก็บอกว่าไม่ต้องพูดไงเล่า! ฉันขี้เกียจจะทะเลาะกับเธอแล้วเข้าใจมั้ย”
“ขอน้ำ.. อีกแก้ว” เธอกล่าวเสียงแผ่วขณะที่นัยน์ตาคู่สวยมองไปยังแก้วน้ำในมือของเคน
“..เป็นโรคขาดน้ำหรือไง”
“ก็ขออีกไม่ได้หรือไง”
“ดื่มแก้วนี้ให้หมดก่อนแล้วค่อยเติม” สรินดารับแก้วที่เขายื่นให้มาถือไว้ในมือ “เอ้ายาด้วย”
“ฮื่อ เก็บไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยกิน”
“ยัยเบ๊อะ ไม่กินยาแล้วไข้จะหายมั้ยฮะ” ไม่พูดเปล่าหากยัดยาใส่มือของเธอด้วย
“โธ่ ไม่ถึงกับตายหรอกน่า”
“ไม่ตาย แต่เปลืองค่ารักษาพยาบาลที่ฉันต้องจ่าย หัดเกรงอกเกรงใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันซะบ้าง”
“เหอะ โธ่เอ๊ย นึกว่าจะห่วงเรา เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ..ที่แท้ห่วงเงินตัวเอง” บ่นพึมพำกับตัวจบก็ก้มลงดื่มน้ำจนกระทั่งลดไปครึ่งแก้ว แล้วเหลือบมองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่เงียบเสียงไปไม่โต้ตอบกลับมา
มีเพียงแววตาเยียบเย็น ส่งผ่านความหมายว่าขุ่นเคืองเธอเป็นที่สุดมาให้
“เอ้อ.. คือฉัน..”
แม้จะกล่าวไม่จบประโยชน์ร่างโปร่งสูงก็ผละจากที่ต้องนั้นไปโดยไม่เฉียดเข้าใกล้เธอ
“เคน.. นายเคน”
“ทำไม”
“เอ่อ ฉันขอ..” ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ เขาเดิมตรงมาหาพร้อมด้วยน้ำขวดใหญ่แล้วรินน้ำเติมให้จนเกือบเต็ม “เฮ้ย ไม่ใช่ๆ คือฉันจะขอ..”
“จะขออะไรมากมาย” เขาบ่น
“ว๊อยย.. ก็ฟังซะทีเซ่!! ฉันจะบอกนายว่าขอโทษๆ แล้วก็ขอบคุณนายด้วย” ดวงหน้าของเธอเริ่มขึ้นสีแดงมาเล็กน้อย
“ก็ฉันบอกเธอแล้วไงว่าไม่....” เคนยังทันพูดจบประโยคดี เสียงใสๆก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
“เฮอะๆ ฟังนะ ที่ฉันพูดขอโทษกับนายเนี่ย ก็เพราะว่าจะได้หมดเวรหมดกรรมกับนายไปซะที ไม่ได้ซาบซึ้งในพระคุณอันใหญ่หลวงซะเต็มประดาของนายหรอก เข้าใจมั้ยฮะ?” รินแก้ตัว
“เธอคิดว่าเธอจะหมดเวรหมดกรรมกับฉันง่ายๆงั้นหรือ”
“ทำไม นายงอนอะไรนักหนาวะ ผู้ชายภาษาอะไรเนี่ย ขี้งอนเหมือน..” คำพูดสุดท้ายนั้นถูกกลืนหายลงไปในลำคอ พร้อมกับแววตาประกายเจ้าเล่ห์
“เหมือน? เหมือนอะไร.. เธอพูดมาให้จบนะ”
“ฮะๆ เปล่าๆ ไม่มีอะไร.. เอาเป็นว่าฉันเข้าใจนายน่า..อ้อ.. เชิญนายออกไปข้างนอกด้วย ฉันจะได้นอนพัก” สรินดาเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเบี่ยงประเด็นด้วยการพูดตัดบทไล่เคนออกไปจากห้อง
“ออกไปข้างนอก?” เคนถามพลางเลิกคิ้วสูง “นี่เธอห้องนี้ฉันก็เป็นคนออกตังค์ให้เธอนะ แล้วรถฉัน เพื่อนเธอก็เอาไป เธอจะให้ฉันกลับบ้านยังไงล่ะ”
“ก็เรียกรถแท็กซี่สิ โฮ่ย!! ทำไมนายถึงได้ฉลาดไร้ประโยชน์อย่างนี้นะ” รินพูดแกมประชดประชัน
“เออ ไร้ประโยชน์ แต่มีปัญญารักษาเธอให้หายได้ก็แล้วกันน่า เอ้า! ยาในมือน่ะ กินๆเข้าไป”
“ฮ้า~ ยาเหรอ?” คนป่วยถามตาโต
“เออ ถืออยู่นานแล้วเมื่อไหร่จะกินมันซะที” เขาว่า นิ่งดูสีหน้าของหญิงสาวครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าใจอะไรได้ขึ้นมาเลาๆ “ฮะๆ อย่าบอกนะว่าหญิงถึกอย่างเธอ ไม่กล้ากินยา”
“ใครว่า..” รินสะบัดน้ำเสียงไม่พอใจ
“งั้นก็กินซะสิ” นัยน์ตาดุดันแกมบังคับของเขาจับจ้องมองเป๋งมา จนรินได้แต่เข่นเขี้ยวพึมพำอาฆาตเบาๆ
“อย่าให้ฉันหายนะ ไม่งั้นนายไม่รอดแน่ ฮึ”
“นี่สรินดา กำแพงมีหู ประตูมีตา คนแถวนี้ยังไม่แก่ ได้ยินนะว่าเธอพูดอะไร..” เคนพูดเปรยๆขึ้นมา ก่อนสำทับซ้ำเติมในเรื่องที่หญิงสาวกำลังกลุ้มอยู่ต่อ “อ้อ แล้วเธอก็ควรคิดคำให้การกับตำรวจไว้ดีๆล่ะ ระวังจะจนมุม” 
“ฮึ! เอาเถอะ คนอย่างสรินดา นิภาวรรณ ไม่มีวันจนมุมหรอก!!” เธอกล่าวอย่างมุ่งมั่น แล้วคว้ายาใส่ปาก ก่อนจะกินน้ำตามเข้าไปหลายอึก
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
และแล้วแผนการเอาตัวรอดของสรินดาก็เริ่มต้นขึ้นต่อหน้าตำรวจที่สอบสวนสาเหตุของไฟไหม้
“ไม่ทราบ พอจะมีเบาะแสอะไรบ้างไหมครับ” นายตำรวจถามอย่างสุภาพ
“..ฉันคิดว่าฉันเห็นผู้ชายคนนึงถือถัง..เหมือนถังน้ำมันเดินเตร่อยู่หลังอาคารก่อนไฟจะลุกค่ะ” สรินดาให้การพร้อมแสร้งยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาที่มาจากการหาว ด้วยดวงหน้าที่ซีดเพราะไข้ที่ยังไม่หายดี ทำให้ดูเหมือนว่าเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้มีผลกระทบต่อเธอมาก
“เฮ้..ก็ไหนเธอ แอ่ก!” เสียงค้านมาพร้อมกับหมัดซัดเข้าที่หลังจนคนพูดจุกจนว่าอะไรต่อไม่ออก
“..เออออตามฉันไปเหอะน่ะ แล้วจะเอาอะไรฉันให้ทั้งนั้น” รินหันกลับไปกระซิบ
“ผู้ชาย? หน้าตาเป็นยังไงครับ” ตำรวจคนเดิมมีสีหน้าสนใจขึ้นมาทันที “เฮ้! เอาโน๊ตบุ๊คมาสกรีนหน้าคนร้ายหน่อย” พอพูดจบ ตำรวจอีกคนก็กุลีกุจอมา ยกคอมพิวเตอร์ขึ้นเตรียมพร้อม
“เอ้อ..” สรินดากำลังนึกถึงหน้าตาคนร้าย ผู้ซึ่งยังไม่เคยเกิดมาบนโลก
“สีผมเป็นยังไงครับ”
“ สี..เขียว” รินหลุดปากพูด เพราะมองเห็นแผงลอยขายผักอยู่ไม่ไกล
“หา? สีเขียว?” ตำรวจคนบันทึกสีหน้าเหรอหรา แต่เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ฮื่อ แล้วหยิกฟูเป็นก้อนๆ” หญิงสาวหยุดชั่วครู่ แล้วพล่ามต่อ “ฟันแทบไม่มี เห็นชัดๆแค่ซี่เดียว”
หน้าคนสกรีนรูปเหยเกขึ้นทุกที พอๆกับที่สรินดาเริ่มสนุกกับการอธิบายขึ้นเรื่อยๆ   
“อ้อ! เขามีแผลเป็นอยู่ที่แก้มด้วยนะ”
“แก้มข้างไหน”
“ทั้งสองข้าง..อืม..มาบรรจบกันตรงกลางเหมือนหนวด”
“มีอะไรอีกไหม”
“อื้ม.. ไม่มีแล้ว” รินยิ้มร่า แต่แล้วสีหน้าตะลึงค้างก็ปรากฏ เมื่อคุณตำรวจผู้แสนดีหันคอมพิวเตอร์มาให้เธอได้เห็นโฉมหน้า ‘คนร้าย’ ที่เธอโมเมขึ้นมาอย่างชัดๆ
ตัวประหลาดบัดซบที่มันไม่น่ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จมูกหักงอ ปากกว้าง ฟันหลอ ผมสีเขียวพองฟู กับแผลเป็นเด่นแสนเด่นรูปกล้วยหันมาชนกันพอดีที่ใต้คาง
เอื๊อก
รินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลซิกๆ
“คุณแน่ใจเหรอครับ” ตำรวจหนุ่มถามพลางทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ
“แหะๆ คือมันมืดน่ะค่ะ เห็นไม่ค่อยชัด” รินยิ้มแหย พลางหันไปส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากคนข้างๆที่พยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้หลุดขำออกมา
“จริงๆแล้ว มันไม่มีคนระ.....โอ้ยย!!” เท้าหนักๆของริน กระทืบโครมลงบนเท้าของร่างสูงอย่างแรง
“นี่เธอ!!” เคนส่งสายตาดุดัน แล้วชี้หน้าอาฆาตหญิงสาว
“อะไร!?” รินส่งสายตามาดหมาย ง้างหมัดเตรียมจะชกชายหนุ่มอีกรอบ
“เอ้อ.. คือคุณตำรวจครับ ยัยนี่เพิ่งหายไข้ สติยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”
โฮ่ย... เกิดมาไม่เคยต้องยอมใครขนาดนี้ ฮึ! ฝากไว้ก่อนเถอะยัยถึก
“นายว่าใครสติไม่ดีฮะ” เสียงใสโวยขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“เห็นมั้ยครับคุณตำรวจ คนบ้าไม่เคยยอมรับว่าตัวเองบ้าหรอกครับ ยังไงผมว่าเราไว้ค่อยสอบปากคำวันหลังแล้วกันนะครับ” รัฐภูมิพูดจบ ก็ถือวิสาสะดึงแกมลากสรินดาออกมาทันที ไม่สนใจเสียงท้วงของตำรวจหนุ่ม และภาพของสัตว์ประหลาดบัดซบ...
ร่างสูงของอานนท์วิ่งเข้ามาหาพลางหอบแฮ่กๆ ชายหนุ่มมองเจ้านายของตัวเอง ก่อนจะตวัดสายตามาที่เพื่อนซี้ที่ทำหน้าบูดเหมือนตูดลิง
“ไอ้ริน แก...เป็นอะไรมากมั้ย”
“เฮอะ! ไม่เป็นมั้ง รังหนูที่แกเกลียดนักเกลียดหนา มันตายไปแล้วนี่” รินตอบเสียงสะบัด “ว่าแต่แกเหอะ หายไปไหนมาวะ”
“ฉัน.. เก็บมาให้แก” อานนท์ยื่นกรอบรูปไม้ที่มีรอยไหม้เพราะถูกไฟรนส่งมาให้เธอ ภายในเป็นรูปของชาย หญิงวัยกลางคน ยืนส่งยิ้มกว้าง โดยอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่กำลังกอดตุ๊กตาหมีตัวน้อยในมือแน่น ปากมอมแมมเลอะเทอะคลี่ออก เผยให้เห็นรอยยิ้มกว้างแจ่มใส จนนัยน์ตาโตๆใสแจ๋วหยีลงไปเล็กน้อย
สรินดามือสั่นเมื่อรับมันมา ริมฝีปากเม้มแน่น เพื่อข่มใจไม่ให้น้ำตาไหลออกมา เธอนิ่งไปขณะหนึ่ง ภาพความฝันที่ดูเหมือนจะลืมเลือนไปแล้ว กลับปรากฏแจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเสียอย่างไรอย่างนั้น ...เสียงกรีดร้องครั้งนั้นยังคงดังก้องติดหูของเธอ
รัฐภูมิมองลูกน้องที่ส่งสายตาเป็นห่วงเป็นใยให้หญิงสาวอย่างออกนอกหน้า ด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน
เฮอะ! หมันไส้!! ..เออ! ก็รู้กันแค่สองคนนี่ เขามันคนนอก ชิ~!!
“แก...โอเคนะ ไม่ต้องคิดมากนะ ไอ้ริน” เสียงของชายหนุ่มเจือความรู้สึกผิดเอาไว้เล็กน้อย เพราะตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่เป็นคนสะกิดแผลใจของหญิงสาวให้ระลึกถึงเรื่องนั้น..
“อืม...ขอบใจ” รินส่งยิ้มเพลียๆให้เพื่อนซี้ทีหนึ่ง
“จะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหม” เสียงคนเป็นส่วนเกินดังขัดบรรยากาศซึมเศร้าขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“อ้าว..คุณเคนยังอยู่อีกเหรอครับ” คำตอบที่ทำให้รัฐภูมิเขาชักสีหน้าปุเลี่ยนๆ อารมณ์หมั่นไส้ลูกน้องตนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น
หากอานนท์ที่ให้ความสนใจเจ้านายเพียงแวบเดียวนั้น ไม่ได้สังเกตสังการอาการเจ้านายหนุ่มของตนสักเท่าไร หันไปถามเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยต่อ
“เออ..ไอ้ริน คืนนี้แกจะนอนไหนวะ”
จริงสิ...แล้วคืนนี้เธอจะไปนอนที่ไหนกันนะ
มันเป็นคำถาม ที่ไร้ซึ่งคำตอบ...
                                                            ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
ขอคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจกับนักเขียนทุกคนหน่อยนะคะ!
ปล.คอมเมนต์กับจำนวนคนอ่านไม่บาลานซ์กัน นั่นเป็นเพราะ!.. นักอ่านเงา!! จงปรากฏตัวออกมาซะ >[]<
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น