เกาะแห่งท้องฟ้า
ผู้เข้าชมรวม
76
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
การเดินทาง
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางแต่กระนั้นก็ยังดูแข็งแรงซึ่งเป็นผลจากการออกกำลังกายวันละสองชั่วโมงทุกๆ วัน ผมสีเงินยาวถึงกลางหลัง ผิวขาวเนียนจนผู้หญิงถ้วนหน้าเริ่มหวั่นใจว่านายคนนี้ไม่ใช่ผู้ชายรึเปล่านะ ก็นั่นแหละนะผู้หญิงเวลาเห็นคนหน้าตาดีกว่าตัวเองเข้าหน่อยก็พานว่าเป็นเพศที่สามไปหมด เคลฟ์ถูกมองแบบนั้นจนชินกับสายตารอบข้าง วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายในเมืองอันห่างไกลสำหรับเด็กกำพร้าอย่างผม เพราะเป็นวันเกิดครบรอบที่ยี่สิบพอดีเป๊ะ แล้วในทุกๆปี เด็กหนุ่มต่างออกจากบ้านเพื่อรับมทอกับสถานการณ์จริงของโลกภายนอก หลังจากผ่านการฝึกฝนมาเป็นเวลานับสิบปี ชายหนุ่มรูปร่างกำยำกลุ่มใหญ่เดินขึ้นรถไฟที่เข้ามาจอดเทียบชานชลาไม่ถึงนาที ควันสีขาวที่กำลังพวยพุ่งอยู่นั้นค่อยๆเบาบางลงจนสลายไปในที่สุด “คุณป้าผมคงต้องไปแล้ว” ผมต้องร้องเตือน เมื่อควันสีขาวเริ่มพุ่งออกจากซากท่อบนหัวขบวนอีกครั้ง ป้าเอลล่าน้ำตาไหลพรากไม่ต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ป้าเฝ้าฟูมฟายอ้อนวอนไม่ให้ผมไปไหน ป้าเอลล่าเป็นหญิงวัยกลางคนผมสีแดงจัดนั้นเริ่มแซมด้วยสีขาวทั่วศีรษะ ร่างอวบๆนั้นเริ่มรัดผมเสมือนอาหารของงูเหลือม ทำเอากระดูกบางๆในร่างผมกะหร่องของผมเหมือนจะพานกรอบและหักเกือบหมด แต่ไม่ช้างูเหลือมยักษ์ก็เริ่มไม่อยากกินจึงคลายแรงโอบรัดลง งูเหลือมตัวนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณป้าของผมนี่แหละ ฮ่า ๆๆ “ดูแลตัวเองดีดีนะเคลฟ์” มิวายเป็นห่วงหลานชาย “พี่ไปนะกาเรท ดูแลเอลล่าด้วย” ผมโบกมือให้น้องสาววัยสิบสี่ด้วยความเศร้าสร้อย ที่เห็นเด็กหญิงเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เครื่องจักรเริ่มทำงานขึ้นอีกครั้งส่งเสียงดังสนั่น เสียงกรีดร้องเริ่มต้นขึ้นเมื่อล้อเหล็กเสียดสีกับราง อาจเพราะความเก่าแก่ของมันจึงถูกสนิมกัดกินจนผุกร่อนจนแทบจะเรียกว่าเป็นซากเหล็กวิ่งได้ดีดีนี่เอง ผมเลือกเก้าอี้ที่ดูสะอาดสะอ้านที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าเก้าอี้แสนสกปรกทั้งหลาย เปิดหน้าต่างที่ผุกร่อนเหมือนตัวรถไฟแต่มันดันหัก ตกลงบนพื้นดังสนั่น ดีที่โบกี้นี้มีเพียงผมเท่านั้น “คนน้อยกว่าที่คิดแฮะ แต่ก็ช่างเถอะ” อากาศชื้นๆ พัดมากระทบประสาทรับความรู้สึกบริเวณผิวหนังชั้นนอก ควันที่พวยพุ่งจากท่อนั้นลอยอยู่เหนือศีรษะ เมื่อมองขึ้นไปจากการคาดการณ์อีกไม่นานฝนคงตกลงมาอย่างแน่นอน เพราะเมฆก้อนใหญ่ไม่ใช่สีขาวอีกต่อไป แต่กลับมืดครึ้ม มันจับตัวเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ แสงแดดที่เคยลอดผ่านปุยเมฆนั้นกลับสิ้นแสงสนิท ผมหวังว่าป้าเอลล่าและน้องสาวจะกลับถึงบ้านแล้ว จะว่าไปก็เริ่มคิดถึงบ้านหลังน้อยของเราแม้ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนเพื่อนๆในตัวเมืองหากแต่มันก็กว้างใหญ่สำหรับผม มันอบอุ่น ต้นไม้ขนาดใหญ่อายุนับร้อยปีมันปกคลุมและให้ร่มเงายามที่อากาศร้อนระอุ ยามหิวเจ้านี้ก็มีผลสีแดงสดให้กินตลอดปี ข้างหมู่บ้านก็เป็นป่าดิบชื้นกว้างสุดลูกหูลูกตา ลำธารใสสะอาดไหลผ่านหมู่บ้านมีปลาหลากหลายชนิดให้กินตลอดปี สัตว์ป่าต่างๆ ก็ไม่ทำร้ายมนุษย์ แต่ในทางตรงกันข้ามหากเป็นคนนอกเกาะก็ ไม่เหลือแม้แต่กระดูกเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครที่พยายามบุกรุกอย่าหวังจะได้ออกมา ป้าบอกว่าป่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องอยู่ แต่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ รถไฟขบวนนี้จะเคลื่อนผ่านเกาะนี้อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น
ล้อโลหะสัมผัสกับน้ำทะเลเบื้องหน้า จากน้ำทะเล เคลื่อนผ่านเกาะนับสิบ โลมาสีชมพูฝูงหนึ่งว่ายน้ำแข็งกับรถไฟราวกับเพื่อนซี้ ป่าดิบชื้นที่มีมอสสีเขียวสดเกาะตามลำต้นสูงใหญ่ของต้นไม้อายุนับร้อยปี หยดน้ำเล็กๆเกาะพราว จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเวิ้งน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลสาบ เสียงแตกกระเซ็นเป็นฝอยของน้ำดังอยู่ตลอดเวลา ไม้พุ่มเตี้ยๆ ดูจะเจริญเติบโตได้ดีที่สุด เพราะไม้พุ่มสีเขียวอมเหลืองชนิดเดียวเท่านั้นขึ้นอยู่ตลอดทางรถไฟ “ติ๋ง” เสียงเม็ดฝนเม็ดแรกตกลงมากระทบใบหน้าของผม ไม่นานจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นสี่จากสี่เป็นร้อยผมเริ่มนับเม็ดฝนเหล่านั้นไม่ไหว จึงได้แต่เพียงเผ้ามองอย่างใจลอย ไม่นานชรารูปร่างผอมบางหากแต่กระฉับกระเฉง แต่งตัวซอมซ่อด้วยเครื่องแบบเต็มยศ เดินมุ่งหน้ามาที่ชายหนุ่มหน้าหวาน “เคลฟ์สินะ เร็วเหลือเกินจนฉันคิดว่าเมื่อวานนี้เองที่ฉันเพิ่งเจอกัน แล้วพีทกับเมลล่าล่ะ” เคลฟ์ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยเพราะเท่าที่จำได้เขาไม่เคยพบชายชรามาก่อน “ใครกันพีทกับเมลล่า” ผมถามด้วยความสงสัย “ก็พ่อกับแม่ของเธอไง ไม่ได้มาด้วยกันเหรอจ๊ะพ่อหนุ่ม” แว่บหนึ่งที่ชายชราทำหน้าตกใจแต่กลับเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว “ป้าบอกว่าผมถูกทิ้ง ลุงคงจำคนผิดแล้วล่ะ” “ฉันว่าชั้นแน่ใจเชียวล่ะ ก็แหวนสลักอักษรโบราณที่เธอห้อยคอนั่นล่ะที่ทำให้ฉันมั่นใจเกินร้อย เพราะพ่อเธอก็ใช้มัน” ชายชรายิ้มแล้วเดินจากไป เคลฟ์พยายามเดินตามชายชราไป หากแต่ไม่รู้ทำไม่ความเร็วของเราถึงผิดกัน ชายชราเดินหายไปในความมืด ผมเดินไปเรื่อยๆ เหนือหน้าต่างขึ้นไปเป็นรอยนูนจางๆ ว่า
“แพลนเน็ททัวว์” สายฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุดหย่อน ในไม่ช้าเมื่อรอบข้างเริ่มมืดลงกลับมีแสงริบหรี่เหนือศีรษะตลอดทางขึ้นมาแทน เคลฟ์ค่อยๆเดินไปตามทางเดิน เส้นผมสีเงินพลิ้วไหวตามแรงลม เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าคืนนี้คงมองไม่เห็นดวงดาวอย่างที่ควรจะเป็น รถไฟขบวนนี้แทบจะไม่มีคนขึ้นเลย ผมสักเกตไปรอบๆ ชายหนุ่มแต่งตัวซอมซ่อนั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เด็กหญิงเล็กๆกำลังหลับตาพริ้มในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ หญิงวัยกลางคนที่ตาโรย อาจเป็นเพราะต้องดูแลเจ้าตัวเล็กทั้งสามอย่างอดทน เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กทั้งสามทำให้ชายหนุ่มที่อ่านหนังสืออยู่ต้องหยิบหูฟังมาฟังเพลงเสียแทน หญิงชราตัวเล็ก พร้อมด้วยไม้เท้าสีเทาคู่ใจพาเธอเดินไปทุกที่อย่างปลอดภัย ผมเดินไปจนสุดโบกี้ซึ่งมีระเบียงยื่นออกไปพอให้คนผอมๆ อย่างผมนอนได้สบายๆ ไม่นานฮูดรถไฟก็ส่งเสียงร้องเสียงดังจนผมต้องเอานิ้วอุดหู เสียงหวีดเกิดจากการเบรก ตัวรถไฟจึงเคลื่อนที่ช้าลงจนหยุดนิ่ง หน้าสถานีเล็กๆ กลางทุ่งนาสีเขียวชอุ่มเกาะพราวไปด้วยเม็ดฝนเล็กๆ ร่างหนึ่งขึ้นมายังรถไฟโบกี้สุดท้ายเช่นเดียวกับผม ฮู๊ดสีดำของเสื้อกันฝนถูกเปิดออก หญิงสาวผมดำยาวเกือบถึงเอว เครื่องยนต์จากที่เงียบไปก็กลับมาทำงานอีกครั้ง ต้นข้าวเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนห่างออกจากผมช้าๆจนสุดสายตา จากระเบียงผมมองเห็นเทือกเขาสูงตระหง่านขึ้นสลับกันอยู่ตรงหน้า ความเร็วเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนแทบจะเป็นร้อยเท่าของความเร็วเดิม ลมเย็นๆมาปะทะจนหน้าบู้บี้ไม่เป็นรูป จึงได้แต่นั่งลงพิงกับตัวรถแทน มองไปเบื้องหน้า หญิงสาวชุดดำแปลงร่างเป็นนางฟ้าไปเสียแล้ว ผมดำแห้งกลายเป็นหยักศก ผิวขาวเนียนอมชมพูอย่างมีสุขภาพดี ปากเล็กนั้นแดงระเรื่อ เสื้อแขนกุดดำกับกางเกงยีนซีด เธอหันมายิ้มให้ผมจนเกิดรอยบุ๋มข้างแก้ม มันยิ่งทำให้เธอดูน่ารักขึ้นไปอีก เดฟาอดขำไม่ได้ที่ชายหนุ่มท้ายรถไฟจ้องเธอไม่วางตา หากฝ่ายนั้นก็เป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานพลอยทำให้เธอส่งยิ้มให้อย่างเสียไม่ได้ ความชันลดลง ความเร็วก็ลดลงเช่นเดียวกัน จากท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มเปลี่ยนเป็นพื้นที่สีดำกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ประดับไปด้วยดวงดาวนับล้านส่องประกายระยับราวอัญมณี ผมมองออกไปนอกระเบียง รางสีเงินเชื่อมต่อกันเป็นทางยาวทอดไปยังอาณาจักรแห่งเวทย์มนต์สักสิทธิ์ ดาวดวงหนึ่งส่องแสงจนผมแสบตา ผมลองคว้าไป วัตถุเย็นยะเยือกอยู่ในอุ้งมือ
อัญมณีสีน้ำทะเลเป็นผลึกคล้ายหยดน้ำ ผมเก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงไม่ใส่ใจนัก อากาศเย็นสบายกับดาวรอบตัวทำให้ลืมตัว จนกระทั่งแรงสะเทือนกลับมาอีกครั้ง รถไฟพุงลงในแนวดิ่งขนานกับหน้าผาชัน คราวนี้เมฆหมอกหนาทึบเบื้องล่างที่เคยมีอยู่กลับมลายหายไปเหลือเพียงทิวทัศน์ชวนมองของเมืองแห่งท้องทะเล “โอเชียนเวิร์ลซิตี้” เสียงนกนางนวลนับร้อยร้องระงม ผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวก่อตัวเป็นคลื่นลูกเล็กๆ ซัดเข้าหาฝั่ง หาดทรายสีขาวละเอียด แสงแดดอ่อนๆ ของยามเช้าส่องผ่านปุยเมฆที่เปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระ นกนางนวลบินฉวัดเฉวียนเหนือผืนน้ำ เรือประมงต่างๆ ดูเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะผจญกับคลื่นและพายุกลางทะเลได้พากันเข้าเทียบท่า ชายฉกรรจ์สี่ห้าคนบนเรือขนาดใหญ่ดูจะขยันขันแข็งแตกต่างจากลูกเรือของลำอื่นๆ เรือไม้ขนาดยักษ์ พร้อมหัวเรือรูปพญาอินทรีย์ล้อกับเกรียวคลื่นคล้ายกับมันกำลังออกล่าเหยื่อยอย่างปลาขนาดพอเหมาะสักตัว เด็กหนุ่มผมแดงซอยสั้นคาดผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินเข้มห้อยต่องแต่งอยู่บนหัวเรือเขาใช้ขาเกี่ยวปากเจ้าอินทรีย์ยักษ์หลับตาอย่างสบายอารมณ์ ไม่นานใบเรือก็ถูกชักขึ้น ลมร้อนและกลิ่นไอทะเลเพียรมากระทบใบหน้า ผมยาวนั้นถูกมัดเป็นหางม้าหลวมๆ ที่ห่างไกลออกไป ท่าเรือที่ทอดยาวออกไปในทะเลชายชรากำลังนั่งเกี่ยวเหยื่อสำหรับตกปลา เขาเหวี่ยงเบ็ดเก่าๆ ไปยังทะเลเบื้องหน้า “จ๋อม” เกิดเป็นคลื่นเล็กๆแล้วค่อยขยายเป็นวงใหญ่ขึ้น ทุ่นสีเหลืองตัดกับสีน้ำทะเลอย่างชัดเจน ไม่นานรถไฟเข้าเทียบชานชาลาฮอกทาวน์
ตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดส่วนมากเป็นหลังเตี้ยๆ มีเพียงชั้นเดียว เรียงติดกันเป็นแนวยาวจนไปถึงชายฝั่งทะเลอย่างไม่เป็นระเบียบเท่าที่ควร แผงขายของมีทั้งผักผลไม้ ขนมพื้นเมือง อัญมณีเก่าแก่ อัญมณีเวทย์ วัตถุโบราณต่างๆ นั่นล้วนแต่เป็นจุดหมายรองของผมทั้งสิ้น อย่างแรกนั่นคือ ... ผมแบกเป้ใบใหญ่ไปร้านอาหารที่ใกล้ที่สุด ผู้คนจอแจเต็มหน้าร้าน แผงไม้หน้าร้านมีปลาสดๆ ให้เลือกสรรมากมาย ผมแทรกตัวเข้าไปในร้าน ภายในดูโอ่โถงผิดกับข้างนอกที่เหมือนกับห้องแคบๆ และสกปรก กลุ่มคนหลายกลุ่มล้วนแต่มีกระเป๋าเดินทาง ดูเหมือนว่าเมืองแห่งนี้จะมีผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก “นายเพิ่งมาถึงฮอกทาวน์นี่ล่ะซิ เพราะหน้าตานายมันดูตื่นเต้นชอบกล” เด็กหนุ่มที่เคาน์เตอร์ถามขึ้นขณะเอาน้ำมาเสิร์ฟ “ก็ประมาณนั้นแหละ อันที่จริงก็เพิ่งมาถึงเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว แล้วทำไมเมืองนี้ผู้คนถึงมากมายขนาดนี้” ผมไม่รอช้า ไหนๆ ก็โดนด่ากลายๆ ว่าพวกนอกเมืองอยู่แล้ว “อ่อ ฉันจะบอกให้นะ เมืองนี้นอกจากเป็นเมืองท่าที่ทุกประเทศจะนำสินค้ามาจากทั่วโลกเพื่อมาขายที่นี่ และเมืองฮอกทาวน์แห่งนี้ยังเป็นเมืองเกาะหนึ่ง ที่สามารถเชื่อมไปยังเกาะต่างๆ อีกแปดเกาะได้ หากไม่เข้าเกาะหนึ่งก่อนก็ไม่มีทางไปเกาะสอง สาม สี่ ห้า....เก้าได้ เมืองนี้ยังเป็นเมืองที่ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับนักเดินทาง” เด็กหนุ่มพูดแบบลืมหายใจ “แล้วถ้าผมต้องการเงินล่ะต้องทำยังไงบ้างฮะ” แม้ว่าเงินในกระเป๋าจะพร่องไปไม่มากนักสำหรับค่าอาหาร หากแต่ต่อไปก็ไม่แน่ดังนั้นจำเป็นต้องหาเงินทุนสำรองเอาไว้ก่อน “ก็ไม่ยากแค่นายไปหาไอเท็มตามเกาะต่างๆมาขายที่เซนเตอร์ของแต่ละเกาะก็ได้แล้วล่ะ ส่วนราคาของมันก็ดูได้ด้วยลูกแก้วหัวคฑานั่นแหละ ฉันคิดว่าหากนายจะเดินทางควรมีอย่างน้อยสามคน ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปมีแต่ตายกับตายเท่านั้นแหละ” เด็กหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้นี่มาเกาะนี่โดยไม่รู้อะไรสักกะอย่าง “แล้วฉันต้องหาจากไหน” นั่นปะไรล่ะมันไม่รู้สักอย่างจริงๆ “หากนายฉลาดสักหน่อยคนจะมาเชิญตัวนายเพียบเลยล่ะ อีกอย่างดวงดีก็ชนะเลิศ หากนายสามารถฆ่าเดวิลมอนสเตอร์ได้เงินในบัญชีของนายจะขึ้นให้ทันที ดังนั้นก่อนนายจะไปที่ไหนนายต้องลงทะเบียนหน้าปราสาทสฟิงซ์ก่อนเที่ยงของทุกวัน เสียค่าลงทะเบียนหนึ่งหมื่นเดลส่วนรายละเอียดอื่น เดี๋ยวนายก็เรียนรู้ด้วยตนเองละกัน งั้นสำหรับค่าข้อมูลฉันคิดนายไม่แพงหรอก สักห้าหมื่นเป็นไง” แววตาใจดีของเด็กหนุ่มช่างพูดหายไปทันที “ฝันไปเหอะฉันไม่ได้ข้อร้องให้นายช่วยสักหน่อย” “เถอะน่าไม่งั้นฉันก็ต้องใช้กำลังกับนายแล้วล่ะ ผมคว้าดาบมัจจราชมรดกตกทอดของป้าเอลล่าสะบัดปลายข้อมือเล็กน้อยคฑาในมือหนุ่มน้อยนั่นสลายกลายเป็นฝุ่นในพริบตา เศษลูกแก้วเวทย์มนต์ลอยขึ้นในอากาศเข้ามาในดาบมัจจุราชในมือของเคลฟ์ทันที “ฝากไว้ก่อนเถอะแก” “โอ๊ย” เคลฟ์ไม่ลืมที่จะฝากความคิดถึงไปให้หนุ่มน้อยนั่นด้วยเหรียญร้อยเดล “อ้อ ลืมบอกไปว่านั่นฉันให้นาย ลาขาด เราคงไม่พบกันอีก” การต่อสู้เมื่อสักครู่ของเคลฟ์และนักต้มตุ๋นแม้จะเป็นเวลาสั้นหากก็พอแล้วสำหรับการมุงดู ราวเป็นเรื่องสนุกสนาน สายตาที่สร้างความกดดันส่งมาให้เคลฟ์จนเขาเริ่มอึดอัด เดินจากไปเป็นสิ่งเดียวเขาพอจะทำได้ในตอนนี้
ผลงานอื่นๆ ของ Lonely_way ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Lonely_way
ความคิดเห็น