ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวใจดวงสุดท้าย

    ลำดับตอนที่ #13 : วันที่สอง...

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ค. 48


                         เมื่อคืนนั้นตั้งแต่เพื่อนแกล้งนายเจ๋งให้ฮากันโลกแตกแล้ว พวกเราก็ได้นอนกันตอน ตี 2.30 ผมกำลังเคลิ้มๆแล้วแต่มีน้องมาปลุกผมเพราะเขาจะไปเข้าห้องน้ำ ผมก็ต้องพาเขาไป ไม่ใช่คนเดียวนะครับ 3 คน แล้วเวลามานี่จะมาไม่ใช่เวลาเดียวกันแต่แป๊ปเดี๋ยวมาๆเว้น 20 นาทีมางี้ โอย ตาย ผมเหลือบดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง ตี 2.50 แล้ว ผมยังไม่ได้นอนเลย พอเด็กคนสุดท้ายแล้วละมั้ง คงไม่มีแล้วมั้ง ผมจึงไปนอนได้ซักที หนาวก็หนาวโอยให้ตายเถอะ แต่ห้องพักชายนั้น ถ้าออกมาข้างนอกห้องแล้วมองขึ้นไปนั้น จะเห็นดาวเยอะแยะเลย ดาวเยอะมากคงเพราะมันใกล้ท้องฟ้าด้วยมั้ง ผมนั่งดูดาวแล้วในใจก็กลับคิดถึงเรื่องเก่าๆมากมาย คงเป็นไปเพราะบรรยากาศและ สิ่งที่ใครๆเรียกว่า ‘ความเหงา’ ตอนนี้มันทำให้ผมคิดถึงปิ้นขึ้นมาทันที

        ตี 3.10 ผมพึ่งเข้าไปนอน



        “เฮ้!ไปทำไรมา” เสียงผู้ชายทักขึ้น



        “ใครอะ” ผมถาม “ต้นเหรอ”



        “อืม!” ต้นตอบ “เมิงไปทำไรมาวะ”



        “กรูไปดูดาวมา” ผมตอบ “บ้ามากมะตอนนี้”



        “จริงปะ” ต้นถาม “กรูก็ไปดูมา”



        “จริงเหรอ เมิงไปตรงไหนวะ” ผมถาม



        “กรูเลี้ยวขวาไปทางที่ๆนักท่องเที่ยวเค้าพักอะ” ต้นตอบ



        “อ๋อ” ผมเข้าใจเค้าหละ



        แล้วผมก็ไม่ถามอะไรต้นอีก นอกจากต้นจะบอกว่า ‘นอนดีกว่า’ ผมถึงนอน เคยมีบางคนบอกผมว่า ถ้านอนไม่ครบ 8 ชั่วโมงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าได้นอนหลับสนิทจิงๆหละก็ ยังไงก็เหมือนกับได้นอน 8 ชั่วโมงแล้ว แต่ต้องไม่ฝันหรือนอนดิ้นเลยอะไรประมาณนั้น ผมเพิ่งรู้ซึ้งเมื่อกี้นี้เองว่าการนอนหลับสนิทเป็นอย่างไร ผมเข้าไปนอนแล้วก็หลับตาลง แล้วผมนั้นก็เหมือนลืมทุกอย่างไป สิ่งที่เคยคิดไม่อยู่ในหัวผมแล้วในตอนนั้น

        ตื่นเช้า ตอน 6.00 โมงผมรู้สึกว่าผมนั้นเหมือนได้นอน 8 ชั่วโมงเลย ไม่มีความง่วงหรือความงัวเงียเลย มีแต่ความสดชื่นอยู่แต่กลับกลายเป็นว่ายังไม่มีเด็กตื่นเลย ผมเห็นว่า มัน 6 โมงแล้ว ผมจะไปปลุกน้อง แต่เพื่อนผมก็ยังไม่ตื่นกันซักคนเลย เอาวะ นอนไปก่อนละกัน ผมก็ไปเข้าห้องน้ำทำธุระแล้วก็กลับมาห้อง โห มันนอนกันโคตรขี้เซามากเลยครับยังไม่มีใครตื่นเลย ผมไม่อาบน้ำเพราะตอนเช้านั้นหนาวมากถ้าอาบหละตายแน่



        “วุฒิ ปลุกเพื่อนๆและพวกน้องๆได้แล้ว” อาจารย์มาพอดีและบอกผม



        “ครับ” ผมรับคำและไม่อยากพูดมาก



        ผมเดินไปเปิดไฟให้ทั่วห้อง แล้วก็ปลุกเพื่อนๆผมขึ้นมา เพื่อนผมก็เริ่มตื่นกันแล้วแต่ไม่ทุกคน ผมเดินไปปลุกรุ่นน้องให้ตื่นขึ้นและบอกให้ฟังกันดังทั่วห้องว่า มันจะ 6 โมงครึ่งแล้ว 7 โมงรวมมีใครจะเชื่อผมมั่งไหม แต่ก็ไม่มีใครจะกระตือรือร้นเลย ผมก็ขี้เกียจเรียกแล้วก็เลยปล่อยตามเลย เพื่อนผมตื่นกันหมดแล้วไปทำธุระส่วนตัวกันแล้ว แล้วก็กลับมาในอีกแป๊ปเดียวเท่านั้น พวกเราเริ่มลงมือที่จะปลุกพวกรุ่นน้อง เพราะใกล้เวลาที่จะรวมแล้ว ผมไม่สนใจแล้วผมก็บอกเพื่อนๆของผมว่า ‘ปลุกไปละกันกรูไม่อยู่แล้ว’

        เพื่อนผมทำอีท่าไหนก็ไม่รู้เด็กตื่นเกือบหมดแล้วเมื่อผมเข้ามาที่ห้องอีกรอบ ชั้นเซียนกันหรือไงเนี่ย เราปลุกตั้งนานไม่ยอมตื่น 7.00 แล้ว เริ่มมีคนมารวมกันแล้ว อาจารย์บอกว่าไปทานข้าวกันก่อน กิจกรรมจะเริ่มตอน 8 โมง อีกไม่นาน วันที่สองก็จะเริ่มต้นขึ้น โดยไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นอย่างไร

        พอพวกเรากินข้าวกันเสร็จแล้วเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง ผมก็ขอพักหน่อยละกัน ก่อนที่จะทำกิจกรรมในวันนี้ โดยรวมผมกับเพื่อนนั้นอย่างน้อยก็ได้นอนแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมไม่รู้สึกง่วงเลย ผมเดินไปรอบๆเพื่อที่จะได้ย่อยอาหารบ้างเล็กน้อย ตอนนั้นผมเหลือบไปเห็น ตูน เธอกำลังนั่งคุยอยู่กับเพื่อน เพื่อนเธอนั้นจัดว่าก็น่ารักนะคับ ใส่แว่นเหมือนเธอเลย อีกคนก็ผอมๆ ผมสั้น แต่ว่าทำไมเราต้องมองเธอด้วย

                         8 โมงแล้ว ทุกๆคนมารวมกันแล้ว ผมเช็คทุกๆคนในกลุ่มว่าอยู่กันครบหรือไม่ ผมไม่รู้สึกแปลกใจเลยถ้าในกลุ่มผมจะมีเด็กที่จะมารวมสายซัก คนหรือสองคน แต่มันเหมือนเป็นสิ่งที่แก้ไขกันไม่ได้



    “วันนี้เราจะไปดูนกกันนะ” อาจารย์พูด “เราจะเดินไปกันแล้วเลี้ยวเข้าช่องทางนึง จะมีพี่ๆที่ดูแลสวนสัตว์นี้ไปด้วยนะ” อาจารย์พูดอีก



                       ผมรู้สึกดี ผมเคยไปค่ายวิทยาศาสตร์อยู่ครั้งนึง ตอนนั้นก็มีกิจกรรมดูสัตว์หรือดูนกเหมือนกัน ไปเช้าๆอย่างนี้เหมือนกันและถือกล้องส่องทางไกลไปด้วย



                       การเดินนั้นเริ่มเดินไปทีละกลุ่มอย่างช้าๆ เส้นทางในการเดินคือ ทางที่ใช้ลงเขานั่นเอง ผมคิดว่าอาจจะเดินลงเขาแล้วค่อยเลี้ยวไปที่อื่นด้วย  แต่ที่แปลกในคราวนี้นั้น ไม่มีกล้องส่องทางไกลไปด้วย แล้วเราจะไปดูนกกัน จะเห็นเหรอ ถึงเวลาที่กลุ่มของผมนั้นจะเดินทางไปกันเสียที ผมได้แต่พูดกับคนในกลุ่มเท่านั้นว่า ‘ค่อยๆเดินนะ อย่าแตกแถว ถ้าหลงละยุ่งแน่’ ผมเดินตามกลุ่มก่อนหน้าไปเรื่อยๆ ผมลืมบอกไปว่าอากาศที่นี่หนาวมากๆ ขนาด 8 โมงเช้าแล้ว ลมเย็นๆที่พัดผ่านมานั้นยังแสดงให้เห็นถึงความเย็นที่จับขั้วหัวใจ มันทำให้ผมนั้นไม่อยากที่จะเดินไปไหนเลย

                        เมื่อเดินมาถึงครึ่งทางลงเขาแล้ว ผมเห็นว่าเค้าเลี้ยวไปทางนึง ซึ่งผมคาดการณ์ไว้ผิด ผมคิดว่าอาจจะลงเขาแล้วไปกันแต่ไม่ใช่เข้าเลี้ยวไปเลยเมื่อถึงครึ่งทาง เมื่อผมเดินเข้าไปผมก็ก็ต้องเห็นว่ามันเป็นทางที่เหมือนไม่ค่อยจะมีคนเดินกันซักเท่าไรเลย เป้นทางที่รกทึบไปด้วยต้นไม้ที่ขึ้นตามแนวเขาทั้งสูงใหญ่แล้วก็เป็นพุ่มเตี้ยๆก็มี มีลำธารน้ำเล็กๆไหลไป แล้วก้ที่อันตรายก็คือการที่พื้นดินนั้นจะเป็นที่ลาดชันกันเป็นส่วนมาก บางทีเป็นที่ลาดเล็กน้อยแต่บางที่ก้เป็นที่ลาดชันเลย ตามภูมิประเทศที่เป็นเขานั่นเอง

    ผมเริ่มเดินจากที่นั่นยังไม่เป็นทีลาดชันซักเท่าไรแต่ก็เป็นที่อันตรายเหมือนกัน เพราะมันเริ่มที่จะเป็นทางเดินแคบๆ คือถ้าพลาดก็ต้องตกไปข้างล่างแน่



    ‘เรามาดูนกหรือมาลุยป่ากันแน่นะ’ ผมคิดในใจ



                         ผมเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามหลังกลุ่มข้างหน้า ห่างกันประมาณ 5-6 ก้าวเดินเท่านั้น แต่ผมก็ต้องดูแลพวกน้องๆที่กลุ่มของผมด้วย เลยทำให้ระยะห่างนั้นเริ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นอีก เริ่มไกลขึ้น แล้วอีกปัญหานึงก็คือการที่รุ่นน้องของผมเกือบทุกคนนั้นหมดแรงที่จะเดินกันแล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันก็เดินมานานแล้ว นานพอที่จะลืมการดูนกได้เลยเพราะทุกคนสนใจอยู่กับการมองทางที่จะก้าวเดินไป เพื่อไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ต้องเป็นภาระของผมอยู่ดีหละครับ ถ้าถึงทางที่ลาดชันหน่อยก็จะมีรุ่นน้องผมคอยบอกว่า ‘พี่ลงไปก่อนเลย!!!’ ทุกครั้งไป แต่เราได้รับหน้าที่แล้วก็ต้องทำ แต่ก็คิดว่าน่าจะลงกันเองได้นะ แต่ก็สมควรที่ต้องพูดครับเมื่อทางที่จะลงต่อไปนี้มันชันจิงๆครับ ผมค่อยๆเดินลงไปข้างล่างนั่นแล้วก็เอาหลังผมนั้นพิงกับต้นไม้ที่ท่าทางแข็งแรงนั้นและเพื่อให้มือของผมนั้นสามารถไปรับตัวของพวกเขาได้แล้วปลอดภัย ทุกคนจับมือผมไว้แล้วก็ค่อยๆเดินลงมาอย่างระมัดระวัง แล้วก็เดินลงไป  ถึงคราวตูนเดินลงมาบ้าง



    “ไม่ต้องกลัวนะ จับมือพี่ไว้ละกัน” ผมพูดบอกเธอ



    “ไม่เป็นไรหรอกคะ” ตูนพูดแล้วก็อมยิ้มนิดหน่อย



                       เธอพยายามเดินลงมาด้วยตัวของเธอเอง ผมนับถือในความพยายามของเธอ แต่ก็อย่างว่าแหละครับทางชันจิงๆครับ ตูนเกิดลื่นลงมา ผมก็ตกใจแล้วก็คว้าตัวเธอมาได้ทัน แต่ตอนนี้เธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของผม



                      “บอกแล้วว่าให้เกาะมือไว้ จะได้ไม่ลื่น” ผมพูดเยาะเย้ยเล็กน้อย “เพราะตอนพี่เดินลงมาก็ลื่นนิดๆหละ” ผมพูดเหตุผลออกไป

    ผมไม่ทันรู้สึกตัวเหมือนกันว่าเธอเข้ามาในอ้อมแขนผมเมื่อไร จะบอกว่าผมนั้นกอดเธอเลยก็ว่าได้ แต่ตูนนั้นส่งสายตามาให้ผม ผมตอนนั้นยืนงงอยู่เล็กน้อยครับ ว่าเธอจะทำอะไร



    “พี่คะ...คือว่า...” ตูนเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างหนึ่ง



    “อะไรอะ…มองทำไมอะ” ผมถามเธอ



                     แล้วเธอก็ส่งสายตาลงมาข้างล้าง สายตานั้นเหมือนกับว่าเธอนั้นจะให้ดูอะไร ใช่แล้วแขนที่ผมรัดเธออยู่นั่นเอง ผมก็ได้แต่พูดว่า ‘ขอโทษ’ แล้วก็ค่อยๆปล่อยเธอออกไป อย่างช้าๆ ผมเห็นหน้าเธอแดงมาก ตอนนั้นผมก็คิดอะไรไม่ออกเหมือนกันทำไมเราต้องใจเต้นตูมตามมากมายขนาดนี้นะ ทั้งที่เราก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย



    “พี่วุฒิคะ ไปกับต่อเถอะ” ตูนเรียกผม



    “อ้อ...เอาสิ” ผมพูดรับคำ



                     ผมก็เดินไปสมทบกับกลุ่มที่หลังจนมาถึงที่ราบเล็กๆ ผมไม่รู้ว่าเป็นยอดเขาหรือตีนเขา แต่ผมสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นในหุบเขาเลย ผมเห้นผู้ดูแลสวนสัตว์อยู่ที่นั่น



    “พี่ครับ...นี่เราต้องเดินถึงแค่ไหนครับ” ผมเดินไปถามพี่เค้า



    “ก็ไกลนะ” พี่ตอบ “เพิ่งได้ครึ่งทางเอง” พี่ที่ดูแลสวนสัตว์เสริม



    “งั้นหรือครับ....ขอบคุณมากครับ” ผมพูดขอบคุณไป



        เราเพิ่งจะเดินมาได้ถึงแค่ครึ่งทางแต่ดูจากสภาพทุกๆคนแล้ว รู้สึกทุกคนจะเริ่มมีอาการที่ล้าแล้ว แต่ผมนั้นเพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าทุกคนสะพาย เป้ หรือกระติกน้ำมาด้วย ผมคิดว่าอาจจะทำให้น้ำหนักนั้นเพิ่มขึ้นทำให้เราเหนื่อยเร็วขึ้น



        “พี่วุฒิคะ” มีเสียงผมมาจากข้างหลัง



        “มีไรครับ ไอ้น้อง” ผมถาม



        “คือหนูอยากให้พี่ช่วยถือกระเป๋าให้หน่อยอะคะ” น้องพูดพลางขอร้อง



        “ได้สิ” ผมรับคำแล้วก็ช่วยเธอถือกระเป๋า แต่มันก็เป็นไปตามที่ผมคิดไว้ไม่ผิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้จนได้ แต่ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้น รุ่นน้องในกลุ่มผมนั้นก็มาขอร้องผม ผมก็นับๆได้ 4- 5ใบละครับ ทั้งย่ามทั้ง เป้สะพายอยู่เต็มตัวผมเลย ผมจะปฏิเสธก็ไม่ได้



        “ช่วยถือไหม” เสียงๆหนึ่งพูด



        “หือ...อ้อ...ตูนนั่นเอง” ผมพูดแถมด้วยตกใจนิดๆหน่อย



        “ช่วยมะคะ” เธอพูด



        “อ๋อไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวตูนเดินไม่สะดวก”  ผมพูด “ขอบคุณนะ”



        “แน่ใจนะ” ตูนถามย้ำ



        “อืม” ผมตอบ



        “งั้นเดี๋ยวจะคุยเป็นเพื่อนจะได้ไม่เหนื่อย” ตูนพูด



        ผมกับเธอก็คุยกันแล้วก็ค่อยๆเดินไป ผมไม่สนใจกับกลุ่มของผมแล้ว จะเดินไปทางไหนแต่คงไม่หลงแน่นอนเพราะพี่ที่ดูแลสวนสัตว์ก็คอยดูเป็นระยะๆ ผมกับเธอนั้นจะพูดเหมือนถามคำตอบคำ เพิ่งจะรู้จักเธอได้แค่ 2 วัน แต่ผมคุยกับเธอนั้นเหมือนสนิทกันเป็นเวลามา 5-6 เดือนแล้วอะไรอย่างนั้นเลย จะบอกว่ามันแปลกมากๆเลย ถ้าจะบอกว่า ผมไม่เคยเห็นหรือไม่เคยสังเกตุเห็นเธอที่โรงเรียนเลย ทั้งที่โรงเรียนนั้นก็ไม่ได้กว้างหรือใหญ่มากมายเลย ทั้งๆคนในกลุ่มของผมทุกคนด้วย ไม่เคยเห็นหรือผมอาจจะไม่สนใจอะไรเลยก็ได้



        “อยู่ชั้นไรแล้วเนี่ย” ผมถามเธอ



        “ป.6 คะ” ตูนตอบ



        “เหรอ” ผมพูด “ก็ยังเด็กอยู่นะ”



        ผมสังเกตุเห็นเธอวันนี้เธอปล่อยผมแล้วน่ารักจัง ในหลายๆคนอาจจะบอกว่าเธอหน้าตาธรรมดาแต่ผมว่าไม่ใช่อะจัดว่าน่ารักมากเลยทีเดียว แตเธอตาออกเกือบจะโตๆ แต่ก็น่ารักอะ เธอใส่เสื้อสีขาว และก็เสื้อเธอนั้นเป็นรูปตัวโดเรมอน



        “เออ แป๊ปนะ”    ผมพูดกับเธอ

        

        “มีไรพี่” ตูนถาม



        “หน้าตาเหมือนโดเรมอนนะ” ผมพูดแกมหัวเราะเล็กน้อย



        “ว่าไงนะ” เธอโกรธเล็กน้อย เวลาตอนเธอโกรธนั้นน่ารักขึ้นไปอีก



        “พี่ขอเรียกตูนว่าโดเรมอนละกันนะ หะๆๆ”  ผมพูดพลางหัวเราะออกไปก๊ากใหญ่



        เธอนั้นทำหน้าตาเซ็ง แต่ก็ยังอมยิ้มอยู่ ดูแล้วน่ารักพิลึก เมื่อเดินมาถึงสุดทางผมรู้สึกเหมือนฝันผมปลดปล่อยแล้วผมแจกเป้คืนให้กับน้องๆไป มีรถมารอรับกลับไปที่ค่าย นักเรียนทุกคนกลับไปค่ายด้วยความเหนื่อยอ่อน บ่าย 2 โมงแล้ว เราเดินทาง ตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 โมง 6 ชั่วโมงนั้นช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเรากลับไปกินข้าวที่ค่ายบนเขานั่นแหละ ผมก็กลับไปที่ห้องนอนเพราะอาจารย์บอก จะรวมอีกทีตอน 6 โมงเย็น อีก 4 ชั่วโมง ผมจะนอนแล้วเพราะเหนื่อยเหลือเกิน แถมถอดเสื้อนอนด้วยเพราะร้อนเหลือเกิน



        “พี่วุฒิ” มีเสียงหนึ่งเรียกผม



        “หือมีไร” ต้นนั่งเอง รุ่นน้องในกลุ่มผมมาเรียกผม



        “พี่ไม่ซ้อมเพลงประจำกลุ่มเหรอครับ” ต้นพูด



        “เออ แฮะเกือบลืมไปเลย” ผมใส่เสื้อแล้วก็เดินออกไป ทุกคนพร้อมกันอยู่แล้ว



        “ว่าไงคิดเลยเดี๋ยวพี่ตาม” ผมพูด



        “จริงนะคือเราคิดแล้ว” จิ๊บพูดกับผม



        “อืม” ผมรับคำ



        กลุ่มเสือขาวเป็นชื่อที่ตั้งได้ดีและท่าที่คิดก็ยากเหมือนกันนะ แต่ก็คิดได้ด้วยเก่งกันจิงผมเห็นน้องๆเล่นท่าเต้นดูไป 3 รอบก็โอเคแล้วผมจำได้ 4 ชั่วโมงผ่านไปกับท่าเต้น 6 โมงเย็นแล้วอาจารย์เรียกทานข้าวกัน



        “มีการแสดงรอบกองไฟด้วยไปคิดกันเอาไว้นะ” อาจารย์พูด “รวมกลุ่ม 1-3 4-6 7-9 และ 10-12” อาจารย์พูด

        ผมรู้สึกไม่แปลกใจเลยถ้าจะต้องคิดแต่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรหละ



        “อะไรก็ได้ที่เกี่ยวการอณุรักษ์ธรรมชาตินะ” อาจารย์พูดเสริม



        ผมคิดได้ทันทีว่าเอาเป็นเกี่ยวกับป่าไม้ละกัน ผมก็คิดโครงเรื่องแล้วบอกกับรุ้นน้องกลุ่มผมแล้วกลุ่มของต้นกับตั้มด้วย เพราะต้องแสดงในกลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว ผมกำหนดบทของแต่ละคนไป แล้วก็ให้แสดงไปด้วยความรู้สึกของตัวเองบทพูดนั้นเราต้องคิดสด จะให้มาท่องทุกอย่างมันจะเป็นการฝืนไป ทุกคนทำได้

        และใช่ทุกๆคนทำได้ ไม่มีการติดขัดบางคนอาจจะแย่นิดเพราะอาย ผมนั้นก็ดีใจให้มันผ่านๆไปเท่านั้นแต่ทุกคนก็ทำได้ดีเกินคาดแล้วก็เพลงประจำกลุ่มด้วย เมื่อเวลาวันที่ 2 ใกล้หมดลง อาจารย์บอกเข้านอนช้าสุดเที่ยงคืนนะ อย่าเกินนี้ ทุกคนเหมือนกับว่าจะนั่งคุยกันถึงเช้าเมื่อได้ยินดังนี้ บางคนก็อาบน้ำแล้วเริ่มเข้านอนแล้ว บางคน ก็นั่งคุยอยุ่เลย เพื่อนของผมนั้นก็มานั่งคุยกัน แล้วก็ออกไปดูแลรุ่นน้องให้เข้านอนก่อนแล้วก็ไปอาบน้ำกัน พวกเราเข้านอนตอนเที่ยงคืนพอดี วันที่ 2 อันสนุกสนานนั้นจบลงไปแล้ววันพรุ่งนี้วันกลับบ้าน ใครๆในหลายๆคนคงอาจจะคิดว่า ไม่อยากกลับเลย หรือบางคนก็อาจจะบอกว่า อยากกลับจังเลย แต่ที่แน่ๆแล้ว ทุกๆคนต้องคิดเหมือนๆกันว่า

    ‘การเข้าค่ายครั้งนี้เราจะไม่มีวันลืมเลย’
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×