คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Race Day #1 : สยายปีกขึ้นสู่ท้องฟ้า
(วันที่ 7 มิถุนายน ปี ค.ศ 2013)
“บ้าที่สุด...” เสียงของชายหนุ่มที่ใกล้จะสิ้นลมหายใจพูดขึ้นในขณะที่เขานั่งอยู่ในรถยนต์ที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้อีก ยายนต์คันนี้ชนเข้ากับกำแพงอิฐอย่างรุนแรง ควันลอยออกมาจากกระโปรงรถ รถคันนี้ได้กลายสภาพจากจักรสังหารมาเป็นเพียงแค่เศษเหล็กขนาดหนัก รอบๆมีแต่ทหารที่ติดอาวุธครบมือ ทหารทุกนายก็พร้อมจะปลิดชีพของชายคนนี้ เขาถอนหายใจก่อนจะเอามือกุมไว้ที่พวงมาลัยของยานพาหนะที่เขานั่งอยู่
“ขอบใจเธอมากนะ..เพราะเธอทำให้ชั้นมีความสุขได้ขนาดนี้”
สิ้นเสียงของชายวัยกลางคนคือเสียงของการลั่นไก กระสุนเจาะผ่านเข้าทะลุร่างกายก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงไปนอนกับพื้นคอนกรีตอันหนาวเหน็บ รอบๆมีแต่ทหารที่จ้องมองร่างไร้วิญญาณก่อนที่จะหันหลับกลับไปและขึ้นไปยังรถยนต์ของตนเองและขับจากออกไป ทิ้งให้ชายผู้น่าสงสารนี้นอนอยู่บนถนนท่ามกลางถนนอันมืดมิดอยู่เพียงผู้เดียว...
โลกเราตอนนี้ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว สิ่งที่เรียกว่าสงครามได้กลับมามีตัวตนอีกครั้งนึง เรื่องราวของความไม่ลงตัวของสองมหาอำนาจ และมันได้กลายเป็นสงครามของหลายๆฝ่าย จากเพียงระเบิดลูกนึงที่ยิงพลาดนั้น ระเบิดที่ทำการกลืนกินเหล่าหมู่เกาะต่างๆนาๆ ทำให้ประเทศหลายๆประเทศต่างเข้าร่วมสงคราม ไม่ใช่ในฐานะของกลุ่มประเทศที่รวมตัวกันอย่างในสงคามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 แต่ในฐานะประเทศของตนเอง สงครามนำพาผู้คนนับล้านต้องตายจากหายไป ไม่ว่าจะเป็นทหาร พสกนิกร ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง จะเกิดในฐานะอะไร หรือเป็นผู้ใดก็ตามก็สามารถตกเป็นเหยื่อของสงครามครั้งนี้ได้ทั้งหมด..
การศึกครั้งนี้ถูกขนานนามว่า “Wheel Gear” เพราะเหตุอันใดสงครามนี้จึงถูกขนามนามว่า “Wheel Gear” งั้นหรือ? ต้องย้อนไปก่อนว่า เนื่องด้วยทรัพยากรที่ขาดแคลน ทำให้นักวิทยาศาสตร์นาม “โจเซฟ ลินดอล” ได้นำยุทธปกรณ์มาประกอบเข้ากับรถยนต์ธรรมดา เมื่อคันแรกถูกปล่อยเข้าสู่สมรภูมิ มันกลับเป็นยานพาหนะชิ้นเดียวที่รอดกลับมาได้ และกองทัพของอีกฝ่ายนั้นพังพินาศย่อยยับ ความสำเร็จครั้งนี้ทำให้มี “Wheel Gear” ออกมาสู่สนามรบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ล้วนแต่ส่งเครื่องยนต์ของตัวเอง บางรุ่นก็ประสบผล แต่หลายๆรุ่นก็ล้มเหลว
--
(วันที่ 9 มิถุนายน ปี ค.ศ 2013)
ณ สนาม ฟูจิสปีดเวย์ สนามแข่งขันในญี่ปุ่นที่ถือว่าเป็นสนามแข่งที่ถูกใช้แข่งขันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันรถสูตร 1 ที่ดังที่สุดบนโลก หรือจะเป็น Super GT ที่เป็นการแข็งขันชื่อดังในญี่ปุ่น และในตอนนี้การแข่งขันของเด็กหนุ่มที่ชื่อว่า ยามาคูจิ อากิฮิโกะในการแข่ง Super GT ของเขา เด็กหนุ่มวัย 16 ปีนี้เป็นที่จับตาของแฟนๆกีฬาความเร็วทั่วโลก เพราะอายุอันน้อยนิดเมื่อเถียบกับนักซิ่งชื่อดังคนอื่นๆแล้ว หรือจะเป็นฝีมือที่เรียกว่าแถบจะหาใครหยุดเขาได้อีกแล้ว ในการแข่งอันแสนดุเดือดครั้งนี้เขาก็คว้าชัยได้อีกครั้งนึง เมื่อรถของเขาเข้าสู่เส้นชัยเขาก็จอดรถของเขาและขึ้นมาฉลองชัยอีกครั้ง ท่ามกลางความดีใจของทีมงานและแฟนๆของ อากิฮิโกะ เมื่อเด็กหนุ่มกลับเข้าสู่อู่รถของตัวเอง ชายหนุ่มผู้ดูแลรถยนต์ของผู้ชนะสนามนี้ ก็เข้ามาดีใจกับอากิฮิโกะเป็นคนแรก
“สุดยอดไปเลยนะอิกิฮิโกะคุง”
“ฮ่ะๆ คงต้องขอบคุณการปรับรถของคุณมากกว่าน่ะครับ”
อากิฮิโกะถ่อมตัวก่อนจะนั่งลงไปบนเก้าอี้พร้อมกับคว้าขวดน้ำที่ทีมงานอีกคนยื่นให้เขา ฮีโร่ของทีมได้แต่พยักหน้าขอบคุณก่อนที่จะดื่มน้ำเข้าไปเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ซักพักนึงรถอีกคันที่รูปร่างเหมือนกับคันที่เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกก็จอดตามมาก่อนที่จะมีชายหนุ่มไร้เส้นผม อายุราวๆ 30 กว่าเดินลงมาพร้อมด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอะไรนักเท่าไหร่ เขาเดินเข้ามาในอู่โดยที่ไม่มีใครให้การต้อนรับเขาเลยแม้แต่น้อย
“เป็นไงล่ะ Miracle Wing? สนุกกับการแข่งสนามนี้”
บุรุษที่ชื่อมาเอดะ เคียว ได้ทำการเยาะเย้ยฉายาของอากิฮิโกะ ก็ไม่แปลกเท่าไหร่เพราะชายหนุ่มคนนี้ กลายเป็นหมาหัวเน่าทันทีเมื่อเด็กหนุ่มวัย 16 เข้ามาร่วมกับทีม สมัยก่อนทีมๆนี้ไม่ใช่ทีมใหญ่อะไรดังนั้นการที่เคียวเข้าเส้นชัยที่ 5-6 นั้นถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี หากทว่าเมื่ออากิฮิโกะเข้ามา สิ่งที่เรียกว่า “สามอันดับแรก” ไม่เคยหลุดลอยออกไปจากมือเลยแม้แต่ครั้งนึง และตามธรรมดาของมนุษย์ มนุษย์ทุกคนย่อมรักมนุษย์ที่สร้างผลประโยชน์ให้กลับตนเอง ดังนั้น มาเอดะ เคียว ตอนนี้ก็เหมือนชายที่ไร้ตัวตนในทีมก็แค่นั้น
“ก็สนุกดีนะครับ ว่าแต่คุณมาเอดะพอใจกับผลการแข่งของตัวเองรึเปล่าครับ?”
“ไม่ต้องมาทำสุภาพกับชั้นเว้ย!!” มาเอดะที่กำลังหงุดหงิดตะคอกใส่
“เห้ยๆ แกไม่ต้องหงุดหงิดแบบนั้นก็ได้” ทีมงานคนหนึ่งเข้ามาทำให้มาเอดะใจเย็นลง
“หุบปากไปเลยเว้ย” หมาหัวเน่าตะคอกใส่
เมื่อนั้นเขาก็หันหลังก่อนจะเดินจากไป ทีมงานทุกคนได้มองแปลกๆ ก่อนที่จะยักไหล่และทำการเก็บของต่างๆ และออกไปจากสนามแข่งแห่งนี้เป้าหมายต่อไปของพวกเขาคือร้านอาหารแห่งนึง พวกเขารวมตัวกันเพื่อไปเฉลิมฉลองให้กับ “ปีกปฏิหารย์” ที่คว้าแต้มมาให้ทีมได้อีกครั้ง ทีมงานทุกคนต่างดื่มกันอย่างสนุกสนาน อากิฮิโกะก็ได้แต่ยิ้ม ซึ่งหากมองรอบๆแล้ว หมาหัวเน่านั้นไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงนี้ด้วย บรรยากาศเริ่มบีบให้อากิฮิโกะรู้สึกอึดอัด
เด็กหนุ่มวัย 16 ปีได้ขอตัวออกไปยังภายนอกเพื่อหนีออกจากบรรยากาศแบบนี้ ก้าวแรกของเขาที่ออกมายังโลกภายนอกนั้นทำให้เขากางปีกออก เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ยามค่ำคืน เขาหันกลับไปมองที่ร้านอีกครั้ง เขาไม่อยากกลับเข้าไปข้างเลยแม้แต่น้อย มันทำให้เขาตัดสินใจต่อไป..เดินต่อไป ผู้คนในถนนนั้นแถบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ เพราะนี่ก็ตี 1 แล้ว คงไม่ใช่เวลาที่ใครที่ไหนจะเดินหรอก ท่ามกลางความเงียบอยู่ดีๆมีเสียงเครื่องยนต์ของรถยนต์ดังขึ้นมา เสียงมันแปลก แปลกกว่าที่เขาได้ยิน เขาหันกลับไปเจอ รถยนต์สีแดงที่มีคมดาบติดอยู่ด้านหน้าขับผ่านหน้าของเขา
วินาทีที่มันผ่านดวงตา นั้นมันทำให้ผู้เห็นเหตุการณ์ได้แต่ตกใจ อยู่ดีๆ รถยนต์คันนั้นก็หมุน 180 องศา รถมันหันไปยังรถอีกคันที่ถูกตกแต่งด้วยรูปร่างแปลกๆเช่นกัน คนขับรถยนต์สีเลือดได้ทำการเร่งเครื่องก่อนจะพุ่งไปยังรถยนต์อีกคัน รถยนต์อีกคันนั้นก็เร่งเครื่องเช่นกัน ทั้งคู่ต่างพุ่งเข้าหากัน ในจังหวะนั้นสลิงอะไรบางอย่างถูกยิงออกมาจากยานพาหนะสีแดง สลิงนั้นมีปลายมีดติดอยู่ มันแทงเข้าไปในไฟหน้าของรถยนต์ ในตอนนั้นมันทำให้รถอีกคันหยุดลง ผู้ที่ได้เปรียบได้ทำการเอาคมดาบที่ติดหน้ารถ แทงทะลุเข้าไปในรถอีกคันที่ไม่สามารถขยับได้ อากิฮิโกะ วัย 16 ปีแถบไม่เชื่อสิ่งที่เห็น เมื่อทุกอย่างจบลงด้วยความตายของเจ้าของรถอีกคัน ผู้ลงมือสังหารได้ทำการหมุนรถก่อนจะมุ่งมายัง อากิฮิโกะ เจ้าของรถเปิดประตูลงมา ใบหน้าของเจ้าของรถนั้นถูกปิดบังด้วยหมวกกันน๊อคสีแดง ชุดของคนขับนั้นไม่เหมือนกับชุดแข่งที่เขาเคยใส่เลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มได้แต่ยกมือขึ้นแสดงท่าทีจำนน
“อากิฮิโกะ” เสียงพูดที่ดังขึ้นมาผ่านหมวกกันน็อคสีแดง
สิ้นเสียงนั้น เจ้าของก็ถอดหมวกกันน็อคออก มันปรากฏเป็นหญิงสาวผมน้ำตาลยาว ใบหน้าอันคุ้นเคย น้ำเสียงอันคุ้นเคย บรรยากาศอันคุ้นเคย อากิฮิโกะเห็นได้ตะลึงกับสิ่งที่เห็น นี่คือโชคชะตางั้นหรอ? เพื่อนวัยเยาว์ที่จากกันไปถึง 6 ปีที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้พบกันอีกแล้ว
“อาคาเนะงั้นหรอ?” อากิฮิโกะพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
ว่าแล้วการพบกันของทั้งสองก็ถูกทำลายลงเมื่อรถที่รูปร่างเหมือนกับเมื่อครู่นี้ไล่ตามมาอีกครั้ง อาคาเนะรีบกลับไปยันพาหนะของตัวเองอีกครั้ง อาคาเนะเรียกอากิฮิโกะเข้ามาก่อนที่จะลากเข้ารถยนต์ของเธอ อาคาเนะหยิบสวมหมวกกันน็อคอีกครั้งก่อนที่จะเหยียบคันเร่งเพื่อพยายามจะหนี รถสีแดงนั้นขับออกไปอย่างรวดเร็ว รถสีแดงนั้นเริ่มทิ้งรถที่ไล่ตามเขาไป แสงไฟจากรถพวกนั้นหายไป อากิฮิโกะเริ่มถามคำถามใส่เพื่อนสมัยเด็กของตนทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“นายคงรู้ใช่ไหมว่าพวกเราอยู่ในสงคราม Wheel Gear” หญิงสาวผู้ขับหันมาถามภายใต้หมวกกันน็อค
ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าตอบ
“ในตอนนี้น่ะการแข่งรถทุกรายการกลายเป็นด่านคัดตัวคนขับ Wheel Gear ไปหมด”
“แม้ว่าจะเป็นอันดับกลางๆก็โดนทาบทามไปเข้าร่วมกับกองทัพหมด”
“แล้วยิ่งอันดับ 1 ของ GT อย่างนายยิ่งเป็นเป้าหมาย จริงไหมล่ะ”
สิ่งที่อาคาเนะพูดไปชวนให้ผู้ถามคิดตาม อาคาเนะเริ่มพูดต่อโดยที่คราวนี้ดวงตาของเธอจดจ้องไปยังถนน
“พวกที่ตามเราอยู่น่ะมันหวังจะชวนนายให้เข้ากองทัพ”
“ชั้นเป็นเพื่อนนายตั้ง 6 ปีชั้นรู้อยู่แล้วว่านายจะตอบอะไร”
“แล้วพวกทีมงานล่ะ?” อากิฮิโกะเริ่มถามถึงผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าพวกมันตามมาขนาดนี้ ทีมงานนายคงถูกมันฆ่าตายหมดแล้วล่ะ”
ผู้รอดชีวิตเพราะโชคนั้นได้ยินถึงกับหน้าซีดด้วยความกลัว แต่ว่าไม่ว่าจะรู้สึกยังไงเวลาก็ยังคงเดินทางไปพร้อมกับ Wheel Gear สีแดงคันนี้ ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศรอบๆ แสงไฟหน้ารถจากผู้ไล่ตามนั้นหายไปหมดแล้ว น่าจะรอดแล้วกระมั้งนะ? หากทว่าเมื่อทั้งคู่คิดความคิดนี้อยู่ดีๆก็มีรถยุโรปคันนึงพุ่งเข้ามากระแทกด้านคนขับ อย่างรุนแรง Wheel Gear สีแดงคันนี้เสียการทรงตัวอย่างรุนแรง ยานพาหนะสีแดงนั้นกระแทกเข้ากับกระจกของอาคารอย่างรุนแรง อากิฮิโกะนั้นโชคดีไม่บาดเจ็บหากทว่าคนขับ Wheel Gear นั้นดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว เสียงจากหมวกกันน็อคยังคงดังขึ้นมาต่อเนื่อง
“คุณอาคาเนะ คุณอาคาเนะ”
ด้วยความเป็นห่วงของเพื่อนวัยเด็กเขาใช้มือของเขาจับไปยังข้อมือ เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจที่ยังคงเต้นอยู่ ผู้ตรวจถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่สิ่งนึงที่ทำให้เขาสบายใจไม่ได้คือรถยุโรปที่เคยไปปรากฏในหนังของเจมส์ บอนด์ นั้นยังคงจอดอยู่ แสงไฟของมันส่องเข้ามาภายใน เด็กหนุ่มมองมายังพวงมาลัย ความคิดบางอย่างไหลเข้ามา อากิฮิโกะถอดหมวกกันน็อคออกจากศีรษะของหญิงสาวที่หมดสติ ก่อนจะสวมเข้ามายัง ศีรษะของตน
“ยามาคูจิ อากิฮิโกะพูด”
“เอ๊ะ..คุณยามาคูจิ เกิดอะไรขึ้นกับคุณอาคาเนะหรอค่ะ” เสียงอันอ่อนโยนตอบกลับมา
“เธอถูกรถอีกคันนึงโจมตี แล้วตอนนี้เธอหมดสติอยู่”
“ถะ ถะ ถ้างั้นคุณรีบหนีออกมาเลยค่ะ เราจะส่งคนไปรับคุณเอง” หญิงที่กำลังติดต่อนั้นเริ่มเสียงสั่นด้วยความกลัว
“ไม่” ชายหนุ่มปฏิเสธ
อากิฮิโกะพยุงร่างของอาคาเนะออกจากที่นั่งคนขับก่อนที่จะวางร่างของเธอพิงกับที่นั่งที่เขาเคยนั่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ส่วนตนนั้นไปประจำตำแหน่งคนขับแทน นี่คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่จะได้ขับสิ่งที่เรียกว่า “Wheel Gear” หรือให้พูดอีกแบบคืออาวุธสงคราม
“ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าเจ้านี่มันใช้ยังไง?” อากิฮิโกะพูดขึ้น
“ก็ขับเหมือนรถปกติแหละค่ะ ตะ ตะ แต่บนพวงมาลัยนั้นจะมีปุ่มใช้อาวุธอยู่ด้วย”
เมื่อคนขับชั่วคราวได้ยินก็มองไปยังพวงมาลัย ซึ่งก็เป็นไปตามที่โอเปเรเตอร์พูด นั่นคือมีปุ่มอาวุธที่มีสัญลักษณ์ต่างๆไว้หมด แต่ในหัวของเด็กหนุ่มตอนนี้คือการเอาตัวรอดอย่างเดียว อากิฮิโกะคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะเหยียบคันเร่ง รถสีแดงเริ่มขับออกมา ความเร็วเร่งขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ รถยุโรปคันนั้นเริ่มเคลื่อนที่ตาม แชมป์เปี้ยนตัดสินใจหักพวงมาลัยเพื่อหนีไปอีกทาง
“บอกผมซิว่าผมควรจะหนีไปที่ไหนดี?” ผู้หลบหนีถามขึ้นเพื่อจะได้วางแผนต่อไป
“ขับไปที่สถานทำการไปรษณีย์ของจังหวัดโอยาม่าก่อนค่ะ”
“โอเค เข้าใจแล้ว”
แม้ว่าเขาจะได้คำแนะนำให้ขับไปตรงนั้น แต่เขาคิดไม่ออกเลยว่าจะไปตรงนั้นเพื่อจุดประสงค์อะไรกัน ในระหว่างที่สมองกำลังคิดอยู่นั้นจรวดยุทธปกร ก็ลอยมากระแทกลงพื้น ใกล้ๆกับล้อหลังของยานพาหนะสีแดงอย่างเฉียดฉิว เด็กหนุ่มเริ่มมองทายังพวงมาลัยหวังจะมีอะไรที่พอจะช่วยชีวิตตนเองได้บ้าง สมองของเขาคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ตอนนี้ “ปีกปฏิหารย์” หวังนั้นคือแสดงปฏิหารย์ออกมาให้ได้ แม้ว่าเด็กหนุ่มวัย 16 นี้จะคว้าแชมป์มามากเท่าไหร่ แต่รถที่หมายชีวิตของเขานั้น ไม่ได้หายไปจากกระจกหลังของนักขับ Wheel Gear ชั่วคราวเลยแต่น้อย นี่ซินะที่เขาเรียกว่า “เหนือฟ้ายังมีฟ้า” รอบนี้กระสุนปืนหลายนั่งกระหน่ำยิงมาทาง อากิฮิโกะ ปฏิกริยาของเขานั้นทำงานไปเอง นั่นคือโยกหลบ โชคดีที่ฝีมือการขับรถของเขาช่วยชีวิตเขาได้ในคราวนี้กระสุนเกือบทุกนัดพลาดเป้า
“ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันวะเนี่ย”
แม้แต่นักแข่งรถขึ้นชื่อยังถึงกับตะลึงในฝีมือกับศัตรูของเขา มันเป็นการแสดงให้เห็นเลยว่า ชายคนนี้ไม่ธรรมดา รถสีแดงยังคงหนีการไล่ล่าของรถสีเทาอยู่ ผู้ขับ Wheel Gear มือใหม่ตัดสินใจหมุนรถ 180 องศา ก่อนที่จะเหยียบคันเร่งและพุ่งไปหารถสีเทาคันนั้น เขาจะลองทำในสิ่งที่อาคาเนะเคยทำมาก่อนเมื่อครู่นี้เขาลองกดปุ่มที่เป็นลูกศร และลวดที่ติดปลายมีดก็ถูกยิงออกมาจากไฟหน้าของรถมันเล็งไปยังไฟหน้าของอีกฝ่าย แต่แล้วสิ่งที่แถบไม่อยากจะเชื่อสายตาก็เกิดขึ้น นั่นคือปลายมีดมันโดนปัดออกไปด้วยอำนาจของอะไรบางอย่าง คราวนี้อากิฮิโกะลองกดปุ่มที่มีสัญลักษณ์ของเปลวเพลิงดูบ้าง รอบนี้มีกล่องสี่เหลี่ยมบางอย่างขึ้นมาอยู่ตรงกระโปรงรถ และเริ่มยิงเพลิงใส่อีกฝ่าย หากทว่าเพลิงไม่สามารถทำอะไรได้เลย Gear Wheel สีเทาคันนี้ขับตะลุผ่านเพลิงมาได้อย่างง่ายดาย อากิฮิโกะถึงกับพูดไม่ออกแต่ แต่แล้วศัตรูของเขาก็หยุดลงก่อนจะหมุนรถ 180 องศาและขับจากหายไป อากิฮิโกะได้แต่ตะลึงและมองไฟท้ายที่กำลังหายไปจากสายตาของตน
“มะกี้มันเกิดอะไรขึ้น” ผู้ถูกล่าถามขึ้นมา
“บริเวณที่คุณขับอยู่มันใกล้กับกองทัพค่ะ”
คำพูดแค่นี้อธิบายทุกอย่าง อากิฮิโกะยังขับตามที่โอเปอร์เรเตอร์บอก ซักพักนึงเขาก็มาจอดอยู่ที่ทุ่งกว้าง รอบๆนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น อากิฮิโกะถอดหมวกกันน็อคสีแดงออกก่อนจะเปิดประตูลงไปข้างนอก มองออกไปรอบๆก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากความว่างเปล่า หากทว่ามันไม่ใช่ เมื่อสังเกตุดีๆแล้วจะมีรถบรรทุกอยู่สองสามคันจอดอยู่ อากิฮิโกะกลับเข้าไปใน ยานพาหนะของเขาและเคลื่อนมันเข้ามาใกล้ๆกับรถบรรทุก เขาหันกลับไปมองยัง อาคาเนะ ที่ยังหมดสติอยู่ เด็กหนุ่มนำหมวกกันน็อคที่เขายืมมาวางไว้บนเบาะนั่งเช่นเดิมและออกไปข้างนอก
“สะ สะ สวัสดีค่ะคุณยามาคูจิ” เสียงอันคุ้นหูพูดขึ้น
หันกลับไปตามเสียงเป็นหญิงสาวผมสั้นเพียงประบ่า อายุประมาณรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง ใช่แล้ว เธอเป็นเจ้าของเสียงของโอเปอร์เนเตอร์ที่คอยแนะนำอะไรต่างๆมากมายให้กับปีกปฏิหารณ์ อาจจะพูดได้ว่าหากไม่ได้เธอคนนี้แล้ว อากิฮิโกะคงมิอาจสามารถยืนในตำแหน่งนี้ได้
“ไม่ทราบว่าพวกคุณคือ...” อากิฮิโกะออกปากถามพลางกวาดสายตาไปรอบๆ
“พวกเราคือกลุ่มไพเรท” เสียงของอาคาเนะพูดขึ้นมา
“เราเป็นหน่วยอิสระที่ถูกตามล่าจากหลายประเทศ” อาคาเนะพูดกับอากิฮิโกะต่อ
เธอเดินตรงมายังผู้ที่ช่วยชีวิตเธอเมื่อครู่ก่อนที่จะหยิบปืนออกมาและจ่อมายังหน้าผากของอากิฮิโกะ ผู้คนรอบข้างต่างมองด้วยความตื่นตระหนก
“ดังนั้น เราไม่สามารถให้คนนอกรู้ความลับของพวกเราได้”
“เว้นเสียแต่ว่าเขาคนนั้นจะมาเป็นพวกเดียวกันกับเรา”
มันคือการบังคับซินะ? ถ้าไม่เข้าร่วมก็ตาย แต่ว่าถ้าเข้าร่วมไปมันก็เสี่ยงชีวิตอยู่ดีไม่ใช่หรอ? นี่คือสิ่งที่อากิฮิโกะกำลังคิด แต่แล้วก็มีเสียงของใครบางคนเดินตัดผ่านหญ้า ทุกคนหันไปมองต้นเสียงและภาพที่ปรากฏคือชายที่มีบาดแผลบนหน้า เป็นชายร่างสูง ผมยาวสลวย
“อาคาเนะลดปืนลงจะดีกว่านะ”
คำสั่งนี้ทำให้อาคาเนะลดปืนลง ชายร่างสูงเดินตรงมายังอากิฮิโกะ
“ชั้นชื่ออาโอบาชิ เรย์...คงจำชั้นได้ใช่ไหมอากิฮิโกะ?”
ชายคนนี้คือพี่ชายของอาคาเนะนั่นเอง เด็กหนุ่มที่ถูกถามได้แต่พยักหน้าตอบ เมื่อเรย์เห็นดังนั้นก็ยิ้มและพูดต่อ
“ดี..งั้นวันนี้เราคงมีเรื่องต้องคุยกันเยอะแยะเลยล่ะ”
หลังจากเรื่องราวที่ตื่นเต้นของอากิฮิโกะผ่านไป และเมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็อยู่ต่อหน้าชายอีกคนที่ชื่อว่าอาโอบาชิ เรย์ ในตู้คอนเทนเนอร์เสียแล้ว ทั้งสองคนแม้จะเคยรู้จักกันมาก่อนแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ดีเท่าไหร่ เรย์เอามือสะบัดผมของเขาก่อนที่จะจ้องหน้าของ อากิฮิโกะที่ดวงตาพยายามหลีกเลี่ยงสายตาของเรย์ที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” นี่คือคำพูดประโยคแรกที่ออกมาจากปากของเรย์
ถือว่าเป็นประโยคที่แถบคาดไม่ถึงเลยว่าจะมาจากปากคนที่เกลียดเขามากที่สุดเท่าที่จะนึกออกคนนึง ในช่วงชีวิตวัยเด็กของเขา เรย์นั้นทั้งแกล้ง ทั้งหยอกล้ออากิฮิโกะมากมาย ต่อว่าอากิฮิโกะมากมาย เอาเป็นว่าทุกอย่างที่เป็นสิ่งไม่ดี เรย์ทำมาหมดแล้ว
“ดูเหมือนจะแข็งแรงดีนะ”
อากิฮิโกะได้แต่พยักหน้าหลังจากได้ยินสิ่งที่เรย์พูด ซักพักนั้นเรย์ก็เปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มแย้มเป็นสีหน้าจริงจัง
“เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า...ชั้นอยากได้นายมาร่วมกลุ่มไพเรท”
“เพราะคนขับของเรากำลังขาดแคลน ดังนั้นการที่เราได้คนขับมาเพิ่มน่าจะช่วยได้บ้าง”
มันเป็นข้อเสนอที่ดูเหมือนจะไม่บังคับ หากทว่าถ้าคิดตามที่อาคาเนะพูดแล้วมันก็คือการบังคับนั่นแหละ “ผู้ที่รู้ความลับแล้วไม่เข้าร่วมกับเราต้องตาย” นั่นคือประโยคที่ยังตกค้างในหัว อากิฮิโกะที่ฟังไปได้แต่นั่งจับคางก่อนจะก้มหน้าและคิด ถ้าไม่ร่วมคือตาย แต่ถ้าร่วมก็อาจจะตายอยู่ดี
“ไม่อยากปกป้องอาคาเนะหรอ” เรย์ถามขึ้น
อากิฮิโกะที่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมามองเรย์ที่ยืนจ้องเขาอยู่
“นายก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอว่าอาคาเนะฝีมือยังไม่เก่งมาก”
“ชั้นบอกตรงๆเลย ชั้นไม่รู้เลยว่าเธอจะรอดได้ซักกี่สนามรบกันเชียว”
“อีกทั้งเราพึ่งเสียนักขับฝีมือดีไป”
“ดังนั้นชั้นเลยอยากได้ใครซักคนมาช่วยปกป้องน้องสาวชั้นหน่อย”
แน่นอนว่าอากิฮิโกะคงไม่อยากเสียเพื่อนวัยเยาว์ของตนเองไปหรอก แต่ว่าตามธรรมชาติของมนุษย์เราย่อมรักตัวกลัวตายเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว จิตใจของอากิฮิโกะสับสนไปหมด แต่ถ้าให้คิดอีกมุมมองนึง อากิฮิโกะนั้นไม่สามารถหวนกลับสู่สนามแข่งได้อีก เพราะหากหวนกลับมารับรองว่าชีวิตของเขาคงถูกไล่ล่าอีกครั้งแน่นอน สมองของอากิฮิโกะตีกันมั่วซั่วไปหมด
“ก็ได้..”
เด็กหนุ่มตัดสินใจได้ในที่สุดก่อนที่จะยืนขึ้นมาและจ้องหน้าของหัวหน้ากลุ่มไพเรท
“ผมจะเข้าร่วมกับกลุ่มไพเรท”
“แต่ว่าผมขอยื่นเงื่อนไขอะไรนิดหน่อย...สนใจจะฟังไหมละครับ?”
เรย์ที่ได้ยินก็แสยะยิ้มก่อนจะตอบสมาชิกใหม่ของกลุ่มตัวเอง
“ได้ซิว่ามาเลย”
“คำว่าอิสระที่อาคาเนะพูดหมายถึงอะไร” อากิฮิโกะออกปากถาม
เรย์ได้ยินก็เงียบลงชั่วครู่ เรย์กำลังคิดอะไรซักอย่าง ผู้ถามรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เรย์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มไพเรท ถอนหายใจก่อนจะให้คำตอบ
“พวกเราก็คล้ายๆทหารรับจ้างนั่นแหละ”
“ทำงานให้กับกองทัพเพื่อเงิน”
“ถ้างั้นทำไมอาคาเนะบอกว่ามีหลายกองทัพที่อยากจะฆ่าพวกคุณล่ะ” อากิฮิโกะถามต่อด้วยความสงสัย
“เพราะพวกที่ไม่ใช่ลูกค้าของเรามันไม่พอใจไงล่ะ” เรย์ตอบ
“ทุกครั้งที่เราเข้าร่วมสนามรบ พวกเราต้องนำความพินาศมาสู่อีกฝ่าย”
ผู้ถามได้ยินคำตอบก็ได้แต่เงียบ อาจจะเป็นเพราะความไม่เข้าใจหรืออาจจะไม่รู้ว่าตนเองควรแสดงความคิดเห็นเช่นไรดี เรย์ผู้ตอบคำถามหมดแล้วก็หันกลับมาจ้องหน้าของอริวัยเยาว์ผ่านดวงตาสีเงินของตนเอง
“ชั้นทำตามเงื่อนไขของนายหมดแล้ว”
“ถ้างั้นก็ยินดีต้อนรับสู่ไพเรท”
และกงล้อแห่งชะตากรรมก็เริ่มหมุนขึ้นหลังจากคำพูดประโยคนี้ ชายหนุ่มพร้อมกับปีกปฏิหารณ์กำลังจะได้โบยบินสู่ฝืนนภาอันกว้างใหญ่แล้ว หากทว่าการโบยบินครั้งนี้มีอุปสรรค คำถามต่อไปที่พวกเราสงสัยคือ เขาจะสามารถเอาตัวรอดได้หรือไม่?
ความคิดเห็น