ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] OS l SF : Once Upon A Time ★

    ลำดับตอนที่ #11 : [OS] Retweet Mission 4

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 59


    [OS] Retweet Mission 4

    Author : Chuchompoo        

    Pairing : Yugyeom x Mark

    Rate : PG

    Song : ทางของฝุ่น – Atom ชนกันต์

     

     

     

    ชีวิตของ ต้วน อี๋เอิน ไม่เคยพบเจอกับสีขาวบรุสิทธิ์

    และเขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับสิ่งนั้น.. ในที่ที่เต็มไปด้วยความดำมืดแบบนี้

     

     

     

                มือเรียวลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างเบามือ  กลัวว่าหากใช้แรงมากกว่านี้แค่นิดเดียวคนที่กำลังฝันดีจะสะดุ้งตื่น 

               

                แต่จริงๆ แล้วเหตุผลสำคัญคือ อี๋เอินยังไม่พร้อมที่จะสบตากับลูกแก้วใสบริสุทธิ์คู่นั้น

               

     

     

     

                “น่ารำคาญจริงๆ..”

     

                หวัง แจ็คสัน เหลือบมองเจ้านายของตนผ่านกระจกมองหลัง  สีหน้าของคุณชายตระกูลต้วนดูไม่สบอารมณ์และพร้อมระเบิดตลอดเวลาถ้าหากคนภายนอกยังคงชักช้า (ในความคิดของคุณชายเขาน่ะนะ) 

     

                มันไม่แปลกหรอกที่คุณอี๋เอินจะรู้สึกไม่พอใจ  ในเมื่อพักผ่อนอยู่ดีๆ ก็โดนคุณท่านสั่งให้บินมาถึงเกาหลีใต้เพียงเพราะต้องการให้ลูกชายคนโตมาคุมภารกิจ กำจัดพวกที่ทำตัวรกหูรกตาด้วยตัวเอง  ขนาดเขายังเผลอขมวดคิ้วเลยตอนที่ขับรถมาถึงจุดหมาย

     

                คาสิโนสาขายิบย่อยในเขตสลัมมันสำคัญถึงขั้นต้องส่งคุณชายมาเลยงั้นเหรอ?

     

                หรือบางทีนี่อาจเป็นการเอาคืนของคุณท่านหลังจากคุณอี๋เอินเผลอหงุดหงิดจนไล่คู่ค้าคนสำคัญไปอย่างไม่ใยดีเมื่ออาทิตย์ก่อนละมั้ง

     

                อืม... ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

                                          

                “แจ็คสัน!

     

                “ครับ!?

     

                บอดี้การ์ดผู้ควบตำแหน่งคนขับรถสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงทุ้มแผดขึ้นดังกว่าปกติ  รีบหันหน้าไปเตรียมรับคำสั่งหรือคำด่าจากคุณชายหน้าหวานเหมือนทุกที

     

                “....เด็กคนนั้น”

     

                “...?”

     

              “พาขึ้นรถมาเดี๋ยวนี้”

     

     

     

     

     

                เขาต้องหงุดหงิดจนเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

     

                ต้วน อี๋เอินเผลอกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัวเมื่อเหลือบไปด้านข้างแล้วเห็นดวงตาใสแจ๋วคู่หนึ่งกำลังมองมาอย่างสงสัย  นี่ถ้าเป็นเวลาปกติแล้วมีคนมาทำอะไรแบบนี้เขาคงสั่งให้คนมายำสั่งสอนมันไปแล้ว

     

                แต่ว่าครั้งนี้มันไม่ปกติเอาซะเลยนี่สิ

     

                ตั้งแต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแล้วที่เขาได้แต่มองออกไปนอกกระจกรถ  ดูความวุ่นวายโกลาหลที่กำลังเกิดขึ้น  และภาวนาให้คนของตัวเองเดินมารายงานเสียทีว่าทุกอย่างเรียบร้อย  พูดกันตามตรงแล้วเขาไม่ได้อยากมาที่นี่แม้แต่นิดเดียว  ถ้าไม่ติดว่าเป็นคำสั่งของพ่อแท้ๆ ป่านนี้อี๋เอินคงกำลังนอนฟังเพลงจิบไวน์สบายใจอยู่ที่คอนโดหรูกลางเมืองไทเป  ไม่ใช่มากนั่งฟังเสียงหวีดร้องที่เล็ดลอดผ่านกระจกเข้ามาให้หงุดหงิดใจเล่นแบบนี้

     

                แล้วก็ไม่ต้องมาเห็นภาพน่าประหลาดใจแบบนี้ด้วย..

     

                ท่ามกลางผู้คนในคาสิโนที่วิ่งหนีกันวุ่นวายและประกายไฟที่เกิดจากอะไรบางอย่าง  ร่างเล็กของเด็กคนหนึ่งยืนสับสนเหมือนไม่รู้จะไปทางไหน  เสื้อผ้าขาดๆ แก้มกลมที่ดูมอมแมมนั่นสะกดสายตาของอี๋เอินไว้อยู่หมัด  จ้องมองอยู่นานจนมีชายร่างใหญ่คนหนึ่งวิ่งชนเด็กนั่นจนล้มกองอยู่ที่พื้น  และในวินาทีนั้นเองที่เขารีบสั่งแจ็คสันให้ไปพาร่างเล็กออกมา

     

                รู้ตัวอีกทีก็... นั่นแหละ  ยังไม่เลิกมองอีกไอ้เด็กนี่!

     

                “ขอโทษนะครับ”  เสียงเล็กๆ ดังขึ้นมาขัดความเงียบ  โชคดีที่อี๋เอินเรียนภาษาเกาหลีมาจนถึงขั้นที่ฟังออกและพูดคล่อง  ไม่งั้นกว่าจะสื่อสารกันเข้าใจคงลำบากน่าดู  “พี่จะพาผมไปที่ไหนเหรอ?”

     

                นั่นสิ.. เขาจะพาไอ้เด็กนี่ไปไหนล่ะ  ตอนนั้นคิดแค่เอาขึ้นรถมาให้ได้ก็พอซะด้วย

     

                “บ้านอยู่ไหนล่ะ”

     

                “ถ้าหมายถึงที่อยู่...  ก็ที่ที่พี่เจอผมไง”

     

                คนโตกว่าชะงักไป  มองยังไงเจ้าเด็กแก้มย้วยนี่ก็ดูไม่เหมือนคนที่คาสิโนเลี้ยงไว้  อี๋เอินอยู่กับวงการนี้มาทั้งชีวิตจนอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาก็จะอายุยี่สิบปีเต็มอยู่แล้ว  สถานที่แบบนั้นไม่มีทางจะเลี้ยงคนให้โตมาแบบนี้ได้หรอก  ลูกน้องเขาจับปืนเป็นก่อนบวกเลขซะด้วยซ้ำ

     

                “อย่าโกหกน่า  ไม่งั้นฉันพาไปขายนะเว้ย”

     

                “ผมไม่ได้โกหกนะผมอยู่ที่นั่นจริงๆ  อยู่กับเพื่อนอีกหลายคนเลย”  ลูกแก้วสีน้ำตาลใสฉายแววจริงจัง  ริมฝีปากแดงๆ นั่นยื่นออกเหมือนใกล้จะถึงจุดงอแงเต็มที  “เมื่อกี้พวกเราก็อยู่ในห้องตามปกติ  แต่อยู่ดีๆ ก็มีเสียงปังดังลั่นเลย”

     

                “แล้วปกติทำอะไร”

     

                “เจ้านายชอบให้พวกเราส่งของ...  ถ้าโตหน่อยหรือเป็นพี่สาวสวยๆ ก็จะถูกพาออกไปทำงานอย่างอื่น  บางคนก็กลับมา  แต่บางคนก็หายไปเลย” 

     

                ยาเสพติด... แล้วก็ซ่องด้วยสินะ 

               

                ไม่ได้เลี้ยงมาเพื่อให้ทำงาน  แต่ใช้ความไร้เดียงสาทำเรื่องโสมม

               

                ถึงจะด่าอะไรมากไม่ได้เพราะธุรกิจของครอบครัวเขามันก็ไม่ได้ดีไปมากกว่านี้  แต่ใช้เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี่มันเลวเกินไป  ดีแล้วที่ป๊าเลือกจะทำลายทิ้งไปซะ

     

                “เอาเถอะ... หลังจากนี้มาอยู่กับฉัน”

     

                “คุณอี๋เอิน!

     

                อืม... บางทีก็อยากบอกป๊าว่าไม่ต้องส่งลูกน้องเรียนภาษาเยอะนักก็ได้

     

                “เงียบน่าแจ็คสัน  เดี๋ยวคุยกับป๊าเอง  มีหน้าที่ขับรถก็ทำไปเถอะ”

     

                “แต่...”

     

                “ไม่มีปัญหาใช่ไหม เพราะยังไงที่นั่นก็กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”

     

                คุณชายตระกูลต้วนเมินเสียงที่ดูเหมือนจะคัดค้านของบอดี้การ์ดคนสนิทด้วยการหันหน้ากลับมาสบตากับเด็กน้อยอีกครั้ง  เขาเห็นเจ้าตัวกลมกลอกตาไปมาอย่างลังเล  แต่รออยู่เพียงไม่นานอี๋เอินก็ได้คำตอบที่ถูกใจ

     

                “ครับ  ผมไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้ว”

     

     

     

               

                           

                เดิมทีแล้วนอกจากนิสัยที่ใจร้อนเกินไปหน่อย อี๋เอินก็เป็นลูกที่ดีมาตลอดแถมไม่ค่อยขออะไรพ่อตัวเองนัก  ฉะนั้นการที่เขาโทรไปหาบุพการีและกล่าวว่าจะรับเลี้ยงเด็กสักคนโดยไม่ได้พากลับไทเปจึงไม่ใช่เรื่องที่ลำบากนัก (แค่ทะเลาะ— หมายถึงปรึกษาหารือกันประมาณสามชั่วโมงน่ะ)

     

                ทั้งเรื่องบ้านและโรงเรียนถูกติดต่อในเช้าวันต่อมา  เชื่อเถอะว่าพอลืมตาตื่นแล้วเห็นเจ้าเด็กตัวน้อยหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงเดียวกันนี่มันทำให้อี๋เอินถามตัวเองไม่รู้กี่ครั้งว่าที่ทำไปมันถูกรึเปล่า 

     

                แต่ไม่ว่าจะถามกี่ครั้ง..

     

                คำตอบคือเขาทำถูกแล้ว  และไม่มีอะไรถูกไปมากกว่านี้อีก

     

                ก็แค่คนที่อยู่ในความมืดมาตลอดชีวิตคนหนึ่งอยากลองอยู่กับความบริสุทธิ์บ้าง...

     

              เท่านั้นเอง

     

               

     

                “พี่ครับ  นี่มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”

     

                อี๋เอินใช้ความพยายามไปมากทีเดียวกับการกลั้นยิ้มและทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม..  ก็ดูแววตาตื่นตกใจตอนเห็นอาหารเช้านั่นสิ  เขาไม่อยากจะคิดให้หงุดหงิดเล่นเลยว่าเด็กนี่ถูกเลี้ยงดูมายังไง  ทำไมเห็นอาหารดีๆ หรือห้องอาบน้ำกว้างๆ หน่อยถึงได้ตื่นตาตื่นใจไปซะหมด  แค่อเมริกันเบรคฟาสท์ธรรมดาของโรงแรมยังโวยวายขนาดนี้  แล้วถ้าพาไปเจออาหารเช้าเซ็ตใหญ่ที่บ้านตระกูลต้วนจะร้องขนาดไหน...

     

                ไม่สิ...  ไม่พาไปนั่นแหละดีที่สุดแล้วอี๋เอิน

     

                “กินไปเถอะน่า  กินเยอะๆ เลยนะตัวเล็กจะแย่”

     

                คนโดนกล่าวหาว่าตัวเล็กชะงักไป  ยกมือน้อยขึ้นมาดึงคอเสื้อตัวโตที่ไหลไปตรงไหล่ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิมแล้วจัดการอาหารเงียบๆ 

     

                พูดก็พูดเถอะ  เห็นตัวแค่นี้แต่กินเก่งเป็นบ้า  ถ้าเลี้ยงมาดีๆ ป่านนี้คงอ้วนกลมน่าหยิก

     

                อืม... จริงๆ แก้มที่ดูนุ่มนิ่มนั่นก็น่าบีบใช่เล่นนะ

     

                “แล้วพี่ไม่กินเหรอ”

     

                “อี๋เอิน”

     

                “....?”

     

                “ชื่ออี๋เอิน  นายล่ะชื่ออะไร”

     

                “ผมชื่อยูคยอมครับพี่...อี...อีอึน?”

     

                เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกไปซะเพี้ยนแทบจะกุมขมับ  อี๋เอินขยับเก้าอี้ให้ไปใกล้โต๊ะอาหารมากขึ้น  ยื่นหน้าไปพูดให้ฟังช้าๆ ชัดๆ อีกครั้งแต่ดูเหมือนยูคยอมก็ยังเรียกไม่ได้  พยายามอยู่นานจนกาแฟร้อนเริ่มเย็นชืด คนเป็นผู้ใหญ่ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ไปก่อน

     

                “เรียกไม่ถูกก็ช่างเถอะ... จะหาชื่อให้เรียกใหม่แล้วกัน”

     

                ฟันขาวขบริมฝีปากเบาๆ เหมือนทุกครั้งที่ใช้ความคิด  จะให้คิดชื่อเกาหลีที่ความหมายดีๆ ก็ไม่ได้มีความสามารถถึงขั้นนั้น  หรือจะเป็นชื่อจีนที่ออกเสียงง่ายๆ ก็กลัวเด็กนี่จะเรียกไม่ถูกอีก

     

                “มาร์ค..”  ตกลงกับตัวเองเสร็จสรรพ  ดวงตาตวัดสบกับลูกแก้วใสอีกคู่  “เรียกว่าพี่มาร์คแล้วกัน”

     

                .

     

                .

     

                “ครับพี่มาร์ค!

     

     

     

     

     

     

                “มาร์ค...”

     

     

                “พี่มาร์ค...”

     

     

                “พี่มาร์คครับ!

     

                “…!!

     

                เจ้าของชื่อ (ที่มีคนเรียกอยู่แค่คนเดียว) สะดุ้งเฮือก  ก้มหน้ามาก็เห็นดวงตาสีน้ำตาลใสคู่เดิมจ้องอยู่ก่อนแล้ว

     

                สิบปีเชียวนะ...

     

                คิมยูคยอม.. เด็กที่เขาอุตส่าห์ใช้อำนาจทั้งหมดที่มีสร้างข้อมูลทางราชการขึ้นมาเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต  ลงทุนซื้อบ้านหลังเล็กๆ แถวชานเมืองให้อยู่  ส่งให้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน  หาคนดีๆ ที่ไว้ใจได้มาคอยดูแล  แถมยังบินมาหาทุกครั้งที่ว่าง

     

                อี๋เอินไม่เคยหวังให้ยูคยอมเป็นเด็กดีใสซื่อบริสุทธิ์ตลอดไป

     

                แต่เด็กนั่นก็ไม่เคยเปลี่ยน

     

                ถึงจะกวนประสาทขึ้นบ้าง  กล้าพูดเรื่องสองแง่สองง่ามตามประสาวัยรุ่น  และร่างกายที่โตจนตอนนี้สูงกว่าเขาเกือบสิบเซนติเมตร  ไหล่กว้างตัวหนาดูอบอุ่น  แต่ภายในก็ยังเป็นคนจิตใจดี  เป็นสีขาวบริสุทธิ์เหมือนเดิม

     

                “พี่เหม่อตั้งแต่มาถึงแล้วนะ”

     

                “อากาศมันดีเลยคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะ  นายต่างหาก  พี่มาถึงแป๊บเดียวก็หลับหนีไปซะเฉยๆ”

     

                “ผมง่วงนี่นา  นอนน้อยติดกันตั้งหลายคืน”

     

                “ติดเกมล่ะสิ.. รู้หรอกน่า”  อี๋เอินเหลือบตามองคนที่ลุกขึ้นนั่ง  พอเห็นยูคยอมหันหน้ามาส่งยิ้มแบบเด็กที่ถูกจับได้เหมือนทุกทีแล้วก็ใจอ่อน  “ไปเดินเล่นกันเถอะ”

     

     

     

     

               

                ยูคยอมเคยเป็นเด็กที่มีแค่ชื่อ  ไม่รู้วันเกิด ไม่รู้อายุของตัวเอง  และเขาคือคนที่สร้างมันขึ้นมา 

     

                อี๋เอินให้เวลาตัวเองสิบปีกับการเก็บแสงสว่างเอาไว้กับตัวหลังจากจัดการเอกสารเรียบร้อย  กะว่าเมื่อยูคยอมอายุยี่สิบปีเมื่อไรก็ถึงเวลาที่ความมืดอย่างเขาจะต้องถอยห่างออกไปเสียที 

     

                จะเอาชีวิตบริสุทธิ์ชีวิตหนึ่งมาผูกติดกับความเสี่ยงตลอดไปไม่ได้หรอก

     

                แค่ในตอนนั้นเขาไม่คิดว่าสิบปีมันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ

     

                รู้ตัวอีกทีก็ถึงเวลาจากกันซะแล้ว

     

                แถมเป็นการจากกันที่เตรียมการไว้อย่างดีซะด้วย

     

                หลังจากวันที่พบกันไม่กี่วัน ยูคยอมก็ย้ายมาอยู่ที่บ้านนี้ทันที  ทุกครั้งที่มาหาอี๋เอินไม่เคยพาบอดี้การ์ดมาด้วย แม้แต่แจ็คสันเองก็อนุญาตให้ตามมาแค่ห่างๆ  พยายามทำให้คนที่รู้จักร่วมกันมีให้น้อยที่สุด  ไม่เคยคุยเรื่องงานหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทางบ้านต่อหน้ายูคยอม  และทุกครั้งที่เด็กน้อยถามอะไรเกี่ยวกับตัวเขา  ก็จะได้รู้แค่...

     

                ชื่อมาร์คต้วน  ทำงานประจำอยู่ที่ไต้หวัน  อายุห่างกันสิบปี

     

                เขาให้คำตอบไปแค่นั้นเหมือนเดิมทุกครั้ง จนยูคยอมเลิกถาม

     

                ส่วนชื่อจริงที่เขาเคยบอกไป...  เด็กสิบขวบคนนั้นจำไม่ได้หรอก

               

                “พี่มาร์ค  เหม่ออีกแล้ว  คิดอะไรอยู่ครับ?”

     

                เสียงเป็นเอกลักษณ์ดังมาจากที่นั่งทางฝั่งซ้าย  ในมือของคนข้างกายมีไอศกรีมอยู่สองโคนซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหนึ่งในนั้นเป็นของเขาแน่นอน  อี๋เอินรับมันมาแล้วละเลียดกินช้าๆ โดยตั้งใจไม่ตอบคำถาม  และดูเหมือนยูคยอมเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบ

     

                อี๋เอินยืดเวลามานานพอแล้ว 

     

                หากไอศกรีมโคนนี้หมดลง..  คงถึงเวลาที่ต้องเอ่ยลาแล้วจริงๆ

     

                “คิดไว้รึยังว่าอยากจะทำงานแบบไหน”

     

                “หืม...  ไม่รู้สิครับ  ก็คงเป็นช่างภาพละมั้ง”

     

                “งั้นเหรอ...  แล้วคิดว่าใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้รึยังล่ะ”

     

                อี๋เอินสัมผัสได้ว่าคนข้างกายชะงักไป  ส่วนตัวเขาเองไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ายูคยอมด้วยซ้ำ  ทำได้แค่รอคำตอบอยู่เงียบๆ

     

                “ถ้ามีพี่มาร์คกับป้าจังมีก็อยู่ได้สบายมากครับ”

     

                ให้ตายสิ...  เขาไม่อยากได้ยินคำตอบแบบนี้ซะหน่อย

     

                ถ้ายูคยอมลองอวดเก่งแล้วตอบอย่างมั่นใจว่า ผมอยู่ได้อยู่แล้ว โตแล้วนะซะบ้าง...

     

              อย่าทำให้อี๋เอินรู้สึกมีความหมายไปมากกว่านี้เลย..

     

                “แล้วถ้าไม่มีพี่ล่ะ...  ถ้าพี่มาหาไม่ได้แล้ว  ติดต่อไม่ได้แล้ว  จะใช้ชีวิตหลังจากนี้อย่างดีใช่มั้ย?  จะดูแลตัวเอง หางานดีๆ ทำได้ใช่รึเปล่า?”

     

                “พี่มาร์ค... จะไปไหนครับ?”

     

                เด็กตัวโตสวนมาด้วยประโยคคำถาม  เขารู้ว่ายูคยอมคงเฝ้ารอคำตอบ  แต่ตอนที่สิ่งที่อี๋เอินให้ได้มีแค่ความเงียบเท่านั้น

     

                วางแผนมาก็ตั้งเยอะ..  ลืมคิดคำตอบของคำถามนี้ไปได้ยังไงนะ

     

                หรือเพราะไม่เคยอยากจากไปไหนเลยเลี่ยงที่จะคิดถึงมัน

     

                “ถ้าพี่ไม่ว่าง  ให้ผมโทรหาไม่ได้เหรอ  หรือแค่คาท้กก็ได้ ไม่ต้องรีบตอบหรอก  หรือถ้าพี่ไม่พร้อมจะมาที่นี่ เดี๋ยวผมเก็บเงินไปหาพี่ที่ไต้หวั--”

     

                “มันไม่ใช่ไม่ว่าง  แต่หลังจากนี้จะไม่มีคนชื่อมาร์คอยู่ในชีวิตของนายแล้วยูคยอม”  ร่างเล็กสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอด  กลั้นใจหันไปเผชิญกับแววตาที่ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวและอ่อนแอไปพร้อมๆ กัน  “ก็แค่สัญญามาว่าจะใช้ชีวิตดีๆ แบบนี้ต่อไป  อย่าสงสัย  อย่าพยายามตามหา”

     

                “...”

     

                “อย่าทำให้เป็นห่วงเลยนะ” 

     

                “...”

     

                “ขอร้องล่ะ  ช่วยเป็นเด็กดีของฉันอีกซักที...  ยอมทำตามฉันแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”

     

                บรรยากาศในสวนสาธารณะเงียบสงัด  ไม่มีใครพูดอะไรต่อหลังจากนั้น  ไม่มีคำถามจากยูคยอมและไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมจากอี๋เอิน

     

                ให้ทุกอย่างจบด้วยความเงียบแบบนี้...  ดีแล้ว           

     

                สองขาเรียวลุกขึ้นช้าๆ ก้าวออกเดินไปข้างหน้าโดยมีเป้าหมายแรกคือบึงใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างจากม้านั่งมากนัก  ส่วนเป้าหมายสุดท้ายของวันนี้คือรถที่จอดอยู่หน้าบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำหลังนั้น 

     

                มือเรียวหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา  จ้องมองมันอยู่พักใหญ่

     

                สิ่งที่อยู่ในโทรศัพท์เครื่องนี้คือความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับอี๋เอิน

     

                โทรศัพท์ที่บันทึกเบอร์ไว้แค่รายชื่อเดียว  และคาท้กที่เชื่อมกับเบอร์นี้ก็มีผู้ติดต่อคนพียงคนเดียว

     

                จ๋อม!

     

                ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นวงเมื่อสิ่งที่อยู่ในมือดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง  พร้อมๆ กับของเหลวใสที่คลอหน่วยอยู่ตรงหัวตามาสักพักหยดลงมาบนแก้ม

     

                เขาก็แค่กลัว...  กลัวว่าหากวันไหนเปิดอ่านสิ่งที่อยู่ในนั้นจะทำให้ความตั้งใจพังลง

     

                เขาก็แค่กลัว...  กลัวว่าถ้ากลับไปอยู่ในที่มืดมิดแล้วจะโหยหาแสงสว่าง

     

                “ใจร้ายจังนะครับ.. ทำแบบนั้นน่ะ”

     

                เสียงจากด้านหลังทำให้ร่างเล็กรีบปาดน้ำตาทิ้ง  สองขาเตรียมจะก้าวเดินหนีไปถ้าไม่ติดว่าได้ยินอะไรที่ไม่ควรจะได้ยินซะก่อน

     

                “ต้วน อี๋เอิน  ตอนนี้ผมออกเสียงชื่อพี่ถูกรึยังครับ”

     

                แค่ประโยคนั้นก็เหมือนมีใครเอาตะปูมาตอกเท้าตรึงไม่ให้เขาขยับไปไหน 

     

                รู้ตัวอีกทีก็มีอ้อมกอดอุ่นๆ กับลมหายใจเบาๆ ที่เป่ารดอยู่ตรงข้างแก้ม  น่าตลกที่ลูกมาเฟียมากประสบการณ์ใจเต้นแรงกับอะไรแค่นี้

     

                ถึงจะรู้ว่ามันไม่ควร  แต่อี๋เอินอยากอยู่อยู่แบบนี้อีกสักพัก 

     

                “พี่คิดว่าผมจะลืมชื่อของผู้มีพระคุณเหรอ...  ใจร้ายอีกแล้วนะ”

     

              “....รู้มามากแค่ไหน”

     

                “มากพอที่จะทำให้พี่ไม่หนีไปจากชีวิตผม”  จมูกโด่งกดลงที่ข้างขมับ  เล่นเอาสมองที่พยายามคิดอะไรมากมายเบลอไปชั่วขณะ  “อย่างน้อยผมก็โตมากับการที่ถูกคนกำชับว่าให้รู้จักสังเกตรอบข้างให้ดี  บอดี้การ์ดของพี่น่ะผมแอบคุยด้วยตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อนแล้ว”

     

                คิมยูคยอมร้ายกว่าที่คิด

     

                “ผมอาจจะไม่รู้ลึกถึงขั้นที่ว่าบ้านพี่ทำอะไรบ้าง มีคาสิโนกี่สาขา ...หรือพี่เคยจบชีวิตใครไปแล้วกี่คน”

     

                “...”

     

                “แต่ผมก็รู้ว่าทำไมพี่ถึงเลือกที่จะไป  รู้มั้ยครับว่าเหตุผลพวกนั้นมันไม่มากพอ”

     

                “....”

     

              “ชีวิตของผม  ผมให้พี่เป็นเจ้าของมันตั้งแต่สิบปีก่อน  และจะไม่มีวันเป็นของคนอื่นแม้แต่ตัวผมเอง  ถ้าพี่อยากให้ทางที่ดีที่สุดกับผมละก็...”

     

                “...”

     

                “ได้โปรด.. อย่าไปไหนเลยนะครับ”

     

     

                ไหนๆ ก็ถูกตราหน้าว่าไม่ใช่คนดีมาทั้งชีวิตแล้ว

     

     

                “เฮ้อ... แล้วทำไมไม่พูดให้มันเร็วกว่านี้นะ  ต้องซื้อโทรศัพท์ใหม่เลยเห็นมั้ย”

     

     

              เห็นแก่ตัวอีกซักเรื่องมันจะเป็นอะไรไป

     

    - END –

     

    อี๋เอินอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นความมืด แต่จริงๆ แล้วสำหรับยูคยอมอี๋เอินถือเป็นแสงสว่างเลยล่ะค่ะ คิดเหมือนกันมั้ย? :) 

    แล้วต่อให้ชีวิตของอี๋เอินจะเป็นสีดำขนาดไหน ในสายตาของคิมยูก็ไม่เคยมองว่ามันสกปรกหรอกค่ะ เนอะๆ

     

    จริงๆ แล้วฟิคเรื่องนี้ค่อนข้างวูบ ฉะนั้นอาจมีดีเทลที่น่าข้องใจบ้าง (รึเปล่านะ.. พูดเผื่อไว้น่ะค่ะ) ขอโทษเอาไว้ล่วงหน้านะคะถ้าเกิดมันมีขึ้นมาจริงๆ 555555555  หวังว่าทุกคนจะชอบเรื่องนี้เหมือนที่เราชอบนะ

     

    ส่งฟีดแบคกันได้นะคะ ทั้งคอมเม้นต์ @chuchompoo และ #กัซกลคน  รออ่านอยู่น้า <3



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×