คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่6 : เอ๊ะ? (nc เบาๆ)
ตึง!!
เสียงกระแทกของการถูกกระชากติดกำแพงดังขึ้นบ่งบอกถึงความเจ็บของผู้โชคร้ายได้เป็นอย่างดี
“เจ็บนะ!! ทำบ้าอะไรของนายนะ...อุ๊บ!” เคลียร์ซึ่งเป็นหนุ่มผู้โชคร้ายที่ว่าอ้าปากต่อว่าทันทีราวกับเป็นสัญชาติญาณ แต่แล้วคำต่อว่าที่ยังไม่จบก็พลันหายไปกับสายลมทันที
เมื่อคนตรงหน้ายื่นหน้าเข้ามาจูบเขาอย่างแรง!!
“อื้อ!!” เรียวลิ้นหนาดันเข้าไปในโพรงปากหวานของคนร่างเล็กสัมผัสความเปียกชื้นและกวาดไล่ไปตามฟันซี่ขาวสะอาด เคลียร์ที่ตกใจสุดขีดไม่คิดว่าเอน่าจะทำกับตนแบบนี้เริ่มออกแรงผลักโดยไม่รู้ตัว
“อือ...อื๊อ”
เสียงครางประท้วงในลำคอเมื่อเคลียร์เริ่มหมดลมหายใจ เอน่าจำใจถอนริมฝีปากออกอย่างขัดใจ เคลียร์หอบหายใจถี่พร่าพยายามอ้าปากสูดรับอากาศเข้าไปเต็มปอด
แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น เมื่อริมฝีปากหนาเข้าประกบอีกครั้ง เรียวลิ้นหนาไล้วนทั่วโพรงปากเล็กอย่างช่ำชอง ลิ้นเล็กที่พยายามขยับหนีแต่ไม่นานก็โดนลากไปพัวพันจนเจ้าตัวได้แต่ต้องปล่อยให้เรียวลิ้นหนานำการเคลื่อนไหวอย่างว่าง่าย เคลียร์ที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้จึงไม่สามารถหายใจได้ดีนัก น้ำลายที่ผสมปนเปไหลลงที่มุมปากของเคลียร์
เคลียร์ที่หมดฤทธิ์ต่อต้านไปตั้งนานแล้วกำเสื้อของเอน่าแน่นเพื่อพยุงร่างที่อ่อนปวกเปียกของตนไม่ให้ร่วงหล่นกองที่พื้น เอน่าเห็นดังนั้นก็ชิงแทรกขาข้างหนึ่งประคองร่างเล็กที่กำลังจะหมดแรงทรุดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
“อื๊อ...” เสียงหวานครางประท้วงเมื่อกำลังจะหมดลมหายใจอีกครั้ง เอน่าขัดใจเล็กน้อยก่อนจะกดจูบหนักๆ อีกครั้งหนึ่งก่อนจะยอมถอนริมฝีปากออก แต่กระนั้นเรียวลิ้นหนาซุกซนก็ยังคงไล่เลียริมฝีปากของคนร่างเล็กเล่นเชิงหยอกเย้ายั่วยวน
“...ไอ้...เวร” เคลียร์หอบหายใจถี่พร่าสูดอากาศที่ตนเสียไปเมื่อครู่เข้าปอดเป็นการใหญ่ ดวงหน้าหวานชุ่มไปด้วยน้ำตาคลอ ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศสุก ริมฝีปากบางแดงช้ำจากจูบที่รุนแรงเมื่อครู่
“หึ เป็นดาราซะเปล่าแต่ทำแม้กระทั่งจูบก็ไม่เป็นเนี่ยนะ?” เอน่าเป่าลมที่ใบหูของคนร่างเล็กพร้อมออกแรงกัดเบาๆ อย่างหยอกเย้า เล่นเอาเคลียร์ถึงกับขนลุกซู่
“ปล่อยฉันนะ!!” เคลียร์พยายามใช้แรงน้อยๆ ต่อต้านเอน่าอีกครั้ง เอน่าจิ๊ปากขัดใจเล็กน้อยก่อนจะออกแรงกดมือทั้งสองข้างของเคลียร์ขึ้นติดกำแพงด้วยมือเพียงข้างเดียว!
“แรงก็นิดเดียว เลิกต่อต้านได้แล้ว” เอน่าว่า ที่จริงแล้วเคลียร์ไม่ได้แรงน้อยขนาดที่เอน่าว่าหรอก เพียงแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเอน่าที่มีพละกำลังมากมายแล้ว แรงของเคลียร์ก็คงเท่ากับแมวข่วนนั่นแหละ
“ปล่อยนะ!!” เอน่าแสยะยิ้มน้อยๆ เมื่อคนข้างใต้เอาชนะแรงของเขาไม่ได้ เอน่าก้มลงเลียเบาๆ ที่ริมฝีปากบางอย่างลิ้มรสอีกครั้ง
“ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะชอบฉันหรือเปล่า”
“ออกไป...โอ๊ย!” เคลียร์ที่พยายามหันหน้าหนีถูกมืออีกข้างของเอน่าบีบปลายคางกระชากหันมาสบตาเขาอย่างรุนแรง!
“ฉันไม่สนว่านายจะไปชอบใครหรือเปล่า”
“...”
“ฉันไม่สนว่านายจะสนใจฉันหรือเปล่า”
“...”
“เพราะไม่ว่ายังไง นายต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น” ชั่ววินาทีนั้น ภาพเด็กน้อยผู้มีเรือนผมสีครีมนัยน์ตาสีฟ้าสดสวยฉายวาบเข้ามาในหัวของเอน่า รอยยิ้มน่ารักและจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจนั้น...
เขาไม่เคยลืม...
เอน่าก้มลงประกบริมฝีปากของเคลียร์อีกครั้งอย่างโหยหา
ฉันจะ...ไม่ปล่อยนายไป...
...
กริ๊งงงงงงงง
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น คิเรย์ก้มลงเตรียมหนังสือวิทยาศาสตร์อย่างรู้งาน เพราะคาบต่อที่เขาจะต้องเรียนนั้นคือเข้าแลบ
“...” คิเรย์นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเหมือนทุกทีช่างดูแปลกตายิ่งนัก เรียวคิ้วสวยทั้งสองขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเป็นครั้งแรกในรอบปี
“...เอรีส ฟุยุ... เป็นอะไรกันเหรอ?” คิเรย์ถามด้วยสำเนียงปกติพลางหันไปทางเอรีส...ที่นั่งท้าวคางทำหน้าเพ้อเหม่อลอยไปไกลชนิดที่ว่ากู่ไม่กลับแล้ว ต่อด้วยหันไปทางฟุยุกิ...ที่ทำหน้าหงอยราวกับค้นพบว่าแฟนสาวที่คบมาสิบปีเป็นผู้ชายก็ไม่เชิง
“อ๊ะ...คิเรย์มีอะไรเหรอ?” เป็นฟุยุกิที่หลุดจากโลกแห่งเพ้อพบหันมาถามคิเรย์
“...นายต่างหากเล่า! ทำไมทำหน้าเหมือนหมาโดนยาเบื่อขนาดนั้น!”
“อะ เอ๋?” ฟุยุกิเลิกลั่ก ก่อนจะแสร้งเฉไฉไปเรื่องอื่น “เอ...ก็...นั่นสินะ สงสัยเมื่อเช้ากินนมบูด...เอ่อ”
ฟุยุกิที่พูดแก้ตัวยังไม่ทันจบโดนคิเรย์ทำตาขวางใส่ซะจนพูดต่อไม่ถูก คิเรย์หันมาทางเอรีสบ้าง
“เอ-รีส!!!!”
“เหวอ!!” เอรีสตกใจแทบตกเก้าอี้ เขาหันมาทำตาปริบๆ อย่างสงสัยให้คิเรย์อย่างงงๆ
“เป็นบ้าอะไรของนายยยย!!”
“อะ...อะไร?” เอรีสถามกลับงงๆ
“ก็นายทำหน้าแบบ...แบบ...แปลกๆ อ้ะ! ไปเจออะไรมารึไง” เป็นคำถามที่ดูเหมือนไม่ได้มีอะไร แต่ไม่รู้เพราะอะไรเอรีสถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำนั้น เอรีสรีบเอ่ยปากแก้ตัวเป็นการใหญ่
“เปล่านะ ฉันไม่ได้โดนสารภาพรักมาหรอกนะ...ไม่สิ มันไม่ใช่คำสารภาพซะหน่อย”
“เอ๊ะ นายโดนสารภาพรักมาเหรอ” คิเรย์ถามอย่างอึ้งๆ ฟุยุกิที่ได้ยินเรื่องนี้ถึงกับว่าคล้ายจะเหี่ยวลงกองกับโต๊ะอีกรอบ
“เอ้ย!! ไม่ใช่นะ!!” เอรีสเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองพูดอะไรออกไปรีบตะครุบปากตัวเองไว้อย่างกลัวเผลอหลุดปากอีก
“ใคร ใคร!!” นัยน์ตาสีทองวับวาวของคิเรย์เป็นประกายอย่างคนอยากรู้อยากเห็นเต็มที่
“มะ...ไม่บอก” เอรีสเสหน้าไปทางอื่นหลบแววตาเป็นประกายของคิเรย์
“ใคร!!!!”
“มะ...”
“ใคร!!!!!!”
“อ๊า!!!” เอรีสทนแววตาเป็นประกายของคิเรย์ไม่ไหวรีบลุกขึ้นวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว คิเรย์ที่กะจะวิ่งตามไปเห็นฟุยุกิที่ยังคงทำหน้าเซื่องซึมอยู่บนโต๊ะถึงกับชะงัก
“แล้วฟุยุล่ะ เป็นอะไร?”
“อ๊ะ ไม่เป็นอะไรครับ” ฟุยุกิฝืนยิ้ม
“เป็นอะไรเหรอ?”
“ไม่...”
“เป็นอะไรเหรอ?”
“...” ฟุยุกิทำหน้าราวกับอับจนหนทาง เมื่อยังคงเห็นคิเรย์ยิ้มแป้นถามคำถามเดิมซ้ำๆ ฟุยุกิทำใจกล้าถามหยั่งเชิงอย่างยากลำบาก
“ถ้า...ถ้าคิเรย์...มีคนที่....เอ่อ...ที่....ชอบ” ฟุยุกิเค้นคำอย่างยากลำบาก “แต่เขาไปชอบคนอื่น...คิเรย์จะทำยังไง?”
“เห!! ฟุยุมีคนที่ชอบแล้วเหรอ!!” คิเรย์แทบตะโกนลั่นห้อง โชคยังดีที่ทั้งห้องตอนนี้เหลือแค่พวกเขาสองคน ไม่อย่างนั้นทั้งสองคงเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน
“บะ เบาๆ สิ!”
“อืม...นั่นสินะ ถ้าเป็นฉันล่ะก็นะ...จะตามตื๊อล่ะมั้ง?” คิเรย์ยอมลดเสียงทำท่าครุ่นคิด
“ตะ...ตื๊อเนี่ยนะ ทั้งๆ ที่เขาไปชอบคนอื่นนะ”
“เพราะอย่างนั้นนั่นแหละถึงต้องตื๊อ! ถ้าไม่ตื๊อหรือไม่แสดงออกถึงความรู้สึกของเรา เค้าก็ไม่มีวันรู้หรอกจริงไหม?”
ราวกับเข็มนับพันเล่มปักเข้าไปที่อกของฟุยุกิ ฟุยุกินิ่งไปอย่างคนเถียงไม่ออก
“...แล้วอีกฝ่ายเขารู้หรือเปล่าล่ะว่าคนที่ฟุยุชอบเขาชอบ?” ฟุยุกินิ่งคิด ภาพใบหน้าของซันตอนที่ริวดึงไว้ดูมัน...
“คิดว่าไม่รู้นะ...”
“งั้นก็โอกาสล่ะ!! เอาเลยฟุยุ! ลุยเล๊ยยยยยย!! ว่าแต่คนๆ นั้นใครเหรอ? ฉันรู้จักรึเปล่า? คนที่ฟุยุชอบเป็นใคร ใครๆๆๆๆๆๆ!!”
“...” นี่คือค่าตอบแทนสำหรับคำปรึกษาซินะ...
...
ตอนนี้ชั้นม.5เป็นคาบว่าง... เอรีสที่โดดเรียนวิชาแลบเต็มๆ ยืนอยู่หน้าห้องเปียโนห้องหนึ่ง... ข้างในนั้นมีเสียงบรรเลงของเปียโนดังเพราะพริ้ง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าข้างในนั้นเป็นใคร...
เอรีสเปิดประตูพรวดเข้าไปอย่างกล้าหาญเต็มที่! คิลินที่นั่งเล่นอยู่ข้างในถึงกับสะดุ้งโหยงมองผู้มาเยือนอย่างอึ้งๆ
“อะ...เอรีส” เมื่อสติสัมปชัญญะของคิลินเข้าที่เข้าทางเรียบร้อยแล้วคิลินถึงกับเบิกตากว้าง ใบหน้าหวานแดงแจ๋ขึ้นมาทันที
“พี่คิลิน! เมื่อวานน่ะนะ...”
“ออกไปนะ!” คิลินเลิกลั่กเป็นการใหญ่ เขากันรีหันขวาหาทางออก เมื่อเห็นหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ข้างๆ คิลินจึงรีบปรี่เข้าไปทำท่าคล้ายกับจะปีนหน้าต่างหนี
“พะ พี่คิลิน!!” เอรีสรีบวิ่งเข้ามาคว้าคิลินเข้าสู่อ้อมกอด “ทำไมต้องหนีผมด้วยอ่ะครับ!”
“อะ ออกไปๆๆๆ” ราวกับสมองหยุดทำงานเมื่อคิลินที่รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆ
“โอ๊ย อย่าดิ้นสิพี่คิลิน!”
“อย่านะๆๆๆ!!” คิลินผละออกจากอ้อมแขนเอรีสอย่างแรง! ก่อนจะรีบปรี่วิ่งหนีออกไปจากห้องทำเอาเอรีสได้แต่นั่งเอ๋อใบ้กิน
“....”
...
“ฮัลโหล เทสหนึ่ง สอง สาม...เสียงพร้อม”
“...”
“ฮัลโหลลลลลล สวัสดีคร้าบบบบบบบ ได้ยินมั๊ยคร้าบบบบบ”
“รำคาญโว้ยยย!!!!!” เต้ที่ทนเสียงงุ้งงิ้งข้างๆ ไม่ไหวถึงกับต้องระเบิดออกมาเสียงดัง เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมห้องพากันหันมามองด้วยความสนใจ
“ก็นายอ่ะ เล่นไม่คุยกับฉันเลยไม่ใช่เหรอ?? โกรธอะไรเค้าเหรอตัว” เคนโซแสร้งใช้สรรพนามเลียนแบบเต้เวลามาล้อเลียนหรือกลั่นแกล้ง เล่นเอาเต้ถึงกับหน้าบูดกว่าเดิมด้วยความไม่พอใจ
“อะไรอ่ะ นี่โกรธจริงเหรอ...” เคนโซขมวดคิ้วสงสัย แต่เต้ก็ไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“อ้ะๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ๆ” เคนโซที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ยอมถอยทัพกลับมานั่งโต๊ะของตัวเองที่อยู่ข้างๆ เต้ เคนโซยกเท้าขึ้นพาดโต๊ะนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์สมกับคำว่าโรงเรียนคือบ้านหลังที่สองเป็นอย่างดี
“เห เคนโซอ่านอะไรเหรอ?” นักเรียนหญิงสองสามคนที่เห็นเคนโซนั่งอ่านหนังสือพิมพ์โรงเรียนอยู่ทักขึ้น
“พอดีฉันไม่มาเมื่อวาน เลยยังไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์โรงเรียนเลย”
“นี่ๆ งั้นรู้หรือเปล่า เคนโซติดอันดับหนึ่งในอันดับที่มีคนอยากได้เป็นแฟนเชียวนะ” หญิงสาวไม่ว่าเปล่า เธอจัดการคว้าหนังสือจากมือเคนโซออกมาเปิดหน้าอันดับหัวข้อนั้นให้
ในบทความมีใบหน้าที่เขาส่งยิ้มร่าเริงมาให้ เขารู้อยู่แล้วล่ะ...เพราะสมาชิกชมรมหนังสือพิมพ์มาขออนุญาตถ่ายภาพเขาเมื่อหลายสัปดาห์ที่แล้ว
“ฉันติดอันดับหนึ่งก็จริง แต่ถ้า...คนที่ฉันชอบไม่สนใจก็ไม่มีความหมายหรอกเนอะ?” เคนโซแสร้งทำทีเป็นเชยคางหญิงสาว แต่สายตากลับเหลือบไปมองที่เต้อย่างนึกสนุก
เต้ที่สังเกตสายตานั้นพอดีสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น
“เห...คนที่เคนโซชอบคือใครเหรอ?”
“นั่นสินะ...” เคนโซพลิกหนังสือไปหน้าอื่นเล่น “คงเป็นคนใกล้ตัว...ล่ะนะ?” จบคำเต้ที่ได้ยินถึงกับหน้าแดงวาบ
“จริงเหรอ?? เสป็กของเคนโซเป็นคนยังไงเหรอ?”
เคนโซที่พลิกหน้าหนังสือเล่นเหลือบไปเห็นอันดับหนุ่มหน้าหวานในหน้าหนังสือที่มีเคลียร์ติดอันดับอยู่พอดี เคนโซเหลือบมองเต้เล็กน้อย
“นั่นสินะ...คงจะเป็น...คนน่ารักๆ แบบเคลียร์ล่ะมั้ง?”
“เอ๋?? งั้นฉันก็แพ้น่ะสิ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
เต้ที่ได้ยินดังนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีก้อนหินมาทับในอก
“ฮะๆๆ เธอไม่แพ้หรอกน่า เธอเองก็น่ารักนะ” เคนโซยิ้ม
“แต่ฉันสู้เคลียร์ไม่ได้ซักหน่อย” หญิงสาวทำทีว่าต่อด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ดูสิ... ขนาดโดนแอบถ่ายยังหน้าเป๊ะได้ขนาดนี้”
“ก็จริง... ฉันยังไม่เคยเจอใครน่ารักเท่านี้มาก่อนเลย ฉันอยากเจอตัวอีกซักครั้งจังนะ...”
“ก็ไปเลยสิ!!!” เต้ลุกพรวดขึ้นมาตบโต๊ะเคนโซดังลั่น! เหล่านักเรียนพากันหันมาสนใจอีกครั้งด้วยความสนใจ รวมถึงเคนโซกับหญิงสาวเองก็ผงะไปด้วยเช่นกัน
“น่ารำคาญจริงๆ เลย!! มานั่งบ่นพร่ำนู่นพร่ำนี่อยู่ได้ น่ารักคาญชะมัด!!”
“ตะ เต้?”
“ทั้งๆ ที...ทั้งๆ ที่เมื่อวานนาย...” เต้ก้มหน้าต่ำ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่รอยจูบนั้น...ก็ยังคงติดอยู่ที่ริมฝีปากบางของเขา...
แต่ถ้าเจ้าบ้านี่ไม่สนใจ...ไม่สิ แม้แต่จำยังจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!!
“เต้?”
“พอแล้ว!! นายมันน่ารำคาญที่สุด!! แล้วก็เอาของๆ นายคืนไปด้วย!” เต้ไม่ว่าเปล่า เขาจัดการกระชากคอเสื้อเคนโซขึ้นอย่างแรง! บรรดาสาวๆ ต่างกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่ไม่นานนักเต้ก็ก้มลงประกบริมฝีปากตนอย่างแรง!
เคนโซเบิกตากว้าง
“อย่ามายุ่งกับฉันอีกนะ เจ้าคนหน้าม่อ!!” เต้ไม่ว่าเปล่า เขาจัดการผลักเคนโซลงกับเก้าอี้อย่างแรงพร้อมออกตัววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว!
หลังจากที่เต้วิ่งออกไป เสียงฮือฮาก็ดังระงมราวกับอยู่ในตลาดสด เคนโซสัมผัสที่ริมฝีปากตนเองอย่างแผ่วเบาก่อนที่รอยยิ้มปริศนาจะฉายขึ้นบนใบหน้าคม
หึๆ...
...
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ห้องม.4/B เพิ่งจะเรียนคาบพละเสร็จ เอรีส คิเรย์และฟุยุกิพากันไปล้างหน้ากันอย่างเหนื่อยหอบ
“เอรีส...ไหวรึเปล่า” ฟุยุถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก็เมื่อเช้านี้เอรีสทำหน้ามีความสุขซะตาเยิ้ม แต่ตอนนี้กลับมีสีหน้าห่อเหี่ยวราวกับคนคิดอะไรไม่ตก
“ฮืออออ พี่คิลินหลบหน้าอ่า” เอรีสมุดหัวไปมากับฟุยุอย่างออดอ้อน “ทำมายยยยยยยยยยยย”
“แล้วไปทำอีท่าไหนพี่คิลินถึงหนีอ่ะ” คิเรย์เองที่รู้เรื่องของเอรีสถามขึ้น
“ก็...ก็... พอฉันจะไปถามให้เคลียร์ พี่คิลินก็ไม่ยอมฟังอะไรเลยอ่ะ ถึงขนาดจะปีนหน้าต่างหนีเชียวนะ!!”
เอรีสยังคงมุดหัวไปมากับฟุยุกิ ปากก็พร่ำบ่นไปมาไม่หยุด ฟุยุกิที่กำลังจะพูดปลอบใจพลันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มคุ้นตาคนหนึ่งเดินผ่านไปพอดี
นั่นมัน...
“เอรีส! เดี๋ยวฉันมานะ!” ฟุยุกิผละตัวจากเอรีสแล้วรีบวิ่งตามหลังชายหนุ่มไปทันที! ฟุยุกิเร่งสปีดเต็มฝีเท้าเพื่อจะตามชายหนุ่มเมื่อครู่ที่เดินอยู่ให้ทัน แต่แล้วไม่จู่ๆชายหนุ่มก็หยุดเดินกะทันหัน!
“เหวอ!!”
“หือ...” ฟุยุกิที่เบรกตัวไม่ทันล้มลงทับกับชายหนุ่มอย่างแรง! ฟุยุกิที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอชันตัวขึ้นเล็กน้อย
“ขอโทษครับ! พี่ซันเป็นอะไรหรือเปล่าครับ!”
“โอ๊ย...เจ็บ...” เพราะถูกทับจนล้มลงแล้วก็เพราะซันไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอดั่งฟุยุกิ จึงทำให้ซันรู้สึกเจ็บมากและลุกไม่ขึ้น
“ขะ ขอโทษครับ ขอโทษครับ!” ฟุยุกิเลิ่กลั่ก เขารีบพยุงซันขึ้นนั่งอย่างกล้าๆกลัวๆ “ปะ...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“วะ...แว่น” ซันพยายามเพ่งตามองหาแว่น ฟุยุกิที่เห็นดังนั้นก็ช่วยฉันหาด้วยอีกแรง ฟุยุกิเอื้อมมือหมายจะเก็บแว่นของซันขึ้น แต่แล้ว...
“อ๊ะ” ฟุยุกิที่กำลังจะคว้าแว่นขึ้นดันเผลอปัดแว่นตกท่อระบายน้ำที่กำลังก่อสร้างของโรงเรียน!! ฟุยุกิอ้าปากค้าง เขารีบก้มลงมองเข้าไปข้างในท่อ...ลึกมาก...
“แว่น...”
“...” ฟุยุกิแทบจะไม่กล้าหันไปทางซันที่กำลังคลำมือหาแว่น
ให้ตายสิ!! ทำไมฉันถึงซุ่มซ่ามขนาดนี้เนี่ยยยย!!!
“พะ พี่ซัน...เมื่อกี้...คือผมเผลอทำแว่น...ตกท่ออ่ะครับ” ฟุยุกิเอ่ยอย่างสำนึกผิด
“อะ ฮะ!!” ซันหันมาทางฟุยุกิอย่างตื่นตกใจ แม้จะพยายามแค่ไหนแต่ก็มองไม่เห็นใบหน้าฟุยุกิซักที แต่เพียงแค่เสียง...ซันก็รู้ได้ว่าฟุยุกิรู้สึกผิดมากขนาดไหน
“...เอ่อ ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวฉันจะกลับบ้านเลยละกัน”
“เอ๊ะ ไม่เรียนคาบบ่ายเหรอครับ”
“ก็มองไม่เห็นนี่นา” ซันพยายามหัวเราะเพื่อไม่ให้ฟุยุกิรู้สึกผิดจนเกินไป โชคดีที่ว่าคาบนี้เป็นคาบว่าง ซันเลยแบกกระเป๋าลงมาด้วย
ซันลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปทางประตูโรงเรียน...
ป๊อง!!
ซันเดินชนเสาเข้าอย่างจัง!
“พะ พี่ซัน!!!”
...
“อ้าว ซิออนจะกลับแล้วเหรอ?” ริวที่นั่งถือกล้องอยู่หน้ารั้วมหาวิทยาลัยหันถามอย่างเป็นกันเอง
“อืม... ฉันลงเรียนแค่คาบเช้า”
“งั้นกลับบ้านดีๆ น๊า” ซิออนพยักหน้าให้เล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากรั้วมหาลัย แต่แล้วสายตาเฉียบคมก็พลันเหลือบเห็นเด็กนักเรียนสองคนในฟุตบาตตรงข้ามกำลังเดินพยุงกันออกจากโรงเรียน
เดี๋ยวนะ นั่นมัน...
“ซัน! เป็นอะไรไป!” ซิออนรีบวิ่งไปหาซัน
“เสียงนี้...คุณซิออน?” ซันหันไปทางซิออน ซิออนชะงักเล็กน้อยเมื่อซัน...อยู่ในสภาพที่ไม่คุ้นตา
ปกติแล้วดวงหน้าสวยของซันจะสวยแว่นตาไว้ตลอดเวลา...แต่ซันจะถอดเพียงแค่ตอนนอนเท่านั้น ใบหน้าของซันในตอนถอดแว่นช่างดู...
น่ารัก...
“แว่นนาย...”
“เอ่อ ผมทำตกน่ะครับ” ฟุยุกิเอ่ยแทรกอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตกท่อระบาย...น้ำ”
เพราะซิออนมักจะขมวดคิ้วตลอดเวลาจึงแลดูกดดัน ฟุยุกิจึงเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ หนักกว่าเดิม
“ทำตก?”
“เอ่อ...ขอโทษครับ”
“พูดง่ายจังนะ ขอโทษแล้วซันจะมีแว่นใส่เหมือนเดิมหรือเปล่า?” ซิออนทำตาขวางใส่จนฟุยุกิหน้าซีด ซันที่ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่รับรู้ได้จากบรรยากาศกดดันรีบเอ่ยปากห้ามทัพ
“คะ คุณซิออน เรียนเสร็จแล้วสินะครับ งั้นกลับบ้านกับผมดีกว่านะ”
“อืม...”
“ซัน...จะนอนแล้วเหรอ?” เสียงริวเอ่ยแทรงพร้อมกับร่างสูงกำยำแบบนักกีฬาเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา
ซิออนดูไม่ค่อยแปลกใจที่เห็นริวเดินมา เพราะโรงเรียนและมหาลัยอยู่ตรงข้ามกันแค่ซอยเดียว และริวเองก็นั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้ารั้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ริวเดินมาหา
“ไม่ใช่ซักหน่อย!” ซันที่จำเสียงริวได้เอ่ยเถียง
“แล้วฟุยุกิ...มาทำอะไรเหรอ?”
“คือผม...”
“เด็กคนนี้ทำแว่นของซันตกท่อน้ำ” ซิออนว่าแทรก สาวตาเฉียบคมของซิออนเหล่มองไปทางฟุยุกิอีกครั้ง เล่นเอาฟุยุกิหน้าซีดหนักกว่าเดิม
“ไปเถอะ” ซิออนเอื้อมมือมาจับมือซันก่อนจะค่อยๆ จูงเดินจากไป
“...” ฟุยุกิหน้าซีด จิตใจโหวงเหวง รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ริวที่มองอาการฟุยุกิอยู่เอื้อมมือมายีผมเบาๆ
“...ไม่ต้องคิดมากหรอก ซิออนเขาก็แค่พูดไปงั้นนั่นแหละ” ริวว่า “เจ้าหมอนั่นก็แค่...เป็นห่วงซัน ขอโทษแทนละกันนะ”
“คุณ...ริว”
“กลับไปเรียนต่อเถอะ” ริวว่าก่อนจะหันหลังเดินจากไป ฟุยุกิได้แต่มองแผ่นหลังของริวที่เดินจากไป
ริวเป็นคนที่อบอุ่น...ฟุยุกิรู้สึกได้ สายตาที่ริวมีให้ซันเมื่อครู่เองก็สื่อถึงความห่วงใยได้อย่างชัดเจน ซิออนเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะพูดจาด้วยถ้อยคำที่รุนแรง...แต่ก็เพราะความเป็นห่วงอย่างที่ริวว่า
ดูแล้วทั้งสองคนคงจะชอบซัน... แล้วซันจะชอบใครในสองคนนี้กันนะ....
...
“เฮ้ยๆ นั่นนี่หว่า... ที่ติดอันดับในสามหนุ่มหน้าหวานอ่ะ”
“เออๆ น่ารักเป็นบ้าเลย เห็นใกล้ๆ อย่างกับตุ๊กตา...” เสียงซุบซิบนินทาระหว่างที่เนย์จิเข้าไปหาอะไรกินในโรงอาหารดังขึ้นว่อน เนย์จิหันขวับไปทางคนที่นินทาอย่างหงุดหงิด
“หะ หันมาทางนี้แล้ว!”
“น่ารักเป็นบ้าเลย นี่ขนาดไม่พอใจนะเนี่ย!”
เนย์จิส่งสายตาขวางใส่อย่างไม่พอใจ ริมฝีปากบางที่กำลังจะอ้าปากขึ้นด่าชะงักกึก เมื่อน้ำเสียงของคนๆ หนึ่งลอยเข้ามาในหัวของเขา
เนย์จิคุงจะไม่สนใจความรู้สึกนั้นบ้างเลยเหรอ...
“...”
“มะ ไม่ด่าแฮะ...”
“แปลกจัง ปกติจะเข้ามา...ต่อยแล้วแท้ๆ” เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นอีกหน เนย์จิกัดริมฝีปากของตนเองแน่น ใบหน้าหวานแดงระเรื่อเล็กน้อย
“ฉัน!!” เนย์จิพูดขึ้นเสียงดังผิดธรรมชาติ “ฉันจะ...ไม่...ขอบคุณ...หรอกนะ!!”
เนย์จิว่าจบก็ออกตัววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว! เล่นเอาคนในโรงอาหารได้แต่ใบ้กิน แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งพูดขึ้นเปิดประเด็นว่า
“เนย์จิ...เปลี่ยนไป?”
...
“อ่า...ตัวแทนปีหนึ่งครบมั๊ย?” เสียงเอื่อยๆ ที่ติดจะรำคาญของเอน่าดังขึ้น นัยน์ตาสีทัยทิมสวยกวาดมองปีหนึ่งที่ยืนออกันเรียงหน้ากระดานอย่างผ่านๆ
“ครบนะครับ” ซิการ์ว่าต่อ “นี่เป็นกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์โดยการที่ตัวแทนทุกคนจะเข้าไปแนะแนวชีวิตให้น้องๆ มัธยมปลายในโรงเรียน A นะครับ...อ้อ ผมชื่อซิการ์ อยู่ปี3 จะเป็นคนดูแลกิจกรรมนี้นะครับ ส่วนข้างๆ นี่ชื่อเอน่า หากทุกคนมีปัญหาอะไรก็เอ่ยถามพวกพี่ได้เลยนะ”
ซิการ์ว่าอย่างใจดีและเป็นหลักการ กิจกรรมแนะแนวชีวิตนี้จัดขึ้นทุกปี โดยการที่ปีสามจะเป็นคนดูแลและจะคัดเลือกปี1 ที่เพิ่งสอบเข้ามหาลัยมาหมาดๆ เป็นคนมาพูดความรู้สึกหลังสอบเข้าและแนวข้อสอบสำหรับเด็กม.ปลาย
เด็กปีหนึ่งที่ซิการ์เลือกมามีเพียงสามคน นั่นก็คือกราฟ อโลนและริว
“อีกหนึ่งชั่วโมงเราจะเข้าไปแนะแนวชีวิตให้เด็กม.ปลายกันนะครับ ระหว่างนี้ทุกคนจะทำอะไรก็ได้...แต่ต้องกลับมาที่นี่ภายในหนึ่งชั่วโมงนะครับ”
ซิการ์ว่าจบ กราฟ อโลนและริวก็พากันเดินแยกย้ายจากไป ตอนนี้ทั้งสามอยู่ในโรงเรียน A เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซิการ์นั่งตรงม้านั่งระเบียงอ่านกำหนดการณ์ที่ทางมหาวิทยาลัยได้มอบหมายแบบผ่านๆ
“ทำไมนายต้องตอบรับเป็นคนดูแลกิจกรรมด้วยเล่า” เอน่าบ่นขึ้นทันที “ดูสิ เวลาพักของฉัน...”
“ไม่อยากเจอเคลียร์หรือไง?”
“เคลียร์ไปถ่ายเอ็มวีเฟ้ย” เอน่าบ่นอย่างหงุดหงิดเมื่อเอ่ยถึงเคลียร์ “เจ้าเด็กนั่น...ทำถึงขนาดนี้แล้วยังไม่เข้าใจอีกว่าฉันรู้สึกยังไง...”
“หึ! เคลียร์เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่รึไง?” ซิการ์ว่าขำๆ ซิการ์รู้จักเคลียร์ตั้งแต่ปี2 จึงพอจะรู้นิสัยซื่อบื้อไม่เข้าเรื่องของเคลียร์มาคร่าวๆ
“เจ้าเด็กนั่นน่ะ... เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ดีเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่กับเรื่องแบบนี้นี่ก็โง่ได้ดีจริงๆ”
“เอน่า อย่าไปว่า...”
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันมา” จู่ๆ เอน่าก็เผยอยิ้มเจ้าเล่ห์แปลกๆ ก่อนจะเดินออกไป ซิการ์ขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย
“เฮ้ยแก! ...เหวอ!! ทำบ้าอะไรวะ!” เอน่าเดินออกไปไม่นาน เสียงโหวกเหวกโวยวายคุ้นหูก็ดังขึ้น ไม่นานนักเอน่าก็เดินกลับมาหาในสภาพหิ้วหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาหา
“...เนย์จิคุง” ซิการ์หลุดมาดเหวอไปเล็กน้อย “เอน่า...”
“ทำหน้าแบบนั้นทำไมเล่า ฉันอุตส่าห์พาของขวัญมาส่ง” เอน่าหัวเราะร่า ก่อนจะโยนเนย์จิไปข้างหน้าอย่างแรง! เนย์จิที่ทรงตัวไม่ได้ถลาเข้าไปล้มทับซิการ์ที่นั่งอยู่เข้าอย่างจัง!
“เอน่า! ทำบ้าอะไรของนาย” ซิการ์โวยทันที ก่อนจะช่วยพยุงเนย์จิขึ้นยืนอย่างใจดี
“อะไรเล่า ฉันแค่โยนเบาๆ เองนะ” เอน่าเถียงกลับ คำนั้นทำให้เนย์จิค้อนใส่แทบจะทันที ถ้านั่นจะเบานะ...
“เอาเหอะ ฉันไปหาอะไรกินก่อนนะ เดี๋ยวซื้อขนมมาฝากละกัน” เอน่าว่าจบก็เดินจากไปทันที ซิการ์ถอนหายใจเบาๆ กับความเอาแต่ใจของเอน่า
“เนย์จิคุงไหวมั้ย?”
“แค่นี้ทำไมฉันจะไม่...โอ๊ย!” เนย์จิที่กำลังจะยืดตัวขึ้นร้องเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงให้ซิการ์ต้องรีบพยุงอีกรอบ
“...ข้อเท้าพลิกเลยเหรอ” ซิการ์ที่เห็นอาการของเนย์จิก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ “เจ้าเอน่า...”
“ชิ! ไอ้เจ้าบ้านั่น! มันกินควายเข้าไปเป็นอาหารรึไง!!” เนย์จิด่า ปกติแล้วเนย์จิเป็นคนแรงเยอะมาก ถึงแม้เขาจะตัวเล็ก แต่ก็ยังไม่เคยมีใครเอาชนะแรงเขาได้มาก่อน...ยกเว้นก็แต่ไอ้เจ้านั่น...
“ขอโทษแทนเอน่าด้วยนะ มาสิ...ฉันจำพาไปห้องพยาบาล” ซิการ์ไม่ว่าเปล่า เขาจัดการช้อนตัวเนย์จิขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทะ ทำบ้าอะไรของแกเนี่ย!! ปล่อยนะ!”
“ผมจะพาไปห้องพยาบาล เนย์จิคุงก็อย่าดิ้นจะได้มั้ยครับ ผมไม่ได้แรงเยอะมากพอเหมือนเอน่าที่จะอุ้มเนย์จิคุงในตอนดิ้นไหวนะครับ”
“ก็แล้วนายจะอุ้มฉันทำซากอะไรเล่า! ปล่อยเดี๋ยวนี้!!”
“ผมก็บอกว่าจะพาไปห้องพยาบาลไงเล่า หูตึงรึไง”
“ฉันไปเองได้!” เนย์จิเถียงอย่างคนไม่ยอมแพ้ ทำให้ซิการ์เผยรอยยิ้มแห่งความหงุดหงิดขึ้น
“ตามสบาย” ซิการ์ว่าจบก็จัดการปล่อยตัวเนย์จิลงพื้นอย่างแรง! เนย์จิที่ไม่คาดคิดว่าซิการ์จะปล่อยลงมาแบบนี้ถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บและตกใจ
“เจ็บ!!”
“งั้นคราวนี้ก็อย่าดิ้น” ซิการ์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะช้อนตัวเนย์จิขึ้นมาอีกรอบ เนย์จิอ้าปากหมายจะด่าซิการ์อีกรอบ แต่แล้วซิการ์ก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“ผมรู้ว่าเนย์จิไม่ชอบที่ให้มีคนมาอุ้ม แต่ถ้าผมไม่พาไปห้องพยาบาลหรือถ้าเนย์จิคุงไปเอง...มีหวังได้เท้าบวมก่อนไปถึงพอดี เพราะฉะนั้นก็ทนหน่อยนะครับ ผมรู้จักห้องพยาบาลที่นี่ เดี๋ยวก็ถึงแล้วล่ะ”
เนย์จิเบิกตากว้าง เสียงของซิการ์ลอยเข้ามาในหัวเขาอีกรอบ
เนย์จิคุงจะไม่สนใจความรู้สึกนั้นบ้างเลยเหรอ?
เนย์จิเม้มปากเบาๆ ก่อนจะก้มหน้างุดไม่ปริปากพูดอะไรอีกและไม่ออกแรงดิ้นอีกเลย...
อุ่นจังนะ...
...
อโลนเป็นเด็กเก่าที่นี่... เขาจึงรู้จักเส้นทางที่นี่เป็นอย่างดี อโลนเดินเข้าไปนั่งริวสวนซึ่งเป็นจุดลับของโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก
อีกตั้งหนึ่งชั่วโมง ทำอะไรดีนะ...
“พี่โอคิตะ!?” เสียงคุ้นหูดังขึ้น คิเรย์โผล่พรวดออกจากพุ่มดอกไม้มาหาอโลนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้อย่างรวดเร็ว
“คะ คิเรย์ ไปทำอะไรตรงนั้น”
“ผมเล่นซ่อนหาอยู่ฮะ!”
“อ้อ...เหรอ”
“แล้วพี่โอคิตะไม่ไปทำงานเหรอฮะ”
“ไม่ล่ะ วันพรุ่งนี้จะทำ” พูดถึงเรื่องนี้อโลนก็คิดอย่างหงุดหงิด พ่อแม่ของเขาที่รู้ว่าเขาทิ้งงานพาคิเรย์ไปโรงพยาบาลก็ว่าเขาเป็นการใหญ่ที่เอาความรู้สึกของตนเองเป็นใหญ่
เพราะผลจากการกระทำนั้นเอ็มวีเส้นขนานถูกผู้กำกับของเคลียร์ยกเลิกไม่ให้เขาเป็นพระเอกเอ็มวีเรียบร้อย เพียงแต่เขาจะได้แสดงในเอ็มวีอื่นแทน ถึงแม้มันจะไม่หนักถึงขั้นเขาไม่ได้เล่นในเอ็มวีของเคลียร์เลย แต่เพราะเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเสียหน้าไปไม่น้อย...
แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ... ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าเก็ยอารมณ์ได้ดีแล้วแท้ๆ แต่ทำไม...ตอนนั้นเขาถึงตัดสินใจช่วยคิเรย์กันนะ...
“คิเรย์!!!!” เสียงแปดปรอทของเอรีสดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของเอรีสที่พุ่งเข้ามาคว้าคิเรย์เข้ากอด! “ทำไงดีอ่ะ พี่คิลินหนีไปอีกแล้ววววววว”
“อะ เอรีส...ใจเย็นก่อน” คิเรย์แทบจะจมเข้าไปในอ้อมกอดเอรีสเอ่ยพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ฉันตามไปนะ แต่พี่คิลินหนี...โอ๊ะ” จู่ๆ ตัวคิเรย์ก็ถูกดึงออกไปจากอ้อมกอดเอรีสอย่างรวดเร็ว! อโลนเหล่ตามองเอรีสอย่างเย็นชา
“อ้าว คิเรย์อยู่กับคนอื่นเหรอ?”
“แล้วคิดว่าไงล่ะครับ” เป็นอโลนตอบแทน
“อ้อ นายคือคนที่ช่วยคิเรย์นี่เอง ขอบคุณนะ!” เอรีสว่าอย่างยิ้มแย้ม “อ่อ คิเรย์ ตาต่อไปนายเป็นคนหานะ ฉันจะไปหาฟุยุต่อ”
“เหหหหหห!” คิเรย์ร้องอย่างเซ็งๆ ไม่นานนักเอรีสก็วิ่งออกไป คิเรย์เปลี่ยนอารมณ์มาขมวดคิ้วย่นหาอโลนอย่างรวดเร็ว
“จะว่าไปพี่โอคิตะ...เครียดอีกแล้วเหรอครับ?”
อโลนเบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะแสร้งทำทีเป็นไม่สนใจ
“จริงๆ ด้วยสินะ! เดี๋ยวผมจะร่ายคาถาร่าเริงให้นะ!” อโลนถึงกับชะงัก เขานึกถึงตอนที่ทั้งสองเจอกันที่คอนโด...ตอนที่อโลนเครียด คิเรย์ก็จูบที่หน้าผากของเขาเบาๆ...
อโลนลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ในใจ เมื่อคนตรงหน้าทำท่าจะเข้ามาทำแบบครั้งที่แล้ว
“แล้วคิเรย์อยากรู้ไหม? ว่าคาถาที่จะทำให้ผมร่าเริงได้จริงๆ น่ะคืออะไร?”
“เอ๊ะ มีด้วยเหรอครับ?” คิเรย์ถามต่ออย่างสงสัย อโลนลอบยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงประทับลงที่ริมฝีปากบางของคิเรย์เบาๆ อย่างรวดเร็ว!
หวาน...
อโลนลอบมองปฏิกิริยาคิเรย์ที่ยังคงเบิกตากว้างอย่างขำขัน ก่อนจะเลียริมฝีปากของคิเรย์เบาๆ แต่ยังไม่ทันที่อโลนจะได้ต่อ คิเรย์ก็ผลักอโลนออกอย่างแรง!
“...” คิเรย์ได้แต่เอามือปิดปากเบิกตากว้างมองอโลน
“พี่โอคิตะชอบผมเหรอ” อโลนเบิกตากว้างอย่างไม่คาดคิดว่าจะเป็นคำๆ นี้ที่เอ่ยออกมาจากปากคิเรย์เป็นคำแรก
“ผม...”
“ใช่สินะ! เพราะจูบมันมีไว้กับคนรักกันเท่านั้น!! พี่โอคิตะจูบผม!!” คิเรย์พูดเสียงดังขึ้นด้วยสีหน้าตะลึง เล่นเอาอโลนถึงกับไปต่อไม่ถูก
“แต่ไม่เป็นไร เพราะผมก็ชอบพี่โอคิตะนะ” คิเรย์ยิ้มน่ารัก ก่อนจะโน้มตัวขึ้นจูบอโลนอีกครั้งเบาๆ “เอาล่ะนะ นับตั้งแต่วันนี้พี่โอคิตะเป็นแฟนผมล่ะ!! ฝากตัวด้วยนะครับ!”
อโลนเบิกตากว้าง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!
...
“คุณกราฟ?” เสียงคราฟฟ์ดังขึ้น กราฟหันมามองอย่างสงสัย
“คราฟฟ์....จริงสินะ นายเรียนที่นี่นี่นา”
“แล้วคุณกราฟ...อ้อ มาแนะแนวชีวิตใช่มั้ยครับ เห็นว่าผมเองก็ต้องไปเข้าร่วม” คราฟฟ์ถามกลับก่อนจะเดินอ้อมมานั่งข้างๆ คราฟฟ์ที่นั่งกินลมอยู่ตรงม้านั่งโรงเรียน
“อืม นายอยากรู้อะไรก็ถามได้เลยนะ แต่ฉันเพิ่งจะเข้าปีหนึ่ง คงรู้ได้ไม่มากหรอก” กราฟว่าก่อนจะเงยหน้าขึ้นปล่อยให้สายลมพัดเรือนผมสีชาของกราฟปลิวไสว
คราฟฟ์เผลอเหม่อมองภาพนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ กราฟเป็นคนที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ทั้งใบหน้าคมสวย เรียวตาที่ได้รูปและผิวที่เนียนละเอียดราวกับผู้หญิง
“อะไร คิดพิศวาสกับฉันเหรอ?” กราฟหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ใส่คราฟฟ์ เล่นเอาคราฟฟ์ถึงกับเลิกลั่กไปต่อไม่เป็น
“จะบ้าเหรอ! คุณกราฟคิดอะไร...”
“ฮันแน่ หน้าแดงเหรอ” กราฟหัวเราะเบาๆ ดูปฏิกิริยาของคราฟฟ์เล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“นายน่ะ...เด็กตัวเตี้ยๆ คนที่นายเรียกว่ารุ่นพี่น่ะ...”
“...คุณกราฟหมายถึงเต้เหรอครับ ทำไมเหรอ?”
“ถ้าเขาชวนนายไปผับอีกก็ห้ามไปแล้วนะ”
“...เขาไม่ได้ชวน เขาลากเลยล่ะครับ” คราฟฟ์หัวเราะเบาๆ แต่กราฟกลับทำตาขวางใส่แทบจะทันที
“ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้! หน้าแบบนี้ของนาย...จะถูกหลอกเอาได้ง่ายๆ”
“เอ่อ ผมไม่ได้ถูกหลอกง่าย...”
“แต่นายก็ปฏิเสธไม่เป็น” กราฟไม่ว่าเปล่า เขาจัดการดึงคราฟฟ์เข้าใกล้ก่อนจะดึงคอปกเสื้อนักเรียนคราฟฟ์ออกเผยให้เห็นต้นคอขาวข้างในที่มีรอยคิสมาร์คอยู่
“นายเองก็รู้ตัว...แต่ก็ปล่อยให้เธอเข้ามาจูบ” กราฟพูดอย่างหัวเสียเล็กน้อย ตอนนั้นเขาเห็นจะๆ ตาเลยว่าคราฟฟ์ที่นั่งอยู่กับเต้โดนกลุ่มหญิงสาวรายล้อมเข้ามาแกล้ง คนหนึ่งถึงกับแกล้งคิสมาร์ค...
“มะ ไม่ใช่นะ! ตอนนั้นผมถูก...”
“แต่ไม่ว่าจะยังไง เธอก็เข้ามาจูบ...ใช้ไม่ได้เลยนะ” กราฟไม่ว่าเปล่า เขาจัดการก้มลงเม้มเบาๆ ที่ต้นคอของคราฟฟ์ คราฟฟ์ถึงกับสะดุ้ง
“คะ คุณกราฟ!?”
“ทำไมล่ะ ทีนายยังปล่อยให้เธอทำได้เลยไม่ใช่เหรอ?”
“แต่!”
“มันก็ไม่ต่างกันหรอก...” กราฟยิ้มเย็น “ได้เวลาแล้ว ฉันขอตัวล่ะ”
ว่าจบกราฟก็เดินจากไปทันที ปล่อยให้คราฟฟ์ได้แต่นั่งงง
อะ อะไรกัน!?
-------------------------
มาแล้วกับตอนที่ 6 ฮะ > <
ฟินนาเร่กับคู่เคลียร์เบาๆ หุๆ
คู่อื่น...พวกเจ้าไม่รอดแน่ //ผิดดด
ความคิดเห็น