คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2
อาหารเช้าสำหรับคนป่วยในวันนี้เป็นข้าวต้มกุ้งที่หญิงสาวปรุงขึ้นอย่างง่ายๆ เนื่องจากสมัยที่มารดายังมีชีวิตอยู่ หล่อนก็คอยเข้าไปช่วยเป็นลูกมือจนได้สูตรอาหารต่างๆจากผู้เป็นมารดามาไม่น้อย เมื่อหญิงสาวเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองซึ่งบัดนี้ถูกชายหนุ่มยึดครอง ก็พบว่าสีหน้าของชายหนุ่มดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนเป็นอันมาก
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงที่ชายหนุ่มนอนอยู่ พลางใช้หลังมือวางทาบลงที่หน้าผากของคนเจ็บเพื่อวัดอุณหภูมิว่ายังมีไข้หรือไม่ เมื่อสัมผัสดูแล้วว่าความร้อนลดลงแล้วหญิงสาวก็เริ่มเบาใจ แต่เมื่อสังเกตที่บาดแผลบริเวณต้นแขนกลับพบว่ามีเลือดซึมออกมา และมีอาการบวมเล็กน้อย "คงต้องทำแผลให้ใหม่" หญิงสาวคิดในใจ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้ คนเจ็บที่หญิงสาวคิดว่ากำลังหลับสนิทกลับลืมตาตื่นขึ้นมา และทันทีที่เห็นหญิงสาวนั่งอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
"ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลผม"
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนยังคง ชัดเจนในความทรงจำ ถึงแม้ว่าจะเกิดอาการไข้รุมเร้า และอาการสะลึมสะลือจากฤทธิ์ยา แต่ชายหนุ่มก็ยังมีสติพอที่จะรับรู้การกระทำของหญิงสาวที่มีต่อตน ภาพของหญิงสาวที่ตั้งใจดูแล และปฐมพยาบาลสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับชายหนุ่มไม่น้อย
"ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าตอบแทนที่คุณเคยช่วยฉันมาก่อน" หญิงสาวเอ่ยตอบ
"ยังไงผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี เพราะถ้าไม่ได้คุณช่วย ผมคงจะแย่"
"แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปค่ะ จะให้ฉันช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยนะ" หญิงสาวเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
"ผมยังคิดไม่ออก แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมปวดแผลมาก" ชายหนุ่มเอ่ยพลางนิ่วหน้ากับอาการปวดจากพิษของบาดแผล
"จริงด้วยค่ะ ฉันว่าจะทำแผลให้คุณใหม่ รู้สึกว่าที่แผลยังมีเลือดซึมออกมาอยู่เลย ว่าแต่คุณแน่ใจนะค่ะว่าจะไม่ไปโรงพยาบาล" หญิงสาวเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง
"ครับ คงต้องรบกวนคุณไปก่อน" ชายหนุ่มเอ่ย
"ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทำแผลให้คุณก่อน และหลังจากนั้นคุณค่อยทานข้าว แล้วก็ทานยานะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยกับคนเจ็บเสร็จสรรพ
"ครับผม คุณผู้หญิง" ชายหนุ่มเอ่ยล้อเลียน เมื่อได้ยินประโยคตอบกลับที่ชายหนุ่มเอ่ยล้อเลียน หญิงสาวก็ได้แต่ส่งสายตาค้อนควับไปให้ พลางเอ่ยขึ้นว่า
"เจ็บขนาดนี้ แล้วยังจะมาพูดเล่นอีก" ในขณะที่ชายหนุ่มได้แต่อมยิ้มกับท่าทาง และกิริยาของหญิงสาว
"คุณพอจะลุกไหวรึเปล่าค่ะ ฉันจะทำแผลให้"
"ไหวครับ" ว่าแล้วชายหนุ่มก็พยายามที่จะพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง หากแต่ด้วยความปวดร้าวระบมไปทั่วร่างกาย ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความยากลำบาก เมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้น จึงเข้าช่วยเหลือ โดยประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้นนั่ง และใช้หมอนสอดเข้าด้านหลังเพื่อให้ชายหนุ่มนั่งได้สบายขึ้น
สภาพของชายหนุ่มตอนนี้สร้างความลำบากใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย ก็เมื่อคืนตอนที่เช็ดตัวลดไข้ให้ คนเจ็บไม่รู้สึกตัว หญิงสาวก็ทำโดยไม่ลำบากใจมากนัก หากแต่ตอนนี้คนตัวโตตรงหน้ากลับนั่งมองการกระทำของหล่อน ทำให้หญิงสาวเกิดอาการประหม่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แผ่นอกเปลือยเปล่า และมัดกล้ามแข็งแรงอย่างคนที่ดูแลสุขภาพ ซึ่งปรากฏต่อสายตาทำให้แก้มเนียนของนางพยาบาลจำเป็นมีสีระเรื่อ อีกทั้งยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ในขณะที่ชายหนุ่มก็รับรู้ถึงความลำบากใจของหญิงสาวในเรื่องนี้ดี จึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปให้หญิงสาวได้เกิดอาการเขินอายไปมากกว่านี้ หากแต่กลับทำตัวนิ่งเป็นตุ๊กตาตัวโตปล่อยให้หญิงทำแผลให้จนเสร็จ
"ขอบคุณครับ" ชายหนุ่มเอ่ยภายหลังจากที่หญิงสาวบรรจง ปิดพลาสเตอร์ลงบนผ้าพันแผลเรียบร้อย
"ไม่เป็นไรค่ะ คุณรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวฉันเอาข้าวต้มมาให้นะค่ะ"
"ครับ"คนเจ็บรับคำ และมองตามร่างบางไปจนลับสายตา
เมื่อหญิงสาวประคองถ้วยข้าวต้มกลับเข้ามาภายในห้องอีกครั้ง ก็พบว่าชายหนุ่มกำลังนั่งอ่านต้นฉบับที่หญิงสาวแปลค้างไว้เพื่อส่งให้กับสำนักพิมพ์ หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสายตาตั้งคำถามของชายหนุ่ม
"ฉันรับหนังสือมาแปลที่บ้านค่ะ พอดีแปลค้างไว้ยังไม่เสร็จ"
"ผมได้ยินข่าวว่าคุณลาออกเพื่อมาดูแลคุณแม่"
"ค่ะ ฉันก็เลยต้องหางานที่เอาทำที่บ้านได้"
"ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณแม่ของคุณ ท่านอาการเป็นอย่างไรบ้าง" ชายหนุ่มเอ่ยถาม
"ท่านเสียได้สองอาทิตย์กว่าแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวเอ่ย
"จริงสิ" ชายหนุ่มได้แต่คิดในใจ พลางลอบสังเกตการแต่งกายของหญิงสาว ก็พบว่าหญิงสาวยังคงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับมารดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
"ผมเสียใจด้วย" ชายหนุ่มเอ่ย
"ขอบคุณค่ะ" หญิงสาวเอ่ยตอบไปเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเอ่ยต่อไปว่า
"คุณทานข้าวเถอะนะค่ะ กำลังอุ่นๆ เสร็จแล้วจะได้ทานยาต่อ" หญิงสาวเอ่ยพลางดึงโต๊ะข้างเตียงมาตั้งไว้ให้ชายหนุ่มได้ทานอาหารอย่างสะดวก
"คุณทานอะไรรึยัง" คนเจ็บเอ่ยถาม
"เรียบร้อยแล้วค่ะ" เมื่อรับรู้ว่าคนตัวเล็กรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงจัดการกับถ้วยข้าวต้มตรงหน้า และใช้เวลาไม่นานถ้วยข้าวต้มก็เหลือแต่ความว่างเปล่า
"อีกชามไม๊ค่ะ" หญิงสาวเอ่ยถาม
"อิ่มแล้วครับ" ชายหนุ่มตอบพลางยกแก้วน้ำที่หญิงสาววางเอาไว้ด้านข้างขึ้นดื่ม
"อีกสักครู่ คุณค่อยทานยานะค่ะ ฉันเตรียมไว้ให้แล้ว ฉันจะออกไปธุระข้างนอก คุณอยู่คนเดียวได้ใช่รึเปล่า" หญิงสาวเอ่ยถาม
"ครับ เชิญคุณตามสบาย นี่ผมมาทำให้คุณลำบากรึเปล่า" ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่อึดอัดใจไม่น้อย
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณเดือนร้อนมา เป็นใครฉันก็ต้องช่วยอยู่ดี อีกอย่างคุณเคยช่วยเหลือฉันมาตั้งหลายครั้ง ทำใจให้สบายเถอะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับมา
"ฉันไปนะค่ะ" หญิงสาวเอ่ย พลางถือถ้วยข้าวต้มออกไป ในขณะที่ชายหนุ่มได้แต่เฝ้ามองหญิงสาวไปจนลับสายตา ก็ในเมื่อสายลมแห่งโชคชะตาได้พัดพาเขา และเธอให้กลับมาพบกันอีกครั้ง เหตุใดเขาจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ ชายหนุ่มจึงได้แต่สัญญากับตัวเองว่าครั้งนี้จะไม่มีวันปล่อยมือจากเธออีกตลอดไป
หญิงสาวกลับมาถึงบ้านในเวลาบ่ายคล้อย ทั้งสองมือหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง และเมื่อขึ้นบันไดบ้านมาก็พบว่าคนเจ็บได้ออกมานั่งรับลมรออยู่ที่ชานบ้านด้านนอก
"ไข้ลดแล้วเหรอค่ะ ทำไมออกมานั่งตากลม" หญิงสาวเอ่ย พลางวางสารพัดถุงที่หอบหิ้วมาก่อนที่จะเดินตรงไปยังระเบียงที่ชายหนุ่มนั่งรอ และใช้หลังมือวางทาบกับหน้าผากของคนเจ็บเพื่อวัดอุณหภูมิ ความห่วงใยของหญิงสาวที่มีให้สร้างความอบอุ่นให้กับหัวใจของชายหนุ่มไม่น้อย ในขณะที่คนทำยังไม่รู้สึกตัวว่าได้สร้างความรู้สึกพิเศษให้กับคนตรงหน้าเข้าให้แล้ว
"ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่มีไข้แล้ว ฉันซื้อเสื้อผ้ามาให้คุณด้วยนะค่ะ คิดว่าน่าจะใส่ได้" หญิงสาวเอ่ยพลางส่งถุงเสื้อผ้าให้กับชายหนุ่ม
"ขอบคุณครับ ผมมารบกวนคุณจริงๆเลย" ชายหนุ่มเอ่ย
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ว่าแต่คุณจะทำยังไงต่อไปค่ะ จะติดต่อให้ใครมารับรึเปล่า"
"ผมคงต้องรบกวนคุณอีกสักระยะ ถ้าอาการดีขึ้นกว่านี้ ผมก็จะไป" ชายหนุ่มเอ่ย
"ไหนคุณว่า วันนี้คุณจะไปแล้วนี่ค่ะ" หญิงสาวเอ่ยทวนความจำให้กับชายหนุ่ม
"ก็เมื่อคืนผมไม่รู้นี่ครับว่าคนที่ช่วยผมเป็นคุณ แต่ตอนนี้รู้แล้วก็ขอรบกวนไปอีกสักระยะก็แล้วกันนะครับ คนกันเองแท้ๆ" ชายหนุ่มเอ่ยต่อไป ซ้ำยังเหมารวมเธอกับเขาเป็นคนกันเองอีกต่างหาก
"อีกอย่าง ตอนนี้ผมก็ยังไปโรงพยาบาลไม่ได้ ถือว่าช่วยเพื่อนเก่านะครับ ตกลงผมอยู่ที่นี่ได้ใช่่ไม๊ครับ" ชายหนุ่มลองถามย้ำอีกครั้ง
"ก็ในเมื่อคุณพูดมาเสียขนาดนี้แล้ว ฉันก็คงต้องให้คุณอยู่ล่ะค่ะ" หญิงสาวเอ่ย
"ขอบคุณครับ" ไม่ว่าชายหนุ่มจะมีเหตุผลอะไรในการกระทำที่ไม่สามารถบอกได้ แต่สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวมั่นใจคือความจริงใจที่ชายหนุ่มมีให้ ซึ่งหล่อนก็เคยสัมผัสมา ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลานานมาแล้วก็ตาม
ภายในห้องประชุมกองบัญชาการ กองทัพไทย คณะทำงานอันประกอบไปด้วยพลเอกรักศักดิ์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม และพันโทพร้อมพิทักษ์ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ในการวางแผนภารกิจ ทั้งหมดกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากภารกิจลับที่ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติถูกซ้อนแผนจากคนในฝ่ายการเมือง
"ได้ข่าวพันโทธงไทยบ้างรึเปล่า" พลเอกรักศักดิ์เอ่ยถามความคืบหน้าของการติดตามข่าวของพันโทธงไทย ผู้เป็นทั้งบุตรชาย และผู้ใต้บังคับบัญชา ภายหลังจากรับทราบว่าถูกลอบทำร้ายขณะปฏิบัติหน้าที่
"ได้ข่าวแล้วครับ สายรายงานว่าผู้พันปลอดภัยดี ขณะนี้ได้รับความช่วยเหลือ และหลบซ่อนตัวอยู่ในสวนผลไม้แห่งหนึ่งแถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาครับ" พลตรีราเมศว์ หัวหน้าหน่วยข่าวรายงานความคืบหน้าให้ที่ประชุมรับทราบ
"แล้วพอจะรู้ไม๊ว่ าคนที่ให้ความช่วยเหลือผู้พันธงไทยเป็นใคร"
"เธอเป็นอดีตนักข่าว ที่เคยทำงานในสำนักพิมพ์บรรณกิจครับ แล้วก็เคยทำงานที่รังกระจอกข่าวในกรมของเราด้วย"
พลโทเลิศฤทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้เข้าร่วมประชุมถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อได้รับฟังรายงานข่าวในที่ประชุม "หรือจะเป็นแพรแก้ว" เขาใช้เวลาทบทวน บุตรสาวของเขาเคยทำงานเป็นนักข่าวของสำนักพิมพ์ดังกล่าวจริง อีกทั้งสวนผลไม้ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยถึงก็ช่างประเหมาะใกล้เคียงกับบ้านสวนของบุตรสาวเขาเสียด้วย สงสัยจะต้องส่งคนไปสืบเสียแล้ว และถ้าหากเป็นความจริงก็คงต้องไปดูให้เห็นกับตา แต่แล้วความคิดทุกอย่างก็ถูกดึงกลับมาในยังเหตุการณ์ตรงหน้า
"ผมไม่คิดเลยว่าปฏิบัติการของเราครั้งนี้ ฝ่ายการเมืองจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซง" พันโทพร้อมพิทักษ์เอ่ย
"มันเป็นเรื่องของคนที่กำลังจะเสียผลประโยชน์นะผู้พัน แต่เรื่องผลประโยชน์ของประเทศสำคัญกว่า ซึ่งพวกเราก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน" พลเอกรักศักดิ์เอ่ย
"เราคงต้องวางแผนกันใหม่ให้รัดกุมกว่านี้ ภารกิจครั้งนี้สำคัญมากต้องทำให้สำเร็จ"
"ครับ" คณะทำงานในที่ประชุมรับคำผู้บังคับบัญชาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
"ภารกิจสำคัญของประเทศครั้งนี้ ปฏิบัติการครั้งต่อไปจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด หาทางติดต่อผู้พันธงไทยให้หาที่หลบซ่อนตัวไปสักระยะหนึ่งก่อน อย่าเพิ่งกลับมา แล้วทางเราจะติดต่อไปอีกครั้ง"พลเอกรักศักดิ์เอ่ย
"ครับ" พลตรีราเมศว์รับคำสั่งผู้บังคับบัญชา
"เลิกประชุมได้" พลเอกรักศักดิ์เอ่ยพลางเดินออกจากห้องประชุม ในขณะที่ผู้ใต้บังคับบัญชายืนทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพรียง
"คุณลุงยังไม่ให้นายธงกลับมาหรือครับ" พันโทพร้อมพิทักษ์เอ่ยถามพลเอกรักศักดิ์ ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นทั้งผู้บังคับบัญชา และบิดาของเพื่อนรัก ภายหลังที่เดินออกจากห้องประชุม
"ใช่ ลุงอยากให้นายธงลองสืบหาข่าวอีกสักพัก เพราะบางทีที่เราพลาดครั้งนี้ อาจเป็นเพราะเราไม่รอบคอบ และไม่ทันระวังคนนอก"
"แต่สายข่าวรายงานว่า นายธงถูกยิง" พันโทพร้อมพิทักษ์เอ่ยท้วง เนื่องจากความห่วงใยในสวัสดิภาพของเพื่อนรัก
"ไม่เป็นไรหรอก รายนั้นมันกระดูกหนา อีกอย่างมีคนคอยดูแลอยู่ มันคงยังไม่อยากกลับเท่าไหร่" พลเอกรักศักดิ์เอ่ยถึงบุตรชาย เพราะถึงแม้จะเป็นห่วงบุตรชายเพียงใด แต่ด้วยภาระหน้าที่ที่มีต่อประเทศชาตินั้นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด จึงต้องพยายามที่จะตัดความกังวลทุกอย่างออกไป ซึ่งเขาคิดว่าบุตรชายก็คงเข้าใจในเหตุผลข้อนี้ดี
ถึงแม้จะค่อนข้างงุนงงกับประโยคที่ผู้บังคับบัญชาเอ่ย แต่พันโทพร้อมพิทักษ์ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก เนื่องจากเข้าใจถึงเหตุผลที่ผู้บังคับบัญชากล่าวมาทั้งหมด
ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งร้อนใจจากรายงานที่ได้รับ พลโทเลิศฤทธิ์ถึงกับนั่งไม่ติด เขาตัดสินใจต่อสายโทรศัพท์ตรงถึงบุคคลที่มอบหมายให้ดูแลบุตรสาว
"ลูกสาวฉันเป็นอย่างไรบ้าง"
"คุณแพรสบายดีครับ เมื่อเช้าเห็นออกไปซื้อของที่ตลาด"
"แล้วมีใครมาอาศัยอยู่ด้วยรึเปล่า"
"เออ ไม่น่าจะมีนะครับ" เสียงจากปลายสายตอบมาด้วยความไม่แน่ใจ เพราะเท่าที่สังเกต นอกจากนางสมจิตร ซึ่งไปมาหาสู่กับหญิงสาวแล้ว เขาก็ไม่เคยเห็นคนแปลกหน้าไปมาหาสู่หญิงสาวอีก
"นายแน่ใจนะ" เมื่อต้นสายถามย้ำ คนปลายสายจึงเกิดอาการไม่แน่ใจ จึงได้แต่ตอบไปว่า
"ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะไปดู แล้วส่งข่าวให้ท่านทราบนะครับ"
"อืม แต่ฉันต้องการรู้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุด" และไม่ถึงสิบห้านาที ปลายสายก็โทรมารายงานข่าวให้พลโทเลิศฤทธิ์ได้รับทราบ
"มีคนมาอาศัยอยู่ด้วยจริงๆครับ ผมเห็นผู้ชายอยู่กับคุณแพรที่ชานบ้านด้านนอก แต่ผมไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร และมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ"
แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับข่าวที่ต้องการ พลโทเลิศฤทธิ์จึงสนทนากับปลายสายอีกเพียงเล็กน้อยก่อนจะวางสายไป ถึงแม้แพรแก้วจะเป็นบุตรสาวนอกสมรสซึ่งฐานะไม่เป็นที่รู้จักมากนักกับบุคคลภายนอก แต่หญิงสาวก็เกิดจากความรัก และความผูกพันระหว่างเขากับคุณแพรไหม เพราะฉะนั้นเขาผู้เป็นบิดาจึงมีหน้าที่ต้องปกป้อง และดูแลเกียรติยศของผู้เป็นบุตรี ดังนั้นความไม่เหมาะและไม่ควรของการที่จะให้หญิงสาวเป็นผู้ดูแล หรือจะให้พันโทธงไทยหลบซ่อนที่บ้านสวน และอยู่กับบุตรสาวเพียงลำพังเป็นสิ่งที่ชายสูงวัยรับไม่ได้
"เห็นทีจะต้องไปเยี่ยมบุตรสาวด้วยตัวเองสักครั้ง" เขาคิดในใจ
ท้องฟ้ายามราตรีในวันนี้สว่างไสวด้วยแสงระยิบระยับจากดวงดาว อีกทั้งยังเป็นคืนเดือนเพ็ญทำให้แสงของดวงจันทร์สาดส่องให้เห็นกลุ่มดาวต่างๆมากมาย แพรแก้วใช้เวลาว่างหลังจากดูแล และปฐมพยาบาลคนเจ็บออกมานั่งเล่นบริเวณระเบียง ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อเติมออกมาจากเรือนหลังใหญ่
หญิงสาวนั่งทบทวนเรื่องของชายหนุ่มที่เกิดขึ้นในระยะสองวันที่ผ่านมา ควรแล้วหรือที่เธอจะให้ที่พักกับบุคคลที่รู้จักกันแค่เพียงผิวเผิน อีกทั้งการอยู่ร่วมชายคาเดียวกันเพียงลำพัง หากคนภายนอกมารู้เห็น ชื่อเสียง และเกียรติยศที่มีอยู่จะทำฉันใด หากแต่ความคิดอีกฝ่ายก็แย้งขึ้นว่า ในเมื่อเธอบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง จะกังวลอะไรกับสิ่งแวดล้อม หรือเสียงจากบุคคลภายนอก หญิงสาวคิดพลางถอนหายใจออกมา
"ผมกำลังทำให้คุณลำบากใจ" เสียงทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้หญิงสาวต้องหันกลับไปมอง
"ออกมาทำไมค่ะ วันนี้น้ำค้างลง คุณยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่ เดี๋ยวไข้จะกลับนะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยพลางลุกขึ้นประคองชายหนุ่มให้นั่งลงข้างเธอเมื่อเห็นท่าทางเดินที่ไม่ปกตินักของชายหนุ่ม
"ผมเห็นคุณยังไม่นอนเลยออกมาดู" ชายหนุ่มเอ่ยกับหญิงสาว
เนื่องจากแสงสว่างภายนอกบ้านสาดส่องเข้าไปภายในห้องนอน จึงทำให้เขารับรู้ว่าหญิงสาวยังคงอยู่ภายนอก จึงเดินออกมาดู และก็เป็นจริงตามที่เขาคาดไว้
"ฉันยังไม่ง่วงค่ะ ปกติก็นอนดึกอยู่แล้ว" หญิงสาวเอ่ย และลอบสังเกตชายหนุ่มซึ่งในขณะนี้แต่งกายด้วยชุดนอนที่หล่อนซื้อมาให้เมื่อตอนกลางวัน จริงๆจะเรียกว่าชุดนอนก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะเสื้อผ้าที่หล่อนซื้อมาให้ล้วนแต่เป็นเสื้อยืด และกางเกงเลซึ่งเป็นชุดที่สวมใส่ได้ในทุกสถานการณ์อยู่แล้ว และถ้าใครมาเห็น"หนุ่มโสดในฝัน"ในสภาพนี้ก็คงจะดูไม่จืดนัก
"คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลย เรื่องที่ผมถามคุณว่า ผมมาทำให้คุณลำบากใจรึเปล่า" ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงสาวอีกครั้ง
"ถ้าฉันตอบว่า "ไม่" ก็คงจะเป็นการโกหกเพื่อให้คุณสบายใจ แต่ถ้าบอกว่าชีวิตฉันลำบากขึ้น คุณก็จะอึดอัดใจเสียเปล่าๆ เอาเป็นว่าคุณมาทำให้ชีวิตประจำวันของฉันมีสีสันขึ้นมาบ้างก็แล้วกันนะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยพลางคลี่ยิ้มให้กับชายหนุ่ม
"คุณนี่เป็นคนตรงดีนะ" พันโทธงไทยเอ่ยพลางยิ้มตอบ
"ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ล่ะค่ะ"
"ว่าแต่ผมขอถามอะไรคุณอีกอย่างได้รึเปล่า"
"คุณนี่เป็นคนช่างสงสัยจังนะค่ะ ถ้าฉันตอบได้ ฉันก็จะตอบค่ะ" เมื่อฝ่ายคนตัวเล็กอนุญาต ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
"ผมจำได้ว่า เมื่อครั้งก่อนที่ผมไปส่งคุณที่บ้าน บ้านคุณไม่ได้อยู่ตรงนี้"
"ใช่ค่ะ บ้านที่คุณเคยไปส่ง เป็นสวัสดิการด้านที่พักอาศัยให้กับบุคลากรของโรงเรียนที่แม่ของฉันทำงานอยู่ แต่หลังจากที่แม่ล้มป่วย แม่ก็กลับไปสอนอีกไม่ได้ แม่จึงตัดสินใจคืนบ้านให้กับทางโรงเรียนไป และที่สำคัญแม่อยากกลับมาอยู่ที่นี่ แม่รักบ้านหลังนี้มากค่ะ" หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย เมื่อเอ่ยถึงมารดาผู้ล่วงลับ จริงอยู่ที่หญิงสาวทำใจกับเรื่องดังกล่าวได้บ้างแล้ว แต่เมื่อต้องเอ่ยถึงบุคคลอันเป็นที่รักก็ย่อมสร้างความสะเทือนใจให้ไม่น้อย
"ผมขอโทษ" ชายหนุ่มเอ่ยพลางเอื้อมมือหนามาเกาะกุมมือบางของหญิงสาวไว้ด้วยท่าทีที่เห็นใจ ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาที่ส่งผ่านความห่วงใย และความเห็นใจมาถึงเจ้าของมือบาง ทำให้หญิงสาวได้แต่ยิ้มรับกับความปรารถนาดีของชายหนุ่ม
"ฉันไม่เป็นไรค่ะ" หญิงสาวเอ่ยพลางดึงมือบางของตนออกจากอุ้งมือหนาของชายหนุ่มด้วยท่าทางที่สุภาพ เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มปรับสภาพของจิตใจได้ ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อไปว่า
"คุณอยู่ที่นี่คนเดียวเหรอ ตั้งแต่มาอาศัยคุณ ผมยังไม่เห็นใครในบ้านนี้เลย"
"ค่ะ ฉันอยู่คนเดียว" เมื่อได้ยินคำตอบจากหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจได้ในวินาทีนั้น
"ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เช้า ผมคงต้องไปจากที่นี่เสียที" เนื่องจากชายหนุ่มรู้ถึงความไม่ควรในสถานภาพของหญิงสาว เพราะถ้าหากใครรู้ว่าหญิงสาวรับเขาเข้ามาอยู่ภายในบ้าน คงจะสร้างความเสียหายให้กับหญิงสาวไม่น้อย อีกทั้งการอยู่เพียงลำพังระหว่างหญิงสาว และชายหนุ่มที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆต่อกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เมื่อเข้าใจในเจตนารมณ์ของชายหนุ่ม หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้นว่า
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไว้คุณหายดีก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ ฉันไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงอะไร คงจะไม่มีใครมาคอยสังเกต หรือจับผิดหรอกค่ะ อีกอย่างคุณก็ยังบาดเจ็บอยู่ แล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยด้วยความมีน้ำใจ
"เกียรติยศของคุณ เป็นสิ่งสำคัญที่ผมต้องคำนึงถึง หากต้องทำให้คุณเดือดร้อนเพราะความมีน้ำใจของคุณที่มีให้กับผม ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต"
"คุณจะติดต่อใครให้มารับรึเปล่าค่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้ง ภายหลังจากที่เคยเอ่ยถามชายหนุ่มด้วยประโยคนี้เมื่อตอนกลางวัน
"ไม่ครับ ผมกลับเองได้ " พันโทธงไทยเอ่ย
"ถ้าอย่างนั้นวันนี้คุณก็ไปพักผ่อนเถอะนะค่ะ พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางแต่เช้า"
"ครับ แต่คุณก็ควรจะไปพักผ่อนเหมือนกันนะ เพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใย
"ค่ะ แล้วฉันจะตามเข้าไป" หญิงสาวเอ่ยพลางเดินสำรวจความเรียบร้อยภายนอกบ้านอีกครั้ง ก่อนที่จะปิดไฟ และเดินกลับเข้าไปภายในตัวบ้าน
ความคิดเห็น