คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1) อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในสมัยกลาง
1. อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4-5 จักรวรรดิโรมันได้ถูกรุกรานจากพวกเผ่าอนารยชนหลายเผ่า
พวกอนารยชนเหล่านี้ได้อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในดินแดนส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิโรมัน
ตะวันตก จักรพรรดิโรมันพยายามสร้างความเข้มแข็งให้จักรวรรดิโรมันที่กว้างขวางยิ่งใหญ่ให้คง
อยู่ด้วยการแบ่งจักรวรรดิออกเป็น 2 ภาค คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงโรม
และจักรวรรดิโรมันตะวันออก มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล แต่ก็ไม่สามารถทำให้
จักรวรรดิโรมันมั่นคงอยู่ได้ พวกอนารยชนได้รุกรานจักรวรรดิโรมันหลายครั้ง จนกระทั่งใน ค.ศ.
476 แม่ทัพเผ่าเยอรมันได้ปลดจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกลง ถือเป็นการสิ้น
สุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก ดินแดนยุโรปตะวันตกจึงได้แตกแยกเป็นอาณาจักรของอนารยชนเผ่า
ต่าง ๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม
ส่วนจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) ยังดำรงสืบต่อ
มาอีกเกือบ 1000 ปี จนกระทั่งล่มสลายใน ค.ศ.1453
การที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ยังคงดำรงอยู่ต่อมา นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออารยธรรมตะวัน
ตก เนื่องจากจักรวรรดิแห่งนี้ได้ถ่ายทอดมรดกทางอารยธรรมกรีก-โรมันในด้านต่าง ๆ ในเวลาต่อมา
คริสต์ศาสนาได้กำเนิดขึ้นในช่วงต้นของสมัยจักรวรรดิโรมัน ผู้ก่อตั้งศาสนา คือ พระเยซูคริสต์
หลังจากนั้นประมาณ 300 ปี คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาต้องห้ามของจักรวรรดิโรมันและถูกทางการ
ปราบปรามอย่างรุนแรง จนกระทั่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1
(Constantine I ค.ศ. 306-337) ทรงนับถือคริสต์ศาสนา และใน ค.ศ. 394 จักรพรรดิทีโอโดซิอัสที่ 1
(Theodosius I ค.ศ. 379-395) ได้ประกาศให้คริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน ทำให้
คริสต์ศาสนาขยายตัวมีผู้นับถือมากขึ้น
เหตุที่คริสต์ศาสนามีความเจริญรุ่งเรื่องและแผ่ขยายได้อย่างกว้างขวางเนื่องจาก
(1) จักรพรรดิโรมันในยุคนั้นขาดความสามารถในการบริหารและขาดคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ
(2) ผู้นำทางคริสต์ศาสนาในเวลานั้นมีคุณสมบัติที่จักรพรรดิไม่มี
(3) ความแตกแยกและเสื่อมโทรมของสังคมและการเมืองในจักรวรรดิสมัยนั้น คนจึงหวังมีชีวิตอย่างมี
ความสุขในโลกหน้า
(4) อานารยชนที่รุกรานเข้ามาได้ทำลายแต่ความรุ่งเรืองของโรมันในด้านสถาบันการเมืองการปกครอง
เท่านั้น หาได้ยุ่งเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาแต่อย่างใดไม่
เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมลง สถาบันคริสต์ศาสนากลับมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเมื่อ
จักรวรรดิโรมันล่มสลายไป ดินแดนในยุโรปมีแต่ความปั่นป่วน ศาสนาจึงได้เข้ามามีบทบาทเป็นผู้
นำในทางจิตวิญญาณของชาวยุโรป และสามารถมีอิทธิพลครอบงำยุโรปสมัยกลางทั้งด้านสังคม
เศรษฐกิจ และการเมือง
ในสมัยกลางคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป เพราะสังคมมีแต่ความวุ่นวายและความ
เสื่อม ผู้ที่ปรารถนาจะหลบหนีจากความวุ่นวายได้พบว่า คริสต์ศาสนาสามารถให้ความรู้สึกที่มั่นคงทาง
จิตใจได้ คริสต์ศาสนาจึงแผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13
ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุดเหนือสถาบันใด ๆ และเข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปอย่างกว้าง
ขวาง คริสตจักรได้เสริมสร้างระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพตามแบบโรมันด้วยการสร้างความเป็น
เอกภาพของคริสต์ศาสนิกชน และคริสตจักรยังมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรทางโลก เช่น การสถาปนา
จักรพรรดิโรมันในสมัยกลาง ทำให้คริสตจักรมีความสัมพันธ์กับรัฐ พร้อมกับสร้างความชอบธรรมทาง
การเมืองให้แก่ศาสนจักรในสมัยกลาง คริสตจักรได้เข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปกลางเป็น
อย่างมาก ตั้งแต่กำเนิดจนเสียชีวิต เป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุด โดยผูกอำนาจในการตีความพระธรรม
และนำพาให้มนุษย์หลุดพ้นทางวิญญาณ เนื่องจากศาสนจักรเป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
มนุษย์ต้องดำเนินชีวิตตามคำสอนของศาสนาอย่างเคร่งครัด
การปฏิบัติตามคำสอนของศาสนจักรเป็นทางให้มนุษย์พบความสงบสุขในโลกของพระเจ้า ดังนั้น
ชาวยุโรปในสมัยกลางจึงมีความเชื่อฝังแน่นอยู่กับความเชื่อทางศาสนา และปฏิบัติตามคำสอนอย่าง
เคร่งครัด ถ้าผู้ใดหรือชนกลุ่มใดมีความเห็นขัดแย้งกับศาสนจักรจะต้องถูกศาสนจักรไต่สวนและลง
โทษ เช่น
- การไล่ออกจากศาสนาหรือบัพพาชนียกรรม (excommunication) เป็นการห้ามผู้ต้องโทษไม่ให้เข้า
ร่วมกิจกรรมหรือพิธีกรรมใด ๆ ทางศาสนา ทำให้วิญญาณไม่ได้หลุดพ้น รวมทั้งห้ามติดต่อกับ
ศาสนิกชนอื่น ๆ ด้วย
- การตัดขาดจากศาสนาทั้งชุมชน (interdiction) เป็นการลงโทษประชาชนทั้งดินแดน โบสถ์ในดิน
แดนนั้นจะปิด ไม่ประกอบพิธีกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น เท่ากับทำให้ประชาชนในดินแดนนั้นขาดการติดต่อ
กับพระเจ้าและไม่ได้หลุดพ้น ส่วนมากกฎข้อนี้ใช้ในการลงโทษการกระทำของผู้นำรัฐ
การลงโทษทำให้ศาสนจักรมีอำนาจเหนือประชาชนในสังคมทุกระดับชั้น ตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง จน
ถึงข้าติดที่ดินระดับล่างสุด และการลงโทษดังกล่าวนี้เองที่ศาสนจักรใช้ต่อสู้ทางอำนาจกับอาณาจักร
ตลอดช่วงสมัยกลาง ประชาชนในยุคสมัยกลางมีความเกรงกลัวการลงโทษของคริสตจักรเป็นอย่างยิ่ง
จึงมีความเคารพเชื่อฟังศาสนา และทำให้ศาสนจักรมีความแข็งแกร่งมั่นคง การที่ศาสนจักรมีอำนาจมาก
ทำให้คริสต์ศาสนามีบทบาททางด้านการเมืองและเศรษฐกิจในสังคมสมัยกลาง
1.2 บทบาททางการเมือง
ศาสนาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในระบบการเมืองของยุโรปทั้งในระบบกษัตริย์และระบบฟิวดัลรวมทั้ง
ระบบศาล
- ระบบกษัตริย์ ศาสนจักรได้อ้างอำนาจเหนือกษัตริย์และขุนนางในฐานะของผู้สถาปนา
กษัตริย์ สันตะปาปาอ้างอำนาจได้ตั้งแต่สันตะปาปาลีโอที่ 3 (Leo III ค.ศ. 795-816) ทรง
ประกอบราชพิธีสวมมงกุฎแก่จักรพรรดิชาร์เลอมาญ ใน ค.ศ. 800 การอ้างอำนาจของสันตะปาปานำ
ไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างศาสนจักรกับจักรพรรดิเยอรมันในสมัยกลาง
- ระบบฟิวดัล ศาสนจักรได้เข้ามามีบทบาทในการยุติสงครามการแย่งที่ดินระหว่างเจ้านายที่ดินต่าง ๆ
และการที่ศาสนจักรมีที่ดินจำนวนมากทำให้ศาสนจักรต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าของที่ดิน
- ระบบการศาล ศาสนจักรได้จัดระบบการพิจารณาศาล จึงอ้างในสิทธิที่จะพิจารณาคดีทั้งศาสนาและทางโลก
ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งในสมัยกลาง เนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจากประชาชน
และบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครองมอบให้ศาสนจักร แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศาสนจักรมีอำนาจในสมัย
กลาง ได้แก่ การจัดการอำนาจแบบรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพของศาสนจักร
คริสตจักรได้วางรูปแบบการบริหารงานเลียนแบบการบริหารของจักรวรรดิโรมัน ทำให้คริสตจักรเป็น
สถาบันที่มีกฎระเบียบและมีเป้าหมายชัดเจนโดยมีสันตะปาปา (Pope) เป็นประมุขสูงสุด และมีคาร์ดินัล
(cardinal) เป็นที่ปรึกษา ในส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นมณฑล ซึ่งมีอาร์ชบิชอป (archbishop) เป็นผู้ปกครอง ถัด
จากระดับมณฑล คือ ระดับแขวง ภายใต้การปกครองของบิชอป (bishop) ส่วนหน่วยระดับล่างสุด คือ ระดับ
ตำบล มีพระหรือบาทหลวง (priests) เป็นผู้ปกครอง
ความคิดเห็น