ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระวัง!! ไวรัสสื่อรัก

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๓

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 48


    ตอนที่ 3



    โดยไม่ต้องผ่านการครุ่นคิดพิจารณาให้เนิ่นนาน สรินดาก็ตัดสินใจได้โดยนาย ‘เพื่อนรัก’ ลากสังขารที่ยังร่อแร่เอาการไปขออโหสิกรรมผู้เกือบจะได้เป็นเจ้านาย ณ บ้านหลังโตแสนโอ่อ่านาม ‘วชิรานินทร์’



    “แกจะรีบมาทำไมเนี่ย ให้ฉันกินอะไรรองท้องก่อนก็ไม่ได้” เธอบ่นใส่เพื่อนข้างกายที่ทำให้เธออดลิ้มรสบะหมีกึ่งสำเร็จรูปที่เพิ่งต้มเสร็จหมาดๆ แต่ยังไม่ทันได้เอาเข้าปาก นายอานนท์ก็เริ่มหมดความอดทนกับความยืดยาดของเธอ ผลที่ได้คือเสียงโครกครากดังมาเป็นระยะๆ



    “เอาน่า กินแต่ของอย่างนั้น แกถึงได้โทรมขนาดนี้”



    “เฮ่ย ก็คนมันขาดแคลนนี่หว่า ว่าแต่.. ไอ้นนท์ แกชัวร์นะ ว่าเขาไม่ได้จ้างยามมาสกัดฉัน” เธอว่าพลางสูดน้ำมูกดังฟืดๆ



    “มาถึงหน้าบ้านแล้วแกยังจะแหยงอีกเหรอวะ” อานนท์ส่ายหัว ก่อนจะยกมือขึ้นกดออกหน้าประตู



    กิ๊ง..ก่อง~



    “โห เสียงออดบ้านโคตรโบราณ” รินหลุดปากโพล่งออกมาหน้าตาเฉย ทั้งที่เคยได้ยินมาแล้วครั้งหนึ่ง



    “บ้านเขามีออดก็ดีแค่ไหนแล้ว เทียบกับรังหนูของแกแล้วคนละเรื่อง”



    สรินดาเงื้อมือเตรียมจะยกขึ้นซัดคนที่เป็นเพื่อนซักทีสองที แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ลุงแก่ๆคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีฟ้า สวมหมวก ผูกเนคไทก็เปิดประตูผลัวะออกมา..



    “ใครน่ะ ครั้งที่แล้วมา ไม่เห็นเจอ” สรินดากระซิบถามเพื่อนข้างกาย แล้วสั่งน้ำมูกใส่กระดาษทิชชู่ที่พกมาด้วย



    “คงจะเป็นยามคนใหม่ล่ะมั้ง เห็นคุณเคนบอกว่าจะมาเริ่มงานวันนี้” อานนท์ว่า แล้วหยุดบทสนทนาลงเมื่อลุงแก่ๆก้าวเข้ามาใกล้



    “ไอ้…เอ้อ คุณเคนอยู่ไหมคะ” สาวน้อยถามเสียงอู้อี้



    “….” ชายแก่คนนั้นยังคงเงียบ



    “คุณยามครับ คุณเคนอยู่ไหมครับ” อานนท์ถามซ้ำ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน



    “ผมไม่ใช่ยาม ครับผม!” ชายในเครื่องแบบยืดตัวขึ้น ยกมือทำเครื่องหมายลูกเสือสำรองสองนิ้วใกล้ๆหมวก



    “ตายแล้ว! คุณพ่อของคุณเคนเหรอคะ” สรินดายกมือไหว้ปะหลกๆ



    “ผมเป็น ร.ป.ภ. รักษาความปลอดภัยครับผม!” เสียงตอบหนักแน่นราวภูมิใจที่เกิดมาเป็นอย่างยิ่ง



    “แล้ว ร.ป.ภ. มันไม่ใช่ยามหรอกเหรอ” อานนท์ยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ



    “ขอเราเข้าไปหาคุณเคนได้ไหมคะ คุณคนรักษาความปลอดภัย”



    สิ้นประโยคของริน ชายแก่ส่งยิ้มกว้างโค้งให้หนึ่งครั้ง แล้วเดินนำเข้าไปภายในตัวบ้านหลังใหญ่





    “คุณเคนครับ มีคนมาหาครับผม!”



    “ใคร?” รัฐภูมิหรือคุณเคน โพล่งถามขณะที่สายตาจับจ้องไปยังโทรทัศน์จอยักษ์ที่กำลังฉายภาพของสัตว์ประหลาดที่กำลังถล่มเมืองให้ราบ เมื่อคำถามไม่ได้รับคำตอบ จึงหันมามองแขกผู้มาเยือน และถึงกับหลุดปากร้องลั่นไม่ทันตั้งตัว ทันทีเห็นเด็กสาวเจ้าของดร๊อปคิกภาค พิสดารซ้อนทับกับภาพที่เพิ่งละสายตามา



    “เฮ้ย! ยัยก๊อตซิลล่า!”



    “ไอ้ปากไม่เอนเตอร์เทน ก๊อตบ้านไหนออกจะสวยขนาดนี้!”



    “..แกมาขอโทษเขานะไอ้ริน” อานนท์แอบกระซิบเบาๆ



    “เออ ขอโทษ แต่ให้ตายสิ เห็นหน้านายนี่ฉันก็หมดอารมณ์จะขอโทษแล้ว” สรินดาพูดเสียงดังเหลือบมองใบหน้าที่มีรอยเขียวช้ำอันเกิดจากการกระทำของเธอเอง แล้วหันไปสั่งน้ำมูกดังฟืดฟาดอย่างไม่อายเจ้าของบ้าน



    “นายนนท์! พายัยนี่มาบ้านฉันทำไม”



    นาย รัฐภูมิ วชิรานินทร์...นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เจ้าของบริษัททัวร์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากนักท่องเที่ยว และเตรียมที่จะเปิดกิจการใหม่ที่ต่างประเทศ ซึ่งพ่อและแม่ของเขากำลังดำเนินงานอยู่ จึงทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ตามลำพัง



    ปกติแล้วเขาเป็นคนที่สุขุม และใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์ในเรื่องต่างๆอยู่เสมอ ด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นคนเงียบจึงทำให้มีสาวใหญ่สาวเล็กมารุมล้อมอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เขาไม่เคยคิดที่จะใส่ใจในเรื่องพวกนี้ ทั้งๆที่อายุก็ล่วงเลยเข้าสู่วัยเบญจเพสแล้ว



    “อ้าวเฮีย พูดงี้ก็สวยดิ คนเขาอุตส่าห์มาขอโทษ ยังจะมาไล่กันอีก” เสียงที่ตอบกลับมาควรจะเป็นเสียงห้าวๆของชายหนุ่ม แต่กลับกลายเป็นเสียงใสๆของหญิงสาวคนข้างๆแทน... ผู้หญิงที่ไม่รู้จะเรียกว่าผู้หญิงได้หรือเปล่า และที่สำคัญ เธอเป็นผู้หญิงที่เขาไม่คิดจะต่อกรด้วย



    ...ให้ตายสิ! แผลเก่ายังไม่หายลางสังหรณ์ว่าแผลใหม่คงจะมาอีกแล้ว



    “เอ่อ...คุณเคนครับ คือไอ้รินมันจะมาขอโทษที่ล่วงเกินคุณ ความจริงมันเข้าใจผิดแล้วก็ไม่ได้มีเจต - -”



    “สรุปแล้วสรินดาจะมาขอโทษหรือนายจะมาขอโทษฉันกันแน่”



    เอื๊อก! เจ้านายขัดแล้ว...มีหรือที่ลูกน้องจะไม่ทำตาม...



    อานนท์หันไปมองหน้าสรินดา พลางส่งสายตาไล่ให้หญิงสาวพูดจุดประสงค์ที่มา



    “แค่ขอโทษก็จบใช่มั้ย” สรินดาส่งเสียงไปถามอานนท์ หากแต่หน้าของเธอยังจับจ้องมองคุณเคนอยู่



    “เอ่อ...คงใช่” อานนท์ตอบกลับด้วยเสียงที่เบากว่าเสียงคนถามอย่างไม่แน่ใจนัก



    “ก็ได้  ขอโทษ!” คำขอโทษทีเปล่งออกมาเหมือนจะผ่านแบบขอไปที แน่นอนว่าคนอย่างรัฐภูมิไม่ปล่อยให้ใครมาหยามซึ่งๆหน้าแน่ ปกติเขามักจะให้เกียรติกับผู้หญิง แต่ในความคิดของเขา... สรินดาไม่ใช่ผู้หญิง



    “ขอโทษเรื่องอะไร”



    “นายอย่าเรื่องมากนักได้มั้ย รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องอะไร ยังจะตีหน้าเซ่อ ยังไงก็แล้วแต่ ฉันถือว่าฉันขอโทษแล้ว และฉันก็จะ - -“ หญิงสาวชะงักค้าง สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดอ้ารับลมและแสงแดดอ่อนๆ.. “ให้ตายสิ นั่นมันอะไรน่ะ\"



    หากเธอตาไม่ฝาด.. หากเธอไม่ได้ฝัน…



    ไกลออกไป ควันทมิฬลอยสูงขึ้นสู่ผืนนภาสีฟ้าใสเบื้องบน เสียงโหวกเหวกของคนในละแวกดังมาแว่วๆ แต่ที่ชัดเจนกว่าก็คือเสียงหวอของรถดับเพลิง



    “..โอ้ พระเจ้า..” เสียงอุทานแผ่วเบา ปากอ้าค้าง ทำอะไรไม่ถูก จู่ๆร่างทั้งร่างก็สั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ เมื่อแลเห็นทิศทางที่มาของควันโขมง



    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เสียงประกาศข่าวขั้นรายการดังมาจากโทรทัศน์จอยักษ์ที่เปิดทิ้งไว้ก็เรียกความสนใจจากผู้ที่อยู่ในห้องให้หันไปดู



    ภาพของอพาร์ตเมนต์เล็กๆแห่งหนึ่ง ปกคลุมด้วยควันดำทมิฬฟุ้งโขมงดังที่สรินดาเห็นจากนอกหน้าต่าง เปลวเพลิงลามเลียตัวอาคารที่ดูมอซอ และพนักงานดับเพลิงกำลังพยายามฉีดน้ำเพื่อสกัดกั้นไฟไม่ให้ลุกลามไปมากกว่านี้



    “เฮ้ย! รังหนูของแกนี่หว่าไอ้ริน”



    “..บรรลัยแล้วไง..” สิ้นเสียงที่ฟังดูล่องลอย หญิงสาวผู้พักอาศัยใน ‘รังหนู’ แห่งนั้นก็ถลาร่างออกมาจากบ้านที่แสนโอ่อ่าหลังนั้นทันที



    “เฮ้ย รอด้วยสิ ริน”



    เหตุเกิดในละแวกบ้าน มีหรือที่เขาจะไม่สนใจ



    บุรุษร่างสูงที่ยืนฟังรายละเอียดของข่าวอยู่ชั่วครู่ ไม่รอช้า รีบวิ่งตามไปทันที เมื่อเห็นท่าทางของแขกผู้มาเยือนถลันออกจากบ้านของตนโดยไม่กล่าวอำลา



    อพาร์ตเมนต์ที่ว่านั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านวชิรานินทร์นัก เพียงยืนมองหน้าประตูรั้วหรูๆของบ้าน ก็มองเห็นเหตุการณ์ชุลมุนของพนักงานดับเพลิงได้ชัดเจนถนัดตา

    เมื่อเห็นร่างผู้เป็นเจ้านายเข้ามาใกล้ อานนท์ที่รั้งร่างบางของเพื่อนสาวไว้อยู่ ก็โยนภาระให้เจ้านายรับต่อไปทันที



    “คุณเคนฝากเพื่อนผมด้วย เดี๋ยวผมมา” พูดจบก็วิ่งหายลับไป



    ร่างบอบบางยืนโอนเอนไร้เรี่ยวแรง นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง เรียกเท่าไรก็ไม่ได้สติ ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ริมฝีปากแห้งผากซีดเผือดไร้สีสันพึมพำไม่เป็นภาษา



    ...ร้อน... ร้อน..น…ร้อน..



    อุณหภูมิในร่างกายที่สูงเอาการกลับทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น



    โลกทั้งโลกดูเหมือนจะหมุนคว้าง อาการวิงเวียนมึนศีรษะทำให้หญิงสาวพยายามหาหลักยึดไม่ให้ตนล้ม หากแต่เมื่อก้าวถอยหลังไปชนบุรุษร่างสูง...



    โลกทั้งโลกก็พลันมืดมิด ดับสิ้นซึ่งแสงสว่าง แม้กระทั่งแสงจากเปลวเพลิงที่ลุกโชน



    ...เพียงความร้อนเท่านั้นที่ยังคงแผดเผา





                                                                 ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~



    To Be Con..



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×