ลีจินกิยืนขึ้นเต็มความสูงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มาแล้วสินะชเวมินโฮ ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินมาทางนี้ ใกล้เข้ามาและแล้วประตูที่เปิดค้างครึ่งบานก็ถูกผลักเปิดออกแล้วปิดลงพร้อมกับร่างสูงที่เดินเข้ามาและหยุดยืนตรงหน้า ไอ้หนุ่มบ้านไร่ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันคิ้วเข้ม ผิวสีแทน ลีจินกิต้องแอบยอมรับในใจว่าชเวมินโฮคนนี้หล่อและดูดีสมเป็นชาย ช่างน่าอิจฉาแตกต่างจากตัวเขาที่มักถูกทักว่าหน้าหวานบ่อยๆ
ขณะเดียวกันชเวมินโฮก็กำลังพิจารณาว่าที่เจ้าสาวของเขาเช่นกัน หนุ่มน้อยร่างบางผิวขาวใบหน้าหวาน ริมฝีปากอิ่มได้รูปอมชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ หึ น่ารักทีเดียวลีจินกิ
มินโฮยิ้มพอใจกับว่าที่เจ้าสาวตรงหน้าก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้ม
“ยินดีต้อนรับ ฉันเชเวมินโฮว่าที่สามีนายไงล่ะลีจินกิ”
อนยูถึงกับสะอึกกับประโยคหลัง ฝืนใจแนะนำตัวด้วยรอยยิ้ม
“ลีจินกิครับเรียกผมว่าอนยูก็ได้”
“เดินทางมาเหนื่อยๆไปพักก่อนเถอะ ข้าวของนายเดี๋ยวฉันให้คนไปช่วยเก็บป่ะฉันไปส่งที่ห้อง”
มินโฮถือวิสาสะใช้แขนแกร่งเกี่ยวเอวร่างบางรั้งให้เดินตามแต่ร่างบางขืนตัวไว้ไม่ยอมก้าวเดิน
“เอ่อ
”
“มีอะไรงั้นเหรอ”
“คุณมินโฮครับ คือ
เรื่อง
การแต่งงาน
คือ”
มินโฮนิ่งรอฟังว่าร่างบางต้องการจะพูดอะไร อนยูสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งก้มมองพื้นแทนการสบตาร่างสูง รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ได้มีความกล้ามากมายถ้าขืนสบตาตรงๆคงพูดไม่ออก
“คือ
เรื่องการแต่งงานของเราคุณก็เห็นแล้วว่าผมเองก็เป็นผู้ชาย มีทุกอย่างเหมือนกับคุณ
ผมคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้”
อนยูรู้สึกกระดากปากเหมือนกันที่ต้องพูดว่ามีทุกอย่างเหมือนกันแต่พูดไปแล้วก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ ยอมยกเลิกการแต่งงาน
มินโฮมองร่างบางที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งเขาไม่ได้รูสึกอะไรกับคำพูดนั้นสักนิด แม้จะรู้ว่าคนพูดต้องการจะสื่ออะไร ชายหนุ่มใช้มือหนาเชยคางให้ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองสบตา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกที่รัก เรื่องนี้ฉันไม่แคร์อยู่แล้วยังไงนายก็ได้เป็นเจ้าสาวฉันแน่นอน”
มินโฮตอบด้วยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ ส่วนลีจินกิได้แต่อ้าปากค้าง ฮือๆชเวมินโฮไม่เกี่ยงเพศ
“นายสบายใจได้เลย”
ไม่พูดเปล่ามินโฮใช้นิ้วไล้แก้มเนียนใสเล่นเบาๆ
ร้อน อนยูรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที จนต้องยกมือขึ้นมาลูบแก้มตรงที่ถูกสัมผัส มินโฮมองดูกิริยาของคนตรงหน้าอย่างพอใจ เจ้าตัวจะรู้ตัวมั้ยว่าแก้มที่เคยขาวใสตอนนี้มันกลายเป็นสีแดงไปแล้ว มินโฮมองมือเรียวที่ลูบแก้มตัวเองป้อยๆแล้วสายตาก็สะดุดสิ่งที่สวมอยู่ที่นิ้วนางของอนยู
“แหวนหมั้น”
อนยูได้ยินก็รีบชักมือลงแต่ก็ช้ากว่ามินโฮที่คว้าข้อมือเล็กไว้ได้ซะก่อน
“เหมาะกับนายดีนะ”
“เอ่อ
” พูดไม่ออกครับว่าไม่ได้เต็มใจแต่ถูกบังคับ
มินโฮยกยิ้มพอใจอีกครั้งมองดูแหวนบนนิ้วเรียวแล้วจรดริมฝีปากลงบนนิ้วนางที่สวมแหวนอยู่และเมื่อเงยหน้ามองอีกคนก็ต้องกลั้นหัวเราะ ก็ลีจินกิน่ะยืนนิ่งกลายเป็นหินไปแล้วนะสิ
“นี่ห้องนอนของนาย”
มินโฮบอกเมื่อพาอนยูมาส่งที่หน้าห้อง
“ห้องข้างๆน่ะของฉันเข้าไปได้ตลอดนะฉันรอนายอยู่”
อนยูได้แต่พนักหน้ารับรู้ ฮึ่ม ใครเขาจะอยากเข้าไปหานาย ได้แต่คิดในใจเท่านั้นแหละ
เมื่อมินโฮไปแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องกระเป๋าที่ชินดงขนขึ้นมาให้วางเรียงกันอยู่สามใบ มองครับไม่รู้ว่าจะเริ่มเก็บอะไรก่อนดี ตัดสินใจเปิดกระเป๋าใบที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนละกัน แต่ก่อนที่จะได้ลงมือเก็บโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดๆ รีบล้วงออกมาดูแล้วก็ยิ้มออกกดรับทันที
“คีย์”
“พี่อนยู ถึงบ้านไร่ของชเวมินโฮยัง” เสียงใสๆถามมาตามสาย
“อืม ถึงแล้ว”
“แล้วเจอเขายัง”
“อืม”
“เป็นไงๆ หน้าตาดูได้มั้ยแต่คีย์ว่านะ ไอ้หนุ่มบ้านไร่ก็คงจะแบบหนวดเคราเฟิ้ม เตี้ย ล่ำ ดำ เถื่อน ใช่มั้ย”
“คีย์คือ หมอนั่นตรงข้ามกับที่คีย์เดาเลยล่ะ ชเวมินโฮน่ะหล่อ สูง ดูดีไม่เถื่อนแต่กวนชะมัดเลย “
อนยูตอบพาร่างบางของตัวเองไปนั่งบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอนแล้วเล่าให้คีย์ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตั้งแต่เจอชเวมินโฮ
“พอพี่บอกว่าเรื่องแต่งงานมันเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกันมินโฮตอบว่าไงรู้มั้ยคีย์
ไม่แคร์หมอนั่นบอกไม่แคร์เรื่องนี้ แล้วยังมีอีกนะหมอนั่นน่ะ เอ่อ
”
“เขาทำอะไรพี่”
“เอ่อ
” อนยูลังเลว่าควรจะเล่าเรื่องน่าอายนี้ให้คีย์ฟังดีมั้ย
“พี่อนยู” คีย์เรียกน้ำเสียงคาดคั้นมาตามสาย
“หมอนั่น
จูบมือพี่”
“ห๋า! จูบมือ
.พี่รู้สึกยังไงบ้าง”
เสียงอุทานตกใจในตอนแรก ส่วนประโยคหลังคีย์ถามด้วยเสียงเบาราวกระซิบ
“ร้สึกยังไงนะเหรอ ขนลุกน่ะสิ อี๋”
ปากบอกแบบนั้นแต่ลีจินกิกลับรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้งแถมหัวใจยังเต้นแรงผิดปกติขึ้นมาดื้อๆ ยิ่งนึกถึงสัมผัสนุ่มๆอุ่นๆของริมฝีปากที่ประทับลงบนนิ้วเบาๆใจยิ่งเต้นแรงขึ้นอีก
“พี่อนยู ทำไมเงียบไปล่ะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า แค่นี้ก่อนนะคีย์พี่ยังไม่ได้เก็บของเลย อืม ฝากบอกคิดถึงแม่กับแทมินด้วยนะ หวัดดี”
กดวางสายแล้วก็หันกลับไปมองข้าวของ แต่ยังไม่ทันได้ลงมือเก็บเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงของแม่บ้านจางบอกว่าจะมาช่วยเก็บของ อนยูเดินออกไปเปิดประตู
“ขอบคุณครับ แต่ว่าผมเก็บเองดีกว่าจะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน”
“แต่ว่าคุณมินโฮสั่งให้ป้ามาช่วยคุณนะคะ”
มินโฮอีกแล้ว นึกเคืองคนๆนี้ขึ้นมาทันที
“ไม่เป็นไรจริงๆครับคุณป้า”
“ให้ป้าจางช่วยน่ะดีแล้ว ตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นแล้วนายต้องไปกินข้าวกับฉัน”
เสียงดุของมินโฮดังขึ้นอนยูหันไปมองส่วนแม่บ้านเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องลงมือเก็บของทันที พูดถึงข้าวเย็นเขาเองก็รู้สึกหิวเหมือนกัน แต่กินข้าวกับมินโฮเหรอรู้สึกไม่อยากขึ้นมาตงิดๆแฮะ
มินโฮเดินเข้ามาใกล้มองพิจารณาหนุ่มน้อยร่างบางตรงหน้าที่ยังอยู่ในชุดเดิม
“นี่ยังไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกเหรอ มัวทำอะไรอยู่”มินโฮดุอีกรอบ
“
” ก็คุยโทรศัพท์กับคีย์อยู่นะสิ ตอบในใจ
“ช่างเถอะ กินข้าวเสร็จค่อยมาอาบก็ได้ ไป ฉันหิวแล้ว”
มินโฮบอกแล้วคว้าแขนเล็กกึ่งลากเดินตรงไปที่ห้องอาหาร
“ปล่อยนะ ฉันเดินเองได้”
อนยูบอกพยายามแกะมือหนาออกแต่ไม่เป็นผล มินโฮไม่พูดอะไรแต่หันมาส่งสายตาดุให้และยังไม่ยอมปล่อยมือร่างบางเลยจำต้องยอม
ตลอดเวลาทานอาหารอนยูได้แต่เงียบตั้งใจจะรีบกินให้อิ่มเร็วๆและทำเป็นไม่สนใจสายตาของมินโฮที่มองเขาตลอดจนรู้สึกอึดอัด พออิ่มก็รีบขอตัวกลับขึ้นห้องอ้างจะไปช่วยแม่บ้านจางเก็บของ ซึ่งมินโฮก็ยอมตามใจ
ดึกแล้วแต่มินโฮยังอยู่ในห้องทำงานชั้นล่างเขากำลังนั่งดูเอกสารอยู่แต่จะมีใครรู้บ้างนะว่าตอนนี้แม้จะกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารในมือแต่เนื้อหาในนั้นไม่ได้เข้าหัวเลยสักนิด ตอนนี้ชเวมินโฮกำลังนึกถึงคนตัวเล็กที่เพิ่งมาอยู่ใหม่ ดึกป่านนี้เจ้านั่นจะหลับหรือยังน้า พอนึกถึงหน้าหวานๆนั่นก็ได้แต่อมยิ้ม เจ้าตัวจะรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองน่ารักแค่ไหนแม้แต่ตอนกินข้าวก็ยังดูน่ารักจนมินโฮอดมองไม่ได้ถึงได้จ้องเอาๆแบบนั้น
“คงจำไม่ได้สินะ แต่ฉันไม่มีวันลืม เพราะฉันตกหลุมรักนานตั้งแต่ตอนนั้น”
มินโฮพึมพำกับตัวเองนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
เมื่อสิบปีกว่าก่อน ตอนนั้นเขาอยู่ ม.2 ได้ย้ายไปเรียนโรงเรียนในเมืองกรุงซึ่งเป็นโรงเรียนเดียวกับที่ลีจินกิเรียนอยู่เพียงวันแรกที่เข้าเรียนมินโฮก็มีเรื่องกับรุ่นพี่เกเร ม.3 ที่มักจะข่มขู่เพื่อรีดไถนักเรียนใหม่ และเขาสามารถล้มพวกนั้นได้ จนเป็นที่ฮือฮาไปทั้งโรงเรียน
“นั่นไงๆชเวมินโฮ ที่เอาชนะพวกรุ่นพี่คังอินได้น่ะ”
เสียงนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งเรียกให้กันดูเมื่อเดินผ่านและเห็นมินโฮนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว
“คนที่เอาชนะพี่คังอินได้ ฉันว่าน่ากลัวว่ะ อย่าเข้าใกล้หมอนั่นจะดีกว่า”
เสียงหนึ่งบอกและอีกหลายเสียงก็เออออเห็นด้วย แต่ก็มีอีกเสียงขัดขึ้น
“ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ดูดิหน้าตาเขาก็ไม่ได้โหดเหมือนพี่คังอินสักหน่อย ดีซะอีกเค้าล้มพี่คังอินได้เราจะได้อยู่กันแบบสบายใจ”
สิ้นเสียงใสๆร่างอวบๆของเจ้าของเสียงก็เดินตรงไปที่โต๊ะที่มินโฮนั่งอยู่โดยมีเสียงร้องเรียกของเพื่อนๆเรียกตามด้วยความเป็นห่วง
“อนยู อย่าไปใกล้หมอนั่นนะ กลับม๊า”
“นายชื่อชเวมินโฮใช่มั้ย ฉันชื่อลีจินกิเรียกฉันว่าอนยูก็ได้ ฉันอยู่ ม.2ห้อง3นะ”
“นายต้องการอะไร” ถามเสียงเย็น
“เปล่าหรอก ฉันก็แค่อยากขอบใจนาย ที่นายล้มรุ่นพี่คังอินทำให้ทุกคนไม่ต้องถูกพี่คังอินข่มขู่อีกฉันรู้สึกว่านายเยี่ยมมากที่กล้าสู้กับพวกรุ่นพี่”
อนยูตอบพร้อมกับยิ้มให้ มินโฮนิ่งมอง ลีจินกิคนนี้เป็นคนแรกที่ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มที่สดใสและจริงใจ หลังจากที่ข่าวเรื่องที่เขามีเรื่องกับรุ่นพี่เกเร ม.3 แม้เขาจะเอาชนะได้แต่มันกลับทำให้เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา
“เรามาเป็นเพื่อนกันนะ”
อนยูกล่าวพร้อมยื่นมือออกมา มินโฮมองมือป้อมๆนั้นแล้วยิ้มออกยื่นมือออกไปจับมือนั้นตอบ
“อื้อ”
แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนกันแต่ทั้งสองก็ไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกันนักเพราะอยู่คนละห้องแต่ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เจอกันมันทำใหมินโฮรู้สึกดีเสมอมีเพียงอนยูเท่านั้นที่กล้าพูดคุยกับเขาแต พอสิ้นเทอมมินโฮก็ย้ายไปเรียนต่างประเทศเจ้าตัวจึงคิดตัดใจและไม่ได้บอกเรื่องนี้กับอนยู
ก่อนออกเดินทางสองสัปดาห์มินโฮก็ได้รู้เรื่องสำคัญที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง เรื่องที่ว่าก็คือ เรื่องสัญญาการแต่งงานกับคนตระกูลลีซึ่งสัญญาได้มีขึ้นตั้งแต่สมัยคุณปู่ของเขายังหนุ่ม ความจริงชเวซีวอน คุณพ่อของเขาตั้งใจจะไปบอกยกเลิกสัญญาเพราะทางฝ่ายตระกูลลีมีแต่ลูกชายเช่นกัน
“ตระกูลลี
ลูกชาย”
มินโฮพึมพำเบาๆ ในใจก็ภาวนาขอให้บังเอิญเหมือนในนิยายที ขอให้คนของตระกูลลีคนนั้นเป็นลีจินกิ ด้วยเถอะ ขอให้เป็นลีจินกิคนที่ยิ้มให้มินโฮด้วยความจริงใจคนนั้น
“คุณพ่อครับ ผมอยากเห็นคนตระกูลลี ได้มั้ย แค่แอบดูนะครับ”
มินโฮขอร้องผู้เป็นพ่อ ซีวอนก็ยอมตามใจ เขาขับรถพาลูกชายไปจอดอยู่หน้าบานตระกูลีและช่างประจวบเหมาะหรือบังเอิญก็ไม่รู้ได้แต่เวลานั้นลูกๆของลีดาเฮทั้งสามคนกำลังพากันเล่นอยู่สนามหญ้าหน้าบ้าน เด็กชายคนโตสุดคงจะอายุเท่ามินโฮ กำลังแบกเด็กชายตัวเล็กหัวเห็ดวิ่งไปรอบๆโดยมีเด็กชายหน้าตาน่ารักอีกคนวิ่งไล่อย่างสนุกสนาน ส่งเสียงหัวเราะลั่นสนาม
มินโฮมองภาพนั้นผ่านกระจกรถด้วยหัวใจเต้นรัวอีกครั้ง ขอบคุณพระเจ้าขอบคุณสวรรค์ เด็กคนนั้นเป็นลีจินกิจริงๆ เด็กหนุ่มยิ้มพอใจความจริงเขาอยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยซ้ำ
“คุณพ่อครับ เรื่องสัญญาที่ว่าไม่ต้องยกเลิกนะครับผมขอให้มีผลเช่นเดิม”
“มินโฮ ลูก
แต่ว่าเด็กพวกนั้นเป็นเด็กผู้ชายเหมือนลูกนะ”
ถามด้วยความตกใจ
“เรื่องนั้นผมไม่แคร์หรอกครับ”
มินโฮตอบออกมาด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงและแววตากลับหนักแน่น ซีวอนได้ยินดังนั้นได้แต่พยักหน้า ตอนนี้ลูกยังเด็กถ้าโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้อาจเปลี่ยนใจก็ได้
“ผมขอคุณพ่อสักอย่างได้มั้ยครับ”
“ได้สิลูกจะขออะไรล่ะ มินโฮ”
“คุณพ่อช่วยดูแลลีจินกิคนนั้นอย่าเพิ่งให้เขามีใครจนกว่าผมจะกลับมาได้มั้ยครับ”
ซีวอนพยักหน้า แม้จะไม่เข้าใจความคิดของลูกชายก็ตาม แต่สิ่งมี่ลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวขอเขาก็ยินดีทำให้ แต่ในใจก็หวังว่าในอนาคตมินโฮคงเปลี่ยนใจ
มินโฮยิ้มให้ตัวเองเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต คิดแล้วก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเวลาผ่านไปนานขนาดนี้แต่เขาก็ยังมีใจให้ลีจินกิไม่เปลี่ยน แม้ที่ผ่านมาเขาจะเคยคบใครมาหลายคนแต่ก็ไม่เคยคิดจริงจังกับใครสักคน
“มีแต่นายนะอนยูที่ฉันจริงจัง มีเพียงนายเท่านั้นที่ฉันรักและอยากอยู่ด้วยไปตลอดชิวิต”
และตอนนี้ลีจินกิคนนั้นก็อยู่ที่นี่แล้วสิ่งที่ชเวมินโฮต้องทำต่อจากนี้ก็คือทำให้ลีจินกิรักเขา
รักด้วยหัวใจเหมือนที่เขารัก ต้องชนะใจลีจินกิให้ได้
__
อัพเต็มแล้วคับตอนนี้
สงกรานต์นี้ใครไปเที่ยวไปเล่นน้ำที่ไหน
ก็ขอให้สนุกนะคะ
ดูแลสุขภาพด้วยนะ
ก็ขอขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ
รู้มั้ยมันทำให้เรารู้สึกดีมากมาย
มีเรื่องด้วยนะเราอ่านคอมเม้นต์แล้ว
แบบว่าปลื้มใจออกนอกหน้า
เพื่อนๆตื่นเต้นรุมกันใหญ่
ปลื้มใครอยู่ 555
ความคิดเห็น