บอกข้าหน่อย ฮองเฮา นี่ใช่เมียหลวงไหม!?
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผู้แต่ง : 郭玉 / กัวอวี้
My.iD :
https://my.dek-d.com/ciel22/writer/
ตอนที่ 24 : บทที่ ๑๖ :: หยกคู่ (2)
ตำหนักเหลียนฮวา
แม้ข่าวลือจะสะพัดไปทั่วว่าฮ่องเต้โปรดปรานหวงโฮวของพระองค์มากมาย ถึงขนาดเข้าออกตำหนักเหลียนฮวาเป็นว่าเล่น ไหนจะข้าราชบริพารที่พระราชทานมาให้ใช้สอยไม่ขาด หากแต่สตรีที่ตกเป็นข่าวไปทั่ววังก็ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาเบิกกว้างมองเพดานภายในหอนอน ทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมาเมื่อคืน เรื่องที่เป็นดั่งเหตุที่ทำให้มานอนนิ่งเป็นผักเช่นนี้
หากแต่เรื่องนั้นอาจจะไม่สละสำคัญอะไรเลย เท่ากับถ้อยคำที่นางได้ยินจากหวงเฟิงหยางที่ร่วมสร้างบทรักกับนางเมื่อคืนนี้
‘เจ้าใช่เสวี่ยเหมยจริงๆหรือ…’
นางไม่รู้ว่าเหตุใดหวงเฟิงหยางจึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น หากแต่ลึกๆแล้วบุรุษผู้นั้นกลับจับสังเกตนางได้ สตรีที่เหนื่อยล่าเป็นทุนเดิม จึงต้องมานั่งปะติดปะต่อเรื่องภายในหัวที่ทำให้เหนื่อยใจ เรียกได้ว่าเหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ การเป็นเสวี่ยเหมยมันอยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือ หากสตรีนางนี้ยังไม่ตาย ป่านนี้นางจะทำเช่นไรกัน หวงเฟิงหยางเองก็ด้วย ทุกการกระทำเมื่อคืนนี้พระองค์เห็นว่านางเป็นเสวี่ยเหมย หรือเห็นว่าไม่ใช่กัน
“หวงโฮ่วเหนียงเหนียงเพคะ” สตรีที่นอนมองเพดานมาหลายชั่วหยามลิ่วตามองกำนัลน้อยที่เรียกนาง คนแรกที่นางตื่นมาพบ หาใช่บุรุษที่ทำให้นางอ่อนล้า แต่กลับเป็นเสี่ยวหลิน นางกำนัลน้อยของนางเองที่จัดการเนื้อตัวของนางทั้งยังหาอาภรณ์มาให้ใส่ เวลานี้ในมือของเสี่ยวหลินยังคงถือสำรับอาหารมาให้นางถึงเตียงอีกด้วย
นับว่าในความโชคร้ายที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนริษยาและคิดร้ายกับนาง ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างที่มีข้าทาสที่ซื่อสัตย์อย่างเช่นเสี่ยวหลิน
อาเหมยยิ้มรับความหวังดีของนางกำนัลน้อยที่เข้ามา ชัดร่างที่ปวดระบบไปทั้งตัวขึ้น และรับอาหารที่ปรุงขึ้นมาอย่างถูกปาก
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะเหนียงเหนียง ฝ่าบาทรับสั่งไว้หากเหนียงเหนียงตื่นแล้วให้ไปทูลฝ่าบาท”
“พระองค์สั่งอะไรมาก็ทำตามไป” ตามปัดอย่างขอไปที และสนใจกับอาหารอ่อนๆราวกับนางป่วยนอนติดเตียง นี่ไม่ไปลือกันให้ทั่วอีกหรือ ว่าองค์จักรพรรดิพิศวาสในตัวนางจนรังแกเสียจนนางลุกออกจากตำหนักไม่ไหว
หากแต่วางเรื่องที่ทบทวนอยู่ในหัวเมื่อคืนนี้ลง ความคิดที่เกิดขึ้นก่อนที่นางจะถูกเจ้าลูกเต่าที่กลายร่างเป็นราชสีห์เมื่อคืนนี้ก็หวนกลับเข้ามาอีกครั้ง จนสตรีที่กำลังจะลิ้มรสเจ้าอาหารอ่อนของผู้ป่วยติดเตียงต้องชะงักมือกลางอากาศ
จักรพรรดิผู้นั้นหลอกนาง!
หลอกว่าจะไปตำหนักหลันฮวา แต่ดันมาโผล่หน้าที่ตำหนักของนางแทน ทั้งยังหยิบยกเรื่องยาปลุกกำหนัดมาอ้างกับนางตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน! หากแต่ความเป็นจริงเจ้าลูกเต่าไม่ได้หลวมตัวให้กับแผนโง่เง่านั่นเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นนางที่พ่ายแพ้ต่อเล่ห์เลี่ยมนั่นเสียเอง!
หน็อย!
มือขาวที่จับตะเกียงค้างเติงกลางอากาศก็กระแทกตะเกียบในมือลงทันที เมื่อนางได้ตระหนักว่าโดนหวงเฟิงหยางตุ๋นจนเปื่อย!
หากแต่สตรีที่ลงความผิดไปยังตะเกียบและถ้วยชามใส่อาหารก็ผ่อนลมหายใจออกมาเพื่อคลายความคุกรุนในจิตใจที่แทบจะเผาตำหนักเหลียนฮวาให้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีได้
เอาเถิด สำหรับเรื่องนี้นางหมุนเวลากลับไม่ได้ก็ช่างหัวบรรพบุรุษ! หากแต่ความคุกรุนในใจไม่ใช่แค่เรื่องนั้น หากยังเหลือเรื่องที่คั่งค้างและต้องการที่จะต่อว่าต่อขานเจ้าฮ่องเต้ผู้นั้นอยู่ เพราะการกระทำเมื่อคืนนี้ไม่ต่างอะไรเลยจากการนำศึกมาให้นาง!
ข่าวที่แพร่สะพัดไปทั่ว ไม่ทำให้สนมนับร้อยนับพันลุกขึ้นมาเผาตำหนักนางหรืออย่างไรกัน เจ้าหวงเฟิงหยางเข้า ออกตำหนักนางเป็นว่าเล่น ไหนจะขันทีข้ารับใช้ส่วนพระองค์มาที่ตำหนักนางแทบทุกวันเพื่อเดินนำของนั่นนี่มาให้นางไม่หยุดหย่อน มันน่านัก!
ไหนบอกว่าจะให้นางวางหมากอย่างไรเล่า! นี่ไม่เรียกว่าวางหมาก หากแต่เรียกว่าขว้างหมากทั้งกระดานมาใส่นางตั้งหากเล่า เจ้าลูกเต่าหวงเฟิงหยาง!
แช่งชักคนที่ขยันสร้างปัญหาและนำมากองให้นางตรงหน้าอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ ขันทีประจำตำหนักก็มาโค้งคำนับนางอยู่ตรงหน้า ส่งสารในมือมาให้นางอย่างตื่นๆ
อาเหมยรับสารฉบับหนึ่งจากขันทีที่นำมาให้ทั้งยังไม่พูดไม่จากับนาง ก่อนจะกระจ่างเมื่อได้เห็นข้อความที่ถูกตวัดด้วยพู่กันมาอย่างงดงาม
‘คืนนี้เจิ้นจะไปหา เปิดหน้าต่างเปิดม่านไว้ให้พร้อม’
ฮะ!?
อ่านข้อความสั้นๆที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตกใจ แต่ก็ไม่รู้ว่านางสมควรจะตกใจกับประโยคใดมากกว่ากัน ระหว่างเจ้าคนที่นางแช่งชักอยู่ในใจจะมาหานางในคืนนี้ หรือที่สั่งให้นางเปิดหน้าต่างเปิดม่านไว้รอ...
เช่นนี้หมายความว่าจะลอบเข้าตำหนักของนางอีกแล้วใช่หรือไม่!
ได้!
เราจะได้เห็นดีกัน!
“เสี่ยวหลิน!”
“เพคะ”
“คืนนี้ลงกลอนประตูหน้าต่างทุกบานให้แน่นหนา หน้าต่างบานใดแสงส่องผ่านให้เอาม่านมาปิดทุกบาน อย่าให้แม้แต่แสงจันทร์เล็ดลอดเข้ามาได้!”
มา! อยากมาก็มา! หากแต่หาทางเข้าให้ได้ก็แล้วกัน! หน็อยทำมานัดแนะเหมือนวัยรุ่นจะพาสาวหนีเที่ยว! เช่นนั้นแล้วจะปล่อยให้เข้ามาง่ายๆได้อย่างไร ต้องให้มันสาสมกับปัญหาที่มากองทิ้งไว้หน้าตำหนักของนางหน่อย!
เวลาล่วงเลยจนพลบคล่ำ หากแต่ตำหนักเหลียนฮวาก็รีบลงกลอนทุกห้องหับในตำหนักให้มิดชิด ตามรับสั่งของสตรีผู้เป็นเจ้าของตำหนักที่ในเวลานี้ นั่งยิ้มมองเครื่องประดับในมืออย่างพอใจ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องอื่นแม้แต่น้อย เหตุเพราะ...
นางไม่ควรเอาเรื่องของบุรุษผู้นั้นมาใส่ใจอย่างไรเล่า!
วันนี้ไม่รู้ว่าสตรีตำหนักไหนต่อตำหนักไหนมาขอพบนางเป็นว่าเล่น จนนางกำนัลของนางต้องเอ่ยปฏิเสธแทนนางจนปากเปียกปากแฉะไปหลายคน และสาเหตุทั้งหมดก็มาจากเจ้าหวงเฟิงหยางคนเดียว!
เข่นเขี้ยวองค์จักรพรรดิอยู่ในใจ พลางมองหยกงามที่ประดับอยู่บนเครื่องทองก็พลานนึกถึงคนที่ประทานมาให้นางถึงที่เมื่อนางตื่น...
เครื่องประดับทองคำสลักลาย ที่นางได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นทองคำแท้ จึงได้จับมาพิจารณาเล่นอย่างพอใจ หากแต่นึกถึงหน้าบุรุษผู้นั้นก็อยากจะขว้างทิ้ง แต่ความตระหนี่และลูกสาวร้านทองในตัวกลับยื้อยุดความคิดของนางนั้นไว้ และหันมาชื่นชมเจ้าของมีค่าในมือแทนที่จะทำเรื่องสิ้นคิด
อาเหมยจับของมีค่าต่างๆนานาด้วยความพึงพอใจทั้งความสวยงาม และมูลค่าที่ประเมินไม่ได้ ก่อนจะมองไปยังนางกำนัลน้อยที่ยังคงจับนั้นจับนี้ จัดระเบียบในหอนอนของนางอย่างแข็งขัน
“เจ้าไปนอนได้แล้วเสี่ยวหลิน”
เอ่ยบอกนางกำนัลคนสนิทที่อยู่รับใช้ไม่ห่างให้ออกไปพัก เพราะนางเองก็จะกลับไปพักเช่นกัน ความเหนื่อยล้าในตัวยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง หากแต่จะล้มตัวลงนอน เสียงปึงปังก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
อ้อ...
อาเหมยไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนก ด้วยว่ารู้อยู่แล้วว่าต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงปึงปังในยามวิกาลนั้นมาจากสิ่งใด
ช่างเป็นบุรุษที่รู้เวลาเป็นอย่างดี...
หากแต่นางจะเข้านอนแล้ว คงไม่มีเวลาออกไปรับแขก อีกอย่าง... นางมิใช่สตรีที่เชื่อฟังคำสั่งคนอื่นเสียเท่าไหร่นัก เพราะเช่นนั้นแล้ว...
นางจะนอน!
เมินเฉยต่อเสียงด้านนอก ไม่สนใจว่าบุรุษผู้นัดจะงัดแงะหรือจะอาละวาดอยู่ด้านนอกอย่างไร ทิ้งกายลงนอนอย่างไม่ใส่ใจใดๆทั้งสิ้น หลับตาและเตรียมเข้าสู่ห้วงนิทรา
ปัง!!
สตรีที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราสะดุ้งตื่นจนรีบชันกายขึ้นมาอีกหน ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินเสียงดังสนั่นไปทั่ว! หากแต่ไม่เท่าไหร่ เจ้าตัวการของเสียงดังก็เคลื่อนกายมายืนกอดอกตรงข้างเตียงของนาง!
หวงเฟิงหยาง นี่เจ้า!
“พังหอนอนของหม่อมฉันเลยหรือเพคะ!” กระแทกเสียงใส่บุรุษตัวสูงอย่างไม่พอใจ ใบหน้างองุ้มแหงนมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่ไม่ได้สะทกสะท้านในการกระทำของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“ก็น้องหญิงปิดเสียแน่นหนา อย่างกับกลัวว่าโจรจะเข้ามาปล้นเสียอย่างนั้น”
เจ้าไงเล่า! เจ้าโจรราคะ!
“เจิ้นบอกชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าจะมาหา ให้เปิดหน้าต่างม่านมุ้งให้พร้อม ไยกลับทำตรงกันข้าม” บุรุษที่ยืนกอดอก เคลื่อนกายเข้ามาใกล้เจ้าของตำหนักที่มีใบหน้างองุ้ม ราวกับว่าพระองค์ไปทำอะไรให้นางไม่พอใจ
“แล้วเหตุใดถึงต้องมาดึกดื่นเช่นนี้ด้วยเล่าเพคะ ประตูตำหนักก็มีใยไม่เดินเข้ามา”
“มาแบบนั้นก็ไม่เป็นการส่วนตัวน่ะสิ”
อาเหมยมองบุรุษที่เรียกร้องหาความเป็นส่วนตัวในตำหนักของนาง บรรพษุรุษเถอะ!
“เหนียงเหนียงเพคะ!” ไม่ทันจะได้ตอบกลับชายผู้เรียกร้องความเป็นส่วนตัว เสียงของนางกำนัลและฝีเท้าที่ดังขึ้นต่อเนื่องทำให้หน้าต้องนิ่วหน้าอีกหน สลับกับใบหน้าของหวงเฟิงหยางที่กำลังบอกให้นางจบเรื่องวุ่นๆในตำหักนี่ด้วยตนเอง
“เป็นอะไรหรือไม่เพคะเหนียงเหนียง หม่อมฉันได้ยินเสียงดังไปทั่ว”
“ไม่มีอะไร! พอดีมีลูกเต่าตกมาจากหลังคากระแทกหน้าต่างเข้าให้น่ะ พวกเจ้าไปนอนเถอะ” พูดพลางมองเจ้าลูกเต่าที่ตกมาจากหลังคา ที่กำลังเลิกคิ้วสงสัย
“นะ...แน่หรือเพคะ ให้เสี่ยวหลินนอนด้วยดีหรือไม่เพคะ” เสียงของเสี่ยวหลินฟังอย่างไรแล้วก็ดูไม่เชื่อคำพูดของสตรีผู้เป็นหวงโฮ่งแม้แต่น้อย ความจริงไม่มีสิ่งใดน่าเชื่อเลยต่างหาก ลูกเต่าจะไปอยู่บนหลังคาได้อย่างไรเล่า หากแต่เสี่ยวหลินไม่รู้ว่าลูกเต่าที่นางว่าเก่งกาจถึงขนาดที่ว่าจ้องตานางไม่กระพริบอยู่ในเวลานี้เลยล่ะ
เหลือบมองลูกเต่าเจ้าปัญหาที่ตกมาใส่ตำหนักของนาง เพียงแค่เห็นใบหน้าไม่พอใจนั่นก็ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ว่านางควรจะตอบกลับนางกำนัลน้อยออกไปอย่างไร
“ไม่ต้อง... ข้าจะนอนแล้ว”
“...เพคะ” น้ำเสียงของนางกำนัลน้อยดูไม่มั่นใจเสียเท่าไหร่ที่จะปล่อยนางอยู่ลำพัง หากแต่เป็นคำสั่งของหวงโฮ่วทุกคนย่อมต้องทำตาม ดังนั้นตอนนี้ทั้งหอนอนจึงเหลือเพียงนาง กับบุรุษที่ถูกนางกล่าวหาว่าเป็นลูกเต่า
“อ้อ... เช่นนั้นลูกเต่าที่ตกลงมาจากหลังคาคงต้องค้างคืนรักษาตัวกับหวงโฮ่วเสียแล้ว”
“เอ๊ะ!” ร้องขึ้นอย่างไม่พอใจ หากแต่ไม่ทันจะได้เอ่ยเถียงอะไร หวงเฟิงหยางก็คว้ามือบางของนางไปกอบกุม และหยิบยื่นอะไรบางอย่างสวมใส่ไปยังข้อมือของนางอย่างถือวิสาสะ
ความเย็นที่ข้อมือทำให้อาเหมยมองเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่ถูกสวมให้โดยองค์จักรพรรดิ กำไลหยกสลักทองที่สวยเอาการ ลูกสาวร้านทองประเมินค่าอยู่ในใจ หากแต่หาตัวเลขให้กับเจ้าของสิ่งนี้ไม่ได้เลย
“พอใจหรือไม่”
เงยหน้าสบกับบุรุษที่รอฟังคำตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า สลับกับก้มมองกำไรหยกในข้อมือของนาง หากตอบว่าไม่พอใจ ก็ดูจะฟังไม่ขึ้นไปหน่อยกระมัง นางจึงได้แต่พยักหน้าและพินิจสิ่งของในข้อมืออย่างพอใจ
หวงเฟิงหยางที่กายลงนั่งข้างสตรีที่แสนจะร้ายกาจของพระองค์ มองใบหน้างามพริ้งแม้จะเข้านอนแล้วก็ตามอย่างพึงพอใจเช่นกัน
“เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเช้ามีราชการเจิ้นต้องรีบไป เลยมิได้อยู่รอ”
กล่าวถึงเรื่องเมื่อคืน สตรีที่จะหลงลืมความผิดของผู้เป็นฮ่องเต้กลับต้องมาจ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายเขม็ง
“อ้อ... นึกว่านำปัญหามากองไว้หน้าตำหนักหม่อมฉันแล้วจะหนีไปเสีย”
“เจ้าว่าอย่างไร เจิ้นไม่เข้าใจ”
นี่แสร้งโง่ หรือโง่จริงๆกันเล่า!
สตรีที่อยากจะเย้ปากและกลอกตากลับใส่บุรุษที่ใสซื่อตรงหน้า ก็ได้แต่ซ่อนอาการทุกอย่างไว้
“ก็เรื่องที่ฝ่าบาททิ้งสนมลู่เฟยและมาหาหม่อมฉันแทน เช่นนี้ไม่เรียกว่านำปัญหามากองไว้หน้าตำหนักหม่อมฉันหรือเพคะ”
หวงเฟิงหยางยังคงตาใสใส่นาง ทำที่ท่าราวกับไม่รู้มาก่อนว่าสิ่งที่กระทำนั้น นำปัญหามาให้นางขนาดไหน
“ก็น้องหญิงบอกเจิ้นเองว่าไม่ต้องคิดมาก อย่างไรเสียผลลัพธ์ก็ออกมาเช่นเดิม”
อาเหมยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตีหน้าสงสัยกลับไปบ้าง แต่ไม่ได้แสร้งดั่งเช่นที่อีกฝ่ายกระทำ หากแต่นางไม่เข้าใจจริงๆว่าสิ่งที่นางพูดไปนั้น อีกฝ่ายจะตีความเป็นเช่นไร
“เจิ้นจะมาหาน้องหญิงอยู่แล้ว หลังจากที่ไปพบพระสนมลู่เฟย ที่ถามน้องหญิงเมื่อครานั้นก็อยากจะได้ความเห็น ว่าถ้าหากเจิ้นโดนยาปลุกกำหนัดขึ้นมาจริงๆควรทำอย่างไร หากแต่น้องหญิงบอกกลับบอกว่าไม่ว่าเจิ้นจะเลือกอย่างไรสุดท้ายก็เป็นเหมือนเดิม เจิ้นจึงตัดสินใจได้ ไม่ว่าอย่างไรเจิ้นก็จะมาที่นี่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
มองบุรุษที่ยิ้มกริ่มอย่างไม่สบอารมณ์ นี่ก็หลอกนางตั้งแต่ตั้งนั่นแหละ! ร้ายกาจนัก!
ส่วนบุรุษที่เห็นท่าปั้นปึงของอีกฝ่ายก็ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ก็เหมาะสมดีแล้ว ชายร้ายกาจอย่างพระองค์กับสตรีดื้อดึงและร้ายกาจอย่างนาง แบบนี่เรียกเสียว่าเหมาะสมราวกับหยกคู่เชียวล่ะ
“ที่มาวันนี้เพราะมีเรื่องสงสัย ไม่ได้อยากรบกวนน้องหญิงเลย เจิ้นรู้ว่าน้องหญิงเหนื่อย”
สตรีเจ้าของตำหนักหันขวับมองบุรุษที่เน้นย้ำว่านางเหนื่อย อีกทั้งยังยิ้มกริ่มไม่สะทกสะท้าน
“เจิ้นได้ยินที่น้องหญิงพูดว่า แคว้นเยี่ยนจะต้องเจอปัญหาในอีกไม่ช้า เจิ้นอยากรู้ว่าน้องหญิงรู้ได้อย่างไร”
เมื่อลูกเต่าบุรุกตำหนักมีใบหน้าขึงขังจริงจังขึ้นมา สตรีที่ยังจะนอนเต็มแก่ก็อยากจะถลึงตาใส่เสียจริง! จะมาให้อธิบายอะไรตอนดึกดื่นเช่นนี้กันเล่า!
“อยากจะฟังหรือเพคะ”
แต่นางมิได้อยากเล่าเลย...
หากแต่องค์จักรพรรดิที่นั่งประจันหน้าก็พยักหน้ารับเล็กน้อยเพื่อบอกความต้องการของตนเอง แล้วย่างไรเล่าต่อจากนี้...
“แต่หม่อมฉันจะนอนเพคะ!”
เสียงเข้มใส่บุรุษที่ไม่รู้จักเวลา หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย
“เจิ้นว่าน้องหญิงนอนพอแล้วกระมัง ขันทีมารายเจิ้นว่าน้องหญิงตื่นยามอู่...” ดวงเนตรที่แฝงเร้นไปด้วยเล่ห์กลหรี่มองสตรีตรงหน้า “หรือว่าเจิ้นทำน้องหญิงอ่อนเพลียเสียขนาดต้องนอนตั้งแต่หัวค่ำเชียวหรือ”
สตรีที่ ‘อ่อนเพลีย’ ก็ได้ถลึงตาใส่บุรุษผู้เป็นต้นเหตุทุกอย่าง และเผลอไพลฟาดมือลงต้นแขนของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง ด้วยเหตุที่ว่าพูดเรื่องไม่เข้าหูขึ้นมา
ส่วนบุรุษที่ถูกกระทำก็เอาแต่นิ่งเฉย มองมือขาวที่คว้าเอาไว้ได้ทันก่อนที่คนร้ายจะไหวตัวได้ทัน สบมองใบหน้าของสตรีที่ดื้อดึง
“นี่ครั้งที่สองแล้ว ที่น้องหญิงตีเจิ้น”
“เพคะ พูดเรื่องเมื่อครู่ออกมาได้อย่างไรหน้าตาเฉย”
คราวนี้สตรีที่ดื้อดึงไม่เอ่ยปฏิเสธ หากแต่ว่าพระองค์อย่างตรงไปตรงมา มือที่ถูกพันธนาการก็ไม่ได้ยื้อยุด หากแต่ปล่อยนิ่งให้พระองค์จับ ดวงตาของเสวี่ยเหมยมองมาที่พระองค์เขม็ง
“เจิ้นเพียงแค่อยากรู้ หากเกิดขึ้นจริงจะได้หาทางป้องกันแก้ไข ที่ต้องมารบกวนดึกดื่นเช่นนี้ เพราะถ้าหากมาคุยกันในยามปกติแล้ว ย่อมต้องมีผู้อื่นล่วงรู้”
พูดอย่างจริงจัง ทั้งยังไม่ปล่อยมือของเสวี่ยเหมยไปง่ายๆ นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองมาที่พระองค์ราวกับเหนื่อยหน่ายใจ ก่อนจะพรั่งพรูลมหายใจหนักๆออกมา
“เช่นนั้นไปคุยกันที่โต๊ะดีกว่าเพคะ อย่ามาคุยกันบนเตียงเช่นนี้เลย”
หวงเฟิงหยางไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก เพียงแค่ประครองร่างบอบบางที่ยังดูอ่อนล้าอยู่จริงอย่างที่นางบอก หากแต่พระองค์ก็ยังจะให้นางทำตามพระประสงค์
ฟังดูแล้วช่างเป็นสามีที่ไม่เอาไหนเสียเลย หากแต่จะทำอย่างไรได้ เรื่องที่พระองค์อยากจะรับรู้ ก็กระทบกับคนส่วนใหญ่ แล้วพระองค์จะเลือกอะไรได้
โต๊ะที่มีไว้เพื่อรับประทานอาหารถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นโต๊ะสำหรับติวเข้มองค์จักรพรรดิ ที่ต้องการจะหยั่งรู้เรื่องในอนาคตเช่นนาง
อาเหมยค่อยๆอธิบายทุกอย่าง บอกเหตุและปัจจัยในสิ่งที่นางรับรู้มา ทำการวิเคราะห์อย่างมีแบบแผนที่นางเองก็ไม่รู้ว่าในสมัยนี้นั่นมีอะไรแบบนี้หรือไม่ หากแต่สมัยนางจะกระทำสิ่งใดก็ต้องมีแบบแผน มีทฤษฎีนั่นนี่มารองรับเสียจนน่าปวดหัว
แต่ในเวลานี้สิ่งที่น่าปวดหัวกว่าแบบแผนหรือทฤษฎีอย่างโลกสมัยใหม่ ก็คงจะเป็นหวงเฟิงหยาง บุรุษที่นั่งบัลลังก์มังกรเป็นองค์จักรพรรดิของแคว้น เวลานี้เสียมากกว่า
เสวี่ยเหมยเพียงพูดทิ้งท้ายไว้ให้กับโจทย์ปัญหาข้อใหญ่ ซึ่งหวงเฟิงหยางก็รับมันไปพิจารณาอย่างตั้งใจ ใบหน้าขององค์จักรพรรดิขรึมยิ่งกว่าเก่า คิ้วแทบจะชนกันอยู่ลอมล่อ และเหมือนจะหลงลืมว่านางนั่งอยู่ด้วยเป็นแน่ เพราะเวลานี้ทุกอย่างแกคลุมด้วยความเงียบ
“เช่นนี้อาจจะเกิดขึ้นก็ได้ หรือไม่เกิดก็ได้ ใช่หรือไม่”
ศิษย์เอกของอาเหมยเงยหน้าจากกระดาษมากมายบนโต๊ะอย่างขอความเห็น ส่วนนางก็ได้แต่พยักหน้ารับไป
“เช่นนี้สิ่งที่เราต้องจัดการเร่งด่วนคือปัญหาทอง ไม่ใช่แค่หาตัวการ แต่ต้องนำทองปลอมทั้งหมดมาจัดการ จัดการระเบียบการค้าขายของแคว้น การเก็บภาษีก็ควรมีแบบแผนอย่างแน่นอน และรับมือกับภาวะสงครามกับรอบข้าง”
อาเหมยพยักหน้ารับในทุกอย่างที่หวงเฟิงหยางเอ่ย นับว่าเป็นลูกศิษย์ที่ฉลาดล้ำคนหนึ่ง แต่เวลาก็ล่วงเลยมาหลายยาม จนนางที่เป็นดั่งอาจารย์ขององค์จักรพรรดิหาวหวอดออกมาเสียแล้ว หากแต่เจ้าลูกศิษย์ตัวดียังก้มหน้าก้มตาไม่ได้ใส่นางเสียเท่าไหร่ จนสตรีที่นั่งแท่นเป็นอาจารย์ขององค์จักรพรรดิ หยิบพู่กันด้ามงามจุ่มน้ำหมึกและเริ่มตวัดพู่กันลงบนกระดาษแก้เบื่อ
มือที่ตวัดไปมาก็เริ่มจะสนุก แต่พอเห็นตัวอักษรที่ไม่เข้าค่ายว่าสวยเลยสักนิดก็ละเหี่ยใจเล็กน้อย แม้อ่านตัวหนังสือจีนโบราณนี่ออกด้วยเพราะความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของแม่นางเสวี่ยเหมยคนงาม บวกกับเป็นลูกคนจีนโดยแท้ หากแต่เรื่องขีดเขียนนี่นับว่าไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย หากป๊าของเธอยังอยู่คงตีมือเป็นแน่ แต่นับว่าโชคยังดีที่องค์จักรพรรดิอ่านลายมือตวัดๆของนางออก และไม่ได้สงสัยอะไร
มือขาวผ่องที่เริ่มสนุกกับพู่กันก็เริ่มจะหาญกล้าตวัดชื่อของบุรุษตรงหน้าอย่างลองภูมิ ขนพู่กันที่จุ่มหมึกอย่างดี หากแต่มือของสตรีที่จับพู่กันกลับสั่นเล็กน้อยเมื่อพยายามเค้นวิธีเขียนตัวอักษรสามตัวออกมาจากสมองอันน้อยนิดของนาง
黃(หวง)
ตัวอักษรแรกผ่านพ้นไป แต่ก็ยังบิดเบี้ยวอยู่มาก สตรีที่จับพู่กันจึงแก้มือใหม่ด้วยตัวอักษรถัดไป
風 (เฟิง)
บรรจงเขียนอย่างตั้งใจ ก่อนจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นว่าตัวอักษรนี่นับว่าเขียนได้ดีไม่น้อย และตั้งใจตวัดพู่กันตัวอักษรสุดท้ายของชื่อโอรสสวรรค์
陽 (หยาง)
เขียนจบก็ฉายยิ้มอย่างพอใจเป็นที่สุด หากแต่จะวางพู่กันลง กลับมีมือกร้านมากอบกุมไว้มั่น และมือกร้านที่ว่านั้นก็ไม่ใช่ของใครที่ไหนนอกจากหวงเฟิงหยางที่ไม่รู้ว่าลุกขึ้นมายืนซ้อนหลังของนางตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังจับมือนางไว้อย่าถือวิสาสะ
“เขียนถูกต้อง แต่ไม่สวย” พูดเชิงต่อว่าหากแต่มือที่จับประครองมือนางไว้ก็เริ่มเคลื่อนไหว ส่งหลให้ปลายพู่กันตวัดไปมาตามพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ หากแต่อักษรที่ปรากฏตรงหน้าหาใช่ชื่อของบุรุษที่สอนนางเขียนหนังสือ
梅
ตัวอักษรหนึ่งตัวถูกเขียนขึ้นอย่างบรรจง สวยงาม น้ำหนักเส้นเหมาะเจาะ อย่างคนที่ชำนาญ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่นางไม่เข้าใจ
“เหมย...?”
นางไม่ได้สงสัยว่าเหตุใดหวงเฟิงหยางจึงเขียนชื่อของนาง อาจด้วยเพราะอยากยอดคำหวานอย่างที่ชอบกระทำ หากแต่สงสัยว่าเหตุใดถึงเขียนเพียงคำว่าเหมย แทนที่จะเขียนว่าเสวี่ยเหมย...
“ใช่ อาเหมย” เงยหน้าสบมองพักตร์ที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มบางขององค์จักรพรรดิ “ดอกเหมยของเจิ้น”
อาเหมยนิ่งงัน ไม่รู้ว่าจงใจหรือคลาแคลงใจของหวงเฟิงหยางจึงเอ่ยออกมาเช่นนั้น หากแต่... หัวใจที่ไม่ภักดีก็เต้นโครมครามขึ้นมาเสียดื้อๆ เมื่อบุรุษตรงหน้าเรียกชื่อของนาง...
ส่วนบุรุษที่รู้สึกผิดที่รบกวนเวลานอนของภรรยามานานแล้ว ก็ช้อนร่างอรชรที่กำลังเหม่อลอยขึ้นมาอุ้มอย่างไม่บอกกล่าว และสุดท้ายสตรีที่เหม่อลอยก็ตื่นตระหนกและฟาดมือลงบนอกของพระองค์อีกหน แต่ก็ไม่ได้นำมาใส่ใจ นางประสงค์ตะทำสิ่งใดก็เชิญ
เดินมาถึงเตียงนอนก็ปล่อยเสวี่ยเหมยลง มองสตรีที่ง่วงหงาวหาวนอนอยู่เมื่อครู่แทบจะตื่นเต็มตา มาถลึงตาใส่พระองค์
“รบกวนเจ้ามามากแล้ว นอนเถิด เจิ้นเองก็จะกลับแล้วเช่นกัน” แม้จะอยากอยู่แหย่สตรีร้ายกาจตรงหน้าก็ตามที แต่เห็นว่าสตรีร้ายการอาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าเก่าหากไปขัดใจนานางในเวลาเช่นนี้
“อ้อ...” บุรุษที่กำลังจะจากไปหันกลับมายังสตรีที่ยังคงขึ้งตาใส่พระองค์ไม่หาย “ปัญหาที่เจิ้นนำมากองหน้าตำหนักน้องหญิงแล้ว ก็ขอให้น้องหญิงจัดการตามสมควร เจิ้นจะวางตนเป็นกลางขออย่าได้กังวล หากอยากทำสิ่งใดก็ตามแต่ใจเลย อย่าได้เกรงกลัวสิ่งใด”
กล่าวจบก็มุ่งหน้าไปยังหน้าต่างที่พังเข้ามาด้วยตนเอง และหายลบไปในความมืด...
บุรุษที่ชอบสร้างปัญหาและมากองหน้าตำหนักของนางหายลับไปในความมืดแล้ว แต่ความไม่เข้าใจยังคงไม่หายลับไป อาเหมยยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงของความคิดของตน...
++++++++++
ชี้แจงสักนิด
๑. เรื่องการอัพ ตอนนี้เป็นสี่วันต่อหนึ่งตอน แต่ต่อจากนี้อาจจะเป็นอาทิตย์ละหนึ่งตอนแทนนะคะ เพราะจะสอบแล้วจริงๆ T_____T
๒. จะมีการปรับเปลี่ยนสรรพนามในบางกรณี หลายคนอาจจะสังเกตว่าการแทนตัวในเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถูกต้องเท่าไหร่ ความจริงเพราะไรท์ไม่อยากให้มันดูสับสนมากนัก แต่ไรท์มาคิดว่าก็น่าจะใช้ให้ถูกและไปในแนวทางเดียวกัน
เช่น จะเริ่มมีการใช้ คำว่าเปิ่นกง แทนตัวเองของนางเอก นางสนม ในกรณีที่สนทนากับสนมด้วยกัน สนทนากับอ๋องหรือขุนนาง
ใช้ หวงตี้กับองค์จักรพรรดิ แทนคำว่าฮ่องเต้ เพื่อให้ไปในแนวทางเดียวกันที่ไรท์ใช้คำว่าหวงโฮ่ว แทนคำฮองเฮา
ส่วนเรื่องคำผิดที่มากมายก่ายกองนั้นต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ยอมรับว่าสมอง มือ และตาไม่ค่อยจะสัมพันธ์กันเท่าไหร่ แต่ไรท์จะจัดการให้หลังจากที่เรื่องดำเนินไปอีกสักสามสี่ตอนต่อจากนี้ ไม่อย่างนั้นไรท์จะงง ยังไงก็ขอโทษด้วยนนะคะ /\
สุดท้ายนี้ขอให้สนุกกับการอ่านนิยายในทุกตอนนะจ๊ะ
แล้วเจอกันค่ะ
ถ้างองุ้มมันจะงอทางกายภาพจริงๆ
สนุกมากกกกก ตั้งใจเตรียมสอบจ้าาา
ว่างแล้วมาลง ยังไงก็จะรอ
เศร้าาาาาาาา ต้องงรอเป็นอาทิตย์เบย TT^^TT'
ไรท์สู้ๆ
เตรียมพร้อมใช้ตำแหน่งฮองเฮาจัดการสนมตามใจ เพราะฮ่องเต้เปิดทางให้แล้ว