ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic SHINee : Something

    ลำดับตอนที่ #1 : Something 1 (Hoon,2Min)

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 54


                Something

          เช้าวันแรกของสัปดาห์ผมเริ่มต้นการทำงานด้วยความแจ่มใสคงเพราะเมื่อวานวันหยุดได้พักผ่อนเต็มที่เช้านี้ผมจึงอารมณ์ดี แต่ความจริงแล้วกระผมอีจินกิก็อารมณ์ดีทุกวันนั่นแหละ ด้วยตอนนี้กระแส 2012 น้ำท่วมโลกหรือโลกจะแตกกำลังมาแรง ผมก็ไม่รู้ว่าวันนั้นจะเกิดขึ้นจริงมั้ยแต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงก็หมายความว่าเรามีเวลาอยู่บนโลกใบนี้สั้นเข้าทุกที หรือว่าเราจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นมั้ยนั่นก็เป็นอนาคตที่ไม่มีใครรู้ได้

    ดังนั้นผมจึงอยากทำทุกวันของผมให้มีความหมายและมีความสุขที่สุด(ว่าเข้าไปนั่น)

    Ring Ding Dong Ring Ding Dong Ring Diggi DingDiggi Ding Ding Ding

    ฮัมเพลงเบาๆตามประสาคนอารมณ์ดีพร้อมเปิดคอมฯ คิมจงฮยอนเพื่อนสนิทผมหันมามองแล้วส่ายหัว มันควรจะชินได้แล้วผมก็เป็นของผมแบบนี้ทุกวัน

    Hello Hello  นา-รึม-แด-โร ยง-กิม แนซ-ซอ-โย     Hello Hello  จัม-ชิ-เย-กิ ฮัล-แร-โย

    ยังครับผมยังร้องเพลงโปรดของผมไปเรื่อยๆพร้อมกับเปิดเมล์และไล่เช็คเมล์อย่างสบายอารมณ์

    นา รึล มก โก คา ทุน ดา มยอน ซา ราง โด มก กิน แช มี แร โด  โอ๊ย!เฮ้ย”

    แล้วเช้าอันรื่นรมย์ของผมก็มีอันต้องจบลงเมื่อมือหนาๆของไอ้เปรต เอิ่ม..ผมหมายถึงชเวมินโฮเพื่อนสนิทที่นอกจากหล่อแล้วยังสูงปานเปรต มันเบิ๊ดกะบาลผมอย่างแรงจนหน้าผมเกือบทิ่มหน้าจอคอมฯ

    “ไอ้เชรี่ยมินโฮ เบิ้ดกูแต่เช้าเลย นี่แน่ะๆ”

    มือลูบหัวตัวเองป้อยๆปากก็ด่าและเท้าผมก็ยกขึ้นถีบไปสองที มันหลบทันครับแถมหัวเราะเสียงดัง จงฮยอนหันมามองส่ายหัวรอบที่สอง

    “อีกแล้วพวกมึง ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”

    “เงียบไปเลยคิมจงเป็ด”

    มินโฮหันไปกัดจงฮยอนพร้อมลากเก้าอี้ของโต๊ะที่อยู่ตรงข้ามกับผมมานั่งข้างๆผม

    “เมื่อวานวันหยุด มึงไปเที่ยวไหนมาวะอน”

    มินโฮนั่งเท้าคางถามผมด้วยคำถามเดิมๆที่ได้ยินบ่อยๆจนเรียกได้ว่าเป็นคำถามสิ้นคิดเหมือนกับเมนูข้าวกระเพราที่พอเราเข้าร้านอาหารตามสั่งแล้วไม่รู้จะสั่งอะไรมากินดี ผมคิดว่าบางทีคนถามก็ไม่ต้องการคำตอบนะ

    “ไม่ได้ไปไหน นอนอยู่บ้าน”

    “มึงมีบ้านอยู่นี่ด้วยเหรอ” มันถามทั้งหน้าทั้งเสียงจริงจังมาก

    “กูนอนอยู่ห้องเช่า  ทำไมมึงคิดถึงกูเหรอ”

    “อือ”

    เฮ้ยมาแปลก ปกติแล้วมันจะต้องตอบประมาณว่า หน้าอย่างมึงใครจะคิดถึงวะหรือฝันไปเถอะมึง
    วันนี้มันตอบสั้นๆว่า อือ แปลว่ามันคิดถึงผมเหรอ

    “คิดถึงกู อ๊ะๆ นี่มึงคิดอะไรกับกูป่าววะ”

    “อืม”

    มันตอบแล้วก็ลุกเดินจากไปทิ้งงูไว้ให้ผมสองตัว คืองงครับ นี่มันกินยาธาตุไม่เขย่าขวดรึไง

    ที่จริงก็ถามออกไปด้วยความสนุกปากนะ ประโยคสนทนาเมื่อครู่ก็เป็นประโยคซ้ำๆที่ผมกับมันถามกันบ่อยๆแต่ที่แปลกคือมันตอบสั้นๆว่า อือ นี่แหละที่ผมงง ผมหันไปมองหน้าจงฮยอน

    “จงฮยอนเมื่อกี้มึงได้ยินใช่มั้ย มึงว่ามินโฮมันแปลกมั้ย”

    “แปลกมั้ง อ้าวมึงเป็นกิ๊กกะมันไม่ใช่เหรอ”

     “ใครบอกมึงวะเป็ด”

    “คีย์”

    “ความจริงแล้วกูไม่ได้เป็นกิ๊กกะมินโฮหรอกแต่กูเป็นชู้กะมันต่างหากล่ะ ฮ่าๆๆ”

    ว่าเข้าไปนั่น ความจริงมินโฮมันมีแฟนแล้วแทมินแฟนมันน่ะโคตรน่ารักเลย แล้วผมกับมินโฮก็เป็นเพื่อนสนิทกันธรรมดาแหละเพราะสนิทกันมากเลยโดนคิมคิบอมแซวว่าผมเป็นกิ๊กกันแต่ผมก็เป็นพวกพูดแล้วสนุกปาก ก็เลยแถไปเรื่อยเปื่อย กิ๊กกั๊กไม่เขาเป็นกันเยอะแล้วอย่างอีจินกิต้องชู้ครับ  

    “อนยู กูวานมึงช่วยเอาแฟ้มนี่ไปให้คีย์หน่อยดิ”

    จงฮยอนบอกพร้อมยื่นแฟ้มบางๆให้ผมในตอนสายๆ ผมมองหน้ามันส่งสายตาประมาณว่าทำไมไม่ไปเองวะ

    อยู่ห่างกันไม่กี่โต๊ะเอง ใช่ครับโต๊ะทำงานของคีย์กับมินโฮอยู่ติดกันอยู่ติดประตูทางเข้า ส่วนโต๊ะทำงานผมกับ
    จงฮยอนอยู่ในสุดของออฟฟิศติดหน้าห้องผู้จัดการเลยล่ะ

    “เหอะน่ากูรู้มึงอยากไป ชู้มึงอยู่นั่นไม่ใช่เหรอ”

    “เออๆกูไปให้ก็ได้แต่กูไปนานนะมึง”

    ผมบอกดึงแฟ้มจากมือจงฮยอนแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะของคีย์ จริงแล้วผมก็อยากมาหามันอยากพอดีหมายถึงคีย์หรือคิมคิบอมนะไม่ใช่มินโฮ

    “อ้าวอนยูมาหามินโฮชู้รักมึงเหรอ เสียใจด้วยมันไม่อยู่ไปตายห่_ ที่ไหนก็ไม่รู้”

    ดูคิมคิบอมมันทัก ผมเลยใช้แฟ้มที่ถือมาเคาะหัวมันไปทีนึง ก่อนจะยื่นให้มัน

    “เชรี่ยคีย์ กูมาหามึง อ่ะ ไอ้เป็ดฝากมาให้ “

    “ขอบใจ” ตอบแบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย

    “นี่ๆเมื่อวานมึงได้ไปดูหนังป่าว ดูเรื่องอะไร เล่าให้ฟังมั่งดิ”

    นี่แหละครับเหตุผลที่ผมอยากมาหาคิมคิบอม คีย์คนนี้ชอบดูหนังมากและผมก็ชอบฟังมันเล่าเรื่องหนังที่ไปดูมา เป็นความสามารถพิเศษของมันเลยทีดียวล่ะ มันสามารถเล่าเรื่องได้เป็นฉากๆแบบไม่มีตกหล่นและคนฟังอย่างผมจินตนาการเห็นภาพตามที่มันเล่าขนาดผมไม่ได้ไปดูก็เหมือนกับได้ดูกับตา และตอนนี้มันกำลังเล่าถึงหนังที่มันเพิ่งไปดูมาเมื่อวาน ผมนั่งลงบนเก้าอี้ของมินโฮที่เจ้าของมันไม่อยู่นั่งเท้าคางฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “อือๆ อืมๆ” 

    เสียงผมเองที่ครางออกมาเป็นระยะว่าผมเข้าใจที่คีย์มันเล่า ฟังได้สักพักมินโฮก็กลับมาแต่ผมไม่ได้สนใจมันหรอกก็ผมกำลังสนใจเรื่องหนังของคีย์มากกว่า  ได้ยินเสียงลากเก้าอี้ดังครึ่กครั่กทางด้านหลัง มินโฮคงไปลากของคนอื่นมาก็เก้าอี้ของมันผมยึดแล้วนี่นา ถ้าคุยยังไม่จบผมก็ไม่ลุกหรอกและมันเองก็รู้ว่าคงอีกนาน

    มินโฮลากเก้าอี้มานั่งข้างหลังติดกับผมแล้วเอาแขนพาดที่พนักพิงเก้าตัวที่ผมนั่งไม่แค่นั้นมันยังเอาคางมาเกยบนไหล่ผมอีก คีย์เหล่มองแวบนึง จริงๆมันก็เป็นภาพที่เห็นจนชินตาคีย์มันจึงเฉย ที่มินโฮมันทำแบบนี้ตอนแรกผมก็รู้สึกนะรู้สึกยังไงเหรอนั่นสิบอกไม่ถูกเหมือนกันแต่ว่าผมเลือกที่จะไม่สนใจจนกลายเป็นความเคยชินไปซะแล้ว

    “มินโฮ กูหนักนะมึง”

    “แหมไอ้หู้มึงก็ยอมๆมินโฮมันหน่อย โอกาสใกล้ชิดแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะมึง”

    “เชรี่ยคีย์โอกาสอะไรของมึง”

    ผมว่าพลางถีบเก้าอี้คีย์แรงๆ

    “โอ๊ะๆไอ้หู้ ถ้ากูตกเก้าอี้นะ กูจะฟ้องแทมิน”(แทมิน ที่คีย์พูดถึงคือแฟนของมินโฮครับ)

    “คิมคิบอม มึงจะขายเพื่อนเหรอ โอ๊ย กูกลัวจังเลย”

    ผมตอบมันด้วยน้ำเสียงตอแหลสุดๆ ผมไม่กลัวนี่ครับผมบริสุทธิ์ใจ(มั้ง)และก่อนที่ผมกับคีย์จะงับหัวกันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คิมคิบอมรีบยกหูรับทันที โดยมีผมกับมินโฮที่ยังเกยคางบนไหล่ผมพร้อมใจกันเงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ

    “ครับคิบอมครับครับพี่ดงแฮใช่ครับครับผมจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับครับแล้วเจอกัน”

    คีย์วางสายหันไปหยิบแฟ้มอันที่ผมถือมาให้นั่นแหละแล้วลุกขึ้นยืนมันปรายตามามองที่ผมกับมินโฮ

    “เอาล่ะกูไม่อยู่เป็นก้างพวกมึงแล้ว อนหู้ได้โอกาสแล้ว มึงเต็มที่นะมึง”

    “เต็มที่อะไรของมึง แล้วมึงไปหาพี่ดงแฮมีธุระอะไรวะ”

    “กูมีโปรเจ็คจะเสนอละกันน่า กูไปล่ะ เต็มที่เลยนะเพื่อนโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีทุกวันนะ ฮ่าๆ”

    ประโยคหลังคีย์ก้มลงมากระซิบข้างหูพร้อมบีบไหล่ผมก่อนจะหัวเราะเสียงดังแล้วจากไป มันน่าถีบจริงๆ

    พูดถึงโปรเจ็คที่มันว่าเมื่อกี้ผมยังสงสัยก็ผมเห็นกับตาว่าจงฮยอนนั่งทำตั้งนานพอเสร็จแล้วมันก็พิมพ์ใส่แฟ้มนั่นแล้วใช้ผมเอามาให้คีย์ ยังไงกันผมงงหรือว่ามันสองคนมีซัมติงอะไรกันคิดแล้วก็หันไปมองหน้ามินโฮตอนนี้มันก็ยังอยู่ท่าเดิมเกยคางบนไหล่ผมนั่นแหละ ผมหันไปหามันมันก็หันมาหาผมเช่นกันไม่ต้องบอกนะครับตอนนี้ผมอยู่ในสภาพไหน หน้าของเราใกล้กันมากใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกันเลยล่ะ ผมรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันทีแล้วก็เผลอนึกถึงคำพูดแปลกๆของมันเมื่อเช้า

    “คิดถึงกู นี่มึงคิดอะไรกับกูป่าววะ”

    “อืม”

    คำนั้นแหละที่มันเผลอดังในหัวผม ผมคิดว่าว่าไม่ควรอยู่กับมินโฮในสภาพนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว

    “กูกลับดีกว่า”

    ผมพูดแล้วผลุนผลันลุกขึ้นทันทีทันใด จนมินโฮที่ไม่ทันตั้งท่าเกือบหน้าทิ่ม พอลุกได้ผมก็รีบเดินทันทีไม่สนใจว่ามินโฮมันจะด่าว่าอะไร ตอนนี้ขอไปจากตรงนี้ก่อน ก่อนที่ผมจะเป็นโรคหัวใจ(เต้นแรง)กำเริบ

                               Something Something Something Something  

    “โอยอิ่มจนท้องจะแตก”

    ผมครวญครางหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วเดินออกจากร้านอาหาร ซึ่งวันนี้เรามากันแค่สามคนมีผม คิมคีย์และจงฮยอน ส่วนมินโฮป่านนี้มันคงหลับตกเก้าอี้ไปแล้วมั้ง เนื่องจากมันตราตรำดูบอลจนดึกติดกันสามคืนแล้ววันนี้มันจึงไม่ออกมากินข้าวเที่ยงกับพวกผม แต่อาศัยช่วงที่คนอื่นออกไปพักงีบในออฟฟิศแทน

    ส่วนเรื่องปากท้องของมันช่างเถอะไม่ใช่เรื่องของผม

    “พี่คีย์ พี่อน พี่จง สวัสดีฮะ”

    แทมินแฟนของไอ้กบ(มินโฮนั่นแหละ) ทักพวกผมพร้อมกับเดินมาหาในมือมีถุงของกินมาด้วยคงจะซื้อไปให้มินโฮ

    “อ้าวแทมิน กินข้าวเที่ยงยัง”เป็ดจงถาม น้องแทมพยักหน้า

    “เอ่อคือว่า”

    “มีอะไรงั้นเหรอ แทมิน” ผมถาม

    “คือผมขอฝากของกินนี่ไปให้พี่มินโฮหน่อยได้มั้ยฮะ”

    “ได้ก็ได้อยู่อะนะ ทำไมไม่เอาไปให้เองล่ะอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”

    เป็นคำตอบของคิมคีบอมครับผมกับจงฮยอนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ชวนแทมินไปพร้อมกันแต่น้องก็ปฏิเสธ

    “คือ  ผมฝากพี่ๆไปดีกว่าครับ คือแบบบอกตรงๆนะฮะ ผมไม่ถูกกับสายตาพี่ๆในออฟฟิศพวกพี่เอาซะเลย”

    คีย์กับจงฮยอนมองหน้ากันพวกมันงง แต่ผมเข้าใจแทมินนะที่ออฟฟิศของผมมีทั้งหญิงและชาย แล้วไอ้เพื่อนเปรตของผมนะเป็นขวัญใจสาวๆในออฟฟิศ เวลาแทมินไปหามินโฮที่เป็นแฟนก็ต้องเจอกับสายตาพิฆาตของสาวๆแฟนคลับ
    มินโฮ ยังครับยังไม่พอยังมีหนุ่มๆในออฟฟิศอีกที่มักจะมองน้องแทมด้วยสายตาหื่นๆก็น้องแทมของไอ้โฮถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็น่ารักยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก(ฮือๆ
    :เสียงของไรเตอร์เอง)

     ผมตบบ่าแทมินเบาๆ พี่เข้าใจ ผมยื่นมือไปรับถุงเสบียงของมินโฮจากแทมิน

    “โอเคๆ พี่เอาไปให้มินโฮเอง”

    “ขอบคุณมากครับพี่อนยู ผมขอตัวก่อนนะครับไปก่อนนะฮะพี่คีย์ พี่จงฮยอน”

    เมื่อแทมินไปแล้วคีย์ก็หันไปกระซิบกระซาบกับจงฮยอนแล้วก็หัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้ เอาอีกแล้วพวกมัน

    “แหมๆจงฮยอน มึงดูดิ เมียหลวงกับเมียน้อยไอ้โฮรักกันดี๊ดีเน๊อะ” คีย์ลอยหน้าลอยตาพูด

    “อะไรนะ เมียหลวง เมียน้อย อะไรของมึงไอ้คีย์”

    “ทำใจเถอะเพื่อน เกิดเป็นเมียน้อย” จงฮยอนพูดพร้อมกับบีบไหล่ของผมเบาๆปลอบใจ เข้าใจแล้วครับพวกมันหมายถึงอะไร เมียหลวงคือแทมิน ส่วนเมียน้อยเป็นใครไม่ได้นอกจากผม

    “เชรี่ยคีย์ เชรี่ยเป็ด กูจะฆ่ามึง ย้ากส์”

    ผมไล่เตะพวกมันทันที พวกมันพากันวิ่งหนีหัวเราะกันเสียงดัง ให้ตายสิผมอีจินกิอยากจะบ้าตาย


                                   
    Something Something Something Something

     

                    พวกเราเข้ามาถึงออฟฟิศแล้วเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่ในสุดที่เป็นของผมกับจงฮยอน 

    นั่นไงชเวมินโฮฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะของจงฮยอน ผมเดินไปใกล้แล้วปลุกด้วยการเขย่าไหล่มันเบาๆจริงๆแล้วอยากปลุกมันด้วยอวัยวะเบื้องล่างมากกว่า   ผมยื่นถุงของกินที่แทมินฝากมาให้ซึ่งก็เป็นแซนวิชสองชิ้นกับนมอีกขวด และยื่นกาแฟเย็นให้อีกแก้ว มินโฮรับไปยังไม่ทันที่มันจะพูดอะไรคีย์ก็ชิงพูดออกมาซะก่อน

    “แซนวิชกับนมน่ะของแทมิน ส่วนกาแฟเย็นน่ะโปรโมชั่นจากอนยูเมียน้อยมึง”

    “จริงเหรอ ขอบใจนะจ๊ะที่รัก”

    มินโฮรับมุกครับ ยังไม่พอมันยังเอามือมาลูบแก้มผมอีก อยากจะบ้าถึงจะไม่ได้คิดอะไรกับมัน(มั้ง)หรือถึงจะแค่หยอกกันเล่นแต่ผมก็เขินเป็นนะ รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที หน้าผมแดงมั้ยหว่าไม่ได้ๆต้องรีบกลบเกลื่อน

    “เชรี่ยเปรต รีบๆแดกเข้าไปเดี๋ยวหมดเวลาพักจะอดแดกนะมึง”

    ว่าแล้วก็นั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่ว่าง(ก็ของผมนั่นแหละ)หันหลังให้มัน แล้วก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของคู่จงคีย์แว่วมากระทบโสตประสาทหู

    “จงฮยอนกูว่าไอ้หู้มันเขินว่ะ”

    “เออๆกูก็ว่างั้นแหละ ดูหน้ามันดิแดงยังกะลูกตำลึง”

    “กูว่างานนี้มี ซัมติงรองแน่ๆ คริๆ”

    พวกมันกะจะให้ผมเป็นชู้กับมินโฮจริงๆให้ได้ใช่ไหมเนี่ย คิดแล้วปวดเฮดเหลือเกิน

                    Something Something Something Something


             เมื่อสองวันก่อนเงินเดือนเพิ่งออกครับ และวันนี้ผมก็ว่าจะไปช้อปปิ้งซะหน่อยและผมตัดสินใจที่จะไปคนเดียว ไม่ชวนเพื่อนคนไหนไปด้วยทำไมน่ะเหรอก็ถ้าชวนคิมคิบอม ผมก็ไม่เป็นอันซื้อของเพราะโดนมันลากไปดูแต่ของที่มันชอบ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการซื้อ แต่ถ้าเป็นจงฮยอนนี่ก็คอยแต่จะขัดใจซื้อนั่นมันก็ว่าไม่ดีซื้อนี่ก็ไม่คุ้มเดี๋ยวก็หาว่าผมชอบซื้อของไร้สาระ ถ้าไปแพ็คคู่จงคีย์ โอ้
    !ยิ่งแล้วใหญ่มันกัดกันเอง ส่วนมินโฮปล่อยมันไปกับแฟนเถอะครับ

    หลังเลิกงานผมไปเดินที่ซูเปอร์ในห้างที่อยู่ไม่ไกลออฟฟิศผมเท่าไหร่และก็ไม่ไกลอพาร์ทเมนต์ของผมด้วยสะดวกจะตาย ผมใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ได้ของที่ต้องการครบ หลังจากนั้นก็หิ้วถุงพะรุงพะรังตรงไปที่ห้องสมุดประชาชน ผมหมายถึงมุมหนังสือในร้านเซเว่นนะครับ ตั้งใจจะไปดู(อ่าน)หนังสือ(ฟรี)ซะหน่อย

    “สวัสดีค่ะ เชิญค่ะ”

    เสียงหวานใสของพนักงานสาวในร้านเอ่ยต้อนรับ ผมหันไปส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อยไม่ได้รู้จักกันหรอกครับแต่ผมมาบ่อยจนจำหน้าเธอได้และเธอก็จำหน้าผมได้เช่นกัน

    “คู่สร้างคู่สมทศใหม่มาแล้วนะคะพี่” บอกแล้วว่าเธอจำผมได้

    “ขอบคุณครับ” ผมบอกพร้อมให้รางวัลเธอเป็นรอยยิ้มที่ผมคิดว่าดูดีที่สุดหล่อที่สุด

    ผมตรงไปยังมุมหนังสือแล้ววางข้าวของลงแทบเท้า สายตากวาดไปทั่วชั้นหนังสือ  นั่นไงคู่สร้างคู่สมทศใหม่ที่น้องแคชเชียร์บอก ไม่รอช้าผมหยิบขึ้นมาอ่านหน้าปกทันที อืม น่าสนใจ ผมเอาหนังสือมาหนีบไว้แปลว่าเล่มนี้ผมจะซื้อ ผมกวาดตามองชั้นหนังสืออีกรอบ ว้าว นั่นไง หนังสือ เอ-สตาร์ หนังสือที่มีแต่เรื่องดาราเกาหลี ผมคว้าหมับทันที ดูหน้าปก มีข่าวกับรูปวง SHINee วงโปรดของผมด้วยไม่ได้ๆต้องอ่าน ผมเปิดหนังสืออ่าน อ่าน และอ่าน จนจบเล่ม

           ผมปิดหนังสือแล้งวางเก็บที่ชั้นตามเดิม กี่โมงแล้วนี่ ผมเหลือบมองนาฬิกาผนังของร้าน เฮ่ย! สามทุ่มครึ่ง  รีบกลับดีกว่า ผมตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงินค่าหนังสือ แล้วก็หิ้วข้าวของออกมายืนหน้าร้าน ตอนนี้รถโดยสารหมดแล้วต้องนั่งวินมอไซต์กลับล่ะ ล้วงหาตังค์ค่าวินก่อน ผมล้วงทุกกระเป๋า ไม่มีไม่มิเงินเหลือซักบาทไม่สิมีอยู่บาทห้าสิบสตางค์ นี่ผมใช้เงินจนหมดเกลี้ยงเลยเหรอเนี่ย ตายห่_แล้วบัตรเอทีเอ็มก็ไม่ได้เอามา

    ทำไงดีๆ ผมยืนคิดสักครู่ก็ตัดสินใจล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกง กดเบอร์จะโทรออกรู้สึกลังเลนิดหน่อยแฮะ แต่เอาวะ ผมกดโทรออกแล้วยกโทรศัพท์แนบหู เสียงดังสองตื้ดปลายสายก็กดรับ

    “มินโฮ”

    “มีอะไรอนยู ”

    “มินโฮ มารับกูหน่อยดิ คือกูมาซื้อของแล้วไม่มีรถกลับอ่ะ”

    “มึงอยู่ไหน”

    “ตอนนี้กูอยูที่ร้านเซเว่นXXที่กูมาประจำนั่นแหละ

    “มึงรอกูอยู่นั่นแหละ กูจะรีบไป”

    มินโฮวางสายไปแล้ว ผมออกจะประหลาดใจที่มันไม่ด่าผมเหมือนทุกครั้งแถมบอกจะรีบมาอีก

    ผมนั่งรออยู่ข้างๆร้านราวยี่สิบนาทีมินโฮก็มาถึงมันจอดรถตรงหน้าผมพอดี มันลงรถแล้วตรงรี่มาหาผม

    “มึงนี่น้าชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย”

    “กูขอโทษ แต่ก็ขอบใจที่มึงมา โอ๊ย!

    ที่ร้องเพราะโดนมือหนาของมันดีดเพียะที่หน้าผากครับ วันนี้จะยอมละกันไม่เอาคืน(ฮึ่ม)

    “ไหนดูดิ๊มึงซื้ออะไรมาเยอะแยะ”

    มินโฮก้มลงดูถุงของที่ผมซี้อมาไม่เยอะครับแค่สองถุงใหญ่(ไซส์ใหญ่สุดของซูเปอร์) ถุงแรกเป็นของใช้ครับ ผงซักฟอก ครีมอาบน้ำ ยาสีฟัน แชมพู ครีมนวด โลชั่น แต่ละอย่างก็ขนาดครอบครัวทั้งนั้นครับผมชอบซื้อแบบว่าซื้อทีใช้นานจนลืม มาดูถุงที่สองเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็หลายแพ็คอยู่ก็มันมีหลายรสนี่นาก็เลยต้องซื้อให้ครบทุกรส

    “อนยู มึงกะจะแดกมาม่าทั้งชาติเลยรึไง”

    “ช่างกูเหอะน่ากูยังมีภาระ”

    “มึงรู้มั้ยตอนนี้มึงเป็นภาระกูอย่างแรง”

    โห! แรงว่ะชเวมินโฮ แต่มีรึที่อีจินกิจะยอม

    “ถือเป็นเกียรติของมึงนะมินโฮ คิมจงฮยอนกับคิมคิบอมยังไม่เคยเลยนะ แล้วอีกอย่างวันนั้นมึงกินกาแฟกูฉะนั้นวันนี้มึงต้องตอบแทนกูบ้าง”

    “เฮ้ย!นี่มึงทวงบุญคุณ เหรอ”

    ผมพยักหน้าตอบหงึกๆหน้าตาย มินโฮส่ายหัวทำหน้าซังกะตาย

    “เออๆกูขี้เกียจเถียงกะมึงแล้ว กลับเถอะดึกแล้ว”

    มินโฮบอกพร้อมกับช่วยถือถุงเดินไปที่รถของมันผมเดินตามขึ้นรถทันที

                    ไม่ถึงยี่สิบนาทีมินโฮกับผมก็ถึงอพาร์ทเมนต์ของผม ผมคว้าถุงข้าวของมาถือไว้เตรียมจะลงรถอ้าปากจะขอบใจมินโฮแต่มันชิงพูดขึ้นก่อน

    “เดี๋ยวกูช่วยถือไปส่งบนห้อง”

    “เอางั้นเหรอ ก็ได้ขอบใจนะมินโฮ”

    ผมเดินนำมินโฮขึ้นไปบนห้องพักของผมที่อยู่ชั้นสอง ถึงหน้าห้องก็วางของแล้วไขกุญแจเปิดห้อง

    “เข้ามาก่อนมั้ย กูเลี้ยงน้ำ น้ำเปล่านะ”

    “อือ”

    มินโฮตอบเดินตามผมเข้ามาในห้อง วางของลงกับพื้นมันหันมองสำรวจห้องผมแล้วพูดขึ้น

    “ห้องมึงยังเหมือนเดิมนะ ไม่มีอะไรเพิ่มเลย”

    ใช่ห้องผมไม่มีอะไรมากมีเตียง ตู้เสื้อผ้าและตู้เย็นอย่างละหลัง ถัดจากตู้เย็นไปมีชั้นเก็บจานที่มีถ้วยจานอย่างละไม่กี่ใบและมีหม้อหุงข้าวใบเล็กกับกาต้มน้ำร้อน  

    ผมวางของแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหาน้ำให้มินโฮ พอหยิบขวดน้ำจะหันกลับหลังผมก็ชนเข้ากับอกของมินโฮ แล้วก็ตามด้วยวงแขนของมันที่โอบมาจากทางด้านหลังผม มินโฮกอดผมครับบอกตรงๆตกใจนะ

    “เฮ้ย!มินโฮ เป็นอะไรของมึง”

    มินโฮไม่ตอบแต่ส่ายหน้า ผมดิ้นยุกยิกๆในอ้อมแขนแต่มันก็ไม่ยอมปล่อย

    “มึงมีปัญหากับแทมินรึเปล่า มึงทะเลาะกันเหรอหรือว่าเพราะกู”

    “เปล่า ไม่มีปัญหาไม่ได้ทะเลาะและก็ไม่ใช่เพราะมึง”

    “แล้วมึงเป็นอะไรล่ะ”

    “เงียบเหอะน่า อยู่นิ่งๆได้มั้ยอีจินกิ”

    มินโฮสั่งเสียงเข้มแล้วยังเรียกชื่อจริงของผมอีก ผมเงียบลงตามคำสั่งและยอมอยู่นิ่งๆทันที

    “กูก็แค่อยากกอดมึง”

    มินโฮกระซิบข้างหูผมด้วยเสียงทุ้มน่าฟังอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมยืนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของมินโฮ ลมหายใจอุ่นๆรดใบหูทำให้ผมรู้สึก รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ผมหลับตาปล่อยให้ความอบอุ่นจากอ้อมกอดค่อยๆซึมไปสู่หัวใจ  ผมไม่ใช่คนขี้เหงาแต่ยอมรับว่ารู้สึกดี  ผมไม่รู้ว่าอยู่ในอ้อมกอดของมินโฮนานเท่าไหร่รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มินโฮคลายวงแขนแล้วจับผมให้หันหน้าไปหาสองมือมันจับประคองที่ต้นแขนผมทั้งสองข้าง  ผมเงยหน้ามองสบตามัน

    “กูก็แค่รักมึง”

    มินโฮบอกแล้วก้มหน้าลงมา ผมรู้ว่ามินโฮจะทำอะไรและผมก็ไม่คิดปฏิเสธ ผมหลับตายอมรับริมฝีปากอุ่นๆที่ประทับลงมาบนริมฝีปากของผม ยอมเปิดปากให้มินโฮควานหาความหวาน ดูดดึงริมฝีปากล่างเบาๆก่อนจะถอนริมฝีปากออกช้าๆ ผมยอมรับอีกครั้งว่ารู้สึกดี

    “กูขอโทษ กูก็แค่

    “กูก็รักมึงมินโฮ รักมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่กูก็ไม้ได้อยากเป็นแฟนมึง กูมีความสุขที่เราเป็นแบบนี้ และมีความสุขที่เห็นมึงมีความสุข กูมีความสุขที่ได้เป็นเพื่อนมึง”

    ผมบอกมินโฮไปตามที่ผมคิด ถึงจะรู้สึกดีกับอ้อมกอดกับรอยจูบนั่นแค่ไหนแต่ผมรู้ดีว่าทั้งสองอย่างนั้นไม่ใช่ของผมและผมก็ไม่ได้อยากครอบครองเป็นเจ้าของด้วย และผมก็คิดว่ามินโฮก็คงคิดเหมือนกันกับผม เราอาจจะเป็นเนื้อคู่ที่เกิดมาแค่เพียงได้รักกันก็ได้

    “กูขอแค่ได้กอดมึงในวันที่กูเหนื่อย กูท้อ หรือเหงา ได้มั้ยมินโฮ”

    มินโฮพยักหน้าให้จับมือผมบีบเบาๆ

    “ถึงเราจะไม่ใช่คู่กันแต่มึงก็จะมีกูอยู่ข้างๆเสมอ อนยูกูรักมึง”

    “กูก็รักมึง  มินโฮ”

    ผมบอกมินโฮแล้วยกแขนโอบไหล่มัน เป็นผมที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนผมประกบริมฝีปากกับมินโฮอีกครั้งและมันก็ตอบสนองผมเช่นกันเป็นจูบที่แสนหวานและเนิ่นนานกว่าที่เราทั้งสองจะถอนริมฝีปากออกจากกัน                 

    จากนั้นเราสองคนก็ยืนสบตากันเงียบๆแล้วมินโฮก็ดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้งผมเองก็กอดตอบเช่นกันกอดกันอยู่อย่างนั้นจนพอใจเราทั้งสองก่อนที่มินโฮจะกลับไป

                    ผมมองมินโฮขับรถออกไปจนลับตาแล้วนึกถึงเรื่องระหว่างเราที่เพิ่งผ่านไปผมไม่เสียใจที่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นและไม่รู้สึกผิดเพราะผมมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิด มันอาจจะเกินไปที่เราจูบกันแต่ผมก็มั่นใจว่ามันจะไม่มีอะไรมากกว่านั้นและจะไม่มีอีก เราก็แค่รักกันและผมจะไม่มีทางเป็นชู้กับมินโฮเหมือนที่เคยพูดเล่นๆเด็ดขาด แต่เราจะยังเป็นเพื่อนรักกันต่อไปผมว่าเราสองคนเป็นแบบนี้ดีที่สุด

                                                     Something Something  Something Something

    Minho’s Talk

                    ผมขับรถกลับมาถึงบ้านจอดรถแล้ว ผมก็นั่งอยู่ในรถให้เวลากับตัวเองได้คิด คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นผมไม่ได้นอกใจแทมินนะผมยังรักแทมินเหมือนเดิมแต่ผมก็ยอมรับว่าผมก็รักอนยูเช่นกัน(ผมเลวมั้ย)

    “กูก็รักมึง แต่กูไม่ได้อยากเป็นแฟนมึง”

    คำพูดของอนยูดังในหัวผม ใช่ ผมก็คิดแบบที่มันพูดผมก็แค่รักมัน ผมไม่อยากคิดว่าคนที่ผมเลือกคือแทมินเพราะมันทำให้ผมรูสึกว่าไอ้หู้ของผมดูไร้ค่าแต่ว่าถ้าผมเลือกมันจริงๆมันก็ไม่เอาผมหรอก หึหึ

    ผมเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเองเมื่อเผลอนึกถึงตอนที่จูบอนยู  ผมทำเกินไปรึเปล่านะ ผมกลัว กลัวว่าจะทำให้อนยูเจ็บ ถึงมันจะบอกผมแบบนั้นแต่ที่ผมไม่รู้ก็คือใจจริงของมัน กลัวว่ามันจะพูดเพื่อให้ผมสบายใจ

    เฮ้อ  ขอโทษนะอนยูกูก็แค่รักมึง ขอโทษนะแทมินแต่พี่ก็ยังรักนายไม่เปลี่ยนแปลง

    ผมสะบัดหัวแรงไล่ความคิดสับสนออกจากหัว เปิดประตูลงรถเดินเข้าบ้านตรงไปที่ห้องนอน

    ภายในห้องยังเปิดไฟสว่างอยู่แต่แทมินหลับไปแล้ว ผมเดินไปนั่งลงข้างๆร่างบางที่หลับพริ้มอยู่บนเตียงนุ่ม  น่ารักจริงแทมินผมยื่นมือไปสัมผัสแก้มนุ่มเบาๆ แทมินรู้สึกตัวปรือตามองผม

    “พี่มินโฮ กลับมาแล้วเหรอฮะ”  ถามเสียงอู้อี้

    “อืม นอนเถอะฝันดีนะ”

    ผมบอกพร้อมก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากแล้วเลื่อนลงมาที่เปลือกตาทั้งสองข้างและก้มลงไปกระซิบที่ข้างหู
    ของแทมินเบาๆ

    “พี่รักแทมินจ้ะ คนดีของพี่”

    “แทมินก็รักพี่มินโฮฮะ”

    แทมินตอบทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ผมอมยิ้มกับท่าทางน่ารักนั่น ยังไงผมก็รักแทมินเป็นที่หนึ่ง


             Something Something Something Something

                    ผมรู้สึกหัวใจหล่นวูบเมื่อมาถึงที่ทำงานแล้วไม่เห็นอนยูที่โต๊ะ ผมคงคิดมากเกินไปแต่ปกติมันจะมาถึงออฟฟิศก่อนผมที่มัวแต่อี๋อ๋อกับแทมินจนได้เวลาเริ่มงานถึงจะเข้ามา แล้วทุกวันจะต้องได้ยินเสียงมันฮัมเพลงหงุงหงิงๆ แต่วันนี้ผมได้แต่ยืนนิ่งมองโต๊ะอนยูอยู่อย่างนั้นรู้สึกเป็นห่วงมันขึ้นมาทันที

    “โอ๊ย!เฮ๊ย ใครวะ”

    ร่างผมเซไปข้างหน้าสองสามก้าวเมื่อโดนบาทาของใครบางคนยันแรงๆที่บั้นท้าย ผมตั้งหลักได้หันกลับไปมองกะจะเอาเรื่อง ฮึ!คนกำลังเครียด

    “เป็นเชรี่ยอะไรของมึง ไอ้เปรตโฮ มายืนทำมิวสิคอะไรที่โต๊ะกู”

    อนยูนั่นเองมันมาพร้อมจงฮยอน ผมมองหน้ามันด้วยความเป็นห่วง มันยังดูเหมือนเดิมยืนหัวเราะเสียงดังที่ถีบผมได้ ส่วนเป็ดจงยืนกอดอกจ้องผมด้วยสายตาแฝงความสงสัยสายตาที่ผมมองอนยู

    “มึงมีอะไรกับอนยูรึเปล่า มินโฮ”

    “เปล่า กูไม่เห็นพวกมึงก็เลยตกใจคิดว่าไม่มากัน”

    “ไม่เห็นหน้ากูแค่นี้ คิดถึงกูละซี้”

    อนยูแหย่ผมด้วยคำเดิมๆที่มันเคยพูดบ่อยๆพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง ผมไม่ตอบแต่มองค้อนไปที่นึง เฮ้อ กลับโต๊ะดีกว่าขืนอยู่นานอาจเผยพิรุธให้ไอ้เป็ดจับได้

                    วันทั้งวันผมแอบจับตาดูอนยู ผมเป็นห่วงมันกลัวว่าสิ่งที่ผมทำกับมันเมื่อคืนจะทำให้มันเจ็บ เพราะรักจึงไม่อยากให้มันเจ็บ กลัวว่ามันแกล้งร่าเริง ผมแอบมองตอนที่มันเผลอบ่อยๆดูว่ามันจะมีแอบเหม่อลอยมั้ยแต่ก็เหมือนเดิมไม่ว่าตอนไหนๆอีจินกิก็ยังสดใสร่าเริงเสมอ

    ใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว ผมแปลกใจเมื่อเห็นสัญลักษณ์ว่ามีเมล์ใหม่โชว์ที่มุมจอ ผมคลิกเข้าไปดูทันที

    มินโฮ มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก เมื่อคืนกูบอกมึงไปยังไงกูก็คิดยังงั้นแหละ เราก็แค่รักกัน
      เราเกิดมาแค่เพียงได้รักกัน เป็นอย่างนี้ก็ดีเราจะได้ไม่ต้องเลิกกัน มึงว่ามั้ย

                                                                              เต้าหู้น้อยผู้น่ารัก

    อนยูรู้ตัวว่าผมเป็นห่วง ผมควรจะวางใจได้แล้วสินะว่ามันไม่เป็นไร ยังไงเราก็ยังมีกันและกัน

    และเรื่องระหว่างเราก็ปล่อยให้มันเป็นบางสิ่งที่อยู่ในใจที่มีแค่เราสองคนที่รู้ก็พอ

    เราสองคนก็แค่รักกัน รักในแบบของเรา และมีความสุขที่ได้เห็นอีกฝ่ายมีความสุข  แค่นั้นเอง

                   
    End: Something 1

    เป็นไงบ้างจ๊ะรีดเดอร์สงสัยมั้ย
    คำไหนหนอที่ทำให้จังออนปิ๊งจนเป็นรื่องเป็นราว
    ไม่สงสัยไม่เป็นไร อยากบอก ก็คำที่อนยูถามมินโฮ
    ว่า"คิดถึงกูละซี้" แล้วมินโฮตอบว่า"อืม"นั่นแหละ
    คำพูดในเรื่องอาจจะดูหยาบคายนิดหน่อยนะ
    หวังว่ารีดเดอร์คงเข้าใจมันเป็นภาษาของเพื่อนสนิทจ้ะ
    อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบอกกันมั่งเน่อ
    วิจารณ์บ้าง เม้นต์บ้าง โหวตบ้าง ก็ดีนะ
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×