ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในดวงใจนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #17 : ตอนที่ 16

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.88K
      2
      8 พ.ย. 56

                   สภาพของหญิงสาวที่เดินออกมาจากบ้านหลังเล็ก ทำให้พันตรีธงไทยที่นั่งรออยู่ แทบจะกระโจนออกมานอกรถ และทันทีที่มาถึงตัวหญิงสาว ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นด้วยตกใจว่า
                  "ใครทำอะไรคุณ ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนี้" ก็ในเมื่อสภาพของหญิงสาวที่เห็นขณะนี้ช่างแตกต่างจากตอนที่ลงจากรถของเขาไปมากนัก เสื้อผ้าที่สวมใส่ยับยู่ยี่ ตามแขนและข้อมือมีร่องรอยเขียวช้ำ โดยเฉพาะบริเวณข้อมือที่โดนทำร้ายตั้งแต่ตอนช่วงเช้าของวัน บัดนี้นอกจากจะเขียวช้ำแล้วยังบวมขึ้นมาอย่างน่ากลัว
                  "เขาพยายามจะลวนลามฉัน แต่ฉันจัดการเขาไปแล้ว ดูท่าทางคงจะเจ็บหนักกว่าฉันอีก"
                  "มันเป็นใคร" ชายหนุ่มคำรามด้วยความโกรธ มีอย่างที่ไหนทำร้ายร่างการผู้หญิงได้ขนาดนี้
                  "อดีตคนรักของฉันค่ะ" เมื่อได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูด เท่ากับเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับหัวใจของชายหนุ่ม 
                  "แล้วคุณก็มาหามันเนี๊ยะนะ คุณบ้ารึเปล่า ทำไมไม่บอกผม ผมจะทำยังไงถ้าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ"
                  "เขาหลอกฉันว่า แม่เขาไม่สบายมาก ต้องการพบฉัน ฉันก็เลยมา" หญิงสาวเอ่ย
                  "โธ่เว้ย ไอ้คนเฮงซวย" ชายหนุ่มพูดพลางเดินเข้าไปในบ้านหลังเล็กที่หญิงสาวเพิ่งเดินออกมา ในขณะที่หญิงสาวได้แต่ร้องเรียกตาม
                  "นี่คุณ จะไปไหน"
                  "ก็ไปจัดการไอ้คนที่มันทำร้ายคุณ ให้รู้สึกสำนึกไง"
                  แต่เมื่อทันทีที่เห็นสภาพชายหนุ่มอีกคนที่โดนทำร้าย พันตรีธงไทยถึงกับตะลึง คนตัวเล็กของเขามีฝีมือดีไม่น้อยทีเดียว สภาพชายหนุ่มที่มีรอยช้ำเต็มตัว เสื้อผ้าบางส่วนมีรอยฉีกขาด และที่สำคัญบริเวณศีรษะอาบไปด้วยเลือด เมื่อเห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงหันกลับไปจูงมือคนตัวเล็กที่เดินมาตามหลังออกจากบ้านหลังดังกล่าวไปทันที
                 "คุณนี่ ก็ฝีมือดีนะ" ชายหนุ่มเอ่ยชมคนตัวเล็ก ในขณะที่มือใหญ่ยังจับจูงมือคนตัวเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย
                 "แม่บอกว่า สังคมสมัยนี้ไม่ปลอดภัย ผู้หญิงต้องรู้จักวิธีป้องกันตัวเอง เลยส่งฉันไปเรียนวิชาศิลปะการป้องกันตัวแทบจะทุกชนิด และที่สำคัญตอนนี้คุณปล่อยมือฉันเถอะค่ะ ยังไงฉันก็ไม่หลงทางหรอกค่ะ ฉันเจ็บข้อมือค่ะ"
                 "อ้าว ผมขอโทษ" ชายหนุ่มอุทาน
                 "แล้วเจ็บมากรึเปล่า" ชายหนุ่มถามต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน พลางยกข้อมือของหญิงสาวขึ้นดู
                 "ก็พอสมควรค่ะ"
                 เมื่อได้ยินหญิงสาวตอบดังนั้น ชายหนุ่มก็ทำในสิ่งที่หญิงสาวไม่คาดคิด เขายกมือหญิงสาวขึ้นจรดริมฝีปาก และกดจุมพิตลงบริเวณข้อมือของหญิงสาว ราวกับจะให้สัมผัสอบอุ่นของเขาลบร่องรอยความเลวร้ายที่หญิงสาวเพิ่งได้รับมา ในขณะที่แพรแก้วได้แต่ตะลึงกับอากัปกิริยาของชายหนุ่มที่แสดงต่อเธอ จึงได้แต่ยืนงง ก่อนที่จะค่อยๆตั้งสติได้ จึงค่อยๆดึงมือออกจากสัมผัสของชายหนุ่มด้วยความขัดเขิน ตั้งแต่เกิดมาแพรแก้วค่อนข้างถือเรื่องความใกล้ชิดกันระหว่างชายหนุ่ม และหญิงสาว เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของมารดาได้พร่ำสอนหญิงสาวไว้เป็นเกราะป้องกันไม่ให้หญิงสาวเสียใจในภายหลัง แม้กระทั่งกับลือไท การแตะเนื้อต้องตัวจึงเป็นเงื่อนไขระหว่างความสัมพันธ์ของเขา และหล่อน แต่กับชายหนุ่มตรงหน้า สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอ กลับทำให้หญิงสาวใจเต้นแรง และมีเลือดฝาดที่แก้มทั้งสองข้าง สัมผัสที่ได้รับจากชายหนุ่มสร้างความอบอุ่นใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย แม้จะรู้จักกันไม่นาน แต่หญิงสาวคิดว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของชายหนุ่มเท่าที่หญิงสาวสัมผัสได้ ก็นับได้ว่าชายหนุ่มเป็นคนดีทีเดียว อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจให้กับหล่อนเสมอมา 
                  "ดีขึ้นไม๊" ชายหนุ่มเอ่ยถาม ในขณะที่หญิงสาวได้แต่ก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย
                  "ไปกันเถอะ ผมจะพาไปโรงพยาบาล ไปตรวจดูเสียหน่อย มือคุณบวมมากเลย"
                  "ค่ะ" แพรแก้วเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ในขณะที่ผู้พันหนุ่มก็ได้แต่แปลกใจกับการกระทำของตัวเอง
    ชายหนุ่มรู้แค่เพียงว่าต้องการคุ้มครอง และปกป้องดูแลคนตัวเล็กตรงหน้าให้ปลอดภัยเท่านั้นจริงๆ

    --------------------------------------------

               ภายหลังกลับออกมาจากโรงพยาบาล ชายหนุ่มก็พาหญิงสาวไปรับประทานอาหารเย็นก่อนที่จะไปส่งที่บ้าน
               "คุณอยากทานอะไร" ขายหนุ่มเอ่ยถาม
               "ไม่เป็นไรค่ะ รบกวนคุณมากแล้ว ส่งฉันลงตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันเรียกแท็กซี่กลับเอง" หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธ    
               "ได้ยังไงกัน คุณต้องทานยาไม่ใช่เหรอ เมื่อกี้ผมได้ยินคุณหมอบอกว่า ให้ทานยาหลังอาหารทันที ไม่อย่างนั้นยาจะกัดกระเพาะทำให้เป็นแผลนะ" คุณหมอจำเป็นเอ่ยกับคนไข้อย่างเสร็จสรรพ
               "อีกอย่าง ผมก็หิวแล้ว ถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณผมล่ะกัน" จริงของชายหนุ่ม ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือต่างๆจากเขาในวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะรับมือกับเรื่องแย่ๆพวกนี้ได้แค่ไหน เพราะแค่วันนี้วันเดียวก็ทำให้ชีวิตปั่นป่วนมากเหลือเกิน
                 "ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นแถวปากซอยทางเข้าบ้านมีร้านบะหมี่อยู่ร้านนึง คิดว่าคุณน่าจะพอทานได้"
                 "ดีเหมือนกัน ผมชอบกินบะหมี่เกี๊ยว" ชายหนุ่มเอ่ย
                 "อ้าว คุณทำไมทำหน้าแบบนั้นหล่ะ"
                  "เอ่อ ฉันคิดว่าคนระดับพวกคุณ อาจจะไม่ชอบทานอาหารอะไรพวกนี้"
                 "หมายความว่ายังไงแพร" ชายหนุ่มเอ่ยถามคนตัวเล็กด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น
                 "อย่าโกรธฉันเลยนะค่ะ ฉันพูดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีต้นทุนทางสังคมสูงอย่างคุณ การใช้ชีวิตประจำวันไม่เหมือนกับพวกเราหรอกค่ะ ที่ทุกๆวันจะต้องมาคอยคำนวณว่าเงินเดือนแต่ละเดือนจะพอค่าใช้จ่ายไม๊ หนี้สินเดือนนี้มีอะไรบ้าง วันนี้จะกินอะไร ซึ่งน้อยครั้งที่เรามีโอกาสเลือก"
                 "คุณกำลังจะบอกว่า คุณรวมผมเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับคนพวกนั้น" เมื่อหญิงสาวไม่ตอบก็เท่ากับว่าเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
                  "ฟังผมนะแพร คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ผมเลือกไม่ได้หรอกนะว่า ผมต้องการเกิดมาในฐานะแบบไหน แต่ผมอยากบอกว่าสิ่งคุณเห็น มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดทั้งหมด จริงอยู่ว่าคนส่วนใหญ่อาจเป็นแบบนั้น  แต่ผมไม่อยากให้คุณรวมผมเข้าไปอยู่ในคนกลุ่มนั้น ให้โอกาส"เรา"ได้ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้แล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่งอย่าง แล้วถ้าเวลานั้นมาถึงคุณค่อยตัดสินใจใหม่ ก็ยังไม่สายไม่ใช่เหรอ"
                 เมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีท่าทีครุ่นคิดกับคำพูดของเขา ชายหนุ่มจึงเอ่ยว่า
                 "ลงไปหาอะไรกินเถอะ ผมหิวแล้ว และถ้าท้องอิ่ม คุณก็จะคิดเรื่องอะไรต่อมิอะไรออกเองนั่นแหละ" ชายหนุ่มเอ่ยกระเซ้าเมื่อขับรถมาถึงบริเวณร้านที่หญิงสาวบอกทาง ในขณะที่แพรแก้วได้แต่เปิดประตูรถ  และเดินตามชายหนุ่มไปอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มดูท่าทางเจริญอาหารมากกว่าปกติเพราะทานบะหมี่ไปถึง 2 ชามกับข้าวหมูแดงอีก 1 จาน ในขณะที่หญิงสาวทานข้าวหมูแดงไปเพียงครึ่งจาน เนื่องจากอาการปวดข้อมือ ทำให้ใช้งานไม่ค่อยถนัด และอาการปวดตามเนื้อตัวที่เหมือนจะมีไข้
                 "อิ่ม แล้วเหรอคุณ"
                 "ค่ะ ฉันทานไม่ค่อยลง ปวดหัว แล้วก็ปวดข้อมือด้วย"
                "อ้าว แล้วทำไมไม่บอกผม ผมจะได้ช่วยป้อนให้"
                 "คุณจะบ้าเหรอ" หญิงสาวเอ่ยพลางค้อนให้ชายหนุ่ม
                 "ตอนเด็ก ผมเคยช่วยคุณน้าป้อนข้าวน้องด้วยนะ" ชายหนุ่มคุยอวด
                 "นั่นมันป้อนข้าวเด็กนะคุณ"
                 "นั่นแหละ มันน่าจะเหมือนๆกัน"
                 "ถ้าคุณอิ่มแล้วเราก็กลับกันเถอะ คุณจะได้ไปพักผ่อนด้วย"
                 "ค่ะ"
                 และก็เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มยังคงไม่ยอมให้หญิงสาวเป็นคนจ่ายเงินค่าอาหาร หลังจากที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ไปแล้ว ได้แต่อ้างเพียงว่า
                  "เอาน่า  แล้วคุณค่อยเลี้ยงตอบแทนผมมื้อใหญ่ล่ะกัน อีกอย่างผมเป็นผู้ชาย จะให้ผู้หญิงมาควักกระเป๋าจ่ายค่าอาหารให้มันดูแปลกๆนะ"
                  เมื่อมาถึงหน้าบ้าน หญิงสาวก็ยกมือขึ้นประนมไหว้ชายหนุ่ม
                  "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างๆในวันนี้นะค่ะ"
                  "ครับ" ชายหนุ่มรับไหว้
                  "บ้านคุณไม่มีใครอยู่เหรอ" เมื่อสังเกตเห็นว่ามีไฟหน้าบ้านดวงเดียวที่เปิดอยู่
                  "ฉันอยู่กับแม่ค่ะแต่วันนี้แม่มีงานเลี้ยงที่โรงเรียนคงกลับดึกหน่อย"
                  "ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนไม๊"
                   "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยู่ได้"
                   "แล้วคุณพ่อของคุณ" ชายหนุ่มถามได้เพียงแค่นั้น หญิงสาวก็ตัดบทว่า 
                   "ฉันไปนะค่ะ"
                   "เดี๋ยวก่อนผมขอยืมโทรศัพท์หน่อย พอดีโทรศัพท์ผมแบตหมด" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น หญิงสาวจึงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าส่งให้ชายหนุ่ม เมื่อรับโทรศัพท์มา ชายหนุ่มก็จัดแจงเมมเบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง ลงในเครื่องโทรศัพท์ของหญิงสาว และกดโทรออก และส่งโทรศัพท์คืนหญิงสาว
                    " อ้าว ไม่โทรแล้วเหรอค่ะ"
                    "ไม่ล่ะ เปลี่ยนใจไม่โทรดีกว่า"
                    "อย่าลืมล็อคประตูบ้านด้วยนะ"
                   "ค่ะ" แล้วหญิงสาวก็ลงจากรถไป ชายหนุ่มรอจนหญิงสาวปิดประตูรั้ว และเดินเข้าไปในบ้านจึงได้ออกรถ

                   หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ  และเตรียมตัวจะเข้านอน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แพรแก้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วก็มีสีหน้าประหลาดใจกับหมายเลขที่ไม่คุ้นเคย ก่อนที่ตัดสินใจกดรับ
                   "สวัสดีค่ะ แพรแก้วค่ะ"
                   "ทำไมยังไม่นอนอีก แล้วกินยารึยัง" เมื่อ ได้ยินเสียงจากปลายสาย หญิงสาวก็จำได้ทันที แต่หญิงสาวกลับไม่ตอบคำถามชายหนุ่ม แต่กลับย้อนถามชายหนุ่มว่า
                   "คุณไปเอาเบอร์โทรศัพท์ฉันมากจากไหนค่ะ" เพราะเท่าที่จำได้หญิงสาวไม่เคยให้เบอร์โทรศัพท์กับชายหนุ่ม ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ส่งเสียงหัวเราะชอบใจมาตามสาย แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรถก็ย้อนกลับมาในช่วงที่ชายหนุ่มขอยืมโทรศัพท์ของหญิงสาว
                   "เจ้าเล่ห์จริงๆเลยคุณ" หญิงสาวได้แต่บริภาษชายหนุ่มไปแค่นั้น
                   "ฝันดีนะครับ" ชายหนุ่มพูดเพียงเท่านั้นก็วางสายลง ราวกับกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของหญิงสาว แพรแก้วได้แต่มองโทรศัพท์ในมือ และพึมพำกับตัวเอง
                   "คุณเป็นคนแบบไหนกันแน่ค่ะผู้พัน"
                   ในขณะที่ปลายสายอีกด้าน หลังจากที่วางสายแล้ว ชายหนุ่มก็ได้แต่อมยิ้มกับตัวเอง คืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ชายหนุ่มคงนอนหลับฝันดี
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×