ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักในเรือนใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 58


    ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สถานที่ตั้งของบ้านเรือนไทยหลังเล็กที่ครอบคลุมอาณาเขตของสวนผลไม้ และ

    พันธุ์ไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยความร่มรื่น และสงบ ถึงแม้สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่ได้มี

    มากมายเท่ากับบ้านที่อยู่ใจกลางเมือง แต่เรือนไทยหลังนี้ก็สร้างความอบอุ่นและเป็นที่พักพิงใจให้กับผู้อาศัย

    เสมอมา


               ภาพความสวยงามของแสงสีทองที่กำลังจะลับขอบฟ้า ไม่สามารถที่จะดึงความสนใจจากหญิงสาวร่าง

    บางที่ยืนอยู่ตรงท่าน้ำได้ หากแต่บทสนทนากับผู้เป็นบิดาเมื่อครู่
    ต่างหากที่ทำให้หญิงสาวได้แต่ทอดถอนใจ


              "พ่ออยากให้หนูไปอยู่ด้วยกัน หนูจะอยู่ที่นี่คนเดียวได้ยังไง มันอันตรายมากนะ และที่สำคัญพ่อเป็นห่วง"


              "ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ หนูอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็ก ที่นี่จะปลอดภัยสำหรับหนู" หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธผู้เป็นบิดา


             "แม่ของหนูก็เสียไปแล้ว ให้โอกาสพ่อได้ดูแลหนู และทำหน้าที่ของพ่อบ้างเถิดนะ" บิดายังคงใช้ความ

    พยายามในการเกลี่ยกล่อมเธอต่อไป


             "ขอบพระคุณในความกรุณาของท่านค่ะ แต่หนูรับไว้ไม่ได้จริงๆ ขอหนูอยู่ที่นี่เถอะนะค่ะ ที่นี่เป็นบ้าน

    ของหนูค่ะ" หญิงสาวยังคงแสดงเจตนารมณ์เดิมอย่างชัดเจน


              เมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาวที่ไม่ยอมรับความห่วงใย และความปรารถนาดีที่มอบให้ พลตรีเลิศฤทธิ์ ผู้เป็น

    บิดา จึงยอมที่จะถอยกลับไป ก่อนจะเอ่ยกับบุตรสาวคนโตว่า


              "ถ้าเดือดร้อนอะไร ก็ไปหาพ่อนะ ถึงแม้พ่อจะไม่ใช่พ่อที่ดีนัก แต่พ่อก็รัก และเป็นห่วงหนูไม่น้อยไปกว่า

    ลูกคนอื่นๆ"


               ระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่คุณแพรไหม มารดาของแพรแก้ว หญิงสาวเจ้าของบทสนทนากับผู้เป็นบิดาเมื่อ

    ครู่ ล้มป่วยลง ทำให้หญิงสาวทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในการดูแลมารดา หญิงสาวจำต้องลาออกจากอาชีพนักข่าว

    ซึ่งเป็นอาชีพที่รัก และมารับงานแปลหนังสืออยู่กับบ้านเพื่ออยู่เป็นเพื่อน และดูแลมารดา เนื่องจากมีกันเพียง

    สองคนแม่ลูก ถึงแม้จะมีป้าสมจิตร ซึ่งเป็นญาติห่างๆของมารดาจะมาช่วยดูแลบ้างในเวลาที่หญิงสาวต้องไป

    ทำธุระนอกบ้าน
    จนกระทั่งหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคุณแพรไหมก็มีอาการทรุดหนัก และจากไปในที่สุด ในห้วง

    เวลานั้นสำหรับแพรแก้วแล้ว เหมือนโลกทั้งโลกทลายลงตรงหน้า เมื่อสูญเสียผู้เป็นเสาหลักของชีวิต ถึงแม้ว่า

    จะพยายามใช้เวลาทำใจมาระยะหนึ่ง แต่เมื่อถึงวันที่ต้องสูญเสีย ก็ทำให้หญิงสาวต้องใช้เวลาอยู่หลายวัน กว่า

    จะกลับมาตั้งสติ และจัดงานสำคัญครั้งสุดท้ายให้กับผู้เป็นมารดา แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่มีพลตรีเลิศฤทธิ์ผู้เป็น

    บิดา ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ



              แพรแก้วเป็นบุตรสาวคนโตของ พลตรีเลิศฤทธิ์ และคุณแพรไหม แต่ด้วยความไม่เหมาะสมกันทางฐานะ

    ในสังคม และการไม่ยอมรับจากครอบครัวของฝ่ายชาย ทำให้คุณแพรไหมตัดสินใจเดินออกจากชีวิต ร้อยเอก

    เลิศฤทธิ์ ซึ่งเป็นยศในขณะนั้น โดยมีลูกน้อยในครรภ์ไปด้วย และหลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ใช้ชีวิตเพียงลำพัง

    ตลอดมา ถึงแม้พลตรีเลิศฤทธิ์พยายามที่ขอมีส่วนในการเลี้ยงดู และส่งเสียบุตรสาว แต่คุณแพรไหมก็ปฏิเสธ

    ความรับผิดชอบนั้นตลอดมา


              "ตกลงคุณจะไม่ไปอยู่กับท่านจริงๆหรือค่ะ" เสียงที่ดังขึ้นนั้น ทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ และหันกลับ

    ไปมอง  


              "ไม่ค่ะ" หญิงสาวเอ่ยตอบ หญิงชราผู้มีศักดิ์เป็นญาติห่างๆของมารดาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น


              "แต่ดูท่าทางของท่าน อยากให้คุณไปอยู่ด้วย  อย่าหาว่าป้าเจ้ากี้เจ้าการเลยนะค่ะ คุณไปอยู่กับท่านเสีย

    เถอะค่ะ อยู่คนเดียวทางนี้ก็ไม่ปลอดภัย และที่สำคัญ คุณจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านนี้ไหวเหรอค่ะ" นางสม

    จิตรเอ่ยถึงบ้านเรือนไทยที่เริ่มเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา


              "ไม่ไหว ก็ต้องไหวค่ะ แม่รักบ้านหลังนี้มาก บ้านหลังนี้เป็นความฝันของแม่ แพรจะพยายามรักษามันไว้

    ให้ดีที่สุด" หญิงสาวเอ่ยบอกไป ทั้งที่ในสมองยังว่างเปล่า และนึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรที่รักษาสมบัติชิ้นสุด

    ท้ายของมารดาไว้


               "อย่างไรเสียท่านก็เป็นพ่อ ป้าจะพูดอะไรมากก็คงไม่ดีเท่าไหร่ คุณคิดเอาเองเถอะค่ะ" ป้าสมจิตรเอ่ย

    เพียงเท่านั้น
    และเดินจากไป ปล่อยให้หญิงสาวได้อยู่ลำพัง กับความคิดของตน


                "แพรรู้ว่าป้าหวังดี แต่แพรไม่ต้องการทำตัวเป็นภาระของใคร ที่สำคัญครอบครัวใหม่ของท่าน คงไม่

    ต้องการเกี่ยวข้องกับแพรเป็นแน่"
    หญิงสาวได้แต่พึมพำกับตัวเอง
             
                ความทรงจำในอดีตได้หมุนย้อนกลับมาอีกครั้ง ในวันที่มารดาพาไปพบบิดาที่บ้านพัก เนื่องจากทน

    การบเร้าไม่ไหวจากเด็กหญิงแพรแก้ว บุตรสาวตัวน้อย ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังอยู่ในความทรงจำของหญิง

    สาวไม่เสื่อมคลาย สายตาดูถูกเหยียดหยาม และคำพูดของผู้เป็นภรรยาใหม่ของบิดาที่มีต่อเธอ และมารดา ทำ

    ให้เธอตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นว่า ไม่ว่าจะยากดีมีจน หรือลำบากแสนเข็ญเพียงใดก็จะไม่มีวันแบกหน้าไปขอ

    ความช่วยเหลือจากผู้เป็นบิดาเป็นอันขาด ถึงแม้ในภายหลังผู้เป็นบิดาจะพยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอกับ

    มารดา แต่ความผิดหวัง และความเจ็บช้ำในอดีต ทำให้หญิงสาวปฏิเสธความช่วยเหลือจากผู้เป็นบิดาตลอดมา


               จากนี้ไปชีวิตจะดำเนินต่อไปอย่างไรก็สุดที่จะรู้ หญิงสาวได้แต่พึมพำกับตัวเอง

                "เป็นกำลังใจให้แพรด้วยนะค่ะแม่ แพรสัญญาจะรักษาบ้านหลังนี้ไว้ให้ดีที่สุด" สายลมพัดมาแผ่วเบา

    ประดุจรับรู้ และให้กำลังใจกับหญิงสาวเพื่อที่จะมีแรงก้าวต่อไป




                เสียงกุกกักที่ดังขึ้นอยู่ภายนอก ปลุกคนที่กำลังหลับใหลให้ตื่นขึ้นมายามวิกาล หญิงสาวรีบคว้าเสื้อคลุม

    มาสวมทับชุดนอนทันที ถึงแม้ชุดนอนที่สวมใส่จะดูรัดกุม และทะมัดทะแมง จนบางครั้งเพื่อนที่เรียนสมัย

    มหาวิทยาลัยเคยเอ่ยล้อ


               "ไอ้ชุดนอนลายการ์ตูนของแก ฉันขอซื้อเถอะ โตจนเป็นสาวแล้ว ยังใส่ชุดนอนลายการ์ตูนเป็นเด็กๆไป

    ได้ เมื่อไหร่จะเลิกใส่เสียทีนะแพร" บัวสวรรค์เพื่อนสนิทเอ่ยล้อ


               "ก็ฉันชอบของฉันแบบนี้นี่นา" หญิงสาวจำได้ว่าเอ่ยตอบเพื่อนสนิทไปเช่นนั้น

               แล้วเสียงกุกกักภายนอกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ดึงให้หญิงสาวหลุดจากความคิดในอดีต

               "ขโมย หรือโจรล่ะนี่" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

               สมองเริ่มประมวลผลจากเสียงที่ได้ยิน จริงอยู่ที่ว่าชุมชนแถบนี้แทบจะไม่มีขโมยมาเป็นระยะเวลานาน

    แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป สภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็อาจทำให้มีคนเปลี่ยนอาชีพมาเป็นมิจฉาชีพมาก

    ขึ้น


               "เป็นไงเป็นกัน"หญิงสาวคิดในใจ ปืนพกกระบอกเล็กที่บิดาทิ้งไว้ให้ใช้ป้องกันตัว คงจะได้เอาออกมา

    ใช้งานเสียที นี่เป็นของสิ่งเดียวที่หญิงสาวยอมรับจากบิดา


              "เก็บเอาไว้เถอะลูก อย่างน้อยมีไว้จะได้อุ่นใจ" มารดาเอ่ยขณะที่บิดามอบอาวุธไว้ให้ป้องกันตัว หญิงสาว

    จึงจำต้องรับไว้เพื่อให้ผู้เป็นมารดาสบายใจ


               หญิงสาวค่อยๆจรดปลายเท้าลงบนพื้นเบาๆ เพื่อไม่ต้องการให้ผู้บุกรุกยามวิกาลรู้ตัว หญิงสาวเดินออก

    มาเรื่อยๆจนถึงชานบ้านด้านนอก ก่อนจะแนบใบหูเข้ากับประตูไม้บานใหญ่เพื่อฟังเสียงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียง

    ที่ได้ยินกลับเงียบสนิท


               "อ้าว โจรกลับใจเสียแล้ว"

                หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในบ้าน แต่แล้วเสียงกุกกักที่ประตูก็กลับดังขึ้นอีก

    ครั้ง แต่ครั้งนี้ดังกว่าทุกครั้งที่ได้ยิน เสียงจากภายนอกดังเหมือนกับเสียงล้มของสิ่งของขนาดใหญ่


                "เป็นไงเป็นกัน" แพรแก้วตัดสินใจเดินกลับไปที่ประตูอีกครั้ง ในขณะที่มือบางยังกำปืนกระบอกเล็กเอาไว้

                "ใครอยู่ข้างนอก" หญิงสาวตัดสินใจตะโกนถามออกไป

                "ช่วยผมด้วย" เสียงทุ้มนุ่มแต่เจือไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงของบุคคลที่มาเยือนยามวิกาล

    ตอบกลับมา


                "คุณเป็นใคร" หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงตอบ

                "ผมมาดี แต่ผมถูกยิงมา ช่วยกรุณาเปิดประตูรับผมที" เสียงนั้นตอบกลับมาอย่างแผ่วเบา


                 "ถูกยิงมาจริงรึเปล่า จะทำยังไงดี" หญิงสาวได้แต่บ่นพึมพำ ตอนนี้ทั้งบ้านก็มีแค่เธอเพียงคนเดียว ป้า

    สมจิตรก็ขอตัวกลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ แล้วถ้าเธอเปิดประตูรับคนข้างนอกเข้ามา แล้วเกิดมาทำมิดีมิร้ายเธอจะ

    ทำอย่างไร


                "แล้วทำไมไม่ไปโรงพยาบาล มาบุกรุกบ้านคนอื่นทำไม" หญิงสาวตะโกนถามออกไป

                "ผมไปไม่ไหว" เสียงตอบกลับมาหญิงสาวคะเนว่าอายุอานามของบุคคลดังกล่าวคงยังไม่มากนัก

                "ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ขอผมพักสักคืน พอฟ้าสางแล้ว ผมก็จะไป"  ชายหนุ่มผู้มาเยือนยามวิกาลยังคงเอ่ยต่อ

                 มโนธรรมในใจ ขัดแย้งกับความคิดในสมอง ถ้าเกิดชายหนุ่มทำมิดีมิร้ายเธอจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาเป็น

    คนดีล่ะ แล้วถ้าไม่ช่วยเธอคงจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต และแล้วมโนธรรมด้านดีก็เป็นฝ่ายชนะ อย่างน้อยถ้าเกิด

    อะไรขึ้นปืนกระบอกเล็กในมือคงจะช่วยหล่อนได้ อีกอย่างเสียงคนภายนอกก็ฟังดูอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที

    ถ้าเกิดอะไรขึ้นจวนตัว วิชาศิลปะการป้องกันตัวที่มารดาเคี่ยวเข็ญให้ไปร่ำเรียนมา คงจะช่วยหล่อนได้บ้าง


                เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงตัดสินใจเปิดประตูรับคนภายนอกเข้ามา และเมื่อทันทีที่ประตูเปิดออก ร่าง

    หนาของชายหนุ่มที่ยืนพิงประตูอยู่เป็นเวลานานก็เสียหลัก เซปะทะเข้ากับร่างบางของหญิงสาวทันที ในขณะ

    ที่หญิงสาวก็ไม่ทันได้ตั้งหลักทำให้ทั้งสองร่างเสียหลักล้มลงที่พื้น แรงปะทะจากร่างหนาทำให้หญิงสาวคิดใน

    ใจว่าคงจะเจ็บตัวไม่น้อย แต่ก่อนที่ศีรษะจะกระแทกพื้น มือหนาของชายหนุ่มก็รองเข้าที่ศีรษะทุยของคนร่าง

    เล็กที่อยู่ใต้ร่างของตน และทันทีที่เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนยามวิกาลชัดเจน หญิงสาวก็ได้แต่อุทานออกมา


                "ผู้พันธงไทย"

                 "แพรแก้ว"

               เมื่อเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของบุคคลที่ตนมาขอความช่วยเหลือคือใคร เสียงที่รอดออกมาจากริมฝีปากชาย

    หนุ่มก็คือชื่อของหญิงสาวร่างเล็กที่โดนร่างหนาของตนแทบจะทับเอาไว้  ชายหนุ่มถึงกับตะลึง เนื่องจากไม่

    คิดว่าจะมาพบกับหญิงสาวที่ทำให้หัวใจหวั่นไหวในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะครั้งสุดท้ายที่ชายหนุ่มทราบข่าว

    ของหญิงสาวจากนักข่าวสำนักเดียวกันก็คือ หญิงสาวได้ลาออกจากงานที่ทำ เพื่อไปดูแลมารดาที่ล้มป่วย


             พันโทธงไทย และแพรแก้วเคยรู้จักกันตั้งแต่หญิงสาวทำงานเป็นนักข่าวสายกองทัพของหนังสือพิมพ์

    ฉบับหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะทำข่าวเกี่ยวกับกรมที่ชายหนุ่มสังกัดอยู่ ทำให้ได้พบปะ และร่วมงานกันบ้าง แต่เมื่อ

    หญิงสาวลาออกจากการเป็นนักข่าว ชายหนุ่มก็ไม่ทราบความเป็นไปของหญิงสาวอีกเลย ในขณะที่แพรแก้ว

    ทราบเพียงว่า หลังจากปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดในครั้งใหญ่นั้น ชายหนุ่มก็ได้รับการเลื่อนยศขึ้นเป็นพัน

    โท


                ใบหน้าที่ห่างกันไม่ถึงคืบ ลมหายใจที่รินรดทำให้หญิงสาวเป็นฝ่ายได้สติก่อน 

                 "นี่คุณ ฉันหนักนะ กรุณาลุกออกไปได้แล้ว" เสียงหวานใสของหญิงสาวใต้ร่างอุทธรณ์ขึ้น ทำให้ชาย

    หนุ่มกลับมาได้สติอีกครั้ง


                 "ผมขอโทษ" ชายหนุ่มเอ่ยพลางค่อยๆพยุงร่างของตนที่ทับอยู่บนร่างของหญิงสาวออก และเมื่อหญิง

    สาวใช้สายตาสำรวจคนตรงหน้าก็พบว่าชายหนุ่มมีบาดแผลตามลำตัวไม่น้อย และที่หนักสุดคงจะเป็นบริเวณ

    ต้นแขน ซึ่งคาดว่าจะถูกยิงตามที่เจ้าของร่างหนาเอ่ย


                 "เกิดอะไรขึ้นค่ะ ทำไมคุณถึงมีสภาพแบบนี้" หญิงสาวเอ่ยถาม พลางช่วยพยุงชายหนุ่มกลับเข้าบ้าน

                "พอดีเกิดเรื่องนิดหน่อย" ชายหนุ่มเอ่ยตอบเพียงเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้หญิงสาวรู้ทันทีว่าถึงจะซักถามไป

    คนตัวโตก็คงไม่มีคำตอบให้อยู่ดี เนื่องจากบางเรื่องเป็นภารกิจลับ ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่สามารถแพร่งพรายสิ่งใดๆ

    ออกมาได้


                "คุณรอฉันสักครู่นะค่ะ เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเราไปโรงพยาบาลกัน" หญิงสาวเอ่ยขณะประคอง

    ให้ชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ในห้องรับแขก


                "ไม่ได้ ผมไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ได้" ชายหนุ่มเอ่ยปฏิเสธทันที

                "ทำไมล่ะค่ะ เจ็บขนาดนี้ไม่ไปโรงพยาบาล แล้วจะไปไหน"

                "ยังไงผมก็ไปโรงพยาบาลตอนนี้ไม่ได้" ชายหนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง 

                "แล้วแผลของคุณล่ะค่ะจะทำยังไง เลือดออกเยอะขนาดนี้" หญิงสาวเริ่มเอ่ยเสียงดังกับคนตัวโตที่ดูท่า

    ตอนนี้จะไม่มีเหตุผล


                "ก็คุณไง ช่วยทำแผลให้ผม" ชายหนุ่มเอ่ยโบ้ยทันที

                "ฉันไม่ใช่หมอนะค่ะ" หญิงสาวเอ่ย


                "ผมไปโรงพยาบาลไม่ได้จริงๆ" ชายหนุ่มบอกด้วยประโยคเดิม

                 "ผมยังบอกเหตุผลกับคุณไม่ได้ในเวลานี้ แต่สักวันผมจะบอกให้คุณได้รู้" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริง

    จังถึงเหตุผล และความจำเป็นที่หญิงสาวไม่เข้าใจ


                 "ผมขอร้อง กรุณาอย่าส่งผมไปโรงพยาบาล" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน

     เมื่อเห็นท่าที และสภาพของคนเจ็บแล้ว หญิงสาวจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น
                 "ก็ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้น ฉันจะทำแผลให้คุณเอง" หญิงสาวเอ่ย เพราะอย่างน้อยก่อนหน้านี้ชายหนุ่มก็เคยช่วยเหลือเธอจากการถูกรังแกจากอดีตชายคนรัก ครั้งนี้ชายหนุ่มคงจะมีเหตุผล และความจำเป็นจริงๆถึงได้ขอร้องออกมา 
                  หญิงสาวจึงเดินเข้าไปภายในห้องนอนเพื่อนำอุปกรณ์ปฐมพยาบาลออกมาทำแผลให้ชายหนุ่ม
                   "กระสุนไม่ได้ฝังใน แค่ถากไปเฉยๆ" คนเจ็บยังมีแรงพอที่จะอธิบายให้หญิงสาวที่ตอนนี้รับบทนางพยาบาลจำเป็นได้รับรู้ หากแต่สภาพของคนเจ็บขณะนี้ก็อ่อนระโหยโรยแรงเต็มที
                  "ฉันจำเป็นต้องตัดเสื้อคุณนะค่ะ" หญิงสาวเอ่ยกับชายหนุ่มเมื่อประเมินแล้วว่าชายหนุ่มคงไม่สามารถยกแขนเพื่อถอดเสื้อชุดเครื่องแบบออกได้แน่
                  "ครับ" ชายหนุ่มตอบรับ แพรแก้วจึงใช้กรรไกรตัดบริเวณแขนเสื้อเพื่อที่จะทำแผลให้กับชายหนุ่ม หญิงสาวพยายามใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการทำแผลให้ชายหนุ่ม เพราะทราบว่าชายหนุ่มคงจะเจ็บไม่น้อย เพียงแต่ไม่ส่งเสียงร้องออกมา เนื่องจากตอนที่หญิงสาวใช้แอลกอฮอล์ล้างบริเวณบาดแผล รับรู้ได้ถึงอาการเกร็งของต้นแขน และชายหนุ่มก็กัดกรามไว้แน่น แต่คนเจ็บก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
                  "เสร็จแล้วค่ะ" หญิงสาวเอ่ยหลังจากทำแผลให้ชายหนุ่มเรียบร้อย 
                  "ขอบคุณครับ" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเริ่มเนือย เนื่องจากพิษจากบาดแผลทำให้ชายหนุ่มเกิดอาการไข้รุมเร้า
                  "เดี๋ยวฉันจะพยุงคุณไปที่ห้องนะค่ะ" แพรแก้วเอ่ยพลางเข้าพยุงร่างสูงใหญ่ชายหนุ่มเข้าไปยังห้องนอนของตนเองด้วยอาการทุลักทุเล และเมื่อสัมผัสถูกร่างกายของชายหนุ่มหญิงสาวก็พบว่าชายหนุ่มเริ่มมีไข้ จึงคิดว่าคงต้องให้ยาลดไข้ และยาฆ่าเชื้อกับคนเจ็บด้วย  และเมื่อมาถึงเตียงชายหนุ่มก็ล้มตัวลงนอนทันทีด้วยความอ่อนเพลีย
                  "เดี๋ยวค่ะ ทานยาก่อน" แพรแก้วเอ่ยพลางช่วยส่งเม็ดยาเข้าปากของชายหนุ่มก่อนที่จะจรดแก้วเข้ากับริมฝีปากหนาที่เริ่มแห้งเนื่องจากการขาดน้ำ เมื่อดูแลคนเจ็บทานยาเรียบร้อยหญิงสาวก็จัดแจงให้ชายหนุ่มได้พักผ่อน
                  หญิงสาวใช้เวลาชั่วครู่ในการพิจารณาคนเจ็บตรงหน้า ระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ไม่ได้พบกัน พันโทธงไทยยังคงดูไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่อาจจะดูคล้ำขึ้นเนื่องจากภารกิจที่ปฏิบัติ หากแต่ใบหน้าคร้ามคมยังคงดูดี ตามที่เจ้าตัวเคยได้รับ"รางวัลหนุ่มโสดในฝัน"จากการโหวตของนิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่ง และก่อนที่จะคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้หญิงสาวก็ได้สติ และคิดว่าตนเองก็ต้องการการพักผ่อนเช่นเดียวกัน จึงเดินกลับไปยังห้องนอนเดิมของมารดาเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนชั่วคราว เนื่องจากห้องนอนของตนได้ถูกคนเจ็บยึดครองไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อกลับมาถึงห้องของมารดาหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย แต่เมื่อหลับไปได้เพียงงีบเดียว ด้วยความกังวลถึงอาการบาดเจ็บของชายหนุ่ม หญิงสาวก็สะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ก่อนที่เดินกลับเข้าไปยังห้องนอนของตนอีกครั้งเพื่อดูอาการของชายหนุ่ม
                  สภาพของคนเจ็บที่เห็นในขณะนี้สร้างความหนักใจให้กับหญิงสาวไม่น้อย เนื่องจากไข้ที่ขึ้นสูงจนหญิงสาวคิดว่าถ้าอาการของชายหนุ่มไม่ดีขึ้น ตอนเช้าคงจะต้องพาไปโรงพยาบาล ตลอดทั้งคืนหญิงสาวแทบจะไม่ได้นอน เนื่องจากต้องคอยเช็ดตัวลดไข้ให้ชายหนุ่ม ในชั้นแรกหญิงสาวรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อย เพราะนอกจากมารดาแล้ว หล่อนก็ไม่เคยปฐมพยาบาลใครถึงขั้นถึงเนื้อถึงตัวกันแบบนี้มาก่อน หญิงสาวจัดแจงใช้กรรไกรตัดเสื้อเครื่องแบบของชายหนุ่มออกเนื่องจากเป็นอุปสรรคในการปฐมพยาบาล แผ่นอกเปลือยของคนเจ็บที่ดูแข็งแรง เนื่องจากเจ้าตัวหมั่นคอยดูแล และออกกำลังกายสม่ำเสมอสร้างความเขินอายให้กับหญิงสาวไม่น้อย แต่เมื่อคิดว่าชายหนุ่มคือคนเจ็บที่ต้องดูแล จึงทำให้หญิงสาวคลายความกังวล และสามารถเช็ดตัวลดไข้ให้กับชายหนุ่มได้อย่างไม่กระอักกระอวลใจมากนัก ยาลดไข้ถูกป้อนเข้าปากคนเจ็บทุกๆ 4 ชั่วโมง จนทำให้ไข้ลดลงจนอาการเป็นที่น่าพอใจ
                  และเมื่อหญิงสาวหันกลับมาดูนาฬิกาอีกครั้งก็เป็นเวลา 5 นาฬิกาเศษของวันใหม่แล้ว หญิงสาวจึงตัดสินใจที่จะกลับไปยังห้องนอนของมารดาเพื่อทำธุระส่วนตัว และเตรียมตัวที่จะทำของใส่บาตรในตอนเช้า ซึ่งภายหลังจากที่มารดาเสียชีวิต หญิงสาวก็ยังคงตื่นมาทำบุญใส่บาตรเป็นกิจวัตรประจำวันหลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็มักจะทำเป็นเพื่อนมารดาเสมอ และหลังจากที่ทำบุญใส่บาตรเรียบร้อย หญิงสาวก็กลับเข้าครัวอีกครั้งเพื่อทำอาหารเช้าสำหรับคนเจ็บที่บัดนี้อยู่ภายใต้ความดูแลของหล่อนไปโดยปริยาย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×