ตอนที่ 3 : :: chapter 2 ::
‘กาลครั้งหนึ่งมีเจ้าชายน้อยองค์หนึ่งอาศัยอยู่บนดวงดาวที่ใหญ่กว่าตัวเขานิดเดียว’
‘เห จะมีดาวดวงเล็กขนาดนั้นได้ยังไง’
‘มีสิในนิทานเรื่องนี้ไง พี่จะเล่าต่อแล้วนะ …ดาวที่เจ้าชายน้อยอยู่ชื่อว่า B612 มีภูเขาไฟไม่กี่ลูก และดอกกุหลาบผู้แสนเย่อหยิ่งที่เขาเฝ้าดูแล แล้ววันหนึ่งเจ้าชายน้อยก็ออกเดินทางเพื่อเสาะหาความหมายของมิตรภาพ’
‘แล้วดอกกุหลาบล่ะครับ ถ้าเจ้าชายน้อยไม่อยู่แล้วใครจะคอยดูแลเธอ’
‘เจ้าชายน้อยไม่ทิ้งเพื่อนของเขาหรอกนะ ซักวันเขาจะต้องกลับมาหาเธอแน่ๆ’
‘แล้วถ้าเขากลับมาตอนที่เธอไม่อยู่แล้วล่ะ’
‘มันไม่จบเศร้าแบบนั้นหรอกน่า’
‘ทำไมล่ะครับ’
‘เพราะมันเป็นนิทานเด็กไง แทฮยอน’
‘…’
แทฮยอนตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเครื่องดูดฝุ่น วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ร้อนมากวันหนึ่ง จักจั่นยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เสียงของมันเป็นเสียงที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ยายกำลังทำความสะอาดห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องเขา แทฮยอนเคยนึกว่ามันเป็นห้องเก็บของแต่ดูเหมือนจะเป็นห้องนอนมากกว่า เด็กหนุ่มเดินเข้าไปตั้งใจจะช่วยแต่ผู้เป็นยายกลับมองเขาอย่างตกใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอรีบคว่ำกรอบรูปที่อยู่ใกล้มือลงเหมือนกับไม่อยากให้เขาเห็นมัน
“อาหารเช้าเสร็จแล้วลงไปทานสิ”เธอบอกหลานหลังจากตั้งสติได้ แทฮยอนไม่เข้าใจการกระทำนั้นเลยแต่ก็เดินลงบันไดไปเงียบๆ
แทฮยอนได้ยินเสียงปิดประตูหลังจากที่เขาลงมา เขาไม่ได้เกลียดยายของตัวเองแต่เกลียดที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ บางทีถ้าหากเขารู้เรื่องที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ยายกับแม่ทะเลาะกัน อาจจะหาทางออกของเรื่องนี้เจอ แทฮยอนเองก็ไม่อยากทนอยู่กับบรรยากาศแบบนี้ไปตลอด
ซุปถั่วเหลืองในหม้อยังคงร้อนอยู่ตอนที่เขาเดินมาถึงครัว มันทำให้เขาคิดถึงแม่ขึ้นมา แทฮยอนไม่ค่อยได้กินอาหารทำเองหลังจากที่แม่เสียไป
เป็นอาหารเช้าที่ฝืดคอเพราะเรื่องที่เพิ่งเจอมา เขาพยายามกินให้มันหมดๆ ไป
เรื่องกรอบรูปนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว …แล้วก็นึกขึ้นมาได้
ตอนเด็กๆ เรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้น ...หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลและกลับมาที่บ้านเขาหันไปเห็นกรอบรูปและถามแม่เกี่ยวกับคนในรูปนั้น แม่เพียงยิ้มให้เขาและเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น
หลังจากวันนั้นแทฮยอนก็ไม่เคยเห็นกรอบรูปนั้นอีกเลย
มือที่ตักข้าวอยู่ชะงักไป สมองเริ่มเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันทั้งเรื่องที่ยายกับแม่ทะเลาะกัน เรื่องกรอบรูป …และเรื่องของซึงฮุน
บางทีถ้าความทรงจำกลับมาเขาอาจจะหาคำตอบของเรื่องนี้เจอ
หญิงชราปิดประตูห้องแล้วทรุดตัวลงกับเตียง กรอบรูปที่ถูกพลิกลงเมื่อครู่ถูกนำมากอดไว้ มือที่เหี่ยวย่นตามกาลเวลาไล้ตามกรอบหน้าของคนในรูปอย่างอาลัยอาวรณ์
ในรูปมีคนสามคนที่กำลังมีความสุข เธอและเด็กๆ สองคนที่นั่งขนาบข้างในวันที่ไปปิกนิกกัน คนซ้ายคือแทฮยอนเมื่อหกปีก่อน แทฮยอนในวัย 10 ขวบเป็นเด็กจ้ำม่ำที่มีคิ้วตกเป็นเอกลักษณ์ เด็กน้อยกำลังยิ้มกว้างจนตาแทบปิดอยู่บนตักของคุณยายพร้อมกับชูสองนิ้วที่เป็นท่าประจำ ส่วนทางขวาเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังยิ้มอย่างสดใสอยู่เช่นเดียวกัน …ทว่าความสุขในวันนั้นไม่อาจย้อนกลับคืนมาได้อีกแล้ว
ซึงฮุนจากไปแล้ว
ซูฮยอนพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เธอไม่อยากร้องไห้อีก ซึงฮุนเองก็คงอยากให้เธอมีความสุข เธอย้ำกับตัวเองเช่นนั้นเรื่อยมา แม้จะใช้เวลานานกว่าความเศร้าจะหายไปแล้วเหลือเพียงความคิดถึง แต่เวลา 6 ปีก็ช่วยเยียวยาจิตใจของหญิงชราให้เข้มแข็งขึ้นได้ …ทว่าเหมือนพระเจ้าเล่นตลกกับเธอด้วยการส่งเด็กคนนั้นกลับมา
ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้นเธอไม่เคยได้พบหลานอีกเลยจนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่ของเด็กคนนั้นตายไป …การที่นัมแทฮยอนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอทำให้แผลที่เริ่มสมานตัวปริแตกอีกครั้ง
ไม่ใช่ความผิดของเด็กคนนั้นที่จำไม่ได้ แต่ซูฮยอนก็เกลียดเหลือเกินที่เป็นเช่นนั้น
“ซึงฮุน อยู่ไหม” รอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่มีเสียงของเจ้าขอชื่อตอบกลับมา
ปกติซึงฮุนมักจะชวนแทฮยอนคุยไม่หยุดจนบางทีพวกเขาก็ใช้เวลาตลอดช่วงเย็นหลังเลิกเรียนไปกับการพูดถึงเรื่องหนังสือที่เคยอ่าน ในตอนแรกๆ แทฮยอนอาจจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ผ่านไปหนึ่งเดือนการคุยกับซึงฮุนก็เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว แต่ก็มีบางเวลาเหมือนกันที่ซึงฮุนจะหายไปเฉยๆ เหมือนตอนนี้
แทฮยอนมีเรื่องที่อยากถาม จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่เขาสงสัยตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์สายป่าน หากเป็นตอนนั้นคงถามได้อย่างไม่ต้องคิดอะไร …แต่ตอนนี้แทฮยอนกลัวคำตอบที่จะได้รับเหลือเกิน
คิม ซูอินอยู่ที่โบสถ์นี้มากว่า 50 ปีแล้ว คนที่มาที่นี่บางคนต้องการที่พึ่งทางใจ และบางคนต้องการการรักษาบาดแผลที่ไม่อาจบรรเทาได้ด้วยยาของโรงพยาบาล
วันนี้บาทหลวงคิมก็ยังคงรักษาคนไข้ของเขาเหมือนทุกๆ วัน
‘เขาจำผมไม่ได้จริงๆ ด้วย’
เป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นเคย
“แล้วลูกอยากให้เขาจำได้ไหม”
‘ถ้ามันเป็นอดีตที่โหดร้ายผมก็ไม่อยากให้เขาต้องนึกถึงมันอีก… แต่ในใจลึกๆ แล้วถึงมันจะฟังดูเห็นแก่ตัวผมก็ยังอยากให้เขาจำได้’
“ไม่ผิดหรอกหากลูกอยากให้เขาจำได้ แต่เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ลูกยังอยู่ที่นี่หรือ”
‘…’
“พ่อบอกได้เพียงว่าเขาจะจำเมื่อเขาอยากจำ และเห็นเมื่อเขาอยากเห็น ...แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจงจำไว้ว่าทุกสิ่งล้วนมีเหตุผลในตัวของมันเองเสมอ…”
แทฮยอนนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานแล้ว แต่ซึงฮุนก็ยังไม่กลับมา ตอนอยู่โซลเขาไม่เคยว่างขนาดนี้เลย อย่างน้อยเวลาเบื่อๆ ก็ไปเล่นเกมบ้านเพื่อนได้
ครืด
คว้าโทรศัพท์มาดูก็พบว่ามินโฮส่งข้อความมา
[ แทฮยอนว่างมั้ย ]
[ อืม ]
[ มีที่ที่ฉันอยากพานายไป]
[ ที่ไหน? ]
[ รีบลงมานะ ฉันรออยู่หน้าบ้านแล้ว :) ]
“ที่ที่ว่านี่คือบ้านนายเหรอ” แทฮยอนถามขึ้นมาเมื่อจำได้ว่าทางที่ปั่นผ่านมาคือทางไปบ้านของมินโฮ
“ไม่ใช่ ที่นั่นเลยจากบ้านฉันไปนิดหนึ่ง ใกล้ถึงแล้วล่ะ”
จักรยานสีแดงมาหยุดอยู่หน้าโบสถ์หลังหนึ่ง เป็นโบสถ์เล็กๆ สีขาวที่เงียบสงบและชวนให้อบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
มินโฮมองอีกคนที่กำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ เหมือนเด็กๆ ก่อนจะคว้าแขนให้เดินตามมาด้วยกัน แทฮยอนได้ยินเสียงน้ำไหลชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาเดินอ้อมมาที่หลังโบสถ์
ข้างหลังโบสถ์เป็นเนินทุ่งหญ้าที่ลาดชันลงไป มีดอกไม้เล็กๆ ขึ้นแซมตามใบหญ้า ห่างออกไปนิดหน่อยมีลำธารไหลผ่าน ซึ่งน่าจะเป็นสายเดียวกันกับทางไปโรงเรียน
“สวยจัง”
“ใช่ไหมล่ะ”
พวกเขานั่งลงบนเนินหญ้า เป็นสัมผัสใหม่ที่แทฮยอนเพิ่งเคยเจอ มือบางวางลงบนหญ้าอ่อนนุ่มแล้วมองไปยังวิวธรรมชาติ
“ตอนเด็กๆ พวกเราชอบมาเล่นกันที่นี่” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“ฉันชอบขึ้นไปปีนต้นไม้ต้นนั้น แต่ก่อนมันยังไม่สูงขนาดนี้นะ…” แทฮยอนมองตามไปที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นอย่างโดดเดี่ยวอยู่ข้างลำธารแล้วฟังมินโฮเล่าต่อโดยไม่พูดอะไร
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้แทฮยอนคงไม่อยากฟังเรื่องราวในอดีตนัก
แต่ตอนนี้…
“ซิสเตอร์ดุเรื่องปีนต้นไม้ตลอดแต่ฉันก็ยังไม่ฟัง จนวันหนึ่งพลาดตกลงมาแขนหักถึงได้หยุด..” มินโฮนึกภาพในวัยเด็กแล้วยิ้มออกมา ในตอนนั้นพวกเขาสนิทกันมาก มินโฮ แทฮยอน…และพี่ซึงฮุน
“เขาเรียกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาไง”
“แต่ฉันไม่ได้เลิกปีนเพราะแขนหักหรอกนะ แต่เป็นเพราะนาย แทฮยอน…”
“เพราะฉัน?”
“วันนั้นพอเห็นฉันร้องไห้นายก็ร้องไห้ตามอยู่นานมาก จมูกนี่แดงไปหมดเลย คิ้วก็ตกแทบจะทำมุม 90 องศาอยู่แล้ว จนฉันที่แขนหักอยู่ต้องมาปลอบนายอะ” ประโยคนั้นทำให้มินโฮได้ค้อนวงใหญ่จากแทฮยอน
“ใครจะไปบังคับคิ้วตัวเองได้ล่ะ”
“นายร้องไห้ไม่หยุดเลย ไม่ว่าฉันจะพยายามปลอบยังไง”
“เราผ่านเรื่องฉันร้องไห้ไปได้ไหม...”
“แต่พอพี่ซึงฮุนเข้ามาพูดแค่แป๊บเดียวนายก็หยุดร้องทันที ฉันอิจฉาพี่เขามากเลยวันนั้น”
“…”
แทฮยอนเห็นสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นฉายอยู่บนหน้าอีกฝ่ายแต่ก็แค่วูบเดียวเท่านั้นก่อนที่มินโฮจะกลับมายิ้มอีกและเปลี่ยนเรื่องคุย แทฮยอนแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
มินโฮเล่าต่ออีกหลายเรื่อง ดูเหมือนตอนเด็กๆ เพื่อนร่างหมีของเขาจะสร้างวีรกรรมไว้เยอะไม่ต่างจากตอนนี้ และทุกเรื่องก็จะพูดถึงเขาที่ตัวติดอยู่กับซึงฮุนตลอด
พวกเขากลับบ้านในตอนที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม แทฮยอนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างงรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้ปั่นจักรยานกลับแต่เข็นมันแทนเพราะแทฮยอนอยากเดิน
“ถึงบ้านนายแล้ว ไม่ต้องไปส่งก็ได้นะฉันจำทางกลับได้”
“ไม่อะ ฉันจะไปส่ง” เขาคาดไว้แล้วว่ามินโฮต้องตอบแบบนี้
ทั้งสองคนไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่ก็ไม่ใช่ความเงียบที่อึดอัด แทฮยอนไม่ใช่คนช่างพูดและมินโฮก็เข้าใจในข้อนั้น
“นี่…” เป็นเสียงของแทฮยอนที่ทำลายความเงียบ
“อะไรเหรอ”
“…นายโกรธบ้างไหมที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย” อีกฝ่ายถามด้วยเสียงเบาหวิวและไม่ได้หันมามองหน้า แต่มินโฮก็รู้ว่าแทฮยอนกำลังกังวลกับคำตอบอยู่
“ฉันจะไปโกรธนายทำไม่ล่ะ ฮึ” มินโฮยีผมอีกฝ่ายเบาๆ แทฮยอนไม่ได้ปัดมือเขาออกเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า”ขอบคุณนะ”
ระหว่างทางที่เดินมาแทฮยอนคิดอะไรหลายๆ อย่าง รวมถึงเรื่องที่เขาจะถามซึงฮุน คำถามนั้นอาจจะทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเปลี่ยนไป หรืออาจจะแค่แทฮยอนคนเดียวที่เปลี่ยน เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเพราะแม้ความทรงจำในวัยเด็กจะถูกลืมไปหมดแล้วแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เขาผูกพันกับซึงฮุน…
แต่แทฮยอนก็ตัดสินใจจะถาม
มือบางกำลูกบิดประตูอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไป ทว่าสิ่งที่พบทำให้คำพูดที่เตรียมมาหายไปหมด
ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเตียงของเขา
“นายเป็นใคร” แทฮยอนพยายามพูดด้วยเสียงปกติที่สุด แต่นั่นทำให้อีกคนมองมาที่เขาอย่างไม่เชื่อสายตา
"นายมองเห็น?"
ใจของแทฮยอนเต้นไม่เป็นจังหวะ
เสียงนี้มัน…
“ซึงฮุน…”
เหมือนเวลาหยุดเดินไปชั่วขณะ ทั้งสองยังคงไม่ละสายตาจากกัน
"นายเห็นจริงๆ ใช่ไหม"
“ทำไมผมถึงเห็นพี่ล่ะ”
เรื่องนั้นซึงฮุนก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นอกจากความประหลาดใจแล้วที่แน่ๆ คือ…เขาดีใจ
ซึงฮุนอยู่ที่นี่มาตลอด เขาเห็นและได้ยินอยู่ฝ่ายเดียวดังนั้นมันจึงไม่ต่างอะไรจากการเป็นใบ้ ที่แย่กว่าคือไม่มีใครมองเห็น
“อ่า..แต่มันก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่เนอะ” ซึงฮุนรู้ว่าแทฮยอนอยู่ในสถานการณ์ที่พูดไม่ออก
แต่ที่บอกว่าไม่ต่างจากเดิมก็ไม่ใช่คำแก้ตัวอะไร เพราะยังไงตอนที่คุยกันซึงฮุนก็อยู่ที่นี่ตลอดเพียงแต่แทฮยอนมองไม่เห็นเท่านั้นเอง
…แต่แทฮยอนไม่คิดแบบนั้น
“มันจะเหมือนกันได้ยังไง”เด็กคิ้วตกพูดด้วยเสียงเหมือนกำลังบ่น”พี่เห็นผมทุกวันก็ไม่มีอะไรต่างจากเดิมแต่ผมเพิ่งเห็นพี่วันนี้มันต่างกันนะ”
“อึดอัดหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น…” แค่มันรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย
“ค่อยยังชั่ว”ร่างสูงยิ้มตาหยี”แล้ววันนี้ไปไหนมาเหรอ”
คำถามนั้นทำให้บรรยากาศแปลกๆ เมื่อครู่กลับมาเป็นปกติเหมือนตอนที่แทฮยอนยังมองไม่เห็นซึงฮุนอีกครั้ง
“มินโฮพาไปที่โบสถ์น่ะ” แทฮยอนตอบแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ ซึงฮุน
“เด็กดื้อนั่นชอบพานายหนีเที่ยวตอนพี่ไม่อยู่เหมือนเดิมเลย” ในสายตาซึงฮุนแทฮยอนและมินโฮยังเป็นเหมือนน้องชายตัวเล็กๆ ของเขาเสมอ
“มินโฮเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ให้ผมฟังด้วย”
“แล้วนายจำได้ไหม” ซึงฮุนไม่ได้ถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังหรือคาดหวังนัก เมื่อแทฮยอนส่ายหัวเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวัง
“…เขาจะจำเมื่อเขาอยากจำ และเห็นเมื่อเขาอยากเห็น…”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไรท์มาต่อไวๆนะ
ในที่สุดน้องนัมก็มองเห็นพิงุนแล้ว แต่เมื่อไหร่จะอยากจำได้สักทีน้า
เหมือนจะแอบได้กลิ่นมาม่าอยู่นิดนึง มาต่อไวๆ นะคะ