ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ++++ มหากาพย์หมื่นโลกธาตุ ++++

    ลำดับตอนที่ #2 : ปฐมบท ตอนที่ 2 : จอมทัพเจ็ดขุนเขา

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 53


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    นับแต่โบราณกาล มนุษย์มักเปรียบเทียบขุนเขาว่าเป็นเสมือน"ปราการ"ทางธรรมชาติ ที่คอยปกป้องภัยอันตรายต่างๆ...............

    แต่ถ้าหากจะมีแผ่นดินซักแห่งหนึ่งที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าถูกปกป้องโดยปราการเหล่านี้แล้ว นครสัตตบรรณเมืองหลวงของแคว้นอัศวามิตร ก็คงเป็นหนึ่งในนั้น.........

    ที่นครแห่งนี้ได้ชื่อว่า "สัตตบรรณ"(เจ็ดขุนเขา)  ก็เพราะว่าชัยภูมิของนครนี้อยู่ในวงล้อมของขุนเขาถึง 7 ลูก ทำหน้าที่เสมือนป้อมปราการให้กับนคร ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดใจกลางวงล้อมของภูเขาทั้ง 7 .............

    หลายครั้งที่ข้าศึกพยายามเข้าโจมตีนครแห่งนี้ แต่ก็ต้องล่าถอยไป ด้วยชัยภูมิที่ได้เปรียบบวกกับกองทัพอันเกรียงไกรของแคว้นอัศวามิตร โดยเฉพาะกองทัพม้าอันเป็นที่เกรงขามของเหล่าศัตรู เหตุเพราะม้าศึกของอัศวามิตรล้วนคัดเลือกแต่ม้ารูปร่างพ่วงพีล่ำสัน และผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี  บวกกับความเชี่ยวชาญทางการรบบนหลังม้าของชาวอัศวามิตร จึงทำให้กองทัพม้าของแคว้นอัศวามิตรถูกขนานนามว่า "วายุฆาต".....................

    แต่ใช่เพียงกองทัพม้าเท่านั้นที่ได้รับการกล่าวขานไปทั่ว ความงดงามของนครสัตตบรรณก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเมืองสีขาวที่ล้อมรอบนครไว้ถึง 2 ชั้น ประตูเมืองที่กว้างขวางพอจะให้ม้า 20 ตัวเดินเรียงแถวหน้ากระดานผ่านเข้าไปได้อย่างสบายๆ แต่สิ่งที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้พบเห็นจริงๆก็คือ บานประตูเมืองขนาดมหึมาที่สกัดจากหินทั้งก้อนเป็นภาพนูนต่ำของเทพเจ้า 2 องค์ผู้ปกปักรักษานคร ว่ากันว่าการเปิดปิดประตูเมืองไม่เคยต้องใช้กำลังคนหรือสัตว์ใดๆ หากแต่ประตูนี้เปิดปิดโดยการใช้กลไกการถ่วงน้ำหนักซึ่งคิดค้นโดยนักปราชญ์ชาวอัศวามิตร..................

    ส่วนทางด้านสถาปัตยกรรมของนครนั้นจัดอยู่ในขั้นที่เรียกว่าวิจิตรพิสดาร อาคารทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านค้า ล้วนแต่ถูกสร้างโดยช่างฝีมือชั้นเยี่ยมทั้งสิ้น ทำให้หลายคนเรียกนครแห่งนี้ว่า "เทวนคร"(นครแห่งเทพ)................




    บนถนนแห่งหนึ่งในนครสัตตบรรณ......... วณิพกเฒ่าผู้หนึ่งกำลังขับขานบทเพลงแลกกับเศษเงินเพื่อประทังชีพ...........


    "ฟังสิ........ท่านทั้งหลาย เสียงเพรียกของแผ่นดิน............"
    "ฟังสิ........ท่านทั้งหลาย เสียงกระซิบของสายลม.........."
    "ฟังสิ........ท่านทั้งหลาย เสียงก้าวเดินของกาลเวลา........."
    "ชีวิตมนุษย์สั้นเพียงพริบตา........ใยจึงชิงแย่งแข่งขัน......."
    "ในเมื่อสุดท้าย........ท่านก็พาไปได้เพียงความว่างเปล่า......."


    เสียงร้องของเขาไพเราะยิ่งนัก มันดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้หยุดฟัง พร้อมกับเจียดเศษเงินมอบให้เขาเป็นการตอบแทน แต่แล้ว ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับเสียงเพลงอยู่นั่นเอง...............

    "เฮ้ยๆๆๆ หยุดเดี๋ยวนี้ เจ้าวณิพก"  เสียงโวยวายดังขึ้นจากชาย 2-3 คน ที่แต่งกายแบบทหารเลวทั่วไป ถือหอกเป็นอาวุธ และคาดดาบไว้ที่เอว พวกเขาตรงเข้ายึดแขนของวณิพกเฒ่าไว้คนล่ะข้าง พร้อมกับฉุดกระชากเขาให้เดินไป

    "ได้โปรดเถิด นายท่าน ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย โปรดให้ข้าร้องจบเพลงก่อนเถิด........" ชายชราขอร้อง

    "ไม่ได้ๆ ที่นี่ไม่อนุญาตให้เจ้าเข้ามา ไปซะ!......" ทหารเหล่านั้นไม่สนใจ พวกเขาผลักชายชราจนล้มลง กระบะใส่เศษเงินหกกระจาย วณิพกเฒ่าพยายามเก็บเศษเงินที่กระจัดกระจาย แต่ก็ถูกหนึ่งในนั้นเหยียบมือเอาไว้ เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด.........

    "ยังจะห่วงเงินอีกเหรอ ไอ้แก่!.......ไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่ปราณีนะ" ทหารคนนั้นพูดพร้อมกับเงื้อด้ามหอกขึ้นหมายจะตีชายชรา........


    "หยุดเดี๋ยวนี้นะ!.........."


    เสียงตวาดอันทรงอำนาจดังขึ้น มันทำให้มือของทหารที่เงื้อหอกชะงักลง เมื่อหันกลับไปมองเจ้าของเสียง พวกมันก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดร่างลงทำความเคารพเจ้าของเสียงด้วยอาการหวาดกลัว...........

    ต้นเสียงมาจากชายสวมเกราะสีดำสนิท ประดับด้วยลวดลายเครือเถาสีทอง สวมเกราะเกล้าสีดำสนิทเช่นกัน ร่างของเขานั่งอยู่บนม้าศึกสีขาวบริสุทธิ์ บริเวณส่วนอกและศีรษะถูกสวมไว้ด้วยเกราะสีเงิน ที่อานข้างซ้าย มีง้าวด้ามหนึ่งเสียบอยู่ ส่วนอานฝั่งขวาเป็นขวานศึกด้ามยาวพร้อมด้วยคันธนูและกระบอกศร ด้านหลังของเขาเป็นกองทหารม้าประมาณ 20 คน สวมเกราะสิเงิน ถือธงรูปอาชา 7 เศียร..........

    "นี่มันอะไรกัน ทำไมทหารของนครสัตบรรณจึงทำกริยาเลวทรามอย่างนี้.........." เสียงของชายในเกราะดำเคร่งเครียด ใบหน้าของเขาแสดงอาการโกรธเคือง บวกกับรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่แก้มขวา ทำให้ใบหน้าของเขาน่าหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก..............

    "ขออภัยครับท่านขุนพลศิวณัฐ แต่เจ้าวณิพกคนนี้มันเข้ามาในเขตหวงห้ามครับ พวกเรากำลังจะไล่ออกไป........" หนึ่งในนั้นรายงานด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว

    "แล้วทำไมต้องใช้กริยาต่ำๆอย่างนั้นด้วย เขาก็เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อและจิตใจเหมือนกันนะ พวกเจ้าอยู่สังกัดใครบอกมาเดี๋ยวนี้........"  ประโยคสุดท้ายของศิวณัฐ ทำให้ทั้งสามถึงกับสะดุ้งเฮือก........

    "เอ่อ...... พวกข้าอยู่กองทหารราบตะวันตกที่ 15 สังกัดท่านพรหมเมศว์ครับ"

    "หึ....คิดว่าพรหมเมศว์คงไม่ดีใจนักหรอกนะ ที่ทหารของเขาทำตัวอย่างนี้ ไปซะ.......แล้วข้าจะไม่รายงานเรื่องนี้" สิ้นเสียงของศิวณัฐ ทหารทั้งสามคนก็ลุกขึ้นและจากไปด้วยอาการลนลาน..............

    เมื่อสามคนนั้นลับตาไปแล้ว ศิวณัฐก็ชักม้าเดินเข้ามาหาชายชรา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ขอโทษด้วยนะ ท่านลุง ที่ทหารของเราทำกับท่านอย่างนี้"

    "ท่านไม่จำเป็นต้องขอโทษข้าหรอกท่านขุนพล ไม่ใช่ความผิดของท่าน แต่ข้าเพิ่งรู้นะว่าถนนที่นครสัตตบรรณนี้เป็นเขตหวงห้ามด้วย......."

    "นี่แปลว่าท่านลุงเพิ่งมาถึงที่นี่ล่ะสิท่า ถึงได้ไม่รู้กฎของที่นี่" ขุนพลศิวณัฐยิ้มน้อยๆ ก่อนจะอธิบายให้ชายชราฟัง............
    "ที่นครสัตตบรรณนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนนอกและส่วนใน ส่วนนอกจะเป็นที่อยู่ของประชาชนธรรมดาและเหล่าพ่อค้าวานิชทั้งหลาย ส่วนในจะเป็นที่อยู่ของพวกขุนนาง นักปราชญ์ ช่างฝีมือ และศิลปินทั้งหลาย เพราะเหตุนี้นครส่วนในจึงไม่อนุญาตให้เหล่าวณิพกคนจร และนักแสดงเร่ทั้งหลายเข้ามาได้ เพราะเราต้องการความสงบสำหรับการทำงานของผู้อยู่ในเขตนี้ยังไงล่ะท่านลุง........"

    "อย่างนั้นเองหรือท่านขุนพล ข้าเข้าใจล่ะ ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกข้าทีเถอะว่าจะออกไปนครส่วนนอกได้ยังไง" คำถามของชายชราทำให้ศิวณัฐแปลกใจ.........

    "อ้าว.........แล้วเวลาเข้ามา ท่านเข้ามาทางไหนกันล่ะ"

    "ข้าก็จำไม่ได้แล้วนะท่าน แต่รู้สึกว่าจะเป็นประตูที่มีรูปปั้นนกอยู่ข้างบนน่ะ....."

    "อ๋อ งั้นคงจะเป็นประตูปักษาวายุล่ะสิ ท่านลุง"

    "ปักษาวายุอย่างนั้นเหรอ เป็นชื่อที่ไพเราะจริงๆนะท่านขุนพล" วณิพกเฒ่าเอ่ยชม.........

    "ขอบคุณที่ชมนะท่านลุง ความจริงแล้วประตูนครส่วนในมีทั้งหมด 4 ประตู คือประตูปักษาวายุ พหุไกรสร วารีกุญชร  และ อัศดรไคลคลา  ทั้ง 4 ประตูนี้ตั้งอยู่ตามทิศทั้ง 4 ของนคร ถ้าท่านเข้ามาทางประตูปักษาวายุ ก็คงจะไกลเกินไปถ้าจะให้ท่านออกไปทางเดิม ถ้าอย่างนั้นท่านออกไปทางประตูพหุไกรสรจะดีกว่า เพราะเมื่อออกประตูนั้นไปแล้วจะเป็นเขตตลาด ที่นั่นท่านคงจะใช้ความสามารถของท่านได้ล่ะนะท่านลุง............." ศิวณัฐอธิบายพลางชี้ทางออกให้ชายชรา

    "ขอบคุณท่านขุนพลมาก เอ่อ........ถ้าท่านไม่รังเกียจล่ะก็ จะรับฟังคำทำนายของวณิพกผู้นี้หน่อยได้มั้ยท่าน"

    "อะไรกัน นี่ท่านเป็นหมอดูด้วยเหรอ เอาสิ.....ลองทำนายมา"

    ชายชราสีหน้าเคร่งขรึมไปพักหนึ่งก่อนจะบอกกับศิวณัฐว่า "ท่านจะเป็นผู้เปิดประตูแห่งกลียุค และท่าน........ก็จะเป็นหนึ่งในผู้ปิดประตูนั้นด้วยเช่นกัน"

    "หมายความว่ายังไงท่านลุง ที่ว่าข้าจะเป็นผู้เปิดประตูแห่งกลียุค......." ขุนพลหนุ่มถามด้วยความเคลือบแคลง

    "เรื่องนั้นข้าไม่อาจบอกได้ เมื่อถึงเวลาท่านก็จะรู้เอง..........." พูดจบชายชราก็เดินจากไป ทิ้งความความฉงนให้อาบอยู่บนหน้าของขุนพลหนุ่ม..............

    "วณิพกคนนั้นพูดอะไรแปลกๆนะ ท่านศิวณัฐ" หนึ่งในกองทหารของศิวณัฐเหยาะม้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับตั้งคำถาม ดูจากลักษณะเครื่องแต่งกาย คาดว่าคงจะเป็นระดับรองแม่ทัพ.........

    "อย่าคิดมากเลย ปาศี พวกหมอดูมักใช้คำพูดยากๆอย่างนี้แหละ รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเฝ้าองค์เหนือหัว........." พูดจบขุนพลศิวณัฐก็ให้สัญญาณกับกองทหารของตนเพื่อเคลื่อนขบวนไปยังวังหลวง.............


    "ขุนพลเอย...........จงเข้มแข็งเถิด ชะตาของเจ้าช่างแปรปรวนยิ่งนัก" วณิพกเฒ่าหันมามองศิวณัฐอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไปตามทางของตน ทันใดนั้น.......สายลมวูบหนึ่งก็กรรโชกมา เสื้อคลุมของชายชราพลิ้วไหวไปตามกระแสลม เผยให้เห็นพิณสีเขียวปีกแมลงทับที่สะพายอยู่ข้างหลัง..............



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×