ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระวัง!! ไวรัสสื่อรัก

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 48


    บทที่ 1



    กรุงเทพมหานคร... เมืองหลวงของประเทศไทย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะร้อนได้ถึงขนาดนี้ เข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาใกล้จะสามทุ่มอยู่แล้ว แต่ความร้อนก็ยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เป็นความรู้สึกที่ร้อนอบอ้าวเท่านั้น...



    ลึกเข้าไปในซอย...หญิงสาวร่างบางในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกางเกงสีซีดและรองเท้าผ้าใบเก่าๆกำลังเดินทางกลับจากการร่ำเรียนหนังสืออย่างหนักเพื่อที่จะเตรียมสอบในปลายเดือนนี้ ทางเดินรอบข้างยังคงเงียบสนิท เสียงเดียวที่ยังคงดังอยู่ในซอยเปลี่ยวๆนี้เป็นเสียงรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของเธอเท่านั้น



    อากาศที่ร้อนอบอ้าวนั้นแทรกซึมลงไปภายในผิวกายของหญิงสาวที่บัดนี้มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นกรายๆที่ใบหน้าเนียน หากแดงก่ำด้วยพิษไข้ที่เป็นติดต่อกันมาเป็นระยะเวลานาน อนึ่งเป็นการประทะสังเวียนระหว่าง ฝ่ายแดง..ไข้หวัดใหญ่ ศิษย์ไวรัส กับฝ่ายน้ำเงิน ยาหมอ ป.การแพทย์ ทั้งสองฝ่ายเปิดเวทีแลกหมัดซัดปากกันอยู่ค่อนคืนเต็มๆ จนในที่สุดฝ่ายน้ำเงินก็โยนผ้าขาวยอมแพ้หมดรูป เป็นเหตุทำให้หญิงสาวต้องระเห็จออกจากบ้านเพื่อหาตัวแทนฝ่ายน้ำเงินคนใหม่มาสู้ต่อ



    สวบ...สวบ..



    เสียงลากรองเท้าของสิ่งมีชีวิตบางสิ่งดังเข้ามากระทบโสตประสาทของหญิงสาว หากเธอยังไม่สนใจ เพียรพยายามที่จะไปหาตัวแทนฝ่ายน้ำเงินมารับหน้าที่ต่ออย่างเร็วที่สุด ก่อนที่ศิษย์ไวรัสฝ่ายแดงจะพังเวทีทิ้ง..



    สวบ...สวบ...



    เว้นเสียแต่ว่าเสียงลากรองเท้ายังคงไม่หยุด และดูเหมือนมันจะเคลื่อนที่ตามหญิงสาวมาด้วย เธอหันกลับไปมองสิ่งมีชีวิตสิ่งนั้น คิ้วขมวดเป็นปมเข้าหากัน แล้วพิจารณาชายหนุ่มข้างหน้าที่เธอได้เห็น..ผู้ชายหน้าเห่ย กับกางเกงขาเดป ท่าทางโลลิค่อนเมาแอ๋....สิ่งมีชีวิตแสนอัปลักษณ์ในความคิดของหญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยอาการโซเซ เสียงที่เปล่งออกมาจากลำคอแสดงถึงปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดซึ่งพุ่งสูงเกินขีดจำกัดของรัฐบาลโครงการจัดระเบียบสังคม



    \"โอ้เหล้าจ๋า~ หันมายิ้มหน่อยเซะ ยิ้มเซ่!\" ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้แค่ร้องเพลงด้วยท่าทีที่เมาอย่างเดียว แต่ยังโอนเอนร่างกายที่ผอมแห้งราวกับหนังหุ้มกระดูกมาโดนตัวเธอด้วย หญิงสาวสะบัดแขนออกด้วยความรังเกียจ พยายามที่จะเดินหนีออกมา ทว่าชายผู้นั้นยังตามรังควานเธอไม่เลิกรา... ยิ่งเธอเดินหนีเท่าไร ชายคนนั้นก็ยิ่งตามเธอมา จากท่าทีที่แค่เมาธรรมดา กลายเป็นการลวนลามและแทะโลมด้วยสายตาอันหยาดเยิ้ม ริมฝีปากของเขาเริ่มแสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆราวกับเจอของเล่นที่ถูกใจ

    เท่านั้นยังไม่พอ...เมื่อเธอมองข้ามไหล่ของชายตรงหน้าไปก็พบกับชายอีกคนหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาด้วยวามเร็วสูง



    ...คงจะเป็นพวกเดียวกันล่ะสิ... และเมื่อคิดได้เท่านั้นก็ทำให้ความอดทนของเธอสิ้นสุดลง



    “ฟูลดร๊อป!!!”



    พลั่ก!



    “จ๊ากกกกก!”



    แล้วหญิงสาวก็ได้ทัศนาการดร๊อปคิกรูปแบบใหม่ เมื่อชายอัปลักษณ์คนนั้นกลิ้งชนเข้ากับนายคนที่ตามมาสมทบ จนเหมือนถังน้ำมันวิ่งปะทะกับไม้กระดานพุ่งแหวกอากาศตามทฤษฎีฟิสิกส์กระแทกโครมเข้ากับแผงขายทุเรียนพันธุ์หนาม ..โอ๊ย! สะใจ!



    “รู้จักไอ้รินน้อยไปซะแล้ว” หญิงสาวนามริน หรือสรินดา นิภาวรรณกล่าว แล้วหัวเราะให้กับพวกคนสิ้นคิดที่จะมาลวนลามเธอ



    แต่ทันใดนั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นชายผู้มาใหม่อีกคนหนึ่งในซากแผงทุเรียนพันธุ์หนามกำลังยันตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากเผยอออกและพยายามเปล่งเสียงออกมา



    “อะ..อึก..เธอ..เธอ”



    ...อะไรล่ะ โดนแค่นี้มันไม่สำนึกใช่ไหม...



    โครม!



    จากที่ว่าเจ็บตัวอยู่แล้ว ชายคนนั้นจุกจนพูดไม่ออกกว่าเดิมและล้มตัวลงไปบนกองทุเรียนซึ่งเกลื่อนอยู่บนพื้นอีกครั้ง ส่วนชายอัปลักษณ์ที่หมายจะลวนลามเธอนั้นสิ้นสติไปแล้วพร้อมด้วยรอยบาดแผลจากหนามทุเรียนทั่วสารพางค์กาย...



    “เฮ้ย! หยุดนะ” เสียงเข้มๆดังมาจากทางข้างหลังหญิงสาว ในใจของเธอคิดว่าคงเป็นพวกเดียวกันแน่นอนจึงเตรียมท่าพร้อมกับหันหลังไปมองด้วยสายตาเย็นเยียบซึ่งบ่งบอกถึงความอาฆาต แล้วชายหนุ่มซึ่งมีหน้าตาและการแต่งกายดูคล้ายพนักงานรักษาความปลอดภัยวิ่งเข้ามาปรากฏในสายตา



    “พี่! ช่วยด้วย! คนพวกนี้มันจะลวนลามฉัน” เมื่อตำรวจหนุ่มซึ่งวิ่งเข้ามาเมื่อครูได้เห็นสภาพตรงหน้า ความคิดเดียวที่เกิดขึ้นในสมอง



    ...ใครมันประทุษร้ายใครกันแน่...



    ก็ในเมื่อภาพตรงหน้ามันบ่งชี้ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ทำร้ายร่างกายชายผู้เมาเหล้าไม่มีทางสู้คนหนึ่งและผู้ชายร่างใหญ่อีกคนหนึ่งจนพวกเขาทั้งสองลงไปนอนสลบในกองทุเรียนเบื้องหน้า



    “ไปคุยกันที่โรงพักเถอะน้อง” ตำรวจหนุ่มเอ่ยขึ้นในที่สุด



    “เฮ้ย! ได้ไงน่ะพี่ พี่ก็เห็นอยู่ว่าไอ้สองคนนี้มันจะลวนลามฉัน แล้วฉันก็แค่ป้องกันตัวเองนะ!!!” หญิงสาวคนเดียวที่ยืนอยู่ที่บริเวณนี้โวยวาย



    “ผมรู้แล้ว แค่จะเชิญไปให้ปากคำที่โรงพัก” ชายหนุ่มพยายามใจเย็น



    “แล้วทำไมฉันต้องไปโรงพักด้วยล่ะ”



    “ผมบอกไปแล้วว่าไปให้ปากคำ เผื่อคุณจะได้ส่งคนพวกนี้เข้าซังเตได้ไงครับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น สรินดาก็ใจเย็นลงและยอมตามตำรวจคนนั้นไปโรงพัก พร้อมช่วยลากชายเคราะห์ร้ายอีกสองคนไปด้วย





    ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~





    ดวงจันทร์เสี้ยวทอแสงสีนวลเด่นตัดกับผืนนภาอันกว้างใหญ่ ทว่ามืดมิดไร้ซึ่งแสงดาว ราวกับว่าค่ำคืนนี้เป็นคืนแห่งจันทร์ ต่ำลงมาบนพื้นพสุธาซึ่งเงียบสงัด ในยามราตรีเช่นนี้... สิ่งที่ส่องสว่างตัดกับบริเวณรอบข้างโดยสิ้นเชิงมีเพียงแสงจากสำนักงานแห่งหนึ่งซึ่งไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก แน่นอนว่านามซึ่งใครๆ ต่างเรียกขานมันก็คือ... โรงพัก



    “อะไรนะครับ!!! ผมเนี่ยนะจะลวนลามผู้หญิง” ชายหนุ่มหนึ่งในสองคน ที่หมายจะลวนลามเธอโวยวายขึ้น



    “ก็คุณผู้หญิงคนนั้นเขาให้ปากคำมาอย่างนี้นี่ครับ” ชายอีกคนในเครื่องแบบตำรวจพูดอย่างเย็นใจพลางผายมือไปยังสรินดาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ



    “คุณจะบ้าเหรอ! หน้าตาอย่างผมดูเหมือนคนร้ายนักหรือไง”



    “เหมือนสิ!” หญิงสาวโต้กลับทันใด



    “นี่เธอ ฉันน่ะเห็นเธอจะโดนไอ้บ้าลามกนั่นมันลวนลามเลยจะเข้าไปช่วย ..คิดว่าฉันอยากจะลวนลามเธอนักหรือไง”



    “นายพูดงี้หมายความว่าไง!”



    “ก็หมายความอย่างที่พูด เธอคิดหรือว่าคนอื่นเขาอยากลวนลามเธอ ฉันว่านะ ถ้าไอ้บ้านี่มันไม่เมา แม้แต่หางตาคงยังไม่อยากจะมองเธอเลยละมั้ง ..ผู้หญิงอะไรเตะหนักเป็นบ้า” ชายหนุ่มพูดพลางเอามือลูบท้องของตนเอง แล้วปลายตาไปมองยังชายอีกคนหนึ่งที่ยังคงนอนสลบไม่ตื่น



    “เห๊อะ ถ้าหางตายังไม่อยากจะมอง แล้วนายโผล่เข้ามาช่วยฉันทำไมเล่า”



    “ฉันก็แค่สงสาร เห็นเป็นผู้หญิงแถมตัวเล็กอย่างนี้ ถ้าตายไปปอเต๊กตึ๊งคงต้องเสียค่าน้ำมันมาเก็บศพเธอแพงแน่ ฉันก็เลยจะช่วยชาติประหยัดน้ำมันน่ะ”



    “ไอ้.......” ความอดทนของ ‘ผู้หญิงตัวเล็ก’ สิ้นสุดลงอย่างง่ายดาย เธอทำท่าจะกระโดดไปอัดผู้ชายปากเสียที่ส่งสายตาไร้ความรู้สึกใดๆมาให้เธอ ราวกับเธอไม่มีคุณค่าของความเป็นมนุษย์อยู่เลย หากไม่ได้ตำรวจข้างๆเข้ามาช่วยล็อคแขนเธอไว้ ชายคนตรงหน้าที่บอกว่าชื่อ....รัฐภูมิ วชิรานินทร์.. คนนั้นคงได้น่วมอีกเป็นรอบที่สองแน่

        



    ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~





    แสงแดดในกรุงเทพมหานครยังคงแผดจ้าเช่นทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่สถานศึกษา ณ ใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทยแห่งนี้.. มหาวิทยาลัยรัฐบาลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านการผลิตนิสิตนักศึกษาคุณภาพดี



    ร่างซูบเซียวละม้ายคล้ายผีดิบ กำลังเดินท่าปูน้อยแปดขา เฉไปทางซ้ายทีทางขวาที เสียงหายใจฟืดๆฟาดๆอย่างคนสูดน้ำมูก ดังอยู่แทบจะตลอดเวลา



    หวา~!! ทำไมพื้นมันถึงได้โอนไปเอียงมาอย่างนี้นะ...



    “หวัดดีค่ะพี่ริน” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของร่างซูบเซียว เจ้าของร่างนามสรินดาหันศีรษะผีดิบไปมองคนทัก พลางสูดน้ำมูกฟืดๆ ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรสักคำเดียว เจ้าหล่อนคนทักก็ทำตาโตเท่าไข่ห่าน



    “ตายแล้ว พี่รินเป็นหวัดนี่นา” รุ่นน้องปี.1 ทำท่าตกอกตกใจ พลางเรียกเพื่อนมารุมหญิงสาวกันยกใหญ่



    ก็แน่ล่ะ.. จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง สาวหล่อขวัญใจรุ่นน้องสาวๆเป็นไข้ทั้งทีนี่นา สรินดาพยายามใช้สายตาเบลอปรือๆ เพราะพิษไข้ เพ่งมองร่างอ้อนแอ้นที่พากันเข้ามารุมล้อมตัวเธอ



    “โอ๊ะ น้องคนนี้มีสองหน้านี่นา ฮ่าๆ ตลกเป็นบ้าเลย”



    “ต๊ายยยย พี่รินเพ้อไข้ น่ารักมากๆเลย กิ๊บรักพี่รินที่สุดในโลกเลยค่ะ”



    “ไอ้หยา!! นี่ก็สัตว์ประหลาด มีสองหัว ตัวหย่ายๆ ปากกว้างๆ แบร่ๆ.. สัตว์ประหลาดตัวหย่ายๆ ไปไป๊ ชิ่วๆ อย่ามาเดินแถวเน้เซ่ สัตว์ประหลาดน่ากลัว”



    “กรี๊ดดด... อยากจะละลาย พี่รินพูดกับกิ๊บด้วย” สาวน้อยนามว่ากิ๊บ หันไปพูดอวดกับเพื่อนๆ เท่านั้นล่ะ บรรดาสาวๆ ก็ต่างพากันกรูเข้าถามหญิงสาวกันยกใหญ่ ว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดชนิดไหน เพื่อไม่ให้เป็นการน้อยหน้า



    โฮ่ย... ทำไมมันถึงมึนอย่างนี้เนี่ย



    หญิงสาวหยีตามองกวาดไปทั่ว เห็นทั้งสัตว์ประหลาดบ้าง ผีสองหัวบ้าง สัตว์พิศดารทั้งหลายแหล่พากันมาแทนที่บนใบหน้าจิ้มลิ้มของรุ่นน้อง ร่างบางยืนเอียงซ้าย เอียงขวา เอนหน้า เอนหลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเห็นทุกสรรพสิ่งจะกลายเป็นความมืดมิด....





    ~**~..::-:-::-:-::-:-::..~**~









    To Be Con...



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×