ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบท ตอนที่ 1 : อกาลิโก โลกุตระ (เหนือโลก เหนือกาลเวลา)
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งอยู่พ้นความคิดทั้งปวงของมนุษย์ ปราศจากรอยก้าวเดินแห่งเวลา และความเปลี่ยนแปลง ไร้ซึ่งเปลวแสงแห่งสุริยัน และ แสงนวลแห่งจันทรา หรือ แม้แต่ประกายแห่งดวงดาว ท่ามกลางผืนฟ้าอันมืดสนิท มันเป็นที่ตั้งของปราสาทแห่งหนึ่งซึ่งลอยอยู่ท่ามกลางผืนฟ้ามืดมิดอันเวิ้งว้างไร้ขอบเขต แต่ทว่า...........ช่างน่าประหลาดนัก แม้จะปราศจากแสงสว่าง แต่ปราสาทก็กลับเปล่งแสงเรืองรองราวกับว่าหินทุกก้อนที่สร้างปราสาทนี้เรืองแสงได้ด้วยตัวเอง.....................
เมื่อเราเดินเข้าไปในปราสาทนี้ สิ่งแรกที่เห็นก็คือลานกว้างใหญ่พอจะจุผู้คนได้นับหมื่น แต่บัดนี้กลับมีคนอยู่เพียง 4 คน พวกเขากำลังยืนอยู่บนแท่นใจกลางลาน ตรงกลางแท่นนั้นมีหลุมขนาดใหญ่อยู่และในหลุมนั้น กำลังโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงสีขาว...............
ด้านหนึ่งของแท่นเป็นบันไดหินที่ทอดยาวจากแท่นนั้น ไปยังอาคารซึ่งสูงตระหง่านที่สุดอยู่ในปราสาทแห่งนี้ บันไดนั้นหยุดที่หน้าประตูหินขนาดมหึมาซึ่งเป็นทางเข้าของอาคารแห่งนั้น
คนทั้ง 4 ซึ่งยืนล้อมรอบเปลวเพลิงสีขาวอยู่นั้น มิได้เอ่ยวาจาใดๆกันเลย พวกเขายืนสงบนิ่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่างอยู่..............
"นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่พวกเราไม่ได้มาชุมนุมกันอย่างนี้ อนัตตา" หนึ่งในสี่คนนั้นเปล่งเสียงขึ้นทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวที่งดงามเกินกว่าจะสรรหาคำพรรณาใดๆมาเปรียบเปรยได้ ผมยาวสลวยสีเงินยวงปกคลุมทั่วทั้งแผ่นหลัง ประดับศีรษะด้วยมงกุฎเงินรูปเปลวเพลิง ปกคลุมร่างกายด้วยภัสตราภรณ์สีทองสุกปลั่ง ขับผิวสีขาวนวลของเธอให้ดูโชติช่วงแข่งกับเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้า.............
"นานเท่าไหร่อย่างนั้นหรือรังสิยา เจ้าก็รู้นี่ว่ากาลเวลาไม่มีความหมายสำหรับพวกเรา" ร่างที่อยู่ตรงข้ามเธอเปล่งเสียงตอบมา ร่างนั้นอยู่ในผ้าคลุมสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า เว้นไว้เพียงที่ใบหน้าเท่านั้น แต่.......ที่ใบหน้านั้นก็ว่างเปล่า ราวกับว่าผ้าคลุมสีดำนั่นเป็นผู้ตอบคำถามเสียเอง...........
"ความอดทนยังคงน้อยอยู่เหมือนเดิมนะ รังสิยา" เสียงเย้ยหยันดังมาจากร่างที่อยู่อีกฟากของเปลวเพลิง เจ้าของเสียงเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวและเส้นผมสีดำสนิท ดวงตาสีแดงก่ำราวกับสีเลือด สวมเกราะแบบนักรบ มือข้างหนึ่งถือขวานขนาดพอกันกับร่างนั้น
"ข้าแน่ใจว่ายังไม่ได้ถามอะไรกับเจ้าเลยนะ อนธกาล" รังสิยาตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่วาจาแฝงเร้นด้วยการเชือดเฉือน................
"รังสิยา.........นี่เจ้า" ชายที่ชื่ออนธกาลแสดงอาการไม่พอใจ พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหญิงสาว..........
"........หยุด........." เสียงห้ามดังมาจากร่างในผ้าคลุมสีเงินที่นิ่งเงียบอยู่นานแล้ว "รังสิยา อนธกาล สงบปากคำของพวกเจ้าเสีย ที่นี่คือวิหารของท่านอจินไตย จงอย่าได้ก่อการวิวาทขึ้นในนี้" เสียงนั้นแม้จะมิได้เจือด้วยอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่ก็ทรงอำนาจยิ่งนัก มันสะกดคู่กรณีทั้งสองให้นิ่งงัน และในที่สุดรังสิยาและอนธกาลก็ก้มหัวลงแสดงอาการคำนับ
"ข้า...ขอโทษด้วย" ทั้งคู่กล่าวแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน.............
"หึๆๆ.........ยังเข้มงวดอยู่เหมือนเดิมนะ อสงไขย" เสียงปนหัวเราะแว่วมาจากปลายบันไดหินเบื้องบน พร้อมกับเสียงลั่นครืนมาจากประตูหินขนาดมหึมานั่น...............มันกำลังเปิดออก............
โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสี่คนทรุดกายลงทำความเคารพ โดยมิได้เงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงเลย...........
เมื่อประตูเปิดออก ร่างในเครื่องทรงแบบกษัตริย์ก็ก้าวออกมาอย่างแช่มช้า ผ่านลานหินที่คั่นระหว่างบันไดกับประตู มาหยุดยืนอยู่ที่ปลายบันได ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงก้องกังวานไปทั่วลานกว้างนั้น
"ลุกขึ้นเถิด ทุกท่าน" สิ้นเสียง ทุกคนก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองร่างที่ปรากฎขึ้นมา............
"ต้องขอโทษด้วย ที่เรียกชุมนุมทุกท่านอย่างกะทันหัน" ร่างนั้นกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "หามิได้ครับ ถ้าเป็นคำสั่งของท่านอจินไตย พวกเรายินดีปฏิบัติตาม" ชายในผ้าคลุมสีเงินตอบ
"ขอบใจสำหรับความภักดีของพวกท่าน เอาล่ะ.......มาพูดถึงเรื่องที่ข้าเรียกพวกท่านมาชุมนุมวันนี้ดีกว่า.........ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนคงรู้ดี ว่าตอนนี้กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดของวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปป์แล้ว ข้าจึงเรียกพวกท่านมาชุมนุมกันเพื่อปรึกษาอะไรบางอย่างหน่อย" "ปรึกษาอะไรคะ ท่านอจินไตย ช่วงสิ้นกัปป์นี้จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ" รังสิยาถามมาด้วยความประหลาดใจ
"ข้ามองไม่เห็น.........รังสิยา มันมืดมนไปหมด" คำตอบที่ได้ทำให้ทุกคนนิ่งไป "อะไรกัน ยังมีสิ่งที่ท่านอจินไตยผู้รู้แจ้งทุกสรรพสิ่งมองไม่เห็นด้วยหรือครับ" "ยังมีอยู่ อนธกาล สิ่งที่ข้าไม่อาจมองเห็นหรือคาดเดาได้ อย่างน้อยก็การกำเนิดในภพภูมินี้ของพวกเจ้าไงล่ะ ที่ข้าไม่อาจคาดเดาได้...." อจินไตยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ถ้าอย่างนั้น วันนี้ท่านเรียกพวกเรามาด้วยเหตุใดครับ ท่านอจินไตย" อนัตตาถาม "ข้าต้องการคำปรึกษา ทุกๆท่าน....." อจินไตยตอบ พร้อมกับก้าวเดินลงบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน "เราควรจะทำยังไงดี ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น หรือควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย.......... "
"ทำไมเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยล่ะคะ ปล่อยให้เป็นอย่างที่ควรเป็นจะดีกว่า" "ข้าสังหรณ์ใจ.......รังสิยา สังหรณ์ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนสิ้นกัปป์นี้ จะเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาเมื่อครั้งก่อนๆ........" อจินไตยตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวล "แต่ถึงยังไงก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราไม่ใช่เหรอครับ......"
"ช้าก่อน ข้าเข้าใจประสงค์ของท่านอจินไตยแล้วล่ะ อนัตตา......" เสียงเรียบๆสอดขึ้นมา อนัตตาหันขวับไปมองเจ้าของเสียง "เป็นเจ้าอีกแล้วนะ อสงไขย ท่าทางข้าจะปิดบังอะไรกับเจ้าไม่ได้เลยนะนี่......." อจินไตยหัวเราะเบาๆ..........
"ท่านอจินไตยต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ ท่านอสงไขย" "ท่านอจินไตยต้องการส่งใครซักคนไปบันทึกเรื่องราวกลับมาให้ท่านได้รู้ไงล่ะ" คำตอบของอสงไขยสร้างความกระจ่างให้กับทุกคน
"แล้วทำไมท่านถึงต้องการจะรู้เรื่องราวเหล่านั้นด้วยล่ะครับ มันมีความสำคัญตรงไหนหรือ ข้าไม่คิดว่าเหตุผลที่ท่านบอกมาจะเป็นสิ่งสำคัญนะครับ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่" คำพูดของอนัตตาเรียกรอยยิ้มของอจินไตยได้อีกครั้ง
"หลักแหลมมาก อนัตตา" อจินไตยกล่าวชมเชยพร้อมกับถอนหายใจเบา "เหตุผลจริงๆก็คือ ข้าคิดว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนี้ มันจะนำใครสักคนหนึ่งมาเป็นสมาชิกใหม่ของพวกเราน่ะสิ.............."
"อย่างนั้นเองเหรอครับ" อสงไขยกล่าวด้วยรอยยิ้มพรายที่ปรากฎบนใบหน้า "ในที่สุด 4 ผู้พิทักษ์อย่างเราก็จะต้องยื่นข้อเสนออีกแล้วใช่มั้ยครับ ท่านอจินไตย"
"ถูกต้องแล้ว อสงไขย เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ ว่าใครที่จะได้ก้าวมาสู่ภพภูมิอันเป็นนิรันดร์แห่งนี้" อจินไตยกล่าวพร้อมกับโบกมือผ่านเปลวเพลิงสีขาวที่อยู่ตรงกลางแท่น มันลุกโพลงขึ้นราวกับจะยินดีปรีดากับเหตุผลของอจินไตย...................
"แล้วท่านคิดจะส่งใครไปสังเกตุการณ์ล่ะคะ ท่านอจินไตย" คำถามของรังสิยาทำให้อจินไตยนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ "ตอนแรกข้าคิดจะส่งคนใดคนหนึ่งในพวกท่านไป แต่เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว มันคงน่าตื่นเต้นกว่า ถ้าพวกท่านทุกคนจะได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดพร้อมกัน.........................ภาสสูร!......." ประโยคสุดท้าย อจินไตยเอ่ยนามหนึ่งด้วยเสียงอันก้องกังวานไปทั่วทั้งลานกว้างนั้น
สิ้นเสียงของอจินไตย ก็ปรากฎร่างๆหนึ่งเดินเข้ามาในลานกว้าง ร่างนั้นสวมเสื้อและกางเกงสีดำ เสื้อคลุมสีขาวเป็นมันเลื่อมราวกับไข่มุกรับกับเส้นผมยาวสลวยสีไข่มุกซึ่งรวบไว้ทางด้านหลัง เส้นผมของเขานั้นปรากฎความความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือเส้นผมจากศีรษะจนถึงส่วนที่รวบไว้ที่ท้ายทอยเป็นสีขาวไข่มุก แต่ทว่าเส้นผมส่วนที่เลยจากท้ายทอยลงไปจนถึงสะโพกนั้นเป็นสีดำสนิท ด้านหลังของเขาสะพายพิณสีเขียวราวกับปีกแมลงทับ.................
"ท่านอจินไตยเรียกหาข้าด้วยเหตุอันใดครับ" ร่างนั้นคุกเข่าลงทำการคารวะ พร้อมกับถามด้วยเสียงกังวานใสเหมือนเสียงระฆังแก้วยามต้องลม...............
"เชื่อว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วนะภาสสูร ข้าต้องการให้เจ้ารับหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วยเพลงพิณและการขับขานของเจ้า จะยอมรับหน้าที่นี้มั้ย" ภาสสูรยิ้มน้อยๆก่อนที่เสียงระฆังแก้วนั้นจะตอบมาอย่างสั้นๆ "ถ้าเป็นบัญชาของท่านอจินไตย ภาสสูรผู้นี้ไม่เคยคิดขัดขืนครับ......" สิ้นเสียงตอบรับ ภาสสูรก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่แล้ว.............
"ช้าก่อน ภาสสูร....." เสียงของอจินไตย ชะงักการเคลื่อนไหวของภาสสูรไว้เพียงแค่นั้น "มีอะไรครับ ท่านอจินไตย" "มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้ หน้าที่ของเจ้าคือการบันทึกเรื่องราวเท่านั้น จงอย่าได้สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เข้าใจมั้ย.........." อจินไตยกล่าวเตือนมา
"รับทราบครับ ท่านอจินไตย" ภาสสูรก้มหัวลง แสดงอาการรับรู้ "เอาล่ะ ไปได้แล้ว ข้าหวังว่าพิณของเจ้าคงจะบันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ได้นะ ภาสสูร"
"ข้าจะไม่ทำให้ท่านอจินไตยผิดหวังครับ....." พูดจบร่างในเสื้อคลุมขาวก็ลุกขึ้น หันหลังเดินออกไปจากที่ชุมนุม ปลดพิณออกมาถือไว้พร้อมกับพรมนิ้วลงไปบนสายพิณ เพื่อเริ่มต้นการขับขานบทแรกของมหากาพย์แห่งการดับสูญของทุกสิ่ง.................................
เมื่อเราเดินเข้าไปในปราสาทนี้ สิ่งแรกที่เห็นก็คือลานกว้างใหญ่พอจะจุผู้คนได้นับหมื่น แต่บัดนี้กลับมีคนอยู่เพียง 4 คน พวกเขากำลังยืนอยู่บนแท่นใจกลางลาน ตรงกลางแท่นนั้นมีหลุมขนาดใหญ่อยู่และในหลุมนั้น กำลังโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงสีขาว...............
ด้านหนึ่งของแท่นเป็นบันไดหินที่ทอดยาวจากแท่นนั้น ไปยังอาคารซึ่งสูงตระหง่านที่สุดอยู่ในปราสาทแห่งนี้ บันไดนั้นหยุดที่หน้าประตูหินขนาดมหึมาซึ่งเป็นทางเข้าของอาคารแห่งนั้น
คนทั้ง 4 ซึ่งยืนล้อมรอบเปลวเพลิงสีขาวอยู่นั้น มิได้เอ่ยวาจาใดๆกันเลย พวกเขายืนสงบนิ่งราวกับรอคอยอะไรบางอย่างอยู่..............
"นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่พวกเราไม่ได้มาชุมนุมกันอย่างนี้ อนัตตา" หนึ่งในสี่คนนั้นเปล่งเสียงขึ้นทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวที่งดงามเกินกว่าจะสรรหาคำพรรณาใดๆมาเปรียบเปรยได้ ผมยาวสลวยสีเงินยวงปกคลุมทั่วทั้งแผ่นหลัง ประดับศีรษะด้วยมงกุฎเงินรูปเปลวเพลิง ปกคลุมร่างกายด้วยภัสตราภรณ์สีทองสุกปลั่ง ขับผิวสีขาวนวลของเธอให้ดูโชติช่วงแข่งกับเปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้า.............
"นานเท่าไหร่อย่างนั้นหรือรังสิยา เจ้าก็รู้นี่ว่ากาลเวลาไม่มีความหมายสำหรับพวกเรา" ร่างที่อยู่ตรงข้ามเธอเปล่งเสียงตอบมา ร่างนั้นอยู่ในผ้าคลุมสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า เว้นไว้เพียงที่ใบหน้าเท่านั้น แต่.......ที่ใบหน้านั้นก็ว่างเปล่า ราวกับว่าผ้าคลุมสีดำนั่นเป็นผู้ตอบคำถามเสียเอง...........
"ความอดทนยังคงน้อยอยู่เหมือนเดิมนะ รังสิยา" เสียงเย้ยหยันดังมาจากร่างที่อยู่อีกฟากของเปลวเพลิง เจ้าของเสียงเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ล่ำสัน ผิวและเส้นผมสีดำสนิท ดวงตาสีแดงก่ำราวกับสีเลือด สวมเกราะแบบนักรบ มือข้างหนึ่งถือขวานขนาดพอกันกับร่างนั้น
"ข้าแน่ใจว่ายังไม่ได้ถามอะไรกับเจ้าเลยนะ อนธกาล" รังสิยาตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ แต่วาจาแฝงเร้นด้วยการเชือดเฉือน................
"รังสิยา.........นี่เจ้า" ชายที่ชื่ออนธกาลแสดงอาการไม่พอใจ พร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าหญิงสาว..........
"........หยุด........." เสียงห้ามดังมาจากร่างในผ้าคลุมสีเงินที่นิ่งเงียบอยู่นานแล้ว "รังสิยา อนธกาล สงบปากคำของพวกเจ้าเสีย ที่นี่คือวิหารของท่านอจินไตย จงอย่าได้ก่อการวิวาทขึ้นในนี้" เสียงนั้นแม้จะมิได้เจือด้วยอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น แต่ก็ทรงอำนาจยิ่งนัก มันสะกดคู่กรณีทั้งสองให้นิ่งงัน และในที่สุดรังสิยาและอนธกาลก็ก้มหัวลงแสดงอาการคำนับ
"ข้า...ขอโทษด้วย" ทั้งคู่กล่าวแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน.............
"หึๆๆ.........ยังเข้มงวดอยู่เหมือนเดิมนะ อสงไขย" เสียงปนหัวเราะแว่วมาจากปลายบันไดหินเบื้องบน พร้อมกับเสียงลั่นครืนมาจากประตูหินขนาดมหึมานั่น...............มันกำลังเปิดออก............
โดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสี่คนทรุดกายลงทำความเคารพ โดยมิได้เงยหน้าขึ้นมองที่มาของเสียงเลย...........
เมื่อประตูเปิดออก ร่างในเครื่องทรงแบบกษัตริย์ก็ก้าวออกมาอย่างแช่มช้า ผ่านลานหินที่คั่นระหว่างบันไดกับประตู มาหยุดยืนอยู่ที่ปลายบันได ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงก้องกังวานไปทั่วลานกว้างนั้น
"ลุกขึ้นเถิด ทุกท่าน" สิ้นเสียง ทุกคนก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองร่างที่ปรากฎขึ้นมา............
"ต้องขอโทษด้วย ที่เรียกชุมนุมทุกท่านอย่างกะทันหัน" ร่างนั้นกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "หามิได้ครับ ถ้าเป็นคำสั่งของท่านอจินไตย พวกเรายินดีปฏิบัติตาม" ชายในผ้าคลุมสีเงินตอบ
"ขอบใจสำหรับความภักดีของพวกท่าน เอาล่ะ.......มาพูดถึงเรื่องที่ข้าเรียกพวกท่านมาชุมนุมวันนี้ดีกว่า.........ข้าเชื่อว่าพวกท่านทุกคนคงรู้ดี ว่าตอนนี้กำลังจะถึงจุดสิ้นสุดของวิวัฏฏฐายีอสงไขยกัปป์แล้ว ข้าจึงเรียกพวกท่านมาชุมนุมกันเพื่อปรึกษาอะไรบางอย่างหน่อย" "ปรึกษาอะไรคะ ท่านอจินไตย ช่วงสิ้นกัปป์นี้จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ" รังสิยาถามมาด้วยความประหลาดใจ
"ข้ามองไม่เห็น.........รังสิยา มันมืดมนไปหมด" คำตอบที่ได้ทำให้ทุกคนนิ่งไป "อะไรกัน ยังมีสิ่งที่ท่านอจินไตยผู้รู้แจ้งทุกสรรพสิ่งมองไม่เห็นด้วยหรือครับ" "ยังมีอยู่ อนธกาล สิ่งที่ข้าไม่อาจมองเห็นหรือคาดเดาได้ อย่างน้อยก็การกำเนิดในภพภูมินี้ของพวกเจ้าไงล่ะ ที่ข้าไม่อาจคาดเดาได้...." อจินไตยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ถ้าอย่างนั้น วันนี้ท่านเรียกพวกเรามาด้วยเหตุใดครับ ท่านอจินไตย" อนัตตาถาม "ข้าต้องการคำปรึกษา ทุกๆท่าน....." อจินไตยตอบ พร้อมกับก้าวเดินลงบันไดมาหยุดอยู่ตรงหน้าทุกคน "เราควรจะทำยังไงดี ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรจะเป็น หรือควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย.......... "
"ทำไมเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยล่ะคะ ปล่อยให้เป็นอย่างที่ควรเป็นจะดีกว่า" "ข้าสังหรณ์ใจ.......รังสิยา สังหรณ์ว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดก่อนสิ้นกัปป์นี้ จะเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาเมื่อครั้งก่อนๆ........" อจินไตยตอบด้วยสีหน้าเป็นกังวล "แต่ถึงยังไงก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราไม่ใช่เหรอครับ......"
"ช้าก่อน ข้าเข้าใจประสงค์ของท่านอจินไตยแล้วล่ะ อนัตตา......" เสียงเรียบๆสอดขึ้นมา อนัตตาหันขวับไปมองเจ้าของเสียง "เป็นเจ้าอีกแล้วนะ อสงไขย ท่าทางข้าจะปิดบังอะไรกับเจ้าไม่ได้เลยนะนี่......." อจินไตยหัวเราะเบาๆ..........
"ท่านอจินไตยต้องการอะไรอย่างนั้นหรือ ท่านอสงไขย" "ท่านอจินไตยต้องการส่งใครซักคนไปบันทึกเรื่องราวกลับมาให้ท่านได้รู้ไงล่ะ" คำตอบของอสงไขยสร้างความกระจ่างให้กับทุกคน
"แล้วทำไมท่านถึงต้องการจะรู้เรื่องราวเหล่านั้นด้วยล่ะครับ มันมีความสำคัญตรงไหนหรือ ข้าไม่คิดว่าเหตุผลที่ท่านบอกมาจะเป็นสิ่งสำคัญนะครับ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่" คำพูดของอนัตตาเรียกรอยยิ้มของอจินไตยได้อีกครั้ง
"หลักแหลมมาก อนัตตา" อจินไตยกล่าวชมเชยพร้อมกับถอนหายใจเบา "เหตุผลจริงๆก็คือ ข้าคิดว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นนี้ มันจะนำใครสักคนหนึ่งมาเป็นสมาชิกใหม่ของพวกเราน่ะสิ.............."
"อย่างนั้นเองเหรอครับ" อสงไขยกล่าวด้วยรอยยิ้มพรายที่ปรากฎบนใบหน้า "ในที่สุด 4 ผู้พิทักษ์อย่างเราก็จะต้องยื่นข้อเสนออีกแล้วใช่มั้ยครับ ท่านอจินไตย"
"ถูกต้องแล้ว อสงไขย เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ ว่าใครที่จะได้ก้าวมาสู่ภพภูมิอันเป็นนิรันดร์แห่งนี้" อจินไตยกล่าวพร้อมกับโบกมือผ่านเปลวเพลิงสีขาวที่อยู่ตรงกลางแท่น มันลุกโพลงขึ้นราวกับจะยินดีปรีดากับเหตุผลของอจินไตย...................
"แล้วท่านคิดจะส่งใครไปสังเกตุการณ์ล่ะคะ ท่านอจินไตย" คำถามของรังสิยาทำให้อจินไตยนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ "ตอนแรกข้าคิดจะส่งคนใดคนหนึ่งในพวกท่านไป แต่เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว มันคงน่าตื่นเต้นกว่า ถ้าพวกท่านทุกคนจะได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดพร้อมกัน.........................ภาสสูร!......." ประโยคสุดท้าย อจินไตยเอ่ยนามหนึ่งด้วยเสียงอันก้องกังวานไปทั่วทั้งลานกว้างนั้น
สิ้นเสียงของอจินไตย ก็ปรากฎร่างๆหนึ่งเดินเข้ามาในลานกว้าง ร่างนั้นสวมเสื้อและกางเกงสีดำ เสื้อคลุมสีขาวเป็นมันเลื่อมราวกับไข่มุกรับกับเส้นผมยาวสลวยสีไข่มุกซึ่งรวบไว้ทางด้านหลัง เส้นผมของเขานั้นปรากฎความความแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นคือเส้นผมจากศีรษะจนถึงส่วนที่รวบไว้ที่ท้ายทอยเป็นสีขาวไข่มุก แต่ทว่าเส้นผมส่วนที่เลยจากท้ายทอยลงไปจนถึงสะโพกนั้นเป็นสีดำสนิท ด้านหลังของเขาสะพายพิณสีเขียวราวกับปีกแมลงทับ.................
"ท่านอจินไตยเรียกหาข้าด้วยเหตุอันใดครับ" ร่างนั้นคุกเข่าลงทำการคารวะ พร้อมกับถามด้วยเสียงกังวานใสเหมือนเสียงระฆังแก้วยามต้องลม...............
"เชื่อว่าเจ้าคงได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้วนะภาสสูร ข้าต้องการให้เจ้ารับหน้าที่บันทึกเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วยเพลงพิณและการขับขานของเจ้า จะยอมรับหน้าที่นี้มั้ย" ภาสสูรยิ้มน้อยๆก่อนที่เสียงระฆังแก้วนั้นจะตอบมาอย่างสั้นๆ "ถ้าเป็นบัญชาของท่านอจินไตย ภาสสูรผู้นี้ไม่เคยคิดขัดขืนครับ......" สิ้นเสียงตอบรับ ภาสสูรก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่แล้ว.............
"ช้าก่อน ภาสสูร....." เสียงของอจินไตย ชะงักการเคลื่อนไหวของภาสสูรไว้เพียงแค่นั้น "มีอะไรครับ ท่านอจินไตย" "มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้ หน้าที่ของเจ้าคือการบันทึกเรื่องราวเท่านั้น จงอย่าได้สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เข้าใจมั้ย.........." อจินไตยกล่าวเตือนมา
"รับทราบครับ ท่านอจินไตย" ภาสสูรก้มหัวลง แสดงอาการรับรู้ "เอาล่ะ ไปได้แล้ว ข้าหวังว่าพิณของเจ้าคงจะบันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ได้นะ ภาสสูร"
"ข้าจะไม่ทำให้ท่านอจินไตยผิดหวังครับ....." พูดจบร่างในเสื้อคลุมขาวก็ลุกขึ้น หันหลังเดินออกไปจากที่ชุมนุม ปลดพิณออกมาถือไว้พร้อมกับพรมนิ้วลงไปบนสายพิณ เพื่อเริ่มต้นการขับขานบทแรกของมหากาพย์แห่งการดับสูญของทุกสิ่ง.................................
"................เอวํม เม สุตํ เอกํ สมยํ............"
".............(ข้าพเจ้าได้ยินมา ในสมัยหนึ่ง)............."
".............(ข้าพเจ้าได้ยินมา ในสมัยหนึ่ง)............."
........ปฐมบท ตอนที่ 1 : จบ.........
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น