ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The goose story (5sos fanfic)

    ลำดับตอนที่ #1 : Intro 100%

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ย. 57


    intro                   


                 อากาศผ่อนคลายลงเมื่อย่างเข้าสู่ปลายฤดูหนาว เมื่อมองจากหน้าต่างดอกอาคาเชียเริ่มแตกยอดเล็กน้อย สีเหลืองเข้มตัดพื้นท้องฟ้าสีคราม ด้วยอุณภูมิที่ปรับสูงขึ้นทุกอย่างเลยเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ฉันรู้ดีว่าสภาวะโลกร้อนอะไรนั่นกำลังทำให้ฤดูแปรเปลี่ยนไม่ตรงตามที่สมควร ความจริงฤดูหนาวน่าจะยาวนานกว่านี้สักหน่อยหากเทียบกับปีก่อนๆ ฉันต้องเก็บเสว็ตเตอร์ตัวเก่ง ชุดโค้ทสีสดเข้ากล่องจนเกลี้ยง

    เร่งออกแรงผลักบานหน้าต่างไม้จากห้องใต้หลังคามือให้อ้ากว้างขึ้นอีกเล็กน้อย ลมเย็นพัดวูบเข้าปะทะผิวหน้า อากาศแสนสบายทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะควานหาipodและเลื่อนไปยังเพลงคันทรี่เก่าคร่ำครึ

    เสียงเบนโจ ระคนกีตาร์โปร่งแบบง่ายๆมันทำให้โสตประสาทเหมือนได้พักทำงาน  ฉันเพิ่งจะได้หยุดจริงๆราวสองอาทิตย์หลังจากตะลอนเรียนไฮสคูลจบ ปิดฉากชีวิตอันแสนวุ่นวาย พอกันทีกับการข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนซ้ำต่างแดนเพียงเพราะภาษางี่เง่านี่

    อา..ฉันหมายถึงภาษาอังกฤษนั่นล่ะ สวรรค์ทำไมต้องสรรสร้างให้อักษรเหล่านี้เป็นพยัญชนะสากลด้วย มันไม่ยุติธรรมสำหรับประชากรโลกที่เหลือ พวกเขามีภาษาของตนเองและฉันว่ามันเท่ห์เป็นบ้า บรรพบุรุษอาจจะไม่รับรู้ว่าชนรุ่นหลังอย่างเราๆกำลังมีปัญหาจากภาษาที่พวกเขาคิดค้น  ใช่, ทุกอย่างมหัศจรรย์และต่างกัน ทั้งการเขียน การออกเสียง ทว่ากลับต้องโดนดูถูกหากเรามีความเข้าใจเพียงภาษาแม่ของตนเพียงภาษาเดียวเท่านั้น

    เอมิลี่เพื่อนร่วมชั้นที่โรงเรียนบอกกับฉันผ่านโทรศัพท์ราวๆสามวันก่อน.. เธอตัดสินใจที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นเหมือนเดิม และไม่เรียนมหาลัยต่อที่ซิดนีย์อีก ฉันรู้ว่าเธอมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก เธอย้ายมาเรียนที่แมคควอเรียตอนเกรด10 และช่วงเวลานั้นเธอพูดภาษาอังกฤษได้ชัดเจนอยู่คำเดียวคือ “ thank you

    ฉันเขาใจเอมิลี่ดี เรื่องวุ่นๆเกิดขึ้นเพราะแม่เธอแต่งงานใหม่ มันคงจะดีถ้าแม่เธอไม่หย่าและมีแฟนเป็นฝรั่งตั้งแต่ก่อนจะมีเธอในท้อง ฉันว่ามันคงง่ายกว่าการที่เด็กอายุ15 พูดแต่ญี่ปุ่นมาทั้งชีวิตต้องมาเปลี่ยนไลฟไสตล์มาเป็นชาวผมทองแบบปุ่ปปั่ป

     

    ความกะทันหันไม่มีผลดีเสมอไป เราเป็นมนุษย์ ไม่มีใครว่ายน้ำได้ทันทีที่ตั้งแต่เกิด

    อย่างน้อยๆก็ต้องเกาะโฟมหัดตีขาในสระสูง50เมตรก่อนว่ายจริงละน่า

     

    ตลอดสามปี พวกเราแลกเปลี่ยนกันเสมอ มีปัญหามากมาย  ถึงแม้ว่าโลกใบนี้จะยอมรับแบบจอมปลอมว่าไม่มีการเหยียดเชื้อชาติเกิดขึ้น แต่ฉันกับเอมิลี่ก็ทนอยู่กับสภาพแบบนั้นเป็นปีในซิดนีย์(แค่ปีแรก)

    พวกเราผมดำ 

    ดวงตาไม่ได้มีชั้นลึกให้ลงอายแชโดวสามล้านเก้าสิบแปดเฉด

    นัยน์ตาเข้มปราศจากสีสัน ฉันไม่ได้มีจมูกโด่งแบบสะพานโกลเด้นเกต ขาไม่ยาว โครงร่างหนาไปด้วยไขมัน หน้าอกคัพบีแบบบ้านๆ สีผิวเหลืองตุ่นน่ารังเกียจ

    โอเคฉันจะพูดแบบเป็นกลางว่าที่นี่ไม่ได้เกิดเรื่องแย่ๆแบบนี้ไปเสียทุกครั้ง แต่เฮ้.. เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ได้มีความคิดแบบเนลสัน แมนเดลลา พวกเขามีการแบ่งกลุ่ม

     แน่นอน ฉันมีเพื่อนสาวที่น่ารัก แต่ผู้ชายส่วนใหญ่นี่สิเป็นปัญหา  ถ้าพวกเธอเห็นก็คงจะเข้าใจสิ่งที่ฉันรู้สึก ฉันจะยกตัวอย่างเรื่องที่เพิ่งจบไปหมาดๆสักประมาณสี่ห้าเดือนก่อนที่พวกเราจะจบการศึกษา นาเดียสาวชาวเวียดนามต้องออกเรียนกลางคันเพราะเธอท้อง (ฉันคิดว่าคงจะมีคนคิดว่าหล่อนคงน่าดู แต่หยุดก่อน!) ภายใต้คำครหา ในโรงเรียนกลับลือกันให้หนาหูว่าเธอเป็นฝ่ายไปอ่อยอีวาน เฮดเจนท์ ประธานชมรมเบสบอลตัวต้นเรื่อง

     สาบานได้เลยว่าฉันเห็นไอ้ขรัวนั่นเป็นฝ่ายขอเบอร์ของนาเดียก่อน  เธอเรียนห้องเดียวกับฉันและหลายคนในห้องรู้ดี แต่เพราะเราเป็นคนเอเชีย มีหลากหลายมุมมองที่เขาคิดว่าคนเอเชียมักจะไม่ค่อยมีปากเสียง ช่างตามใจ หลงรักง่าย หรือชอบหลงผู้ชายตาน้ำข้าว บลาบลา

    นาเดียทนไม่ปฎิเสธอะไรกระทั่งท้องของเธอปูดขึ้นขนาดเท่าลูกแตงโมสักสองลูก --นั่นล่ะ หลังจากนั้นนาเดียเลยขอพักการเรียนไปอย่างไม่มีกำหนด

     ฉันอาจจะกำลังอิจฉาที่เอมิลี่ได้กลับไปปั่นจักรยานรอบๆฮอกไกโด เหตุผลที่ฉันขุดเรื่องแง่ลบมาสาธยายแต่หัววัน

     

    “เอลลีน ครอบครัวของฉันต้องกลับอังกฤษกระทันหันสักสามอาทิตย์  

    ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่ไม่ทันตอนเธอกลับจีน อย่าลืมให้อาหารเจ้าเบนนะจ้ะ ส่วนพ่อตัวแสบซีเรียลอยู่ในเค้าเตอร์จ้ะ”


    รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองลากขามายังห้องครัวอีกจนได้ ข้อความบนตู้เย็นชั้นล่างถูกแปะเอาไว้ด้วยกระดาษโน้ตขาดตรงปลาย มันยับยู่ยี่เพราะฉันเปิดตู้เย็นบ่อยมากกว่าห้าครั้งต่อวัน หรืออาจจะสิบครั้ง


    มากกว่านั้นถ้าหากฉันหิว-_-


    ครอบครัวของแอนนาดีกับฉันตลอดเวลาที่ทำหน้าที่เป็นโฮสต์ ความจริงอาจจะฟังดูกระดาก ฉันตัดสินใจเพราะในโปรไฟล์คุณลุง(สามีของโจแอนนา)เจ้าของบ้านเป็นนักดนตรีเก่าต่างหาก ฉันชอบเพลงคันทรี่ แถมติ่งร็อคแอนโรล จัดแจงโกหกแม่ที่จีนว่าโฮสต์ที่เลือกเจ้าระเบียบแทบคลั่ง อย่างน้อยๆก็ให้เธอสบายใจว่าฉันจะไม่เถลไถล

    โจแอนนาชื่อเต็มๆของหล่อนซึ่งฉันไม่บ่อยนักที่ฉันจะเรียกเธอแบบนั้น ด้วยผมบลอนสีทองสะอาด เวลาไปไหนมาไหนยามที่ไม่แต่งหน้าแอนนาจะเหมือนหลอดไฟเดินได้ หล่อนมีลูกสองคน คนแรกฉันไม่แน่ใจว่าเขาอาจจะไปเรียนที่ต่างประเทศ เราไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง จะมีก็แค่รูปตั้งโต้ะ ฉันไม่ค่อนสนใจมันนักในเมื่อฝรั่งก็หัวทองๆแดงๆเหมือนกันไปหมด แถมบ้านที่อยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเพียงทาวเฮ้าส์ธรรมดาที่ซื้อไว้เพื่อใช้อาศัยทำงาน เฟอร์นิเจอร์พอใช้สอย หล่อนและสามีไปๆมาๆเสมอ

    ครอบครัวของแอนนาแท้จริงมีบ้านอีกหลังที่ชานเมือง พวกใช้เขาสังสรรค์กับครอบครัวใหญ่ มีปาร์ตี้เล็กๆทุกเดือน ฉันเคยไปร่วมอยู่สองสามครั้ง มันสนุกใช้ได้ แต่กลับกันมันทำให้ฉันคิดถึงที่บ้าน และนั่นทำให้ฉันไม่ไปร่วมปาร์ตี้ของโฮสต์อีก

     

    ………..

    ฉันทุ่มเริ่มไถตัวลงกับโต้ะกินข้าวที่เย็นเฉียบ ราวกับว่าภาพเทศกาลไหว้บรรพบุรุษช่วงกลางปีและรสเฝื่อนของน้ำชาจะปรากฏขึ้นมาในภาพหลอน เสียงประทัดปึงปังดังก้องอยู่ในโพรงหู ฉันสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านทิ้ง

     

    โลกของความจริงมีเพียงเบ็นสมิธ หมาเพศเมียสีขาวแซมน้ำตาลที่เอาแต่วิ่งหมุนเป็นวงกลม มันชื่อเหมือนเพศผู้เพราะความซุกซน ฉันนึกถึงคำสั่งของแอนนา มากกว่ามื้อเย็นคืออาหารเม็ดของเจ้าหมาสมาธิสั้นใกล้หมดเต็มทน ยังไม่ทันที่ฉันจะเขวี้ยงเศษขนมปังเพื่อตอบสนองอาการประจบ เสี้ยววินาทีเป้าหมายของเบ็นกลับแปรเปลี่ยนไปยังบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญ  มันไม่สนใจฉันอีก หูตั้ง กระโดดเหยง ฉันหันตามฝีเท้าตึงตังที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 

    70%---------

     

    “เฮ้! แม่บอกให้เธอช่วยฉันจัดบ้านอ้อ แล้วก็....  

    ไปซื้อนมสดให้ฉันพรุ่งนี้ด้วยสิ

    ใบหน้าตกกระบู้บี้ เสียงแหบทุ้มระคนแหลมเล็กช่างขัดกันไปหมดเหมือนเอเลี่ยนเพิ่งเกิดใหม่
    “ฉันมีแมสเซสยืนยันจากแม่ ถ้าจะบอกว่าฉันสั่งเธอเองละก็ เธอเดาผิด”

    ฉันลืมพูดถึงลูกชายคนเล็กของโจแอนนาไปเสียสนิท บางทีฉันอาจจะจงใจลืม

    หายนะของฉันเกิดขึ้นทุกวันจากเจ้าเด็กนี่ไม่ได้บินไปอังกฤษเพราะคอร์สเรียนคณิตศาสตรเสริม  พวกเราแหง่กอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันมาได้สามวันครึ่ง เจ้าเด็กงั่งไม่ค่อยกินเส้นกับฉันนัก เขาเป็นเด็กอายุย่าง13ทว่า เหมือนคนแก่สักสามสิบ

     ขี้บ่น ขี้สั่ง ขี้รำคาญ สารพัดทุกอย่างที่คนในครอบครัวไม่เป็น แอนนาพยายามอธิบายว่าลูกชายคนเล็กของเธอกำลังหวาดกลัวว่าจะโดนแย่งความรักไป

    ฉันจ้องมองใบหน้าตกกระของเขาอีกครั้ง ก่อนที่จะตอบ

    “ คิดว่าฉันว่างตลอดรึไง”


    ดวงตาสีเทาเริ่มเบิกกว้าง


    “เธอเรียนจบแล้ว เธอมันพวกว่างงาน” ฉันกำลังครุ่งคิดในการศึกษาต่อต่างหากย่ะ-_-

    “งานของฉันคืออยู่บ้านเฉยๆ ให้อาหารเบ็น ล้วก็หยิบซีเรียลให้เธอตอนเช้าเท่านั้น ไม่เชื่อก็ไปอ่านโน้ตที่แปะไว้บนตู้เย็นสิ”

    ฉันบุ้ยใบ้ไปทางเดิม ในขณะที่หลอกหล่อให้เบ็นสมิธนั่งและลุกด้วยเศษขนมปังอีกรอบ ฉันดูเมินเฉยต่อเขา และนั่นคือของโปรดของเอลลีน จางที่สุดเท่าที่เคยทำ

    แฮร์รี่เด็กแสบย่นจมูกฟึดฟัด ถ้าแอนนาอยู่เขาคงจะวิ่งไปหาเธอแล้วโวยวายไม่ยอมหยุด แต่ตอนนี้ฉันถือไพ่เหนือกว่า

    ร่างเล็กๆตรงหน้าเลยทำได้เพียงย่ำเท้าปึงปังไปมารอบๆ ฉันกระตุกยิ้มให้กับชัยชนะเล็กๆในขณะที่คนหนุ่มเริ่มแค่นเสียงแหบที่เพิ่งแตกได้สองเดือนอีกครั้งหนึ่ง

     

    “พี่ชายฉันจะกลับมาบ้าน!! ถ้ามันไม่มีอะไรกินละก็ แม่ฉันเอาเธอตายแน่ แม่รักพี่มากรู้ไว้ซะด้วย!!

    ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบลงแค่นั้น เขาเบ้ปากเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ..พระเจ้า รู้ใช่ไหมว่าฉันยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยน่ะ แฮร์รี่ก็แค่ตีโพยตีพายไปเอง -_-  ฉันกำลังจะอ้าปากตอบโต้ แต่ก็กลับโดนขัดขึ้นมาอีกครั้ง

     

    “ถ้าพี่ฉันกลับมา ฉันไม่ให้เธอแตะเขาแม้แต่ปลายผมแน่ๆ ยัยสัตว์ประหลาด!!


    แล้วทำไมฉันจะต้องแตะต้องคนแปลกหน้า

    ก็แค่ได้เจอพี่ของแฮร์รี่ เออร์วิน ขุมทรัพย์ปริศนาอันล้ำค่าของเจ้าเตี้ย


    tbt




    แฮ่ๆ นอนไม่หลับ เลยลองอินโทรให้เต็มค่ะTT 
    ด้วยความสัตย์ กำลังสับสนในดวงใจแบบฟิคไร้พระเอก 
    ลองอ่านดูนะคะ ชอบไม่ชอบยังไงด่าได้เลย๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
    #รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไว้เจอกันตอนหน้าจ้ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×