คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : หลงทาง(ได้ยังไง)
“มินโฮ ! ชเวมินโฮ!”
ตะโกนเรียกเสียงดังคนที่ถูกเรียกหันกลับมาแม้แต่คนงานก็ยังหยุดหันมามอง อนยูกำลังเดินตรงรี่ไปที่เจ้านายของพวกเขาใบหน้าหวานบึ้งตึงบ่งบอกอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
“มินโฮ นายทำอะไรกับโทรศัพท์ของฉัน !”
“เปล่านี่” ลอยหน้าลอยตาตอบ
“นายใช่มั้ย เบอร์เพื่อนๆของฉัน ที่หายไปเป็นฝีมือนายใช่มั้ย!”
คนร่างบางกัดฟันถามจ้องหน้าคนสูงกว่าเอาเรื่อง มินโฮถอนหายใจตอบเสียงเรียบแต่เฉียบขาด
“ใช่!ฉันเอง ฉันไม่อนุญาตให้นายติดต่อกับคนอื่นนอกจากคนในครอบครัวนายและฉัน”
“มันจะมากไปแล้วนะ!”
อนยูขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ คนงานหันมามองอีกครั้งด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉัน นายมีสิทธิ์อะไรมาห้าม”ถามเสียงเบาลง
“สิทธิ์ของว่าที่สามีนายไงล่ะ ฉันก็ลบแค่เบอร์ที่ไม่น่าไว้ใจออก”
“ไม่น่าไว้ไจ เพื่อนฉันไม่น่าไว้ใจตรงไหนห๊ะ!”
“ยังไงก็ไม่น่าไว้ใจ ไม่น่าไว้ใจก็คือไม่น่าไว้ใจ” ฉันไม่ไว้ใจผู้ชายทุกคนที่เข้าใกล้นายนั่นแหละ
“ไม่มีเหตุผล ฮึ! ถึงฉันจะเป็นคู่หมั้นนายแต่แบบนี้มันก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป”
“เหตุผลน่ะมีแน่นอน แต่บอกไปนายจะเชื่อฉันรึเปล่า”
ประโยคหลังมินโฮเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา
“นายมันเอาแต่ใจมากเกินไปแล้ว ฮึ!”
ร่างบางกระแทกเสียงสะบัดหน้าเดินหนีไม่อยากจะพูดกับคนร่างสูงตรงหน้าแล้ว
“จินกิ จะไปไหนจะได้เวลากลับแล้วนะ”
“ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าจินกิฉันมีชื่อที่ให้ทุกคนเรียก จะไปไหนก็เรื่องของฉันไม่ต้องมายุ่ง!”
“จินกิ!เดี๋ยว”
“มินโฮนายมันไม่มีเหตุผล ฉันเกลียดนายได้ยินมั้ยว่า ฉัน เกลียด นาย”
ร่างบางตะโกนตอบแล้ววิ่งหนีเข้าไปท่ามกลางต้นส้มที่ยืนต้นเรียงรายไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะเรียกไว้หรือใครจะมอง ก็คนกำลังโกรธไม่สนใจอะไรทั้งนั้นสิ่งที่มินโฮทำมันมากเกินไปใช้ทำงานทั้งวันจนเหนื่อยล้าไปทั้งกายก็ยังพอยอมได้แต่นี่มันเรื่องส่วนตัวจะห้ามเขาไม่ให้คบเพื่อนเลยเหรอไม่มีทาง
ลีจินกิไม่ยอม เบอร์เพื่อนๆที่ถูกลบไปจะเม็มใส่ใหม่ก็ไม่ได้ก็ลีจินกิน่ะจำเบอร์ใครได้ที่ไหนแม้แต่เบอร์ของตัวเองยังจำไม่ค่อยได้เลย
“คุณมินโฮ ไม่ตามไปเหรอครับท่าทางคุณอนยูจะโกรธมากนะครับ”
ชินดงถามด้ายความเป็นห่วงคนที่เพิ่งเดินหนีแต่เจ้านายของเขากลับส่ายหน้า
“ปล่อยเขาสักพักให้อารมณ์เย็นลงก่อนดีกว่าคงไปไหนไม่ไกลหรอก”
ตอบแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ฉันเกลียดนาย คำนี้ดังก้องในหัวถึงจะรู้ว่าคนพูดกำลังโกรธจัดแต่ได้ยินแล้วก็ทำให้ใจหวั่นไหวได้มากทีเดียว ทั้งที่ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายรักให้ได้แท้ๆหรือที่เขาทำมันคงจะเกินไปจริงๆก็แค่ไม่อยากให้ผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับคู่หมั้นของเขา(พูดตรงๆก็หวงนั่นแหละ)ถึงจะบอกว่าเพื่อนก็ตามแต่เขาก็รู้สึกไม่ไว้ใจโดยเฉพาะคนที่อนยูคุยด้วยเมื่อเช้าชื่อแจบอมสินะ หลังจากที่ยึดโทรศัพท์มาได้หมอนั่นก็พยายามโทรมาอีกนับสามสิบกว่าสายยังมีข้อความที่แสดงถึงความห่วงใยอีกหลายสิบข้อความแต่เจ้าของเครื่องก็ไม่มีโอกาสได้เห็นข้อความเหล่านั้นเพราะชเวมินโฮจัดการลบออกจนเกลี้ยงรวมทั้งเบอร์เพื่อนชายทั้งหมดด้วย
“หึๆปาร์คแจบอมถึงนายโทรมาจินกิก็ไม่ได้รับสายนายหรอก”
“ชินดง นายว่าฉันทำเกินไปมั้ย”
“เอ่ออ” ชินดงอึกอักไม่รู้จะตอบเจ้านายหนุ่มยังไงดี
“ตอบตามความจริงนายคิดว่ายังไง”
“เอ่อ มันก็เกินไปนิดนะครับ คุณอนยูเธอก็มีเพื่อนมีสังคมส่วนตัวบ้าง..เอ่อ..”
“งั้นเหรอ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งต้องขอโทษแต่ตอนนี้เจ้าตัวคงไม่ยอมรับฟังหรอก รอให้จินกิใจเย็นลงอีกหน่อยค่อยไปขอโทษคงยังทันอยู่นะ
ทางด้านอนยูที่เดินหนีหายเข้าไปในไร่ส้ม สองขาก้าวเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และเมื่อใจเริ่มเย็นลงก็ได้หยุดคิด นี่เขากำลังจะเดินไปไหนกัน เงยหน้ามองท้องฟ้าจวนมืดเต็มทีกลับดีกว่า แต่พอหันหลังจะเดินกลับเขาก็ต้องชะงักอีกครั้งจะต้องไปทางไหนล่ะทีนี้ เพราะพื้นที่นี้เป็นที่ราบจึงไม่มีการยกร่องมองไปทางไหนก็มีแต่ต้นส้มเต็มไปหมดแล้วทางไหนก็ดูเหมือนกัน ตั้งสติก่อนอนยูเดินกลับทางเดิมสิบอกตัวเองในใจแต่ทางเดิมที่เดินมาน่ะมันทางไหนล่ะเหลียวซ้ายแลขวาอีกครั้งก็ยังไม่รูจะเดินไปทางไหนดี
“หรือว่าเราจะหลงทางซะแล้ว ฮะฮะ บ้าแล้วอนยู”
พึมพำกับตัวเองแล้วอยากจะหัวเราะแต่ก็หัวเราะไม่ออกแม้จะไม่อยากยอมรับ
“ใจเย็นๆอนยูค่อยๆเดินไปไร่ส้มแค่ไม่กี่พันไร่ไม่ใช่เขาใหญ่สักหน่อย”
ยังคงปลอบใจตัวเองและเดินต่อไปแม้จะรู้สึกใจแป้วก็ตาม
Wait a minute รอหน่อยๆ อยากรับมากจริงๆ Wait a minute รอก่อนๆ กำลังนึกคำอยู่ (เสียงริงโทนจ๊ะ)
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าร้องและสั่นพร้อมกันทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกตกใจ รีบล้วงออกมาดูเป็นมินโฮที่โทรเข้า
“จะโทรมาง้อรึไง เชอะ!ไม่ต้องมาง้อเลย”
แม้จะใจเย็นลงแล้วแต่ก็ยังโกรธอยู่จึงกดสายทิ้ง และยังไม่ทันได้เก็บเข้ากระเป๋าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
Wait a minute รอหน่อยๆ อยากรับมากจริงๆ Wait a minute รอก่อนๆ(เสียงริงโทนอีกครั้งจ๊ะ)
“อะไร!” กดรับตะคอกถามไปตามสาย
“จินกิ มืดแล้วนะกลับได้แล้ว” ตอบกลับเสียงอ่อนโยนมาตามสาย
“รู้แล้วน่า!”
“ก็รีบออกมาสิ นายอยู่ตรงไหนเดี๋ยวฉันไปรับ”
“ไม่รู้โว้ย!ไม่ต้อง เดี๋ยวออกไปเอง”
กระแทกเสียงตอบกลับแล้วกดวางสายในใจก็บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากจอมเผด็จการอย่างมินโฮเด็ดขาดเมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็เดินหาทางออกต่อไป
แต่ให้ตายสิเดินไปเท่าไหร่ก็ไม่เจอมีแต่ต้นส้มที่ยืนทะมึนท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมมองดูแล้วก็น่ากลัวสองขาก็เริ่มล้า ทั้งเหนื่อยและหิว ร่างบางหยุดเดินมองไปรอบๆ มืด น่ากลัว สงสัยจะคิดผิดซะแล้วที่ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากมินโฮ
“คุณพ่อคิบอม คุณพ่อจุนกิครับ ช่วยผมด้วยช่วยลูกชายของคุณพ่อด้วยครับ มันน่าอายแต่มันก็เป็นความจริง ผมหลงทางในไร่ส้ม คุณพ่อครับมืดไปหมดผมกลัว กลัว
ไม่ ต้องไม่กลัวผมจะต้องไม่อ่อนแอ ไม่กลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด ฮือ”
พึมพำปลอบใจตัวเองความกลัวค่อยคืบคลานเกาะกุมหัวใจดวงน้อยแม้จะปลอบใจตัวเองแต่ก็ดูเหมือนมันไม่ได้ผล
วืดดดดดๆ วิ้วววววววว
จู่ๆลมก็พัดผ่าน ต้นส้มไหวไปตามแรงลมแต่ทว่าความมืดทำให้มันดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
“แค่ลมพัดไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกน่า”
แม้จะบอกตัวเองว่าแค่ลมพัดตามปกติแต่สำหรับลีจินกิในตอนนี้มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นเลย
ซวบบบ! ซวบบบ!
เสียงฝีเท้าแว่วมาร่างบางถึงกับชะงักค่อยๆกวาดสายตามองไปรอบๆช้าๆ ใครกันมาเดินอยู่แถวนี้หรือจะเป็นคนงานในไร่แต่ป่านนี้แล้วจะยังมีใครอยู่อีกเหรอแล้วตอนที่เขาวิ่งหนีมาจำได้ว่าคนงานเริ่มทยอยกลับเกือบหมดแล้วถ้าไม่ใช่คนงานจะเป็นใครล่ะหรือว่าจะเป็นพวกขโมยหรือพวกอาชญากร มืดๆแบบนี้มันจะเห็นเขารึเปล่า หรือว่าจะเป็นพวกชาวบ้านออกหาจับกบยามกลางคืน จะร้องขอความช่วยเหลือดีมั้ย แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะจะทำยังไงดี
อึก!
กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ในหัวก็คิดว่าควรจะหลบแต่ขากลับไม่ขยับก้าวไปไหน
ซวบๆ
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆพร้อมเงาตะคุ่มๆของเจ้าของเสียงที่ค่อยๆปรากฏตรงหน้าแต่ร่างบางก็ยังไม่ขยับเขยื้อนกายไปไหนไม่ใช่ไม่อยากขยับแต่ความกลัวที่กัดกินหัวใจอยู่ตอนนี้ทำให้ขาก้าวไม่ออกแถมตัวยังเริ่มสั่นอีกหรือนี่จะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตลีจินกิ ไม่นะ~~’
ท่ามกลางความมืด ร่างสูงหยุดยืนถมึงทึงอยู่ตรงหน้าห่างไม่ถึงสองก้าว
“อยู่นี่เอง! มัวทำอะไรอยู่ กลับได้แล้ว”
ร่างสูงตรงหน้าตะคอกด้วยน้ำเสียงติดหงุดหงิด ร่างบางสะดุ้งเฮือก แต่
เสียงนี้ เสียงของชเวมินโฮ เป็นมินโฮจริงๆ เป็นเขาได้ยังไงจะดีใจ โล่งใจหรือเสียใจหรือจะรู้สึกยังไงดีล่ะอนยู
“
”
มินโฮเดินเข้าไปใกล้คนที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าแม้จะมืดแต่ชายหนุ่มก็มองออกว่าร่างบางตรงหน้ากำลังสั่นและก็พอจะเดาได้ว่าหน้าหวานๆนั่นจะซีดแค่ไหน กำลังกลัวอยู่งั้นเหรอ
“จินกิไม่เป็นไรใช่ไหม กลับกันเถอะ”
มินโฮถามเสียงอ่อนลงมือหนาคว้ามือเล็กกระตุกเบาๆให้ก้าวตาม ชายหนุ่มสัมผัสได้มือเล็กนั้นเย็นเฉียบเขาบีบกระชับมือขึ้นอีกแม้ไม่ได้พูดคำใดออกมาแต่คนร่างเล็กรับรู้ได้เหมือนกับมืออุ่นๆที่กระชับแน่นกำลังปลอบใจอยู่ อนยูมองมือที่ถูกกุมอยู่ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกแต่ความกลัวที่มีค่อยๆจางหายไป เหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนตัวสูงที่เดินนำแล้วมองมือหนาที่จับอยู่อีกครั้ง รู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจขึ้นมาก
กึกก
“มะมีอะไรเหรอ ”
อนยูถามเสียงเบาอย่างหวั่นๆปนแปลกใจก็จู่ๆร่างสูงที่เดินนำอยู่ก็ชะงัก
“เปล่า ไม่มีอะไร ไปต่อเถอะ”
มินโฮตอบแล้วเดินต่อแอบกระตุกยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างน้อยสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อทางภาษากายคนตัวเล็กนี่ก็สามารถรับรู้ได้จากการที่มือเล็กที่เขาจับอยู่บีบกระชับขึ้นนั่นเองและดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอบีบมือของอีกฝ่าย
“ชินดง เอารถไปจอดรอที่ท้ายไร่นะ... อืม... บอกทุกคนให้กลับได้แล้ว ฝากขอบใจพวกเขาด้วย”
มินโฮกดโทรศัพท์ไปบอกชินดง บทสนทนาสั้นๆนั่นทำให้ร่างบางที่เดินตามติดใจไม่น้อย ทุกคนที่
มินโฮพูดถึงคือใคร แต่ช่างเถอยังไม่อยากพูดอยากถามอะไรมากมายในตอนนี้
สองร่างเดินฝ่าความมืดลัดเลาะไปได้สักพักก็เห็นแสงสว่างอยู่ไม่ไกล และเมื่อเข้าไปใกล้
“คุณมินโฮ คุณอนยู ทางนี้ครับ”
ชายหนุ่มร่างอวบชินดงยืนโบกมือป้อยๆทันทีที่เห็นเจ้านายหนุ่มกับคู่หมั้นเดินโผล่ออกมาจากแนวไร่ส้ม
“ม มินโฮปล่อยได้แล้ว”
อนยูบอกเมื่อเดินใกล้จะถึงรถที่จอดรออยู่
“ปล่อยอะไร”
มินโฮหันกลับไปถาม
“มะ มือ ปล่อยมือฉันได้แล้ว”
ตอบเสียงเบาคนตัวสูงมองมือที่เกาะกุมมือเล็กอยู่ไม่ตอบและไม่ยอมปล่อยแต่กลับยิ่งกระชับมือขึ้นอีก เห็นอย่างนี้แล้วอนยูก็จำต้องเงียบยังไงซะมินโฮก็ไม่ยอมปล่อยแน่นอน
“เชิญครับ คุณมินโฮ คุณอนยู”
ชินดงเปิดประตูแคปหลังให้เจ้านาย
“ขอบใจชินดง”
“ขอบคุณครับคุณชินดง”
มินโฮก้าวขึ้นรถก่อนตามด้วยร่างบางของอนยูที่ถูกดึงให้ขึ้นตามมาติดๆเพราะมินโฮไม่ยอมปล่อยมือ เอาเถอะไม่อยากจะว่าอะไรให้มากความตอนนี้อยากกลับให้ถึงบ้านให้เร็วที่สุดก็ตอนนี้ทั้งเหนื่อยและหิวนี่นา
ชินดงออกรถขับมาแป๊บเดียวก็ถึงบ้านของเจ้านาย(ก็แค่กิโลกว่าๆนี่นา)
ทันทีรถจอด ร่างเล็กๆของแม่บ้านจางวิ่งออกมาด้วยหน้าตาตื่นๆวันนี้เกิดอะไรขึ้นเจ้านายของนางจึงกลับช้ากว่าปกติตั้งสองชั่วโมง
“คุณมินโฮ คุณอนยู ทำไมกลับช้าจังคะวันนี้”
นางถามทันทีด้วยความเป็นห่วงเมื่อเจ้านายและคู่หมั้นลงจากรถ
“พอดีมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยน่ะ”
มินโฮตอบปรายตาไปที่ร่างบางที่ยืนอยู่ข้างๆคนที่ถูกมองก้มหน้าหลบสายตาคมทันที
แม่บ้านจางมองคู่หมั้นเจ้านาย ร่างบางมีท่าทีอิดโรย ใบหน้าหวานดูซีดเซียวคุณอนยูคงจะเหนื่อยมากสงสัยไม่เคยเจองานหนักหรือโดนใช้งานหนักกันนะ
“คุณอนยู เหนื่อยไหมคะ”
“อะ นิดหน่อยครับ” ตอบด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
“คงจะหิวแย่เลย เข้าบ้านเถอะค่ะป้าตั้งโต๊ะรอแล้ว”
นางบอกเดินนำเข้าบ้านเจ้านายทั้งสองก็เดินตาม
“คุณชินดงทานข้าวด้วยกันก่อนนะครับ ได้มั้ย มินโฮ”
อนยูหันไปชวนชินดงและประโยคหลังก็หันไปถามมินโฮเสียงเบาด้วยความเกรงใจ มินโฮยกยิ้มพอใจนี่คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาตกหลุมรักลีจินกิ ความเป็นคนมีน้ำใจนี่แหละ
ชายหนุ่มพยักหน้าและถือโอกาสโอบไหล่คู่หมั้นร่างบางแบบเนียนๆ
“ได้สิ ชินดงกินข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับนะ ห้ามปฏิเสธ ป้าจางจัดที่เพิ่มให้ชินดงด้วยนะครับ”
มินโฮหันไปชวนคนสนิทและหันกลับไปสั่งแม่บ้าน
“ขอบคุณครับคูณมินโฮ คุณอนยู” นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว หิวเหมือนกันนะเนี่ย
ชินดงกล่าวแล้วรีบสาวเท้าเดินตามคนทั้งสองเข้าบ้าน
TBC.
จบไปอีกหนึ่งตอนและยังคงความมั่วไว้อย่างสม่ำเสมอ
รีดเดอร์หลายท่านอาจจะคิดว่ายัยนี่พยายามเหลือเกิน
ที่จะสร้างสถานการณ์ให้โฮกะอนได้ลงเอยกัน
คนอาไร้หลงทางในไร่ส้มยังไงก็ไม่น่าเป็นไปได้
แต่เดี๋ยวก่อนเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นจริงนะไอ้หลงในที่ๆไม่น่าหลง
และคนๆนั้นก็ข้อยเอง อ้าก!น่าอาย(แล้วบอกทำไมวะ)
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกๆคอมเมนต์นะจ๊ะ
1 เม้นต์ = ล้านกำลังใจ
โฮอน ขอบคุณแฟนๆหน่อยเร็ว
T T ' (เราสองคนถูกบังคับครับ)
~ ~' เปล่านะ ฉันทำเพื่อพวกนายนะ
ความคิดเห็น