ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๒
บทที่ 2
ความรู้สึกแรกทันทีที่รู้สึกตัวคือปวดหนึบๆที่หัว ร้าวเหมือนจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เสียงครางเบาๆของเครื่องปรับอากาศ และกลิ่นฉุนที่จมูกอบอวลไปทั่วห้อง ดูจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการทวีความปวดให้มากขึ้น
แพขนตาหนาเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนปิดลงแทบจะในทันที ที่เห็นแสงสว่างสีขาวจ้าจากหลอดไฟนีออนในห้องวาบเข้ามา นิ่งไปพักหนึ่งก่อนตัดใจเปิดเปลือกตาขึ้นใหม่อีกครั้ง หญิงสาวหยีตาลงเล็กน้อย แล้วกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง
“น้ำ...” เสียงที่เปล่งออกมา ทำเอาหญิงสาวแทบจะคิดว่าเป็นเสียงคนอื่น มากกว่าเสียงเธอ เพราะมันทั้งใหญ่ ทั้งห้าว
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะสรินดา” อาจารย์ที่เธอจำได้ว่าเป็นอาจารย์ประจำห้องพยาบาลถามขึ้น ก่อนจะยื่นแก้วใส่น้ำอุ่นๆ จนเกือบจะร้อนมาให้ ทันทีที่น้ำอุ่นๆไหลผ่านลำคออันแห้งผากหมดแก้ว อาจารย์ก็ส่งปรอทวัดไข้มาให้
ปรอทวัดไข้ที่เสียบอยู่ในปากพุ่งขึ้นเกือบถึง 40 องศาเซลเซียส หญิงสาวหันกลับไปมองอาจารย์แล้วค่อยๆส่งปรอทคืนให้ ทันทีที่อาจารย์มองเห็นตัวเลขในปรอท เธอก็ตวาดแว้ดกลับมาทันที
“นี่เธอ! ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ทำไมถึงยังถ่อสังขารมาเรียนอีกฮะ ไม่รู้จักอยู่บ้านพักผ่อนรึไง” อาจารย์ว่าเสียงดัง จนเกือบจะเป็นการตะโกน
“ถ้าเธอไม่กลับบ้านเดี๋ยวนี้ ก็ต้องนอนพักที่ห้องนี่ เข้าใจมั้ย” เป็นคำถามที่ไม่รอคำตอบ เพราะอาจารย์เดินกระแทกส้นรองเท้าส้นสูงปึงปัง ไปหายาแก้ไข้ขนานหนักมาให้เธอแล้ว
หญิงสาวเบ้หน้า เมื่อเห็นยาแก้ไข้เม็ดสีขาวสองเม็ด ที่ถูกยื่นส่งมาให้พร้อมแก้วน้ำอุ่น อันที่จริงเธอเป็นคนกินยายากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะมันทั้งขม ทั้งฝาด กลิ่นก็ยังฉุนๆอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอาจารย์ที่มองมา เธอก็กลั้นใจจับเจ้ายาตัวร้ายยัดเข้าปาก แล้วกรอกน้ำตามทันที
เสียงเคาะประตูหนักๆดังขึ้นสามครั้ง ทำเอาหญิงสาวนึกเคืองเจ้าของเสียงนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเถอะ ถ้าหากมาให้มันเร็วกว่านี้ เธอก็คงไม่ต้องกินยาขมปี๋นั่นเข้าไปหรอก
เจ้าของเสียงเคาะประตูโผล่หน้าเข้ามา ตรงช่องบานประตูที่แง้มออกเล็กน้อย พูดพึมพำขออนุญาตอาจารย์เบาๆ ก่อนจะเดินดุ่มๆมาหาเธอ
“แกเป็นหวัดเหรอริน” อานนท์ เพื่อนปีสาม คณะเดียวกับเธอถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“โฮ่ย อุณหภูมิในร่างกายสูงกว่า 37.2 องศาเซลเซียสนี่จะเรียกว่าอะไรล่ะ” สรินดาสะบัดเสียงอย่างไม่พอใจ
“เฮ้ย แกโกรธอะไรฉันวะ ไอ้ริน” อานนท์ถาม พลางวางกระเป๋านักเรียนไว้ตรงข้างเตียง ยกมือตบเก้าอี้เบาๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่ง
“ทำไมแกไม่มาให้ช้ากว่านี้วะ ไอ้นนท์”
“อะไรของแก ฉันอุตส่าห์มีข่าวดีจะมาบอกแก”
หญิงสาวส่งเสียงฮึ! เบาๆในลำคอ ก่อนจะว่าตอบรวนๆ
“ถ้าแกคิดว่าการมีไข้สูงตั้งขนาดนี้ ตกงาน แล้วก็ต้องหยุดเรียน มันคือข่าวดีสำหรับฉันล่ะก็.. ขอบคุณ!”
สรินดาเป็นเด็กกำพร้าพ่อ แม่ ตั้งแต่ยังเล็ก จึงต้องอาศัยอยู่กับป้า ที่ไม่ค่อยจะสนใจใยดีเธอสักเท่าไหร่ ซ้ำร้ายยังคอยผลักไสไล่ส่งเธอที่ถือว่าเป็นตัวถ่วง เป็นส่วนเกินจากครอบครัวอันแสนสุขของป้ามาโดยตลอด หญิงสาวจึงตัดสินใจเก็บของและระเห็จระเหินแยกตัวออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง และหางานพิเศษทำเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าเล่าเรียน และค่าเช่าห้อง แต่ก็นั่นล่ะ เพราะเธอทนกับผู้จัดการหัวงูไม่ได้ จึงต้องลาออกมาในที่สุด
“ก็ฉันจะมาบอกแก คุณเคนเขารับแกทำงานแล้ว เดือนละ 5000 โอเคมะ”
“จริงดิ!? คุณเคนเจ้านายแกอ่ะนะ แล้วเขาจะให้ฉันทำอะไรมั่งอ่ะ” สรินดาตาวาว กระพริบตาปริบๆนั่งคำนวนบวกลบเงินเดือนกับรายจ่ายต่างๆของเดือนที่แล้วที่ค้างไว้
“ก็พวกงานบ้าน ทำกับข้าวอะไรพวกนี้อ่ะ เขาบอกมาว่า ถ้าแกจะไปพักที่โน่นเลยก็ได้ อยู่ฟรีกินฟรี” หญิงสาวฟังแล้วเกือบหลุดปากตอบตกลงไปแทบจะในทันที ยังดีที่ยั้งไว้ได้ทัน
“แหะๆ อย่าดีกว่า เกรงใจเจ้านายแกน่ะ”
“อืม... ก็ตามใจ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาให้”
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
หลังจากได้สัมผัสกับบรรยากาศอันมืดมิด วังเวง และคับแคบสุดจะทนของห้องที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินทึมๆ และลูกกรง.. แค่คืนเดียวยังขยาด
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินลิ่วๆ ออกห่างจากสถานที่ที่เขาไม่พึงประสงค์ให้มากที่สุด และเร็วที่สุดจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง อารมณ์ที่ปกติมักจะสุขุมเยือกเย็นนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่เดือดพล่านๆ ร้อนระอุอยู่เต็มอก ตลอดหนึ่งคืนที่ผ่านมา
โปรดสัตว์ได้บาป ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ...
คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก... เมื่อเดินผ่านมาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุยิ่งแล้วใหญ่ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้นไปอีก เพื่อจะได้ผ่านสถานที่น่าหงุดหงิดนี้ไปโดยเร็ว แต่ก็ไร้ผลเมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำกับสิ่งที่ได้รับ ความหงุดหงิดก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก จึงหันไประบายอารมณ์กับกระป๋องน้ำบุบๆเบี้ยวๆที่ทิ้งเกลื่อนอยู่บนพื้นก็ไม่หายเจ็บใจ หากจะหันไประบายกับเปลือกทุเรียนก็เห็นทีจะไม่คุ้ม ได้แต่ให้รำพึงรำพันกับตัวเอง ขณะมาหยุดอยู่หน้าบ้าน ‘วชิรานินทร์’
อย่าให้เจออีกก็แล้วกัน ยัยตัวแสบ!!
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
“ฮัดเช้ย~ย!!” แล้วเสียงที่ตามมาคือเสียงฟืดฟาดสั่งน้ำมูกใส่กระดาษทิชชูอย่างไม่สำรวมกิริยาความเป็นหญิง
“แกควรไปหาหมอ พรุ่งนี้ต้องเริ่มทำงานแล้วนะ ริน ถ้าหายไม่ทันคงต้องเลื่อน..”
“เออน่า หายทันๆ กะจะไปหาหมอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องต้องให้เสียเวลา” สรินดากล่าวเสียงอู้อี้ ทิ้งกระดาษทิชชูลงถังขยะที่ใกล้เต็ม “แกกลับไปเถอะไอ้นนท์ ฉันจะนอนสักพักแล้วค่อยไปหาหมอ ขอบใจที่มาส่ง”
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย” อานนท์พูดแล้วยื่นผ้าที่ชุบน้ำหมาดๆส่งให้เพื่อนสาวเช็ดหน้าเช็ดตา
“ฮื่อ ไม่ต้องๆ ไปไป๊ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียเวลางาน” เจ้าของห้องเล็กๆออกปากไล่ ก่อนจะซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนบาง “ล็อกประตูให้ด้วย”
“เออ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงหวังดี แกกลับไล่ตะเพิด นี่ถ้าคนเขาตั้งใจจะเข้าช่วย แกไม่ซัดหน้าเขาเลยเรอะ” เพื่อนผู้พูดประชดเป็นการบอกลา เก็บข้าวกล่องที่หมดเกลี้ยงใส่ถุงขยะแล้วจากไปทันที จึงไม่ทันได้ฟังคำคนป่วย
“อะไรนักหนา.. ฮ..ฮัดเช้ย~ย!!”
แต่จนแล้วจนรอด เพราะพิษไข้ เธอจึงหลับลึกไปเป็นเวลานาน กว่าจะตื่นก็ค่ำมืดดึกดื่น หากออกไปเดินเตร็ดเตร่เหมือนเมื่อคืน... เหตุการณ์คงซ้ำรอย
ที่ทำได้คือปล่อยให้ฝ่ายแดงไข้หวัดใหญ่ ศิษย์ไวรัสได้แต้มนำโลดไปก่อน ร่างบางซุกตัวใต้ผ้าห่มบางๆ ที่มีแต่รอยปะเต็มผืนแล้วหลับไปอีกครั้ง
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
บ้านของคุณเคน ว่าที่เจ้านายคนใหม่ของเธอใหญ่ราวกับคฤหาสน์ สวนหน้าบ้านตัดแต่งไว้เรียบร้อย สวยงาม ดูแล้วสะอาดสะอ้านไม่รกทึบ น้ำพุขนาดกะทัดรัดกลางสวนกำลังปล่อยละอองน้ำกระเซ็นกระซ่านกระทบแสงอาทิตย์ ดูพร่างพราย สรินดากวาดสายตามองหาอานนท์ที่นัดกันไว้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของชายหนุ่ม ร่างบางจึงตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งตรงขั้นบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน ใช้มือสองข้างนวดตามต้นขาเบาๆ เพื่อคลายความเมื่อยล้า ผนวกกับอาการไข้ที่ยังไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด แค่เธอเดินเข้ามาในตัวบ้านก็เมื่อยแล้ว ถ้าให้ทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง ไม่ตายพอดีเลยเหรอเนี่ย
ในใจประหวัดนึกไปถึง ‘เจ้าของบ้าน’ คนดีของนายนนท์ ที่ชายหนุ่มชมนักชมหนา ให้เธอฟังไม่เว้นแต่ละวัน หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่า ‘คุณเคน’ คงจะเป็นชายวัยกลางคน อาจจะหัวเถิก หรือลงพุงเล็กน้อย ไม่ว่าเค้าโครงจะผอมหรือจะอ้วนก็เถอะ แต่ก็คงเป็นไปตามประสาคนที่มีลูกมีเมียแล้วนั่นล่ะ
เอ๊ะ ไอ้นนท์มันเคยบอกว่านายมันอยู่ตัวคนเดียวนี่หว่า
เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เธอจึงต้องปรับความคิด จินตนาการเสียใหม่
เวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้ว สรินดามองนาฬิการอบแล้วรอบเล่า ก่อนที่จะยันตัวยืนขึ้นแล้วชะโงกหน้าหันไปมองที่หน้าประตูหน้าบ้าน หมายจะเห็นเงาของเพื่อนชายวิ่งทั่กๆเข้ามา...แต่สิ่งที่ได้พบก็คือ ความเงียบ
ไอ้นนท์เอ๊ย ถ้ามาถึงแม่จะเล่นงานให้แสบ...
หญิงสาวนั่งรออยู่ได้อีกสักพัก ก็เริ่มหมดความอดทน ก่อนที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายไม่ใช่เงาของเพื่อนซี้คนสนิทของเธอ แต่เป็นตัวบ้านที่ตั้งโอ่อ่าอยู่ข้างหน้านี้ต่างหาก สรินดาเดินก้าวฉับๆ แววตามองตรงไปยังประตู หมายจะเข้าไปหาคุณเคนซะเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้คว้าที่จับประตูสีน้ำตาลบานใหญ่นั่นไว้ ประตูบานเดียวกับที่เธอหมายตาจะเข้าไปนั้นก็เปิดผางออกมา ก่อนที่หญิงสาวจะตั้งตัวถอยหลังได้ทัน
โครมมม!
“โอ๊ยยย” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาอย่างไม่ต้องเดาต่อก็คือ หญิงสาวล้มลงไปกองกับพื้นก้นจ้ำเบ้า ยกมือคลำหัวป้อยๆ พลางส่งสายตามาดร้ายส่งไปยัง ‘คนที่เพิ่งเปิดประตูออกมา’ ปากก็สบถพึมพำ เตรียมที่จะส่งคำขอบคุณไปให้คนที่เปิดประตูให้เธอด้วยความยินดีเต็มที่ แต่พอเธอหยีตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง ก็แทบจะหายใจติดขัด ยกมือขึ้นชี้ผู้ชายคนตรงหน้าอย่างตกใจ
ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูออกมาแค่ทอดสายตาอันเยียบเย็น ว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกอย่างคนเก็บอารมณ์มายังสิ่งมีชีวิตที่เขาออกจะฉงนสนเทห์ว่าเหตุใดจึงมาวิ่งชนประตูเล่น
หญิงสาวอดบอกกับตัวเองไม่ได้ ว่ารอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากของเขา มันคล้ายจะเย้ยหยันเธอชัดๆ
“นาย...ไอ้ขี้เมา! ไอ้โรคจิต! ให้ตายสิ!” หลังจากที่สรินดารวบรวมสติได้ ภาพเหตุการณ์วันก่อนก็วิ่งเข้าสู่สมองเป็นฉากๆ เธอจึงอ้าปากตะโกนด่าผู้ชายคนนั้นอย่างอารมณ์เสีย “นายมาทำอะไรนี่”
“บ้านของฉัน” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขมวดมุ่นตีสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันจะมาทำอะไรแถวนี้มันหนักสมองส่วนไหนของเธอไม่ทราบ ว่าแต่เธอเถอะ มาทำอะไร”
คำตอบที่ทำให้เธอแทบจะบ้า เมื่อเธอได้ประมวลสมองทบทวนความคิดเสียใหม่จึงตระหนักได้ว่า..
เขาคนนี้ คือเจ้าของบ้านที่เธอกำลังเหยี่ยบย่ำอยู่นี่
เขาคนนี้ คือผู้ที่อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้าน
เขาคนนี้ ต้องเป็นผู้ที่อานนท์เรียกเขาว่า “คุณเคน”
และที่สำคัญ!! เขาคนนี้มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับชายที่เธอทำให้เขาได้ลิ้มรสรสชาติใหม่ในที่ต่างถิ่นเป็นเวลาหนึ่งคืนด้วยข้อหาที่คิดจะลวนลามเธอ..นายรัฐภูมิ วชิรานินทร์
เขากับคุณเคน... คือคนคนเดียวกัน!
“เห๊อะ.. นายใช่มั้ยที่เรียกฉันมาทำงานที่นี่”
“อ้อ.. สรินดา นิภาวรรณ..” น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยเนิบนาบและหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง “ฉันเกรงว่าเธอคงจะเข้าใจอะไรผิดนะ... เธอเองไม่ใช่เหรอที่คิดอยากจะมาทำงานกับฉัน”
“เฮอะ! ไม่มีวันซะหรอก ฝันไปคนเดียวเหอะ ให้ตายยังไง ฉันก็จะไม่มีวันทำงานให้กับคนโรคจิตอย่างนายหรอก อ้อ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยวนะ..”
ใบหน้าเนียนแดงก่ำเพราะพิษไข้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บึ้งตึง และแทบทันที..จากหน้ามือเป็นหลังมือ.. ริมฝีปากสีชมพูออกจะซีดไปสักนิดเหยียดยิ้มหวานดูน่ารักทำเอาบุรุษตรงหน้างุนงงกับกิริยาที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วของเธอไปชั่วขณะ
ทว่ารอยยิ้มนี้เป็นที่รู้กันดีสำหรับคนสนิทชิดใกล้
นี่คือสัญญาณ! ..สัญญาณที่พึงระวัง!
“ฉันขอสักหมัดเหอะ!” พูดจบเธอก็ยกหมัดขึ้นซัดหน้าผู้ที่เกือบจะได้เป็นเจ้านายไปเต็มแรง ก่อนที่หญิงสาวจะอัปเปหิตัวเองออกจากบ้านหลังนั้นไป
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
เช้าวันรุ่งขึ้น สรินดาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ไข้หวัดที่ลดลงไปได้ไม่เท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะสูงขึ้นมาอีกครั้ง คงเป็นผลจากการกระทำเมื่อวาน...คิดแล้วมันก็น่าแค้น จากเมื่อวานที่เพลียอย่างมาก กลับบ้านมาจึงหลับเป็นตาย ทำให้ไม่ได้คุยกับอานนท์เพื่อนซี้ แต่วันนี้ล่ะ เธอจะทบทั้งต้นทั้งดอกคืนให้เลย สรินดายันตัวลุกขึ้นมาช้าๆ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์เรียกให้มาหา แต่ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น..
“ไอ้ริน เปิดด่วน เร็วเข้า เร็ว ริน!” ‘เพื่อนรัก’ ที่เธอกำลังอยากเจอตะโกนร้องเรียก
“โอ๊ย รู้แล้วๆ แกจะตะโกนทำไมเล่า” หญิงสาวสืบเท้าตรงไปเปิดประตูห้อง และการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาคนที่เตรียมจะด่าแบบรัวกระสุนปืนต้องกลืนคำด่าลงไปทั้งหมด
“ไอ้ริน แกไปก่อเรื่องอะไรที่บ้านคุณเคนเขา” สรินดาที่ทิ้งตัวลงบนที่นอนตอบ ขณะเลื่อนผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมจนถึงคอ อันที่จริงถ้านอนคลุมโปงได้ก็คงทำไปแล้วล่ะ
ใครที่รู้จักอานนท์ดีก็คงจะรู้หรอก ว่าชายหนุ่มกำลังเริ่มต้นเทศนา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สรินดายังทำใจแข็งตอบไปแบบรวนๆ เพราะถือว่าตัวเองไม่ผิด
“ก่อเรื่องบ้าอะไร เจ้านายแกโรคจิตวิตถาร คิดจะลวนลามผู้หญิง ชิชะ สมควรโดนแล้วนั่นน่ะ”
“แต่แกกำลังเข้าใจผิด”
“ผิดที่ไหนกันเล่า นายนั่นดูก็รู้แล้วไว้ใจไม่ได้”
“ให้ตายเถอะ ไอ้ริน เคยคิดก่อนที่จะทำอะไรบ้างมั้ย”
“เห๊อะ ถ้าไม่คิดแล้วจะทำรึไง”
“ฉันหมายถึง คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ดูเสียก่อนว่าเขามาดีหรือมาร้าย ตั้งใจจะช่วยหรือตั้งใจจะทำลาย ไม่ใช่ตีโพยตีพายคิดไปเสียเอง หัดมองโลกในแง่ดีซะมั่ง”
“มองโลกในแง่ดี!? แล้วถ้าไอ้บ้าโรคจิตนั่น ตั้งใจจะทำร้ายฉัน ฉันไม่เสร็จมันไปแล้วเรอะ”
“เฮ่ย” อานนท์ถอนหายใจ แม่เพื่อนคนนี้พูดอะไรเข้าใจยากเสมอ คนหัวรั้นอย่างหล่อน ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ผิด พูดให้ลิงหลับก็ไม่เคยฟัง “ฉันอยากให้แกไปขอโทษคุณเคน”
“ขอโทษ!?” สรินดาร้อง “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ทำไมต้องขอโทษด้วย”
“ผิดสิ คุณเคนเขาตั้งใจจะช่วยแก แต่แกกลับให้บาทาเขาไปเป็นของขวัญแรกพบซะอย่างนั้น เป็นการตอบแทนบุญคุณคนได้ดีมากเลย เพื่อน ที่ส่งเขาเข้าไปนอนในตารางน่ะ”
“เหอะ ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ..ฮะ..ฮัดชิ้ว~ว!”
“นี่แกยังไม่หายไข้อีกหรอ” เขาถาม วางมือทาบหน้าผากของเพื่อนสาว “ไข้ไม่ลดเลยนี่นา ไปหาหมอมารึยัง”
“ยัง” เธอว่า แล้วปัดมือเขาออก “เอาน่า แค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอก”
“เออ แกมันหญิงถึก อาจหาญนักก็ไปขอโทษคุณเคนเขา ยอมรับความจริงซะมั่ง มองโลกต้องมองให้กว้าง มามองแค่ด้านเดียว ชีวิตแกจะวิบัติ”
“เวอร์แล้วๆ”
ให้ตายสิ กะจะเล่นงานหมอนี่สักหน่อยกลับต้องมานั่งฟังมันเทศน์แทนซะได้
“ตกลงแกจะไปมั้ย”
“จะไปทำไม เรื่องนั้นฉันไม่ผิด”
“แกจะหัวรั้นไปถึงไหน”
“วะ! นี่ฉันเป็นผู้หญิงนะ ถ้าไม่ป้องกันตัว ป่านนี้ฉันก็ไม่มีหัวมาให้นายเห็นหน้า แล้วบ่นว่าปาวๆๆอย่างนี้หรอก”
“แต่เรื่องที่แกก่อไว้เมื่อวาน..”
“เรื่องอะไร”
“เหอะ หมัดแกนี่ป่วนได้ทุกสถานการณ์เลยนะ สรินดา”
“ โอ๊ะโอ~”
“เอาล่ะ ถ้าแกคิดว่าแกไม่ผิด ก็บอกเหตุผลของแกมา”
“นี่นาย ตั้งใจจะให้ฉันผิดเต็มประตูเลยใช่มั้ย ดูซิ ยัดข้อหาให้อยู่ได้” เธอมองเขาค้อนๆ ทว่าสายตาที่เพ่งพิศกลับมาจ้องเขม็ง ทำเอาเธอรู้สึกอึดอัด
หากเธอไม่ผิดจริง ความละอายคงไม่บังเกิด
หากสิ่งที่เธอกระทำเกิดจากอารมณ์ หาได้คิดตริตรองก่อนทำ...
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
ฮ่าๆ มาต่อให้แล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับท่านผู้อ่านมากๆค่ะที่เข้ามาอ่านฟิคเน่าๆเรื่องนี้ > <
ช่วงเน้ก็ใกล้สอบแล้วเน้ออ คนแต่งก็อู้ๆกันทั้งนั้น ฮะๆ ยังงัยถ้าสอบเส็ดแล้วจะมาอัพให้บ่อยๆแล้วกันนะคะ
สุดท้ายขอย้ำเรื่องเดิม
ขอคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักเขียนด้วยนะคะ
ใครที่คอมเมนต์แล้วก้ะคาราวะยกกำลัง 2 ค่ะ
โค้งๆ ~U~
ความรู้สึกแรกทันทีที่รู้สึกตัวคือปวดหนึบๆที่หัว ร้าวเหมือนจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ เสียงครางเบาๆของเครื่องปรับอากาศ และกลิ่นฉุนที่จมูกอบอวลไปทั่วห้อง ดูจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการทวีความปวดให้มากขึ้น
แพขนตาหนาเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนปิดลงแทบจะในทันที ที่เห็นแสงสว่างสีขาวจ้าจากหลอดไฟนีออนในห้องวาบเข้ามา นิ่งไปพักหนึ่งก่อนตัดใจเปิดเปลือกตาขึ้นใหม่อีกครั้ง หญิงสาวหยีตาลงเล็กน้อย แล้วกระพริบตาถี่ๆ เพื่อปรับสายตาให้ชินกับแสงสว่าง
“น้ำ...” เสียงที่เปล่งออกมา ทำเอาหญิงสาวแทบจะคิดว่าเป็นเสียงคนอื่น มากกว่าเสียงเธอ เพราะมันทั้งใหญ่ ทั้งห้าว
“ตื่นแล้วเหรอจ๊ะสรินดา” อาจารย์ที่เธอจำได้ว่าเป็นอาจารย์ประจำห้องพยาบาลถามขึ้น ก่อนจะยื่นแก้วใส่น้ำอุ่นๆ จนเกือบจะร้อนมาให้ ทันทีที่น้ำอุ่นๆไหลผ่านลำคออันแห้งผากหมดแก้ว อาจารย์ก็ส่งปรอทวัดไข้มาให้
ปรอทวัดไข้ที่เสียบอยู่ในปากพุ่งขึ้นเกือบถึง 40 องศาเซลเซียส หญิงสาวหันกลับไปมองอาจารย์แล้วค่อยๆส่งปรอทคืนให้ ทันทีที่อาจารย์มองเห็นตัวเลขในปรอท เธอก็ตวาดแว้ดกลับมาทันที
“นี่เธอ! ไข้ขึ้นสูงขนาดนี้ทำไมถึงยังถ่อสังขารมาเรียนอีกฮะ ไม่รู้จักอยู่บ้านพักผ่อนรึไง” อาจารย์ว่าเสียงดัง จนเกือบจะเป็นการตะโกน
“ถ้าเธอไม่กลับบ้านเดี๋ยวนี้ ก็ต้องนอนพักที่ห้องนี่ เข้าใจมั้ย” เป็นคำถามที่ไม่รอคำตอบ เพราะอาจารย์เดินกระแทกส้นรองเท้าส้นสูงปึงปัง ไปหายาแก้ไข้ขนานหนักมาให้เธอแล้ว
หญิงสาวเบ้หน้า เมื่อเห็นยาแก้ไข้เม็ดสีขาวสองเม็ด ที่ถูกยื่นส่งมาให้พร้อมแก้วน้ำอุ่น อันที่จริงเธอเป็นคนกินยายากมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะมันทั้งขม ทั้งฝาด กลิ่นก็ยังฉุนๆอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอาจารย์ที่มองมา เธอก็กลั้นใจจับเจ้ายาตัวร้ายยัดเข้าปาก แล้วกรอกน้ำตามทันที
เสียงเคาะประตูหนักๆดังขึ้นสามครั้ง ทำเอาหญิงสาวนึกเคืองเจ้าของเสียงนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามเถอะ ถ้าหากมาให้มันเร็วกว่านี้ เธอก็คงไม่ต้องกินยาขมปี๋นั่นเข้าไปหรอก
เจ้าของเสียงเคาะประตูโผล่หน้าเข้ามา ตรงช่องบานประตูที่แง้มออกเล็กน้อย พูดพึมพำขออนุญาตอาจารย์เบาๆ ก่อนจะเดินดุ่มๆมาหาเธอ
“แกเป็นหวัดเหรอริน” อานนท์ เพื่อนปีสาม คณะเดียวกับเธอถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“โฮ่ย อุณหภูมิในร่างกายสูงกว่า 37.2 องศาเซลเซียสนี่จะเรียกว่าอะไรล่ะ” สรินดาสะบัดเสียงอย่างไม่พอใจ
“เฮ้ย แกโกรธอะไรฉันวะ ไอ้ริน” อานนท์ถาม พลางวางกระเป๋านักเรียนไว้ตรงข้างเตียง ยกมือตบเก้าอี้เบาๆ ก่อนทรุดตัวลงนั่ง
“ทำไมแกไม่มาให้ช้ากว่านี้วะ ไอ้นนท์”
“อะไรของแก ฉันอุตส่าห์มีข่าวดีจะมาบอกแก”
หญิงสาวส่งเสียงฮึ! เบาๆในลำคอ ก่อนจะว่าตอบรวนๆ
“ถ้าแกคิดว่าการมีไข้สูงตั้งขนาดนี้ ตกงาน แล้วก็ต้องหยุดเรียน มันคือข่าวดีสำหรับฉันล่ะก็.. ขอบคุณ!”
สรินดาเป็นเด็กกำพร้าพ่อ แม่ ตั้งแต่ยังเล็ก จึงต้องอาศัยอยู่กับป้า ที่ไม่ค่อยจะสนใจใยดีเธอสักเท่าไหร่ ซ้ำร้ายยังคอยผลักไสไล่ส่งเธอที่ถือว่าเป็นตัวถ่วง เป็นส่วนเกินจากครอบครัวอันแสนสุขของป้ามาโดยตลอด หญิงสาวจึงตัดสินใจเก็บของและระเห็จระเหินแยกตัวออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง และหางานพิเศษทำเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าเล่าเรียน และค่าเช่าห้อง แต่ก็นั่นล่ะ เพราะเธอทนกับผู้จัดการหัวงูไม่ได้ จึงต้องลาออกมาในที่สุด
“ก็ฉันจะมาบอกแก คุณเคนเขารับแกทำงานแล้ว เดือนละ 5000 โอเคมะ”
“จริงดิ!? คุณเคนเจ้านายแกอ่ะนะ แล้วเขาจะให้ฉันทำอะไรมั่งอ่ะ” สรินดาตาวาว กระพริบตาปริบๆนั่งคำนวนบวกลบเงินเดือนกับรายจ่ายต่างๆของเดือนที่แล้วที่ค้างไว้
“ก็พวกงานบ้าน ทำกับข้าวอะไรพวกนี้อ่ะ เขาบอกมาว่า ถ้าแกจะไปพักที่โน่นเลยก็ได้ อยู่ฟรีกินฟรี” หญิงสาวฟังแล้วเกือบหลุดปากตอบตกลงไปแทบจะในทันที ยังดีที่ยั้งไว้ได้ทัน
“แหะๆ อย่าดีกว่า เกรงใจเจ้านายแกน่ะ”
“อืม... ก็ตามใจ เดี๋ยวฉันจะบอกเขาให้”
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
หลังจากได้สัมผัสกับบรรยากาศอันมืดมิด วังเวง และคับแคบสุดจะทนของห้องที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินทึมๆ และลูกกรง.. แค่คืนเดียวยังขยาด
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินลิ่วๆ ออกห่างจากสถานที่ที่เขาไม่พึงประสงค์ให้มากที่สุด และเร็วที่สุดจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง อารมณ์ที่ปกติมักจะสุขุมเยือกเย็นนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่เดือดพล่านๆ ร้อนระอุอยู่เต็มอก ตลอดหนึ่งคืนที่ผ่านมา
โปรดสัตว์ได้บาป ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ...
คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก... เมื่อเดินผ่านมาถึงบริเวณจุดเกิดเหตุยิ่งแล้วใหญ่ ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้นไปอีก เพื่อจะได้ผ่านสถานที่น่าหงุดหงิดนี้ไปโดยเร็ว แต่ก็ไร้ผลเมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำกับสิ่งที่ได้รับ ความหงุดหงิดก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีก จึงหันไประบายอารมณ์กับกระป๋องน้ำบุบๆเบี้ยวๆที่ทิ้งเกลื่อนอยู่บนพื้นก็ไม่หายเจ็บใจ หากจะหันไประบายกับเปลือกทุเรียนก็เห็นทีจะไม่คุ้ม ได้แต่ให้รำพึงรำพันกับตัวเอง ขณะมาหยุดอยู่หน้าบ้าน ‘วชิรานินทร์’
อย่าให้เจออีกก็แล้วกัน ยัยตัวแสบ!!
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
“ฮัดเช้ย~ย!!” แล้วเสียงที่ตามมาคือเสียงฟืดฟาดสั่งน้ำมูกใส่กระดาษทิชชูอย่างไม่สำรวมกิริยาความเป็นหญิง
“แกควรไปหาหมอ พรุ่งนี้ต้องเริ่มทำงานแล้วนะ ริน ถ้าหายไม่ทันคงต้องเลื่อน..”
“เออน่า หายทันๆ กะจะไปหาหมอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องต้องให้เสียเวลา” สรินดากล่าวเสียงอู้อี้ ทิ้งกระดาษทิชชูลงถังขยะที่ใกล้เต็ม “แกกลับไปเถอะไอ้นนท์ ฉันจะนอนสักพักแล้วค่อยไปหาหมอ ขอบใจที่มาส่ง”
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนมั้ย” อานนท์พูดแล้วยื่นผ้าที่ชุบน้ำหมาดๆส่งให้เพื่อนสาวเช็ดหน้าเช็ดตา
“ฮื่อ ไม่ต้องๆ ไปไป๊ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเสียเวลางาน” เจ้าของห้องเล็กๆออกปากไล่ ก่อนจะซุกตัวใต้ผ้าห่มผืนบาง “ล็อกประตูให้ด้วย”
“เออ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงหวังดี แกกลับไล่ตะเพิด นี่ถ้าคนเขาตั้งใจจะเข้าช่วย แกไม่ซัดหน้าเขาเลยเรอะ” เพื่อนผู้พูดประชดเป็นการบอกลา เก็บข้าวกล่องที่หมดเกลี้ยงใส่ถุงขยะแล้วจากไปทันที จึงไม่ทันได้ฟังคำคนป่วย
“อะไรนักหนา.. ฮ..ฮัดเช้ย~ย!!”
แต่จนแล้วจนรอด เพราะพิษไข้ เธอจึงหลับลึกไปเป็นเวลานาน กว่าจะตื่นก็ค่ำมืดดึกดื่น หากออกไปเดินเตร็ดเตร่เหมือนเมื่อคืน... เหตุการณ์คงซ้ำรอย
ที่ทำได้คือปล่อยให้ฝ่ายแดงไข้หวัดใหญ่ ศิษย์ไวรัสได้แต้มนำโลดไปก่อน ร่างบางซุกตัวใต้ผ้าห่มบางๆ ที่มีแต่รอยปะเต็มผืนแล้วหลับไปอีกครั้ง
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
บ้านของคุณเคน ว่าที่เจ้านายคนใหม่ของเธอใหญ่ราวกับคฤหาสน์ สวนหน้าบ้านตัดแต่งไว้เรียบร้อย สวยงาม ดูแล้วสะอาดสะอ้านไม่รกทึบ น้ำพุขนาดกะทัดรัดกลางสวนกำลังปล่อยละอองน้ำกระเซ็นกระซ่านกระทบแสงอาทิตย์ ดูพร่างพราย สรินดากวาดสายตามองหาอานนท์ที่นัดกันไว้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของชายหนุ่ม ร่างบางจึงตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งตรงขั้นบันไดหินอ่อนหน้าบ้าน ใช้มือสองข้างนวดตามต้นขาเบาๆ เพื่อคลายความเมื่อยล้า ผนวกกับอาการไข้ที่ยังไม่ได้รับการรักษาให้หายขาด แค่เธอเดินเข้ามาในตัวบ้านก็เมื่อยแล้ว ถ้าให้ทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง ไม่ตายพอดีเลยเหรอเนี่ย
ในใจประหวัดนึกไปถึง ‘เจ้าของบ้าน’ คนดีของนายนนท์ ที่ชายหนุ่มชมนักชมหนา ให้เธอฟังไม่เว้นแต่ละวัน หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่า ‘คุณเคน’ คงจะเป็นชายวัยกลางคน อาจจะหัวเถิก หรือลงพุงเล็กน้อย ไม่ว่าเค้าโครงจะผอมหรือจะอ้วนก็เถอะ แต่ก็คงเป็นไปตามประสาคนที่มีลูกมีเมียแล้วนั่นล่ะ
เอ๊ะ ไอ้นนท์มันเคยบอกว่านายมันอยู่ตัวคนเดียวนี่หว่า
เมื่อตระหนักได้ดังนั้น เธอจึงต้องปรับความคิด จินตนาการเสียใหม่
เวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้ว สรินดามองนาฬิการอบแล้วรอบเล่า ก่อนที่จะยันตัวยืนขึ้นแล้วชะโงกหน้าหันไปมองที่หน้าประตูหน้าบ้าน หมายจะเห็นเงาของเพื่อนชายวิ่งทั่กๆเข้ามา...แต่สิ่งที่ได้พบก็คือ ความเงียบ
ไอ้นนท์เอ๊ย ถ้ามาถึงแม่จะเล่นงานให้แสบ...
หญิงสาวนั่งรออยู่ได้อีกสักพัก ก็เริ่มหมดความอดทน ก่อนที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายไม่ใช่เงาของเพื่อนซี้คนสนิทของเธอ แต่เป็นตัวบ้านที่ตั้งโอ่อ่าอยู่ข้างหน้านี้ต่างหาก สรินดาเดินก้าวฉับๆ แววตามองตรงไปยังประตู หมายจะเข้าไปหาคุณเคนซะเอง แต่ยังไม่ทันที่จะได้คว้าที่จับประตูสีน้ำตาลบานใหญ่นั่นไว้ ประตูบานเดียวกับที่เธอหมายตาจะเข้าไปนั้นก็เปิดผางออกมา ก่อนที่หญิงสาวจะตั้งตัวถอยหลังได้ทัน
โครมมม!
“โอ๊ยยย” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมาอย่างไม่ต้องเดาต่อก็คือ หญิงสาวล้มลงไปกองกับพื้นก้นจ้ำเบ้า ยกมือคลำหัวป้อยๆ พลางส่งสายตามาดร้ายส่งไปยัง ‘คนที่เพิ่งเปิดประตูออกมา’ ปากก็สบถพึมพำ เตรียมที่จะส่งคำขอบคุณไปให้คนที่เปิดประตูให้เธอด้วยความยินดีเต็มที่ แต่พอเธอหยีตามองคนตรงหน้าอีกครั้ง ก็แทบจะหายใจติดขัด ยกมือขึ้นชี้ผู้ชายคนตรงหน้าอย่างตกใจ
ส่วนชายหนุ่มที่เพิ่งเปิดประตูออกมาแค่ทอดสายตาอันเยียบเย็น ว่างเปล่า ไร้ความรู้สึกอย่างคนเก็บอารมณ์มายังสิ่งมีชีวิตที่เขาออกจะฉงนสนเทห์ว่าเหตุใดจึงมาวิ่งชนประตูเล่น
หญิงสาวอดบอกกับตัวเองไม่ได้ ว่ารอยยิ้มที่ผุดขึ้นตรงมุมปากของเขา มันคล้ายจะเย้ยหยันเธอชัดๆ
“นาย...ไอ้ขี้เมา! ไอ้โรคจิต! ให้ตายสิ!” หลังจากที่สรินดารวบรวมสติได้ ภาพเหตุการณ์วันก่อนก็วิ่งเข้าสู่สมองเป็นฉากๆ เธอจึงอ้าปากตะโกนด่าผู้ชายคนนั้นอย่างอารมณ์เสีย “นายมาทำอะไรนี่”
“บ้านของฉัน” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขมวดมุ่นตีสีหน้าเคร่งขรึม “ฉันจะมาทำอะไรแถวนี้มันหนักสมองส่วนไหนของเธอไม่ทราบ ว่าแต่เธอเถอะ มาทำอะไร”
คำตอบที่ทำให้เธอแทบจะบ้า เมื่อเธอได้ประมวลสมองทบทวนความคิดเสียใหม่จึงตระหนักได้ว่า..
เขาคนนี้ คือเจ้าของบ้านที่เธอกำลังเหยี่ยบย่ำอยู่นี่
เขาคนนี้ คือผู้ที่อาศัยอยู่เพียงลำพังในบ้าน
เขาคนนี้ ต้องเป็นผู้ที่อานนท์เรียกเขาว่า “คุณเคน”
และที่สำคัญ!! เขาคนนี้มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกับชายที่เธอทำให้เขาได้ลิ้มรสรสชาติใหม่ในที่ต่างถิ่นเป็นเวลาหนึ่งคืนด้วยข้อหาที่คิดจะลวนลามเธอ..นายรัฐภูมิ วชิรานินทร์
เขากับคุณเคน... คือคนคนเดียวกัน!
“เห๊อะ.. นายใช่มั้ยที่เรียกฉันมาทำงานที่นี่”
“อ้อ.. สรินดา นิภาวรรณ..” น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยเนิบนาบและหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง “ฉันเกรงว่าเธอคงจะเข้าใจอะไรผิดนะ... เธอเองไม่ใช่เหรอที่คิดอยากจะมาทำงานกับฉัน”
“เฮอะ! ไม่มีวันซะหรอก ฝันไปคนเดียวเหอะ ให้ตายยังไง ฉันก็จะไม่มีวันทำงานให้กับคนโรคจิตอย่างนายหรอก อ้อ! เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยวนะ..”
ใบหน้าเนียนแดงก่ำเพราะพิษไข้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บึ้งตึง และแทบทันที..จากหน้ามือเป็นหลังมือ.. ริมฝีปากสีชมพูออกจะซีดไปสักนิดเหยียดยิ้มหวานดูน่ารักทำเอาบุรุษตรงหน้างุนงงกับกิริยาที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วของเธอไปชั่วขณะ
ทว่ารอยยิ้มนี้เป็นที่รู้กันดีสำหรับคนสนิทชิดใกล้
นี่คือสัญญาณ! ..สัญญาณที่พึงระวัง!
“ฉันขอสักหมัดเหอะ!” พูดจบเธอก็ยกหมัดขึ้นซัดหน้าผู้ที่เกือบจะได้เป็นเจ้านายไปเต็มแรง ก่อนที่หญิงสาวจะอัปเปหิตัวเองออกจากบ้านหลังนั้นไป
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
เช้าวันรุ่งขึ้น สรินดาตื่นขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย ไข้หวัดที่ลดลงไปได้ไม่เท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะสูงขึ้นมาอีกครั้ง คงเป็นผลจากการกระทำเมื่อวาน...คิดแล้วมันก็น่าแค้น จากเมื่อวานที่เพลียอย่างมาก กลับบ้านมาจึงหลับเป็นตาย ทำให้ไม่ได้คุยกับอานนท์เพื่อนซี้ แต่วันนี้ล่ะ เธอจะทบทั้งต้นทั้งดอกคืนให้เลย สรินดายันตัวลุกขึ้นมาช้าๆ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์เรียกให้มาหา แต่ไม่ทันไรเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น..
“ไอ้ริน เปิดด่วน เร็วเข้า เร็ว ริน!” ‘เพื่อนรัก’ ที่เธอกำลังอยากเจอตะโกนร้องเรียก
“โอ๊ย รู้แล้วๆ แกจะตะโกนทำไมเล่า” หญิงสาวสืบเท้าตรงไปเปิดประตูห้อง และการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาคนที่เตรียมจะด่าแบบรัวกระสุนปืนต้องกลืนคำด่าลงไปทั้งหมด
“ไอ้ริน แกไปก่อเรื่องอะไรที่บ้านคุณเคนเขา” สรินดาที่ทิ้งตัวลงบนที่นอนตอบ ขณะเลื่อนผ้าห่มผืนบางขึ้นมาคลุมจนถึงคอ อันที่จริงถ้านอนคลุมโปงได้ก็คงทำไปแล้วล่ะ
ใครที่รู้จักอานนท์ดีก็คงจะรู้หรอก ว่าชายหนุ่มกำลังเริ่มต้นเทศนา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สรินดายังทำใจแข็งตอบไปแบบรวนๆ เพราะถือว่าตัวเองไม่ผิด
“ก่อเรื่องบ้าอะไร เจ้านายแกโรคจิตวิตถาร คิดจะลวนลามผู้หญิง ชิชะ สมควรโดนแล้วนั่นน่ะ”
“แต่แกกำลังเข้าใจผิด”
“ผิดที่ไหนกันเล่า นายนั่นดูก็รู้แล้วไว้ใจไม่ได้”
“ให้ตายเถอะ ไอ้ริน เคยคิดก่อนที่จะทำอะไรบ้างมั้ย”
“เห๊อะ ถ้าไม่คิดแล้วจะทำรึไง”
“ฉันหมายถึง คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ดูเสียก่อนว่าเขามาดีหรือมาร้าย ตั้งใจจะช่วยหรือตั้งใจจะทำลาย ไม่ใช่ตีโพยตีพายคิดไปเสียเอง หัดมองโลกในแง่ดีซะมั่ง”
“มองโลกในแง่ดี!? แล้วถ้าไอ้บ้าโรคจิตนั่น ตั้งใจจะทำร้ายฉัน ฉันไม่เสร็จมันไปแล้วเรอะ”
“เฮ่ย” อานนท์ถอนหายใจ แม่เพื่อนคนนี้พูดอะไรเข้าใจยากเสมอ คนหัวรั้นอย่างหล่อน ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ผิด พูดให้ลิงหลับก็ไม่เคยฟัง “ฉันอยากให้แกไปขอโทษคุณเคน”
“ขอโทษ!?” สรินดาร้อง “ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ทำไมต้องขอโทษด้วย”
“ผิดสิ คุณเคนเขาตั้งใจจะช่วยแก แต่แกกลับให้บาทาเขาไปเป็นของขวัญแรกพบซะอย่างนั้น เป็นการตอบแทนบุญคุณคนได้ดีมากเลย เพื่อน ที่ส่งเขาเข้าไปนอนในตารางน่ะ”
“เหอะ ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ..ฮะ..ฮัดชิ้ว~ว!”
“นี่แกยังไม่หายไข้อีกหรอ” เขาถาม วางมือทาบหน้าผากของเพื่อนสาว “ไข้ไม่ลดเลยนี่นา ไปหาหมอมารึยัง”
“ยัง” เธอว่า แล้วปัดมือเขาออก “เอาน่า แค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอก”
“เออ แกมันหญิงถึก อาจหาญนักก็ไปขอโทษคุณเคนเขา ยอมรับความจริงซะมั่ง มองโลกต้องมองให้กว้าง มามองแค่ด้านเดียว ชีวิตแกจะวิบัติ”
“เวอร์แล้วๆ”
ให้ตายสิ กะจะเล่นงานหมอนี่สักหน่อยกลับต้องมานั่งฟังมันเทศน์แทนซะได้
“ตกลงแกจะไปมั้ย”
“จะไปทำไม เรื่องนั้นฉันไม่ผิด”
“แกจะหัวรั้นไปถึงไหน”
“วะ! นี่ฉันเป็นผู้หญิงนะ ถ้าไม่ป้องกันตัว ป่านนี้ฉันก็ไม่มีหัวมาให้นายเห็นหน้า แล้วบ่นว่าปาวๆๆอย่างนี้หรอก”
“แต่เรื่องที่แกก่อไว้เมื่อวาน..”
“เรื่องอะไร”
“เหอะ หมัดแกนี่ป่วนได้ทุกสถานการณ์เลยนะ สรินดา”
“ โอ๊ะโอ~”
“เอาล่ะ ถ้าแกคิดว่าแกไม่ผิด ก็บอกเหตุผลของแกมา”
“นี่นาย ตั้งใจจะให้ฉันผิดเต็มประตูเลยใช่มั้ย ดูซิ ยัดข้อหาให้อยู่ได้” เธอมองเขาค้อนๆ ทว่าสายตาที่เพ่งพิศกลับมาจ้องเขม็ง ทำเอาเธอรู้สึกอึดอัด
หากเธอไม่ผิดจริง ความละอายคงไม่บังเกิด
หากสิ่งที่เธอกระทำเกิดจากอารมณ์ หาได้คิดตริตรองก่อนทำ...
~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~
ฮ่าๆ มาต่อให้แล้วนะคะ ขอบคุณสำหรับท่านผู้อ่านมากๆค่ะที่เข้ามาอ่านฟิคเน่าๆเรื่องนี้ > <
ช่วงเน้ก็ใกล้สอบแล้วเน้ออ คนแต่งก็อู้ๆกันทั้งนั้น ฮะๆ ยังงัยถ้าสอบเส็ดแล้วจะมาอัพให้บ่อยๆแล้วกันนะคะ
สุดท้ายขอย้ำเรื่องเดิม
ขอคอมเมนต์เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักเขียนด้วยนะคะ
ใครที่คอมเมนต์แล้วก้ะคาราวะยกกำลัง 2 ค่ะ
โค้งๆ ~U~
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น