ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Waltz and The doll การผจญภัยของวอลทซ์

    ลำดับตอนที่ #1 : ผมชื่อ "วอลทซ์"

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 56





    ...ผมชื่อ “วอลทซ์” ความหมายของชื่อผมคุณก็รู้...เพราะพ่อผมชอบมัน  ผมถึงได้ชื่อนี้มา  ผมไม่รู้จักแม่  เขาเสียชีวิตไปหรือตัดขาดจากเราสองคนพ่อลูกก็ไม่อาจคาดเดาได้  พ่อไม่เคยพูดถึงมันเลยตั้งแต่ผมโตมา  เขาเพียรแต่บอกว่าให้ผมเชื่อฟังเขา! อย่างที่ลูกทั้งหลายควรจะทำ

    วันนี้เป็นวันเกิดอายุสิบเอ็ดขวบของผม  พ่อไม่ได้มาตามนัดอีกตามเคย  เขาทำงานหนัก  งานเหมืองแร่ของเขารุมเร้าตลอดเวลาทำให้ผมกับพ่อค่อนข้างจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อย  ตอนนี้ผมจึงได้แต่นั่งมองขนมเค้กจิ๋วบนโต๊ะที่คุณป้าข้างบ้านทำมาให้  มันเป็นแค่ก้อนแป้งชิ้นหนึ่งที่ถูกบดและผสมกันราดน้ำครีมและช็อกโกแลตเหลว  บนหน้าเค้กมีเทียนและสตอเบอร์รี่หนึ่งลูกวางเอาไว้  ข้างตัวผมมีเจ้าตุ๊กตาโกโรโกโสที่ผมมักเอาไว้ติดตัวตลอดเวลานั่งเป็นเพื่อนเคียงข้าง

    “ วันนี้ก็ฉลองวันเกิดสองคนเหมือนเดิมเลย “ ผมพูดเสียงเศร้ากับตุ๊กตา  มันมองผมเหมือนเข้าใจ...ก็นั่นแหละเหมือนเข้าใจ  แต่มันก็ไม่เข้าใจเพราะมันไม่ได้มีชีวิต  ดวงตาสีดำกลมโตของมันมองผมตาวาว

    ผมเริ่มถอนหายใจและคิดไปถึงอนาคต  ผมเป็นเด็กช่างฝัน  ผมมีความคิดหลายอย่างอยากจะทำ  ผมอยากผจญภัย  อยากค้นหาอะไรใหม่  แต่แปลกที่ผมไม่ยักกะอยากค้นหาเรื่องแม่เพราะผมรู้ดี  ลึกลึกในใจ  ผมเจ็บปวดเกินกว่าจะให้อภัยเขาแม้เขาจะเป็นผู้คลอดผมมา....ก็ตามที

    สุดท้ายเมื่อสมองคิดมาจนสุดปลายทาง...ผมก็กลับมาปัจจุบัน  ผมโน้มตัวลงเข้าไปหาเค้กจิ๋ว  บรรจงเป่ามันจนไฟสีเหลืองนวลบนเทียนดับลง

    คำอธิฐานของผม.... “ ขอให้ผมได้ไปจากที่นี่!

    ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือยังไง!?  แต่ผมก็ขอไปแล้ว  ไปจากที่นี่  อย่างนั้นเหรอ? ผมเกลียดที่นี่ก็เปล่า  ผมไม่ได้เกลียดเพียงแต่ว่าผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตยังไงต่อ  ก็จริงที่ผมมีพ่อแต่ก็อย่างที่บอกข้างต้นเราสองคนไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเท่าไหร่  ในหนึ่งอาทิตย์พ่อจะกลับมาสักหนึ่งวันหรือครึ่งวันเพื่อมาดูว่าผมไม่ได้เล่นซุกซน  หลังจากนั้นเขาก็กลับไปทำงานต่อ  เวลาส่วนมากของผมจึงมีแต่ป้าบ้านข้างเคียงดูแล  ซึ่งสักวันหนึ่งเมื่อเธอตายไป...ผมก็ไม่เหลือใครให้ห่วงใย

    ตึง ตึง ตึง!!!!

    บานประตูหน้าบ้านถูกใครบางคนรัวเคาะจนผมคิดว่ามันคงจะพังลง  ได้ยินเสียงอู้อี้มาจากหน้าประตูคาดว่าสองสามคนน่าจะได้  พวกเขาเป็นใคร  มาทำอะไรกันนะ?

    ผมคิดในใจ  เดินเอื้อยอ้ายไปเปิดประตู...ลุงชาร์ล  ลุงเควิน กับพี่ซอร์ดยืนหน้าตื่นอยู่หน้าประตู  พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดจนผมไม่อยากฟังที่พวกเขาสามคนกำลังจะพูด

    “ วอลทซ์   ฟังพวกลุงนะรีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า ข้าวของที่จำเป็น   ทุกอย่างที่ต้องใช้มาให้หมด  อีกยี่สิบนาทีข้างหน้าเราจะเดินทาง “ ลุงชาร์ลพูดรัว  เขาดันตัวเองผ่านประตูเข้ามา ลากผมให้ขึ้นข้างบนโดยที่ผมพูดอะไรต่อแทบไม่ได้

    ผมอยากรู้  ทำไมพวกเขาถึงให้ผมเก็บของเรากำลังจะไปไหนพ่อผมล่ะนี่มันเกิดอะไร??

    ผมไม่รู้เลยได้แต่ทำตามที่พวกเขาบอก  ผมขึ้นมาบนห้อง  หยิบกระเป๋าลากใต้เตียงขึ้นก่อนจะโกยเสื้อผ้าในตู้มายัดลงในกระเป๋า  ทุกอย่างที่ผมคิดว่าจำเป็นถูกยัดลงไปหมด  สงสัยของจำเป็นผมมันเยอะมันถึงได้ล้นออกมานอกกระเป๋าจนปิดไม่ได้  ดีที่ลุงชาร์ลเดินไล่หลังผมมา  เขาปิดให้ผมแบบเร่งด่วนมันทำให้ถุงเท้าข้างหนึ่งของผมโผล่มานอกกระเป๋า 

    “ เอาล่ะ  เราไปกันเถอะ “ ลุงชาร์ลร้องบอก  เขาหิ้วกระเป๋าผมแทนการลาก  ผมพยักหน้าเดินตามลุงชาร์ลไป  แต่เดินได้สองสามก้าวผมก็เพิ่งคิดได้  ผมลืมแจ๊ส   ตุ๊กตาตัวโปรดของผม  !

    ผมหันหลังกลับไปคว้าเจ้าแจ๊สขึ้นมา ลุงชาร์ลมอง..เขาไม่ได้ว่าอะไรแค่หิ้วกระเป๋าเดินนำหน้าผมต่อไป

     

    ......  พวกผมสี่คนกำลังนั่งอยู่ในรถเต่าโบราณของลุงเควิน  โดยมีพี่ซอร์ดเป็นคนขับ  ทั้งสามไม่ได้พูดอะไร  ผมเองก็อยากจะถามแต่ดูสถานการณ์แล้วไม่ดีกว่าพวกเขาเป็นเพื่อนพ่อผม  ผมคิดว่ามันต้องมีเหตุผลแน่

    “ เลี้ยวซ้าย! “ ลุงเควินสั่ง พี่ซอร์ดหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในซอยซ้ายมือ  มันเป็นถนนตัดใหม่ส่วนบุคคล  ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าถนนนี้จะเป็นของคุณฮาว์บิ้น หรืออะไรสักอย่าง  หุ้นส่วนบรรษัทใหญ่จากในเมืองที่มาลงหลักปักฐานที่นี่

    “ นี่เรากำลังจะไปไหนกันฮะ “ ผมลองถามขึ้นบ้าง  หลังจากทนนั่งเงียบมานาน  ที่จริงผมก็ไม่อยากจะถามหรอกแต่มันอดไม่ได้  ในเมื่อทางที่พวกผมมามันเป็นทางไปบ้านของคุณฮาว์บิ้นหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ  และเขายังขึ้นชื่อว่าเป็นชายโฉดประจำที่นี่  หากใครก็ตามลุกล้ำเข้าเขตเขาโดยไร้การอนุญาตก็เท่ากับตายสถานเดียวและผมคิดว่าพวกลุงชาร์ล ลุงเควินหรือแม้กระทั่งพี่ซอร์ดน่าจะไม่ได้รับการอนุญาตด้วยซ้ำ

    “ เอาไว้ลุงจะบอกทีหลัง “ ลุงชาร์ลตัดบท  เขาหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ  ผมนั่งเงียบตามเดิมกอดเจ้าแจ๊สซ์เอาไว้ 

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

    หลังจากทนนั่งหลังขดหลังแข็งมาร่วมยี่สิบนาที พวกเราก็มาถึงคฤหาสน์สุดหรูของคุณฮาว์บิ้น ชัวร์แล้วผมเห็นชื่อมันติดอยู่หน้าประตูรั้ว  พี่ซอร์ดดับเครื่องเปิดประตูก่อนจะเดินอ้อมผมไปเปิดกระโปรงรถยกเอากระเปาผมออกมาหิ้วไว้

    ลุงชาร์ลดึงผมให้ตามเขาไป ส่วนลุงเควินกำลังเชคโทรศัพท์มือถือก่อนจะตามลงมาสมทบ  พวกเราสี่คนเดินเข้าไปในเขตคฤหาสน์ของคุณฮาว์บิ้นอย่างไม่ต้องมีการเคาะหรือเชิญชวน  นี่ผมยังไม่อยากตายนะ!

    แต่มันก็แปลกอยู่  ที่นี่ดูเหมือนรกร้างไม่มีคนอยู่?

    “ แกว่าไอ้ฮาว์บิ้นมันจะอยู่ไหม? “ ลุงชาร์ลถามลุงเควิน  เขาเหล่ตามองลุงชาร์ลพลางทำหน้าเอือมระอา

    “ ช่างหันมันซิ  แคร์มันอยู่ได้ไอ้กร๊วก พรรค์นั้น!

    ลุงเควินเป็นคนจัดการเปิดประตูเข้าไป  เขามีกุญแจบ้าน? งั้นก็แปลว่าคุณฮาว์บิ้นเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของสามคนนี้หรือ?  ภายในบ้านเป็นอะไรที่แตกต่างจากสิ่งที่เห็น  มันมีแต่หยากไย่  ฝุ่นและเครื่องเรือนที่ดูเก่าจนซอมซ่อ  ผมเดินฝ่าฝุ่นเข้าไป  พยายามจะยัดเจ้าแจ๊สเข้าไปในเสื้อ...ผมไม่อยากให้ตุ๊กตาผมเปื้อน!

    “ บ้าจริง มีแต่ฝุ่น  สกปรกยังกะอะไรดี “ พี่ซอร์ดพูดไล่หลังพวกผม  เขาเป็นคนสุดท้ายที่เดินมาแถมหิ้วกระเป๋าหนักอื้อของผมอีก  ดูก็รู้ว่าเขาคงไม่พอใจแน่!

    “ บ่นมากจริง  หุบปากซะบ้างเถอะไอ้หนู  แค่นี้มันฆ่าแกไม่ได้หรอก “ เป็นลุงเควินตามเคยที่พูดจาระคายหู  พวกเราสี่คนเดินไปตามโถงทางเดินจนไปสุดปลายทางถึงได้เห็นว่ามันมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง  ถ้าไม่สังเกตดีดีก็ไม่รู้หรอกมันดูกลมกลืนกับผนังจนแยกไม่ออก

    ลุงเควินล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดึงพวงกุญแจออกมาก่อนจะไขเข้าไป  ลุงชาร์ลฉุดแขนผมให้เดินตามเมื่อเห็นผมเริ่มอ้อยอิ่งไม่เดิน  ส่วนพี่ซอร์ดก็บ่นงึมงำอยู่ด้านหลังถึงเรื่องฝุ่นและเรื่องความสกปรก

    ห้องที่ผมเข้าไปเป็นห้องโถงขนาดใหญ่โล่งกว้าง  ในห้องมีโซฟา โต๊ะและตู้หนังสือประดับอยู่แค่นั้น  แต่ที่ทำให้ผมตาลุก
    วาวคงเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ในห้องนั้น   เธอเป็นผู้หญิงที่ผมยอมรับว่าสวยมาก  ใบหน้าเรียวได้รูป  ผิวขาวผ่อง  ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน  ดวงตาสีเทาหม่น....

    “ มาสาย! “ ประโยคแรกที่เธอเอ่ยทักเรียกสีหน้าบึ้งตึงจากลุงเควินได้เป็นอย่างดี

    “ หนวกหูน่าดาน่า “

    “ มันเป็นเรื่องจริง  ฉันรอมานานมาก  นานจนคิดว่าตายไปซะแล้ว “ ประโยคหลังเธอมองผม  ทำเอาผมร้อนๆหนาวๆอย่างบอกไม่ถูก  แม้เธอจะเป็นคนที่สวยแต่ผมก็รู้สึกถึงรังสีความอันตรายมาจากตัวเธอ

    “ พอเถอะดาน่า  เราไม่ควรพูดมากเกินไป “

    “ ใช่ซินะ  เราไม่ควรพูดมากเกินไป “ ดาน่าเน้นย้ำประโยคสุดท้าย  สายตาของเธอที่มองมายังผม  เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เราสองคนสื่อกันได้?

    “ เอาล่ะเรารีบไปกันเถอะ “ ลุงชาร์ลตัดบท  เขาเดินนำเราออกจากประตูอีกฟากของห้องนั้น   ประตูที่เราออกพาเราไปยังทุ่งหญ้าสีเขียวเนินกว้างของบ้านคุณฮาว์บิ้น  ความมืดมิดเริ่มโรยตัวมาบวกกับความหนาวเย็นทำให้ผมเริ่มกระชับเจ้าแจ๊สเข้าหาตัว  ดาน่าเหลือบมองผมก่อนที่เธอจะจิ๊ปากลำคอพร้อมกับถอดเสื้อโค้ทของเอมาสวมให้ผม

    ผมมองมันอย่างแปลกใจ  เธอเองก็มองผม  สายตาดุดันของดาน่าแม้จะน่ากลัวแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์  รู้สึกหลายอย่างจากสายตานั้น  คุ้นเคย เหมือนเคยรู้จักกันมานมนาน...

    “ ขอบคุณสักคำมีไหม? “ ดาน่ากระชากเสียงใส่   ผมเลยกล่าวขอบคุณเธอไป “ขอบคุณฮะ”

     

    ...พวกเราเดินมานานมาก  ไม่รู้สิอาจจะยี่สิบนาที หรือครึ่งชั่วโมง เพราะขาผมล้าไปหมด  มือก็เริ่มเย็นชืดจนผมคิดว่ามันคงแข็งในอีกไม่นาน  ในขณะที่ลุงชาร์ล  ลุงเควินและพี่ซอร์ดเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน  ผู้ใหญ่เขาอดทนกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

    “ เหนื่อยเหรอวอลทซ์ “ พี่ซอร์ดออกปากถามหลังจากพี่เขาลดระดับการเดินให้มาเท่ากับผม  ผมมองพี่ซอร์ดยิ้มให้  ไม่ได้บอกว่าเหนื่อยหรือหนาว!

    นั่นทำให้ผมต้องอดทนกัดฟันเดินต่อไป ....ผมไม่ถนัดในเรื่องเอ่ยปากบอกอะไรตั้งแต่เด็กแล้ว  ไม่ว่าผมจะไม่พอใจหรือทุกข์ทรมาน  ผมก็ไม่เคยพูดมันออกไป  ไม่ว่าอยากจะได้อะไรผมก็แค่นั่งนิ่ง  ภาวนาในใจและขอให้มันส่งไปยังพ่อ ให้เขาซื้อมาให้   แต่ผลสุดท้ายผมก็ไม่เคยได้อยากที่ผมหวังเพราะพ่อมักซื้อของที่พวกเด็กคนอื่นต้องการ  เขาไม่เคยถามในขณะที่ผมก็ไม่เคยบอก

    เราก็เลยไม่มีวันสื่อสารกันได้จนถึงตอนนี้จิตใจผมห่วงเขาหรือเปล่า...หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ 

    ถ้าถามว่าผมรักเขาไหม....................ผมตอบไม่ได้!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×