คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่4 : ชุลมุน!?
เฮ้อ...
อโลน...นักแสดงหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย สองวันที่ผ่านมาเขาทำงานถ่ายทำเต็มวัน นี่ก็เพิ่งจะได้วันหยุด...แต่กระนั้นเขากลับมีคลาสที่มหาลัย ทำให้วันหหยุดที่หาได้ยากของเขาราวกับไร้ค่า
เอาเถอะ...อย่างน้อยก็ได้พัก
อโลนคิดอย่างเซ็งจิต เขาแบกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าก่อนจะเดินออกจากห้องพักคอนโดใกล้กับมหาลัยอย่างเหนื่อยหน่าย
“เอรีสสสสส!!”
อโลนสะดุ้งเฮือกหันไปมองยังต้นเสียงทันที ถัดจากห้องพักเขาไปประมาณห้าห้อง... คิเรย์ หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาเหนื่อยยากปรากฏแก่สายตาอโลนอย่างตกตะลึง
อะไรจะโลกกลมขนาดนี้... อโลนได้แต่มองอย่างอึ้งๆ
“...คิเรย์” ชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเดินออกจากห้องตามเสียงเรียกของคิเรย์ด้วยความง่วงงุนราวกับเพิ่งตื่นนอน...ไม่สิ เพิ่งตื่นนอนเลยต่างหาก
“หวา เอรีสเพิ่งตื่นเหรอ?”
“อือ...”
“เอ ตื่นยังคร้าบบบ นี่มันเจ็ดโมงสี่สิบแล้วน๊า!” คิเรย์ยื่นหน้าเข้าไปตะโกนกรอกหูเอรีสเบาๆ อย่างร่าเริง แต่กระนั้นเสียงกลับดังพอให้อโลนที่ยืนห่างออกไปได้ยิน
“อย่าเสียงดังสิคิเรย์...” ราวกับเอรีสไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเสียงดังเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย เอรีสยื่นหน้ามาซบไหล่คิเรย์อย่างง่วงงุน “ไปนอนกันเถอะ”
“เอรีสจะไม่ไปเรียนเหรอ?” คิเรย์พยายามดันตัวเอรีสที่สูงกว่าตนหลายเซนติเมตรออกพร้อมกับปัดผมที่ปรกหน้าออกให้อย่างเป็นกันเอง
“คิ...”
“คิเรย์” อโลนทักขึ้น ที่ใบหน้าสวยมีรอยยิ้มแลดูงดงาม แต่กระนั้นมันกลับต่างไปจากเดิม “อรุณสวัสดิ์”
“ว้าว! พี่โอคิตะ!!” อโลนยิ้มให้กับปฏิกิริยาที่ปรากฏตามคาด “พี่โอคิตะมาทำอะไร...หรือว่า!! พี่โอคิตะเองก็อยู่คอนโดนี้เหรอครับ!???”
“อืม” อโลนยิ้ม “แล้วนี่คิเรย์มารับเพื่อนเหรอ? สนิทกันจังนะ”
“ครับ! นี่เอรีส เพื่อนสนิทผมเอง!”
เพื่อน...สินะ
“ว่าแต่คิเรย์ไม่ไปโรงเรียนเหรอ? นี่มันสายแล้วนะ”
“อ๊า! จริงด้วย...” คิเรย์มองนาฬิกาบนข้อมือจากนั้นก็หันไปเขย่าตัวเอรีสอย่างบ้าคลั่ง “เอรีส! ไปกันเถอะ!”
“อือ...” เอรีสยังคงหลับทั้งยืน... ปกติแล้วเอรีสจะเป็นคนที่กระฉับกระเฉงตลอดเวลา แม้กระทั่งตื่นนอนก็ยังตื่นเช้า แต่วันนี้เอรีสกลับงัวเงียไม่ยอมตื่นนอน... มันเป็นอะไรที่อเมซิ่งมาก...
“ถ้าไม่ตื่นก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ...” อโลนว่า
“...เอ๋?”
“...ไปได้แล้วนะ เดี๋ยวจะสายเอา...ผมขอตัวล่วงหน้าไปก่อนนะ” อโลนยิ้มก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับความคิดที่ตีชนกันยุ่งเหยิงไปหมด
ก็แค่เพื่อน... ถึงขนาดลงทุนไปสายเพื่อปลุก เพื่อนมันมีดีอะไรขนาดนั้น...
หมับ!
“พี่โอคิตะ!” อโลนเบิกตากว้าง ยังไม่ทันที่อโลนจะหันกลับมาหาด้วยตนเอง คิเรย์ก็ชิงกระชากตัวอโลนหันกลับมาจ้องหน้าตรงๆ
“พี่โอคิตะวันนี้เป็นอะไรไป ทำไมไม่สดใสเลย”
“...ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ”
“โกหก! พี่โอคิตะอย่ามาโกหกผมสิ” คิเรย์ขมวดคิ้วยุ่ง “พี่โอคิตะมีเรื่องทุกข์ใจ... เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ผม...”
“เครียดเหรอ? ทำงานเยอะไปเหรอ? มีเรื่องทะเลาะงั้นเหรอ? หรือว่าไปเห็นอะไรไม่เข้าตาเข้าเหรอ?”
“...”
“...” ทั้งสองต่างเงียบ อโลนเองก็ยังงุนงงกับบุคลิกของคิเรย์ที่ดูต่างจากเดิม ถึงแม้ว่าวิธีการพูดจะยังคงสไตล์สดใสราวเด็กน้อย แต่กระนั้นแววตากลับดูจริงจังแบบที่อโลนไม่เคยเห็นมาก่อน
“ถ้าพี่โอคิตะไม่อยากพูด ผมก็จะไม่บังคับ...แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ผมก็จะรับฟังนะ” คิเรย์ไม่ว่าเปล่า เขาชันตัวขึ้นดึงเนคไทด์ของอโลนลงต่ำอย่างแรงพร้อมกับแนบริมฝีปากบางลงที่หน้าผากมนของอโลนเบาๆ
“นี่เป็นมนต์ล่ะ! ผมร่ายมนต์ความสุขให้นะ พี่โอคิตะจะได้มีความสุขไวๆ!”
“...”
“เอรีสเขาเป็นหวัดล่ะ วันนี้ผมเลยจะหยุดไปดูแลเอรีส พี่โอคิตะไปดีมาดีนะครับ!” คิเรย์โบกมือลาอย่างร่าเริง จากนั้นก็วิ่งเข้าห้องเอรีสหายไปอย่างรวดเร็วทิ้งอโลนที่ได้แต่ยืนอึ้งตามหลังไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
...แต่ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ผมก็จะรับฟังนะ
คิเรย์สัมผัสที่หน้าผากตนเองเบาๆ ความรู้สึกอ่อนนุ่มที่คิเรย์ประทับยังคงไม่จางหาย...
...
“อ้า-ม”
“...คุณริวอย่ากินเลอะเทอะจะได้มั๊ย” ซันขมวดคิ้วยุ่งมองไปทางริวที่อ้าปากกว้างกินไก่คำโตเลอะเทอะไปหมดราวกับเด็ก
“มันอร่อย กินคำใหญ่ๆ จะทำให้อร่อยขึ้น”
“ให้ตาย นี่ตกลงคุณริวมาดูแลผมแน่หรือเปล่าครับเนี่ย” ซันบ่นอุบอิบ แต่ก็ไม่วายคว้าทิชชู่มาเช็ดปากให้ ภาพนี้ทำให้ซิออนได้แต่มองด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“จะว่าไปคุณริวกับคุณซิออนมีคลาสกันตอนไหนครับ” ซันถาม
“แปดโมงครึ่ง” ซิออนบอก
“บ่ายโมง...” ริวบอก
“งั้นคุณซิออนจะไปพร้อมผมเลยดีไหมครับ... เอ่อ แต่บ้านก็อยู่ไม่ไกลจากม.เท่าไหร่ เดี๋ยวคุณซิออนค่อยไป...”
“ฉันจะไปกับนาย” ซิออนเอ่ยแทรก
“อ่า...ครับ งั้นไปกันเถอะ” ซันว่าก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นแบก ซิออนเองก็หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายเช่นกัน แต่แล้วการกระทำของทั้งคู่ก็ต้องชะงักเพราะ...
“เดี๋ยว” เสียงยานๆ ของริวเรียกขัด “ฉันจะไปด้วย”
“คุณริวไปทำไมป่านนี้ครับ...มีเรียนตั้งบ่ายโมง” ซันขมวดคิ้ว ปกติแล้วริวมักจะลงเรียนตอนสายๆ เพราะริวจะได้มีเวลาตื่นสายและอู้ในตอนเช้า แต่นี่กลับจู่ๆ มาบอกว่าจะไปมหาลัย...
“...ฉันจะไป...ก็คือไป” ริวว่าจบเขาก็เดินนำทั้งคู่ไปทันทีโดยที่ไม่ได้หยิบอุปกรณ์การเรียนไปซักนิด ทำให้ซันอดที่จะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายไม่ได้ ดูก็รู้ว่าตั้งใจจะมาป่วนเขาชัดๆ...
ทั้งสามเดินไปตามทางเงียบๆ โดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาแม้แต่น้อย นั่นทำให้ซันรู้สึกอึดอัดแปลกๆ อย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างที่ซันจะล้วงกระเป๋าเป้หาการ์ตูนมาอ่านระหว่างทาง ความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็แล่นผ่านปลายนิ้วทำให้ซันเบ้หน้าเจ็บปวดเล็กน้อย
“เป็นอะไร” ซิออนคว้ามือริวมาดูอย่างเป็นห่วง
“กระดาษบาดล่ะมั้งครับ...ฮะๆ”
“เลือดออกเลยไม่ใช่เหรอ...” ยังไม่ทันที่ซิออนจะได้ดูอาการ ริวก็กระชากแขนซันเข้าหาตนเองอย่างแรง ซันเขม่นตามองริวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“คุณริวทำบ้าอะไรเนี่ย!” ซันโวยวายขึ้น ซิออนหันไปมองริวด้วยสายตาสื่อความหมายก่อนจะกระชากแขนซันอีกข้างเข้าหาตัวบ้าง!
“...คุณซิออน” ซันขมวดคิ้วสงสัย
ทั้งคู่ไม่สนใจซันเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองจ้องหน้ากันใช้สายตาสื่อความหมายก่อนจะกระชับแขนซันเข้าหาตัวทั้งคู่!
ซันริวและซิออนตกเป็นเป้าสายตาโดยทันที แม้แต่เด็กปัญญาอ่อนยังมองออก เหตุการณ์แบบนี้มัน...ราวกับศึกชิงนางชัดๆ!
“คุณซิออน...คุณริว เล่นบ้าอะไรกันครับเนี่ย” ซันพยายามเรียกสติ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เข้าไปในโสตประสาตของทั้งคู่เลยแม้แต่น้อย
ให้ตายสิ...นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ยยยย!!!!
...
“เอ๋!!! ทำเป็นเอ็มวีเนี่ยนะ!!?” เคลียร์เบิกตากว้าง
“ใช่ เพราะอัลบั้มนี้ได้รับกระแสความนิยมทั้งจากโลกโซเชี่ยวและวงการเพลงล้นหลามมาก อัลบั้มของเธอจึงจะได้รับทำเป็นเอ็มวีหมดทั้งอัลบั้มสิบเพลง เธอยังไม่รู้เรื่องอีกเหรอ” หญิงสาวผู้เป็นผู้จัดการขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
“ผมรู้แล้วว่าอัลบั้มใหม่ผมจะได้ทำเป็นเอ็มวี...แต่ไม่รู้ว่าจะต้องมาถ่ายทำที่นี่ด้วย”
“แค่เอ็มวีเดียวเองน่ะ ” ผู้จัดการสาวว่า ที่นี่ที่เคลียร์เอ่ยถึงคือมหาวิทยาลัย A ชื่อดังนั่นเอง “เคลียร์ไม่ชอบที่นี่เหรอ?”
“เปล่าครับ...” เคลียร์ได้แต่ขมวดคิ้วในใจ ก็ที่นี่น่ะ...เป็นที่ๆ เอน่าเรียนอยู่นี่นา! เขาอุตส่าห์อยากจะหนีจากเอน่า แต่กลับต้องมาถ่ายเอ็มวีที่มหาลัยนี้เนี่ยนะ! เอ็มวีนึงใช้เวลาถ่ายอย่างมากก็ตั้งสองสัปดาห์เชียวนะ!
ตอนนี้เขาเองก็มาคุยงานกันอยู่ที่มหาลัย A ทีแรกเขาเองก็สงสัยอยู่ว่าทำไมต้องเป็นที่นี่... แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว ผู้จัดการตั้งใจจะมาขออนุญาตผู้อำนวยการทีเดียวเลยนี่เอง
“เพลงอะไรครับ...ที่ต้องมาถ่ายที่นี่”
“เส้นขนานน่ะ” เคลียร์แทบจะล้มหน้าทิ่ม เส้นขนานเป็นเพลงที่เขาแต่งสื่อถึงความรักต้องห้ามที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ ซึ่ง...ความหมายเชิงลึกของเพลงที่เขาสื่อก็คือความรักระหว่างชายกับชาย...
“เอ่อ...เล่นเป็นเอ็มวีเกย์ที่นี่เลยอ่ะนะ”
“เธอแต่งมาแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? ถึงจะไม่ได้บอกในเพลงว่าหมายถึงเกย์ก็เถอะ แต่คำว่ารักต้องห้ามน่ะ...ถ้าสื่อเป็นรูปแบบเพศเดียวกันจะเข้าใจชัดกว่านะ แล้วอีกอย่าง...เธอเปลี่ยนใจไม่ได้แล้ว เพราะทางค่ายเขาหาตัวพระเอกเอ็มวีมาเล่นคู่กับเธอเรียบร้อยแล้ว”
“ใครครับ...ที่เล่นคู่ผม”
“อโลน นักแสดงที่ฮิตกันอยู่ในช่วงนี้ไง ทางนั้นเขาเองก็รับงานเรียบร้อยแล้วนะ” ความหมายก็คือ...ทุกอย่างเตรียมการสำหรับเอ็มวีนี้เรียบร้อยแล้ว จะยกเลิกไม่ได้นะ
“...ให้ตาย” เคลียร์แทบลมจับ ความหมายของเพลงเส้นขนานที่เขาสื่อออกมาค่อนข้างรุนแรงนิดหนึ่ง เป็นเพลงที่สื่ออารมณ์ประมาณดราม่าทั้งเพลง
แค่เนื้อเพลงยังแรง...แล้วเอ็มวีจะขนาดไหน!?
“อ๊ะ ได้เวลาที่ฉันต้องไปห้องผู้อำนวยการแล้ว เคลียร์รอที่ห้องนี้ไปก่อนนะ”
“ครับ...” เคลียร์ว่าจบก็ล้มตัวนอนบนโซฟาทันที นี่เป็นห้องรับรองแขกของมหาวิทยาลัย A จึงถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแขกที่นักศึกษาไม่สามารถเข้ามาได้
หิวน้ำจัง... เคลียร์ที่ไม่สามารถนอนหลับได้สนิทเพราะหิวน้ำรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ถ้าออกจากห้องนี้ไปก็ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายตามมา
“แปดโมงเอง...ไม่เป็นไรหรอกมั้ง” เคลียร์ว่าจบก็ค่อยๆ แง้มประตูส่องดูรอบๆ ยังไงเสียพื้นที่ส่วนนี้ก็ห้ามนักศึกษาเข้ามาอยู่แล้ว...
“เคลียร์?” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็เรียกขึ้น เคลียร์แทบจะช็อกแข็งเป็นหิน เขายังไม่ทันก้าวขาออกจากห้องเลยเนี่ยนะ!
“อ่ะ...” เคลียร์หันไปมองแขกไม่ได้รับเชิญอย่างอึ้งๆ “อะ...เอ...เอน่า!!!”
“นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” เอน่าพูดอย่างอึ้งๆ “ห้องรับแขก...มาคุยงานเหรอ?”
สมกับเป็นเอน่า... ไม่ถามก็รู้ได้ เคลียร์แอบแขวะในใจด้วยความหมั่นไส้
“แล้วจะทำไม?” เคลียร์ปรับสีหน้าทุกอย่างเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“เพราะมันเป็นที่โดดประจำของฉันไง ฮ่าๆๆ” เอน่าไม่ว่าเปล่า เขาจัดการออกแรงเปิดประตูที่เคลียร์จงใจยืนขวางเข้าไปทันทีอย่างไม่บอกไม่กล่าว
“เจ้าบ้า! นี่นายโดดเรียนมาทำไมเล่า! กลับไปเรียนซะ!”
“ฉันเรียนหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว เพราะฉันเข้าใจเนื้อหาที่จำเป็นต้องเรียนหมดแล้ว” เอน่าว่า “แล้วอีกอย่าง ฉันใช้ห้องนี้ตั้งแต่เข้าปี1 แล้ว...ยังไม่มีใครมาว่าฉันซักคำ”
เคลียร์ขมวดคิ้วใส่อย่างคนหมดข้อโต้แย้ง เอน่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อยู่ในระดับสูง เขาทั้งเรียนเก่ง เล่นดนตรีได้ระดับมืออาชีพ มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับนายแบบหลุดออกมา กีฬาเก่ง รูปร่างดี และอะไรอีกหลายๆ อย่าง
เรียกได้ว่าอัจฉริยะเลยก็ว่าได้... ดังนั้นเขาจึงไม่เถียงในการกระทำของเอน่าซักอย่าง เพราะเอน่าเป็นคนที่ทำอะไรย่อมมีเหตุผลเสมอ
ถึงแม้บางเรื่องเหตุผลมันจะงี่เง่าก็เถอะ...
“เหวอ!” จู่ๆ เคลียร์ที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ถูกกระชากลงนั่งโซฟาตัวใหญ่อย่างรวดเร็ว! แถมยังเป็นนั่งบนตักเอน่าอีกต่างหาก!
“ทำบ้าอะไร...”
“จู๊ๆ อย่าหนีสิ” เอน่ากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นเมื่อเคลียร์ออกตัวดิ้น “นายก็น่าจะรู้นะ ว่าฉันไม่ปล่อยนายไปง่ายๆ หรอก”
“พอซักทีจะได้มั๊ย เลิกแกล้งไร้สาระซักที ฉันจะทนไม่ไหวแล้วนะ!”
“...ไม่ได้ไร้สาระซักหน่อย”
“หา? ให้หมาแถวบ้านดูยังรู้เลยว่ามันไร้สาระ! นายชอบทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงอยู่เรื่อย ทั้งกอดบ้าง อุ้มบ้าง...สารพัดนั่นล่ะ! ฉันไม่ชอบ...” จู่ๆ เคลียร์ก็ชะงัก ก่อนที่จะแสยะยิ้มน้อยๆ อย่างคนมีชัย
“อ๋อ...หรือว่าคนอย่างเอน่า อัจฉริยะที่สาวๆ ต่างใฝ่ฝันถึงอย่างนายจะมาเป็นเกย์ชอบฉันกันนะ ฮ่าๆๆๆ”
“อืม นั่นล่ะ”
“...ฮะ?”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันชอบนาย เหตุผลพวกนี้จะทำให้นายยอมรับได้รึเปล่า?” เอน่าถามขึ้น นัยน์ตาสีแดงทับทิมคู่สวยมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของเคลียร์อย่างจริงจัง
“อะ...อะไรของนาย อย่ามาตลก...” เคลียร์ที่จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวอย่างไม่มีสาเหตุรีบชันตัวออกจากอ้อมกอดของเอน่าอย่างรวดเร็ว แต่เอน่ากลับกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นกว่าเดิมจนใบหน้าของเคลียร์แทบจะเข้ามาติดเอน่าอยู่รอมร่อ
"นี่มันไม่ใช่เรื่องตลก แล้วก็ไม่ได้เป็นการแกล้งด้วย...” เอน่าว่าพลางขยับใบหน้าเข้าใกล้ “ฉันชอบนาย...”
เคลียร์เบิกตากว้าง หัวสมองขาวโพลนจนไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกจนได้แต่มองภาพเอน่าที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ริมฝีปากอิ่มของเอน่าค่อยๆ ประทับลงบนริมฝีปากบางช้าๆ ก่อนที่จะ...
ปัง!
“เอน่า จะโดดแล้วทำไมไม่โทรบอกฉัน...อ้าว?” ซิการ์ที่จู่ๆ เข้ามาอย่างไม่บอกไม่กล่าวเบิกตามองทั้งคู่อย่างสงสัย เคลียร์ที่เพิ่งได้สติรีบลุกพรวดออกจากตัวเอน่าอย่างแรง ก่อนที่จะออกตัววิ่งอย่างรวดเร็ว!
“เคลียร์!” เอน่าเข้ากระชากแขนบางของเคลียร์อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ราวกับคาดไว้แล้วว่าปฏิกิริยาของเคลียร์ต้องเป็นเช่นนี้
“ปล่อย...”
“ถ้าปล่อยไปนายก็คงไม่ยอมคุยกับฉันต่อน่ะสิ”
“ปล่อยนะเจ้าบ้า!!” เคลียร์ออกแรงดึงแขนตนเองกลับอย่างแรงโดยไม่สนใจว่าแขนบางๆ ของตนจะบอบช้ำหรือไม่เลยแม้แต่น้อย
“เคลียร์! อย่าดิ้นจะได้มั๊ย!”
“พอได้แล้ว! ตั้งแต่ที่ฉันรู้จักนาย...นายมันเป็นตัวซวยของฉัน!!” เคลียร์ออกแรงเฮือกสุดท้ายสะบัดแขนเอน่าอย่างแรงก่อนจะออกตัววิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“...” ซิการ์ที่มองเหตุการณ์อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ แต่ที่เขารู้แน่ๆ คือ...
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ง่ายๆ แน่นอน...
...
“เอ๋!? เอรีสไม่สบาย?” ฟุยุกิแทบจะตะโกนออกมาลั่นห้อง ถ้าไม่ติดว่าจะมีสายตาของเพื่อนนักเรียนด้วยกันมองมาแปลกๆ เสียก่อน
“ดะ...เดี๋ยว ทำไมล่ะ เอรีสคนนั้น...เนี่ยนะ?” ฟุยุกิถามเลิกลั่ก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นระยะเวลาเพียงไม่นานที่เขาได้รู้จักเอรีส แต่กระนั้นมันก็ยากที่จะเชื่ออยู่ดีว่าเอรีสคนนั้น...ป่วย! เอรีสที่ร่าเริงสดใสสุดขั้วคนนั้น...ป่วย!!
‘ช่ายยย ฉันก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน...ว่าแต่ฟุยุอยู่คนเดียวได้หรือเปล่า? จะโดดเรียนมาบ้านเอรีสได้นะ!’ เสียงคิเรย์ถามลอดออกมา
“อ้อ อืม...ไม่เป็นไรหรอก อยู่ได้ ไม่เป็นไร” ฟุยุกิหัวเราะเบาๆ ทั้งสองคุยกันอีกซักพักจากนั้นก็วางสายไป ฟุยุกิกำลังจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นชายแปลกหน้าที่มองมาเสียก่อน
“เหวอ! พี่คิลิน!” ฟุยุกิแทบจะล้มตกเก้าอี้เมื่อคิลินโผล่มาแบบไม่บอกไม่กล่าว ในมือถือเอกสารราวกับตั้งใจจะนำมาส่งให้เด็กนักเรียนห้องม. 4/B
“เอรีส...ป่วยเหรอ?” คิลินถามไม่สนใจอาการฟุยุกิ
“อ้อ... ครับ เมื่อกี้คิเรย์โทรมาบอกว่าเอรีสป่วย...”
“...” คิลินเบิกตากว้าง เอรีสเป็นอะไรนะ จะเป็นไข้หนักหรือเปล่า คนอย่างเอรีสเนี่ยนะ!
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับพี่คิลิน คิเรย์เขา...”
“พาไปหน่อย”
“...เอ๊ะ?”
“เร็วเข้า พาฉันไปหาเอรีสหน่อยสิ” คิลินไม่ว่าเปล่า เขาออกแรกดึงตัวฟุยุกิเบาๆ อบ่างจะให้เดินตาม
“เอ่อ พี่คิลิน...จะโดด?” ฟุยุกิทวนความหมายที่คิลินสื่ออย่างไม่เชื่อหู
“เร็วเข้าสิ!”
“เอ่อ ครับๆๆๆ!” ฟุยุกิได้แต่วิ่งตามคิลินออกไป วันนี้มันวันอะไรกัน ทั้งได้เห็นเอรีสป่วย...แล้วยังได้เห็นพี่คิลินโดดอีก!
แปดโมงแล้ว...หน้าประตูโรงเรียนก็ปิด จะปีนรั้วออกไปก็เด่นเกินไป...
“ทางนี้” กลับเป็นคิลินที่เดินนำ คิลินเดินนำไปยังสวนดอกไม้ของโรงเรียน “ถ้าปีนรั้วตรงนี้ล่ะก็ ยามต้องไม่เห็นแน่ๆ”
“เอ๋ ปีน” ฟุยุกิตะลึง “จะปีนยังไงอ่ะครับ”
คิลินไม่ตอบ เพียงแค่หันไปหยิบเก้าอี้สวนตัวหนึ่งลากมาวางข้างๆ ก่อนจะออกตัวขึ้นเหยียบเก้าอี้ปีนขึ้นไปบนรั้วอย่างคล่องแคล่วผิดภาพลักษณ์จากเดิมโดยสิ้นเชิง!
“เอ่อ เดี๋ยวฉันจะไปรอรับฟุยุกิข้างล่างนะ” คิลินว่า ก่อนจะค่อยๆ ปีนลงนอกรั้วโรงเรียน “ฟุยุกิลงมาได้เลยนะ”
ฟุยุกิค่อยๆ ทำตามคิลินช้าๆ เขาค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ก่อนจะค่อยๆ ปีนขึ้นรั้วอย่างยากลำบาก ทั้งๆ ที่มันยากขนาดนี้...ทำไมพี่คิลินถึงทำได้คล่องจังนะ!
“พี่คิ...เหวอ!!”
“ฟุยุกิ!” ฟุยุกิที่พลาดท่า ล่วงหล่นลงจากรั้วอย่างรวดเร็ว! ฟุยุกิได้แต่หลับตาปี๋คิดอะไรไม่ออก...
“...เด็กโดดเรียน?” ฟุยุกิลืมตาพรวดทันที เสียงแบบนี้เขาจำได้...
“คะ...คุณริว!” ฟุยุกิเบิกตากว้าง เขาได้คุณริวช่วยรับในขณะที่เขาพลาดท่าตกลงมานี่เอง ริวค่อยๆ วางฟุยุกิลงบนพื้นช้าๆ แต่...
“โอ๊ย!”
“ฟุยุกิเป็นอะไรไป!” คิลินเข้ามาถามอย่างเป็นห่วง
“ดูเหมือนว่า...ข้อเท้าจะแพลงนะครับ”
“ไม่ได้การ รีบไปโรงพยาบาลกันก่อนดีกว่า”
“ไม่เป็นไรครับพี่คิลิน ผมข้อเท้าแพลงจนชินแล้วล่ะ...” คิลินว่า “พี่คิลินไปหาเอรีสก่อนก็ได้นะครับ เอรีสอยู่คอนโด A ชั้นสามห้องสี่สี่แปดน่ะครับ”
“ไม่ได้นะ เดี๋ยวฉัน...”
“มาสิ” ริวเอ่ยขึ้นแทรก ก่อนจะออกแรงอุ้มฟุยุกิขึ้นในท่า...เจ้าสาว!?
ฟุยุกิที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวถึงกับอ้าปากค้าง ริวหันไปหาคิลินช้าๆ
“เดี๋ยวฉันพาไปเอง” ว่าจบริวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาออกตัวเดินจากไปทันที ฟุยุกิได้สติรีบหันไปพูดกับคิลินด้วยความกลัวว่าคิลินจะเป็นห่วงเกินไป
“เอ่อ! พี่คิลิน ไม่ต้องห่วงผมนะครับ! ผมรู้จักพี่คนนี้ เพราะงั้นพี่คิลินไปก่อนได้เลย!” คิลินได้แต่พยักหน้าให้อย่างช่วยไม่ได้
คิลินเดินหาคอนโด A ทันที เขารู้จักคอนโด A อยู่แล้ว... มันเป็นคอนโดที่คนมีฐานะเท่านั้นจะได้อยู่ ทางบ้านเอรีสคงจะมีฐานะพอสมควรล่ะนะ...
คิลินเข้ามาถึงห้องสี่สี่แปดชั้นสามได้ง่ายๆ เพราะทางบ้านของเขาเองก็มีทำธุรกิจกับคอนโดนี้เช่นกัน พวกพนักงานบางคนที่รู้จักนามสกุลของเขาก็ไม่มีใครกล้ามาขวาง
ก๊อกๆๆ
‘เอ๋? มีใครมาด้วยแน่ะ พี่สาวเหรอ?’ เสียงจากข้างในลอดออกมา
‘แค่ก...ไม่รุ้สิ’
คิลินรอไม่นานนัก คิเรย์ก็เปิดประตูออกให้ คิเรย์มองคิลินอย่างสงสัย
“...สวัสดีครับ?” คิลินลนลานเล็กน้อยเมื่อเจอคนไม่รู้จัก
“เอ่อ...นี่...นี่เป็นห้องของ...เอรีสหรือเปล่า...”
“ครับ! นี่เป็นห้องของเอรีส!”
“เอ่อ...ฉันคิลิน...”
“พี่คิลินเหรอ!” ยังไม่ทันทีคิลินจะได้แนะนำตัว เสียงเอรีสก็ดังขึ้นแทรกเสียก่อน เสียงตึกตักของฝีเท้าดังขึ้นเรื่อยๆ เอรีสโผล่พรวดออกมาในสภาพชุดนอน ใบหน้าแดงก่ำอย่างคนป่วย แต่กระนั้นสายตากลับดูร่าเรงสดใสไม่ได้มีแววของคนป่วยเลยซักนิด
“พี่คิลิน! ว้าว พี่คิลินมาเยี่ยมเหรอครับ...แค่กๆๆ!”
“อะ...เอรีส! อย่าตะโกนสิ” คิลินรีบเข้าไปห้าม “เช็ดตัวหรือยัง เข้าไปนอนดีๆ สิ...”
“แหะๆ ผมดีใจไปหน่อย ขอโทษฮะ” เอรีสว่า “ฮี่ๆ งั้นพี่คิลินมาพยาบาลผมหน่อยสิฮะ ผมเป็นคนป่วยนะ!”
“...งั้นก็นอนดีๆ สิ” บัดนี้คิลินไม่เข้าใจอาการป่วยของเอรีสเลยแม้แต่น้อย... ทั้งๆ ที่ป่วยจนหน้าแดงไปหมดขนาดนี้แต่กลับยังยิ้ม หัวเราะ และวิ่งได้!
เอรีสนี่เหนือมนุษย์จริงๆ...
...
“เอ่อ...คุณริว วางผมเถอะครับ ผมไม่เป็นไรหรอก”
“เดินไม่ไหวไม่ใช่เหรอ” ริวถามตอบ
“พันผ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะครับ” ฟุยุกิพยายามฝืนอาการใจเต้นของตนเองเข้าสู้ แต่ริวกลับไม่สนใจถามต่อดื้อๆ
“หาอะไรกินกันไหม? ใกล้จะเที่ยงแล้ว...”
“อ่า...ครับ” ฟุยุกิพยักหน้าเกร็งๆ แต่กระนั้นใบหน้าหวานกลับแดงก่ำอย่างช่วยไม่ได้ก็เมื่อตอนนั้น...
ฉันเองก็ชอบหน้านาย...
ตึกตัก ตึกตัก...
อ๊า!! เลิกคิดๆๆๆๆ! ฟุยุกิพยายามไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว ริวดูสงสัยกับท่าทีของฟุยุกิเล็กน้อย ริววางฟุยุกิลงบนม้านั่งสวนสาธารณะ ก่อนจะหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นหาเหรียญ
“จะเอาอะไร?” ฟุยุกิมองกระเป๋าตังค์ด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง ในกระเป๋าตังค์ใบนั้น....มีรูปเขาอยู่!!!
“...ฟุยุกิ?” ริวเรียก
“เอ่อ!!! ครับ!!! ผมเอาน้ำเปล่าครับ!!”
“...ทำไมต้องตะโกน?”
“เอ่อ...ขอโทษครับ” ฟุยุกิหน้าแดงแจ๋พูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“...ทำไมต้องกระซิบ?”
“เอ่อ...ก็เมื่อกี้ผม...เอ่อ พูดเสียงดังไป ก็เลยพูดเสียงเบา...เอ่อ... เสียงเบาไปเลยเป็นกระซิบ”
“คิก... รออยู่ตรงนี้นะ” ริวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดีดหน้าผากฟุยุกิเบาๆ แล้วเดินออกไป ปล่อยให้ฟุยุกิได้อึ้งค้างกับรอยยิ้มของริวเป็นครั้งที่สอง...
คุณริว...ยิ้มได้น่ารักชะมัดเลย
...
แปลก...
“เต้ มาอยู่กลุ่มภาษาอังกฤษด้วยกันมั๊ย?” เป็นภาพเคนโซเดินเข้ามายิ้มให้หน้าโต๊ะ
แปลกมาก...
“เต้ ใบไม้ติดหัวแน่ะ” เป็นภาพเคนโซเข้ามาปัดใบไม้ออกให้อย่างใจดี
แปลกสุดๆ...
“เต้ ไปหาอะไรกินกันเถอะ” เป็นภาพเคนโซส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ข้างโต๊ะ
ประหลาด!!!!
“นายเป็นบ้าอะไรของนาย!!” เต้ลุกขึ้นโวยอย่างแรง ทำเอาเคนโซถึงกับสะดุ้งไปเล็กน้อย
“อะไร ฉันแค่ชวนนายไปหาอะไรกิน”
“ก็นั่นแหละ! ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว...นายหัวไปกระทบกระเทือนอะไรหรือเปล่า! เจ้าลูกสมุนดารานั่นทำอะไรนายงั้นเหรอ!?” เต้เอื้อมมือขึ้นเขย่าหัวเคนโซอย่างบ้าคลั่ง ตอนนั้นที่เต้พูดถึงก็คือตอนที่เคนโซคล้ายจะไปมีเรื่องกับเอน่านั่นเอง
เพราะเป็นคำพูดที่คล้ายจะเป็นห่วง เคนโซจึงแอบยิ้มในใจเล็กน้อย
“ไม่เอาน่า ไปกันเถะ” เคนโซไม่ว่าเปล่า เขาออกแรงดึงตัวเต้ไปอย่างอารมณ์ดี ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเคนโซจะใช้เวลาให้กับสาวๆ ในสต็อกแท้ๆ
ทั้งสองเดินไปถึงโรงอาหารเป็นที่เรียบร้อย เคนโซซื้อไส้กรอกมาสองไม้ให้เต้ไม้หนึ่ง นั่นทำให้เต้แทบจะอ้าปากค้าง
“เฮ้ย!! นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย!”
“เสียมารยาทจริง คนอุตส่าห์เลี้ยง” เคนโซขมวดคิ้วน้อยๆ “จริงสิ! ฉันมีเรื่องจะบอกนายล่ะ”
“หา?”
“คืนพรุ่งนี้สนใจไปผับกับฉันมั๊ย?
“ผับ...” เต้นื่งไปชั่วครู่ “น่าสนุกจัง!! ฉันอยากไปมานานแล้ว!”
“ใช่ม๊า ฉันทำงานพิเศษเป็นนักร้องในนั้นด้วยนะ อยากไปดูหรือเปล่า?”
“เฮอะ! ถ้าฉันไปคงไม่ไปดูนายหรอก” เต้แสยะยิ้มน้อยๆ พลางงับไส้กรอกเข้าปาก “แต่ว่ามันต้องอายุสิบแปดไม่ใช่เหรอ...”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันพาเข้า” เคนโซยิ้มก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เต้พร้อมกับเลียซอสบนแก้มใสเบาๆ
“ซอสเลอะแน่ะ”
“ฮะ...จะ...เจ้าหื่นเคนโซ!!!!”
...
“...โอ๊ะ” คราฟฟ์ร้องเบาๆ เมื่อจู่ๆ ก็มีกระดาษปริศนาปลิวมาโดนใบหน้าของเขา คราฟฟ์หยิบกระดาษออกดูอย่างสงสัย กระดาษแผ่นนั้นเป็นกระดาษคอร์ดเพลง...เส้นขนานของเคลียร์ซึ่งเป็นนักร้องฮิตติดอันดับในตอนนี้
“ของใครกันนะ...”
“คราฟฟ์?” คราฟฟ์หันตามเสียงเรียกอย่างสงสัย จากนั้นก็แทบจะเบิกตากว้างเป็นไข่ห่าน
“คุณกราฟ!?” คราฟฟ์มองกราฟที่อยู่ในชุดนักศึกษาอย่างอึ้งๆ “นี่มันที่โรงเรียน...ไม่ใช่เหรอครับ?”
“อืม พอดีฉันทำโน้ตเพลงปลิวน่ะ... เห็นมันปลิวเข้ามาที่โรงเรียนนี้เต็มเลย ฉันเลยจะเข้ามาเก็บน่ะ...” กราฟว่าพลางยื่นมือขอกระดาษบนมือคราฟฟ์ คราฟฟ์เองก็ยื่นให้กราฟเช่นกัน
“...คุณกราฟนี่ชอบดนตรีจังนะครับ”
“...งานน่ะ ฉันทำงานที่ผับ เลยต้องซ้อมเยอะๆ หน่อย...” กราฟยิ้มก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “เพลงนี้เพราะมากเลยนะ เคยฟังหรือเปล่า”
“...เส้นขนานน่ะเหรอครับ”
“อืม ความหมายดีด้วย...เห็นว่านักร้องเรียนอยู่โรงเรียนนี้นี่นา เคยเจอบ้างหรือเปล่า?”
“ก็เคยบ้างนะครับ ที่ตัวเล็กๆ หน้าหวานๆ...”
“...” ทั้งสองเงียบลงอย่างคนหมดเรื่องคุย แต่แล้วคราฟฟ์ก็เหลือบไปเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งปลิวตามสายลมผ่านมา
“คุณกราฟ! นั่นไง!”
“อ่ะ จริงด้วย” กราฟมองตามคราฟฟ์ กระดาษโน้ตเพลงปลิวละล่อนเข้าไปติดในพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ทั้งสองวิ่งตามเข้าไปหมายจะเก็บ กราฟพยายามหยิบกระดาษออกจากกิ่งไม้ แต่พอดึงออกกระดาษก็เป็นรอยคล้ายจะขาด
“คุณกราฟใจเย็นๆ สิ” คราฟฟ์รีบปราม เขาค่อยๆ ดึงออกอย่างใจเย็น “นี่ไง ได้แล้วครับ”
“...”
กราฟเผลอเหม่อมองรอยยิ้มอันอ่อนโยนของคราฟฟ์ไปชั่วครู่ ก่อนจะแสร้งกลบเกลื่อนด้วยเรื่องอื่นทันที
“ใจเย็นจังนะ”
“คุณกราฟใจร้อนต่างหากล่ะครับ” คราฟฟ์ยิ้ม “ช่วยกันหาต่อกันดีกว่าครับ เดี๋ยวกระดาษปลิวหายไม่รู้ด้วยนะ”
กราฟยิ้มให้กับความใจดีของคราฟฟ์เล็กน้อย
คราฟฟ์เป็นคนที่อบอุ่นจริงๆ...
...
“ว้ายเธอดูสิ... นั่นมันพี่ซิการ์นี่นา!”
“จริงด้วยๆ มาทำอะไรกันนะ!”
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ซิการ์มายืนพิงประตูโรงเรียนนิ่งๆ ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มธรรมชาติให้เห็นอยู่ เพียงแต่ดูแข็งกระด้างจากเดิมเล็กน้อย
ซิการ์เหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มหน้าหวานที่กำลังเดินออกจากโรงเรียนพอดี ซิการ์จึงรีบเรียกรั้ง
“เนย์จิคุง!”
เนย์จิหันมามองตามเสียงเรียกอย่างสงสัย จากใบหน้ายามปกติเปลี่ยนมาเป็นเบิกตากว้างทำหน้าโหดแทบจะทันที
“แกมัน! ...มาที่นี่ทำไม!”
“เนย์จิคุงเห็นเคลียร์บ้างหรือเปล่า? อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ?” ซิการ์รีบเข้าประเด็นอย่างคนไม่ต้องการทะเลาะด้วย
“เคลียร์? ...แล้วทำไมฉันจะต้องบอกนายกันด้วยเล่า!”
ตอนนี้ทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาของบรรดานักเรียนที่พากันทยอยกลับบ้านไปเสียแล้ว เพราะคนหนึ่งมีใบหน้าหล่อคมผู้เป็นที่ชื่อชอบของสาวๆ และอีกคนก็มีใบหน้าหวานน่ารักเกินผู้หญิง เป็นที่ชื่อชอบของหนุ่มๆ(?)
ซิการ์เห็นว่าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยเสียเท่าไหร่ จึงออกตัวดึงเนย์จิออกจากฝูงชนทันที
“เจ้าบ้า! แกจะทำอะไร! ฉันจะกลับบ้าน!”
“กลับน่ะได้กลับแน่ครับ แต่ต้องหลังจากที่นายบอกผมก่อน” ซิการ์ดึงเนย์จิที่ทั้งดิ้นทั้งโวยวายมาหลบที่หลังโรงเรียน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วซิการ์จึงเริ่มถามอีกครั้ง
“เอาล่ะ...ตกลงเห็นเคลียร์บ้างมั๊ย?”
“...” เนย์จิแสยะยิ้มให้แทนคำตอบ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาถือไพ่เหนือกว่า
“...เนย์จิคุง ผมรีบ” ซิการ์ยังคงยิ้ม เพียงแต่เป็นรอยยิ้มที่เย็นเสียจนเนย์จิเองก็อดรู้สึกหนาวๆ ขึ้นมาไม่ได้ แต่กระนั้นเนย์ก็ยังคงยืนกรานยิ้มอย่างมีชัยต่อ
“ทำไมฉันจะต้องบอกด้วยเหรอ?”
จู่ๆ ซิการ์ก็เชยคางเนย์จิขึ้นสบตา ยังไม่ทันที่เนย์จิจะได้ปัดมือซิการ์ออก ซิการ์ก็ชิงรวบข้อมือทั้งสองของเนย์จิขึ้นตรึงเหนือหัวอย่างรวดเร็ว!
เนย์จิเบิกตากว้างมองซิการ์ที่ไม่เหมือนซิการ์ยามปกติอย่างอึ้งๆ
“ผมถาม...ก็ตอบ อย่ามาทำให้ผมหงุดหงิดจะได้มั๊ย?”
“...” เนย์จิแสร้งทำทีเป็นไม่กลัวเชิดหน้าขึ้นสู้ต่อ “หึ! อะไรของนาย เกิดคิดพิศวาสเจ้านั่นรึไง!”
“...” ซิการ์ไม่ตอบ ทำให้เนย์จิรู้สึกใจหายแปลกๆ ทั้งๆ ที่ตนเป็นคนพูดขึ้นมา
“ตอบซักที ผมไม่มีเวลามาเล่นแง่หรอกนะ” ซิการ์เริ่มหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์เมื่อเช้าอย่างน้อยเขาเองก็มีส่วนผิดที่จู่ๆ เข้าไปขัดโดยไม่รู้เรื่อง ดังนั้นซิการ์จึงอยากช่วยเอน่ารับผิดชอบโดยการให้ทั้งคู่เข้าใจกันได้ เขาจึงยอมลงทุนมารอเคลียร์ถึงหน้าโรงเรียน ในขณะที่เอน่าไปรอที่บ้านของเคลียร์
แต่เขาจะไม่มีวันบอกเอน่าหรอกนะว่าเขาจะช่วย...
“ปล่อยนะ! พอซักที! ฉันจะกลับบ้าน!”
“งั้นก็หลังจากที่ตอบผมล่ะนะ” ซิการ์แกล้งยื่นหน้าเข้าใกล้อย่างหยอกล้อ เล่นเอาเนย์จิถึงกลับสะบัดตัวหลุดจากการเกาะกุมของซิการ์ได้
เพียะ!
ซิการ์เบิกตากว้าง ใบหน้าสะบัดไปตามแรงฝ่ามือเล็กๆ ของเนย์จิ ซิการ์มองเนย์จิอย่างไม่เชื่อสายตา
“พอซักที! อยากไปหาเจ้านั่นก็ไปซะสิ! แล้วเลิกมายุ่งกับฉันด้วย ไอ้โง่เอ๊ย!” เนย์จิออกตัววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ซิการ์ได้แต่อึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...
เมื่อกี้นี้...สีหน้าแบบนั้นมัน...
หึงงั้นเหรอ?
-----------------------------------
ตอนนี้บางคู่เริ่มไคล์แม็กกันแล้วนะคะ 555
คู่ซิการ์เนย์จินี่อารมณ์ตบจูบสินะ 555555 //โดนเนย์จิถีบ
แฮ่ๆ ขอโทษที่มาช้านะจ๊ะ เฉพาะช่วงนี้แหละนะ > <
ความคิดเห็น