ตอนที่ 4 : Chapter 4 :: บาดเจ็บ
Chapter 4 :: บาดเจ็บ
“ในเมื่อเบรกไม่อยู่ เราก็ต้องหาอะไรมาเบรก” เสียงของธนทัตดังก้องในรถคันสวย อิสริยะหันมามองคนข้างๆด้วยความตกใจ แม้สิ่งที่คุณบอดีการ์ดพูดมาจะตรงกับความคิดของเขาในตอนนี้ก็ตามแต่มันก็เป็นเรื่องบ้ามากที่จะหาอะไรมาเบรกรถอย่างที่ธนทัตบอก สายตาคมกวาดมองไปรอบๆไม่ต่างจากคนข้างๆ พยายามมองหาสิ่งที่สามารถหยุดรถของพวกเขาได้อย่างนุ่มนวลที่สุดแต่ก็ดูจะเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกินเพราะสิ่งที่ใหญ่พอในบริเวณนี้ก็มีเพียงแต่ต้นไม้และเสาไฟฟ้าเท่านั้น มีแต่เจ็บกับเจ็บ นี่เขาไม่มีทางเลือกเลยหรือ?
“เฮ้ย! หาอะไรเบรก แกงหมายความว่าไง หมายความว่าเราต้องขับไปชนอะไรซักอย่างเหรอ? ไม่เอานะ” จารุวัฒน์ร้องถาม มือป้อมๆถูกเจ้าตัวยกขึ้นมาประนมไว้เหนือหัว อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกสำนักที่รู้จัก ความกลัวปรากฏชัดอยู่ในแววตา
“พี่โดมใจเย็นครับ ตอนนี้เราต้องหาทางหยุดรถก่อน ทุกคนต้องไม่เป็นไร เชื่อผมสิ แค่อาจจะเจ็บนิดๆหน่อยๆเท่านั้น เราต้องยอมแลก คุณอิสริยะต้นไม้ใหญ่ๆข้างหน้าเห็นมั้ยครับ เอาต้นนั้นเลย อีกประมาณห้าสิบเมตรมีโรงพยาบาลครับ เพราะฉะนั้นเรื่องเจ็บไม่ต้องเป็นห่วง เราใกล้มือหมออยู่แล้ว” บอดีการ์ดหนุ่มพูดอย่างใจเย็น แม้ตัวเขาเองจะหวาดกลัวไม่ต่างกันแต่เขาจำต้องคิดเรื่องทุกอย่างให้รอบคอบ แม้แต่เรื่องโรงพยาบาลก็ตาม ถึงคนฟังจะรู้สึกแย่แต่อย่างน้อยมันก็เป็นการเตรียมตัวไว้ก่อน
“ไอ้เด็กบ้า ยังไม่ทันได้ชนเลยพูดถึงโรงพยาบาลแล้วหรือไง...เอาวะ”
คนขับหักพวงมาลัยเข้าข้างทาง ต้นไม้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะยืนต้นอยู่บนถนนเส้นนี้มาเป็นเวลานานแสนนานคงต้องบุบสลายไปไม่มากก็น้อย หัวใจสามดวงเต้นระรัวด้วยความกลัวที่เล่นพล่าน ลมหายใจถูกกลั้นเอาไว้โดยไม่มีใครรู้ตัว เสี้ยววินาทีแห่งความเป็นและความตายถูกเลือกเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาทั้งหกดวงหลับสนิทเมื่อระยะห่างระหว่างพวกเขากับต้นไม้ใหญ่ลดลงเรื่อยๆ
โครม
ร่างเล็กยืนกระวนกระวายอยู่ในห้องนอนของตัวเอง มีเรียวกำโทรศัพท์มือถือไว้ในมือแน่น การรอคอยทำให้เธออยู่ไม่เป็นสุขเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่ละวินาทีเหมือนจะค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า...ยังคงเงียบ...เธอควรจะได้รับข่าวดีจากคนของเธอนานแล้ว หวังว่าคงไม่เรื่องผิดพลาดอีกหรอกนะ
ครืดๆ ครืดๆ
โทรศัพท์ราคาแพงในมือออกแรงสั่นเมื่อมีสายเรียกเข้า เมื่อดวงตาคู่สวยมองเห็นหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอรอยยิ้มก็ถูกแต่งแต้มลงบนใบหน้า นิ้วเล็กๆกดรับสายอย่างรวดเร็ว เสียงหวานกรอกลงไปในโทรศัพท์ก่อนที่ปลายสายจะได้พูดอะไรออกมาเสียอีก
“เป็นยังไง เรียบร้อยมั้ย” ไร้ซึ่งคำทักทายหรือการเกริ่นอื่นใด มีแต่คำถามที่เธอกระวนกระวายอยากรู้คำตอบมาเป็นเวลาร่วมชั่วโมง
//ผมจัดการตามที่คุณหนูสั่งแล้วครับ แต่...// น้ำเสียงของปลายสายเรียกคิ้วคู่งามให้ขมวดอย่างขัดใจ เสียงของหล่อนที่อ่อนหวานอยู่เป็นประจำเข้มขึ้นจนไม่เหลือเค้าคุณหนูผู้แสนดีที่แสดงออกอยู่เป็นประจำเลยแม้แต่น้อย
“แต่อะไรอีก นี่อย่าบอกนะว่าทำงานพลาด พวกแกนี่โง่จริง ฉันไม่น่าไว้ในให้พวกแกทำงานนี้เลย ไม่ได้เรื่อง”
//ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณหนู ผมตัดสายเบรกรถพวกมันเรียบร้อยแล้วครับ แล้วผมก็ขับรถตามมันมาตามที่คุณหนูสั่งแล้ว//
“แล้วยังไง” ลมหายใจถูกระบายออกมาอย่างขัดใจ แม้คนของเธอจะทำตามที่สั่งงานไว้ทุกอย่างแต่มันคงต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ ไม่อย่างนั้นคนของเธอไม่เป็นแบบนี้หรอก
//พอถึงกลางทาง เหมือนมันจะรู้ตัวครับว่ารถเบรกไม่ได้ มันเลยหักชนต้นไม้ข้างทางครับ แล้ววันนี้คุณฮั่นก็ขับรถไม่เร็วเหมือนทุกครั้ง แรงปะทะจากการชนเลยไม่มาก ตอนนี้พวกมันออกมาจากซากรถได้แล้วครับ แล้วก็เดินทางไปโรงพยาบาลเรียบร้อย เจ็บกันคนละนิดละหน่อยเท่านั้นครับคุณหนู//
“ฉันก็ไม่ได้ต้องการให้มันตายซะหน่อย” ใบหน้าของคนที่สร้างเพลิงเค้นผุดขึ้นมาในห้วงความคิด อิสริยะ ผู้ชายที่เพียงพร้อมไปเสียทุกอย่าง ผู้ชายที่เธอหมายปองจะสร้างอนาคตด้วย ผู้ชายที่จะพาเธอเดินไปสู่เส้นทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ผู้ชายที่เหมาะสมและคู่ควร เขาสามารถทำให้เธอสบายไปได้ตลอดชาติ แต่ผู้ชายคนนี้ก็ฉลาดเกินไป เจ็บใจทั้งมันเจ็บใจทั้งตัวเอง ถ้าวันนั้นไม่พลาดเธอคงเชิดหน้าชูคอในสังคมได้แล้ว
“แล้วไอ้อ้วนโดมล่ะ” เลขาส่วนตัวที่คอยขัดขวางเธอกับอิสริยะตลอดเวลา ไม่แน่อาจเป็นเพราะไอ้อ้วนนี่ด้วยก็ได้ที่ทำให้อิสริยะรู้เรื่องนั้น...
//หัวแตกนิดหน่อยครับ เท่าที่เห็นจากจุดที่ผมสังเกตการอยู่// เธอยิ้มอย่างพอใจ แม้จารุวัฒน์จะไม่ใช่เป้าหมายในการชำระความรู้สึกที่คุกกรุ่นในจิตใจของเธอครั้งนี้ แต่ถ้ามันโดนอะไรเสียบ้างก็เป็นการดีเหมือนกัน //ส่วนอีกคนดูจะหนักสุดครับ//
“ห๊ะ? ใครอีก?” ปกติก็มีแต่อิสริยะกับจารุวัฒน์เท่านั้นที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วคราวนี้มีใครอีก?
//ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ดูเหมือนไอ้คนนี้จะเจ็บหนักสุดครับ//
“มันเป็นใคร” หล่อนตวาดถามจนคนปลายสายต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหู
//ผมไม่ทราบครับคุณหนู// แต่คำตอบที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจเลยแม้แต่น้อย
“ไม่รู้ก็ไปทำให้รู้สิ พรุ่งนี้ฉันต้องรู้เรื่องทุกอย่างของผู้ชายคนนั้น มันเป็นใคร แล้วมาอยู่กับพี่ฮั่นได้ยังไง ถ้าฉันไม่รู้เรื่องทั้งหมดภายในพรุ่งนี้ละก็ แกเตรียมตัวกลับบ้านเก่าได้เลย” หน้าจอระบบสัมผัสถูกกระแทกอย่างรุนแรงก่อนที่มือถือราคาแพงจะถูกขว้างลงบนเตียงกว้าง
ร่างเล็กกระทืบเท้าปึงปังด้วยความขัดใจ สายตาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆทอดมองออกไปไม่มีจุดหมาย ผู้ชายคนนั้นไม่มีวันได้อยู่อย่างมีความสุข...ไม่มีวัน
“หงุดหงิดอะไรครับคนดี” เสียงกระซิบที่ข้างหูพร้อมๆกับอ้อมกอดจากด้านหลังทำให้เธอต้องปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มหวานถูกระบายลงบนใบหน้าอย่างแนบเนียน ไฟแค้นที่สุมอยู่ในใจถูกผลักออกไปก่อนเหลือไว้แต่เพียงใบหน้าไร้เดียงสาที่เรียกรอยยิ้มของคนที่กำลังกอดเธออยู่ได้
“เปล่าซะหน่อย แล้วนี่พี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ เข้ามาในห้องผู้หญิงดึกๆดื่นๆแบบนี้ คุณลุงไม่ว่าเอาเหรอคะ หรือไปติดสินบนอะไรคุณลุงไว้อีก คุณลุงถึงได้ตามใจพี่แบบนี้” เธอเบี่ยงตัวหลบใบหน้าหล่อที่พยายามเข้ามาคลอเคลียแต่จะทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จมูกโด่งของคนที่ไม่ยอมคลายอ้อมกอดอุ่นขโมยหอมเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
“เข้ามาตั้งแต่เห็นคนดีของพี่ทำหน้าบูดอยู่อย่างนี้ไงคะ แล้วที่เข้ามาได้เนี่ยก็เพราะความคิดถึงล้วนๆ พี่คุยกับคุณลุงเรื่องแต่งงานแล้วนะ คุณลุงโอเคแล้ว ว่าแต่เราเถอะ เมื่อไหร่จะยอมตามใจพี่เรื่องนี้ซะทีหืม?” ร่างเล็กในอ้อมกอดขืนตัวขึ้นมาทันทีจนคนกอดเองก็รู้สึกได้ ความน้อยใจพุ่งพล่านในหัวใจ เสียงทุ้มพูดออกไปอย่างตัดพ้อ “หรือว่าเราไม่อยากแต่งงานกับพี่?”
หญิงสาวรีบพลิกตัวให้หันไปเผชิญหน้าคนที่กอดเธออยู่
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” เสียงหวานรีบปฏิเสธออกไป มือเล็กๆวางลงบนแก้มชายหนุ่ม ดวงตาช้อนมองคนคิ้วเข้มหวานเยิ้มก่อนจะซบใบหน้าลงบนอกกว้างอย่างออดอ้อน “พี่ก็รู้ว่าเพราะอะไร รออีกหน่อยเถอะนะคะ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นข้างหูแต่หญิงสาวก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“ครับ นานแค่ไหนพี่ก็จะรอ”
ติ๊ด.....ติ๊ด....ติ๊ด
เสียงสัญญาณชีพดังเป็นจังหวะบ่งบอกว่าคนที่ตอนนิ่งอยู่บนเตียงที่ดูไม่น่าจะนอนสบายนักยังมีลมหายใจอยู่ แต่สายระโยงรยางค์และผ้าพันแผลที่มีจุดสีเข้มๆที่พันอยู่ไปทั่วนั้นไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกเบาใจขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย เหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ความสบายใจและกำลังใจลดลงอย่างฮวบฮาบไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
ร่างสูงใหญ่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงมุมห้อง ปากเรียวได้รูปถ่ายทอดเรื่องราววินาทีชีวิตให้กับมารดาที่รออย่างใจไม่ดีนักอยู่ที่แดนไกลหากแต่สายตาคมยังจดจ้องอยู่ที่คนบนเตียงไม่วางตา ร่างกลมที่มีเฝือกอ่อนใส่อยู่ที่คอนั่งอยู่บนโซฟาไม่ห่างจากเตียงคนป่วยนัก ตากลมที่มองผ่านแว่นสายตาจดจ้องไปที่จุดหมายเดียวกัน
“ครับมี๊...ครับๆ ฮั่นไม่เป็นไรแล้วครับ แค่นี้นะครับมี๊...ครับ ฮั่นรักมี๊นะครับ” เขาจำต้องรีบตัดบทก่อนที่คนเป็นแม่จะกระวนกระวายใจไปมากกว่านี้ นับว่าแม่ของเขาตัดสินใจถูกต้องเป็นอย่างมากเลยทีเดียวที่จ้างบอดีการ์ดมาคอยดูแล เพราะหากไม่มีเจ้าเด็กหน้าหวานปนเหวี่ยงที่นั่งอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้ เขาคงไม่ได้แค่แผลเล็กๆน้อยๆมาอย่างนี้แน่ เผลอๆอาจเป็นเขาเองนั่นแหละที่ต้องเป็นคนนอนอยู่บนเตียงอย่างไม่ได้สติแทน
ขายาวก้าวเร็วๆพาเจ้าของร่างมาหยุดอยู่ข้างเตียงเล็กๆ
:: Hunz ::
วินาทีชีวิตไม่ได้เหมือนซะทีเดียวกับละครหลังข่าวที่ผมเคยเห็นไอ้โดมมันชอบดู อัตราของหัวใจเต้นไวพอๆกับอัตราเร็วของรถยนต์ที่ตอนนี้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ผมอยากจะหลับตาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเห็นว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าหลับตาลงไปผมอาจจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีก
แกร๊ก
เสียงอะไรบางอย่างหลุดออกจากล็อคดังขึ้นใกล้ๆฝ่าเสียงกรีดร้องที่ดังอยู่ในหัวใจแต่ไม่มีใครสามารถได้ยิน ระยะห่างระหว่างรถและตัวเบรกขนาดใหญ่ลดลงทุกขณะ ผมกำลังจะหันไปมองคนข้างๆเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่อะไรๆมันจะหยุดลง แต่ภาพที่ผมเห็นกลับไม่ใช่ใบหน้าหวานของคนที่อยู่ใกล้แต่กลับเป็นอ้อมแขนเล็กๆที่รวบตัวผมเอาไว้แล้วกดหัวผมลงต่ำ แกงส้มใช่ตัวเองบังตัวผมเอาไว้อีกชั้น ผมพยายามขัดขืนเพราะเขาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้เลย แต่ผมก็ไม่สามารถสู้แรงของนายบอดีการ์ดได้ทั้งๆที่ผมตัวใหญ่กว่าเจ้าเด็กนั่นเป็นกอง
ใบหูของผมที่แนบอยู่กับแผ่นอกบางได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นด้วยความหวาดกลัวของคนที่ปฏิบัติตามหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองผม...
ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวอะไร...
โครม!
แรงกระแทกขนาดมหาศาลปะทุขึ้นรอบทิศทาง
ตึก!
ถุงลมนิรภัยระเบิดกระแทกร่างที่บังผมไว้แต่แรงของมันก็ยังส่งมาถึงผมได้ แรงของรถเหวี่ยงผมและใครอีกคนที่เพิ่งจะเจอกันได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงกระแทกกับอะไรแข็งที่ผมระบุไม่ได้เข้าอย่างจัง ผมรู้สึกได้ถึงอะไรชื้นๆที่ซึมอยู่ทั่วแผ่นหลัง เสียงอะไรต่อมิอะไรดังเซ็งแซ่ไปทั่วจนผมแยกไม่ออก เราติดกันอยู่อย่างนั้นอีกหลายอึดใจ กว่าจะมีแรงดึงจากทางด้านนอกทำให้ร่างบางที่กอดรัดร่างผมเอาไว้ผละออก ผมพยายามจะไขว่คว้าหากแต่ไม่มีแรงและกำลังมากพอ ตัวผมถูกดึงออกมาจากรถที่สภาพแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลย ร่างกลมๆที่แว่นเอียงกะเท่เร่อยู่บนใบหน้ากำลังถูกช่วยออกมา ไม่มีบาดแผลอะไรภายนอกที่น่าเป็นห่วง แต่เหมือนสติของเจ้าน้องชายจะหายไปตามแรงกระแทกนั้น ส่วนตัวผมเองก็พยายามอย่างยิ่งที่จะประคองสติที่เหลือน้อยนิดเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
หญิงชายชุดขาวหลายคนวิ่งวุ่นอยู่รอบตัวน้องชายของผม สายตากวาดมองกลับไปในรถอีกครั้งก็พบแต่ความว่างเปล่า ผมพยายามสอดส่ายสายตาที่เริ่มพร่ามัวขึ้นทุกขณะหาอีกหนึ่งชีวิตที่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง อีกหนึ่งคนที่โดยสารมาด้วยกันและทำให้ผมไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่ารู้สึกระบบไปทั้งตัว
ในที่สุดผมก็เจอ... ของเหลวสีแดงเข้มไหลลงมาตามกลุ่มผมสีน้ำตาลก่อนจะเดินทางมาถึงหน้าผากขาว...เลือด! ผมพยายามจะวิ่งเข้าไปดูว่าบอดีการ์ดของผมเป็นอย่างไรในระยะใกล้ แต่ผมกลับไม่มีเรียวแรงมากพอแม้แต่จะขยับตัว ผมเดาว่าร่างบางคนถูกช่วยออกมาอย่างทุลักทุเลเอาการ เพราะสภาพของเจ้าเด็กแกงส้มนั้นดูแย่เสียจนผมหวั่น แขนข้างหนึ่งดูผิดรูปผิดร่างจนน่าใจหาย ไหนจะเลือดที่ไหลอาบไปทั่วเสื้อเชิ้ตสีขาวและสูทสีดำสนิทนั้นอีก... ภาพสุดท้ายของนายบอดีการ์ดทำให้ผมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ความเป็นห่วงพุ่งพล่านอยู่ในจิตใจ แต่มันก็วิ่งอยู่ในหัวใจผมได้ไม่นานเท่าไหร่ก่อนที่ทุกอย่างรอบตัวจะดับมืดลง...
“แกกลับไปก่อนไป เดี๋ยวพี่อยู่ดูไอ้เด็กนี่เอง” ผมบอกไอ้โดมที่นั่งหมดสภาพอยู่บนโซฟา มือป้อมๆแตะอยู่บนเฝือกอ่อนอย่างไม่ชอบใจแต่มันก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้
“แต่พี่...”
“กลับไปเหอะ แกอยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” ผมบอกปัดออกไปก่อนจะเดินไปดึงให้เจ้าโดมลุกขึ้น
“ตัวเองอยู่ไปก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันแหละน่า”
“ไอ้โดม นี่พี่นะเว่ย กลับไปก่อนไป หยุดงานซักอาทิตย์นึงทั้งแกทั้งพี่นั่นแหละ บริษัทไม่มีอะไรให้ดูมากหรอก ให้คุณแก้มจัดการแทนก็ได้” สภาพขนาดนี้คงไม่มีใครอยากทำงานหรอกครับ
“เออๆ ไปก็ได้ แกงฟื้นเมื่อไหร่โทรมาบอกผมด้วยนะพี่ ผมจะรีบมาดูน้อง” หางเสียงแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจน ไม่ใช่มีแค่ไอ้โดมคนเดียวหรอกครับที่เป็นห่วง ผมก็เหมือนกัน...
ผมลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนไข้ที่แลดูจะนอนไม่สบายเลยซักนิด พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่คิดถึงเหตุผลของอุบัติเหตุในครั้งนี้และไม่คิดจะพาดพิงใครทั้งสิ้น มันเป็นความซวย เป็นคราวเคราะห์ของผมเอง...
สิ่งเดียวที่ผมควรเป็นห่วงคือความปลอดภัยของคนที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่ตรงหน้านี่มากกว่า หมอบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี มีแต่รอยฟกช้ำภายนอกและแขนเท่านั้นที่น่าเป็นห่วง แต่ไม่ถึงกับหัก... อย่างน้อยก็ทำให้ผมเบาใจขึ้นได้บ้างที่แกงส้มไม่ได้เป็นอะไร และที่หลับไปก็เป็นเพระฤทธิ์ของยานอนหลับเท่านั้น
ผมวางมือลงบนเฝือกอ่อนที่แขนของคนหน้าหวาน ใบหน้ายามหลับของคนตรงหน้าไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้ผมไม่อยากละสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว คงเป็นเพราะเด็กคนนี้หน้าหวานเกินผู้ชายทั่วไปล่ะมั้งที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ ยิ่งตอนที่ไอ้เด็กนี่ต่อปากต่อคำกับผม... จะว่าไปการมีใครอีกคนเข้ามาวุ่นวายในชีวิตมันก็ไม่แย่ซะทีเดียว
“ขอบใจมากนะ” ผมพูดออกไปทั้งๆที่รู้ว่านายนั่นไม่รับรู้ ผมวางมือของตัวเองลงบนมือข้างที่ไม่เป็นอะไรของแกงส้มก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ
ความเหนื่อยล้าที่แพร่กระจายไปทั่วทำให้หนังตาของผมหนักขึ้นทุกที เรี่ยวแรงได้จากผมไปอย่างเป็นทางการนานแล้ว แต่ด้วยความจำเป็นหลายๆอย่างทำให้ผมยังไม่ได้พักผ่อน ความเงียบสงัดของโรงพยาบาลทำให้หูของผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มวินาทีเดินดัง ติ๊กๆ ความมืดแผ่ปกคลุมทั่วท้องฟ้ายามราตรีภายนอกหน้าต่างก่อนจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาภายใน
ในที่สุดผมก็ฝืนตัวเองต่อไปไม่ไหว หนังตาหนักๆปิดลงพร้อมๆกับสติการรับรู้ที่ปิดตัว ผมฟุบหลับอยู่ข้างเตียงคนไข้อย่างนั้น มืออุ่นข้างที่บีบมือคุณบอดีการ์ดเอาไว้ก็ยังอยู่ที่เดิม...
DOME ;)
แท็กซี่มันอยู่ไหนกันหมดเนี่ย? นี่ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่เลยนะ ทำไมผมถึงยังหาแท็กซี่กลับคอนโดไม่ได้ซักคัน ถ้าจะเดินไปมันก็ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก แต่ผมเจ็บขนาดนี้ แล้วมือปลอกคอ (แม่หมู//เฝือกค่ะลูก ไม่ใช่ปลอกคอ) ก็ไม่ต่างอะไรกันเท่าไหร่หรอกครับแม่หมู! ยิ่งมีเฝือกบ้าๆนี่พันคออยู่ผมยิ่งหงุดหงิด อย่างกระชากมันออกไปให้พ้นๆซะที
หรือผมยืนผิดที่? ตัวใหญ่ขนาดนี้ไม่มีทางที่แท็กซี่จะไม่เห็น... ผมตัดสินใจออกไปให้ใกล้ถนนใหญ่มากขึ้น พอมองซ้ายมองขวาเห็นว่าไม่มีอะไรผมก็ตั้งท่าจะก้าวขาออกไปเพื่อข้ามถนน ผมเดินออกไปได้แค่สองก้าวเท่านั้น...
ปี๊นนนนนนนนนนนนนนนนน
“เฮ้ยยยยย”
เสียงบีบแตรดังลั่นทำให้ผมก้าวขาไม่ออก รถคันเล็กเบรกอย่างกะทันหันจนเสียงยางบดกับพื้นถนนดังลั่น ยามกับบุรุษพยาบาลสองสามคนวิ่งกรูกันออกมาก่อน ส่วนผม... ยังยืนอยู่ที่เดิม
เจ้าของรถเปิดประตูลงมาก่อนจะส่งเสียงโวยวายต่อว่าผมเป็นการใหญ่
“ข้ามถนนหัดดูรถบ้างสิคุณ นี่ถนนให้รถวิ่งนะคะไม่ใช่ถนนคนเดิน ถึงได้เดินเป็นเจ้าของถนนไม่สนใจใครอย่างนี้ได้น่ะ บีบแตรแล้วแทนที่จะหลบดันยืนนิ่งเป็นอนุสาวรีย์หมูอยู่กลางถนนซะงั้น... คนอะไร๊!” แสงไฟจากหน้ารถทำให้ผมมองไม่เห็นว่าคนที่ยืนด่าผมฉอดๆหน้าตาเป็นยังไง แต่ทำไมไม่รู้นะครับ เสียงแหลมๆแปดหลอดแบบนั้น... มันคุ้นหูผมยังไงไม่รู้
หางตาผมเหลือบไปเห็นบุรุษพยาบาลกับพี่รปภ.ที่พากันวิ่งมาเดินกลับไปประจำหน้าที่เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีใครเป็นอะไร มีแต่ผมที่โดนชี้หน้าด่ายังยืนอยู่กลางถนน ดวงตาของผมยังหรี่อยู่เพราะความจ้าของแสงไฟหน้ารถ
“นี่คุณ ขับรถก็หัดดูคนซะบ้างสิ ก่อนผมจะข้ามผมก็ดูแล้วว่าไม่มีใครมาถึงได้ข้ามไง คุณนั้นแหละขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือ สงสัยเล่นมือถือไปขับไปน่ะสิเลยมองไม่เห็นผมน่ะ ตัวผมก็ขนาดนี้จะบอกว่ามองไม่เห็นผมไม่เชื่อหรอก” คนอย่างนายจารุวัฒน์ไม่ยอมให้ใครว่าผมฉอดๆอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
“เอ๊ะ! ไอ้อ้วนนี่”
เฮ้ย เสียงแบบนี้... คำพูดแบบนี้มัน...
“ยัยแปดหลอด”
“ไอ้อ้วนบ้า! ใครใช้ให้มาเรียกฉันอย่างนี้เนี่ย” ใช่จริงๆด้วย ถึงแม้ผมจะไม่สามารถลืมตาสู้แสงไฟหน้ารถที่สาดมาได้ผมก็มั่นใจ
“คุณจริงๆด้วย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นวะ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆแต่นั่นก็ไม่รอดพ้นหูที่ดีเกินความคาดหมายของเธอคนนั้นได้
“บ่นอะไรคนเดียวห๊ะนายอ้วน แล้วนี่ไปทำอะไรมาคอถึงได้เป็นอย่างนั้นเนี่ย ปกติคอก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วใส่ไอ้นี่เข้าไปเหลือแต่หัวแล้วก็ตัวติดกันเลยนะ”
“ยัย...ยัย... ฮึ่ยยยย ยัยแปดหลอด ยัยปากจัด... ฮุ้ย!” ถ้าไม่คิดว่ายัยนี่เป็นผู้หญิงนะครับ... ฮึ่ยยย
“อย่าเถียงเลยย่ะพ่ออ้วนกลม นี่... ว่าแต่จะไปไหลล่ะ ฉันไปส่งให้เอามั้ย? ถือว่าเป็นการขอโทษที่ฉันขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือจนเกือบจะชนนายเข้า มาสิ จะยืนให้ไฟหน้ารถฉันสาดใส่อีกถึงเมื่อไหร่จ๊ะพ่อคุณ ความร้อนจากแสงไฟหน้ารถไม่สามารถลดไขมันที่พุงนายได้หรอกนะ อย่ายืนให้เสียเวลาเลย แสบตาเปล่าๆ ขึ้นรถสิเดี๋ยวฉันไปส่ง”
ผมเดินเลี่ยงมาอย่างงงๆ ไม่รู้จะขอบคุณที่มีน้ำใจจะไปส่งผม หรือขำเธอคนนี้ที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองขับรถไม่ดีแต่ตอนแรกยังเถียงผมฉอดๆ หรือผมควรจะโกรธที่มาว่าผมยืนละลายไขมันด้วยแสงไฟหน้ารถดีกันแน่ โวะ...งง!
“นี่ผมไว้ในคุณได้ป่ะเนี่ย?” มือผมแตะอยู่บนประตูรถเรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่กล้าดึงเปิด...
“มันก็แล้วแต่นายจะคิดนะนายอ้วน แต่ฉันจะบอกให้สวยระดับญาญ่าอย่างฉันเนี่ย ไม่มองนายให้เสียเวลาหรอก” โหววววววววววววว ญาญ่า... ยาฆ่าย่าสิไม่ว่า ยัยแปดหลอดเอ๊ย
“หึ!” ปล่อยเค้าไปเถอะ ณโดมอย่างผมไม่อยากต่อความ วันนี้วันเดียวผมก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ผมขี้เกียจเถียงกับยัยนี่แล้ว
“ขึ้นรถสิคะคุณผู้ชาย ดิฉันจะไปส่งคุณผู้ชายเองค่ะ” ผมเปิดประตูขึ้นรถตามคำเชิญที่แสนจะเต็มใจ นั่งหน้าตรงมองถนนเพราะผมขยับมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว... เฮ้อ ลำบากจริงไอ้โดมเอ๊ย
“ให้ฉันไปส่งที่ไหนล่ะ ฉันไม่ใจร้ายกับคนเจ็บหรอก ถึงฉันจะเสียดังปากไว แต่ฉันก็จิตใจดีนะนายอ้วน”
“แต่มันจะดีมากกว่าถ้าคุณจะหยุดเรียกผมว่าอ้วนซะที... ขับตรงไปเรื่อยๆครับ เดี๋ยวผมจะบอกทางให้ ยังไงก็ขอบคุณมากนะที่มีน้ำใจ คุณแปดหลอด” ได้ทีก็ขอหน่อยเถอะครับ หมั่นไส้เหลือเกิน
“นี่ คนเค้ามีชื่อย่ะ เรียกแปดหลอดอยู่ได้... ฉันชื่อ มีมี่ เลิกเรียกแปดหลอดได้แล้ว” ในที่สุดผมก็ได้รู้จักชื่อยัยแปดหลอดที่ทิ้งเสียงของตัวเองเอาไว้ให้ก้องอยู่ในหูตั้งแต่เช้า... มีมี่ เพราะดีนะครับ
“ครับคุณมีมี่ ผมโดมครับ...”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แม่หมู // สุดท้ายก็ยังค้างเหมือนเดิมมมม 55555 ..... วันนี้ไม่เวิ่นเยอะค่ะ ง่วงแล้ว 555 >w<
ประชาสัมพันธ์เล็กน้อย Bear Family ฟิคเรื่องแรกของแม่หมูตุ้ยจะทำรวมเล่มนะจ๊ะ แวะมาบอกเผื่อมีท่านใดสนใจเข้าไปดูรายละเอีดได้ตามลิงค์นี้เลยค๊าาาา ตอนพิเศษเฉพาะในเล่มนั้น.... พลาดแล้วจะเสียใจ อุอิ // มาหลอกให้อยากแล้วจากไปตามเคยสินะแม่หมู 555
http://my.dek-d.com/chubby-pig/writer/viewlongc.php?id=849281&chapter=49
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

คนพี่ดูเป็นห่วงเป็นใยคนน้องมาก..
ฮ่าฮ่า จับมือด้วย
*ยิ้ม*
ปล.ชอบการบรรยายของไรต์
ตอนที่ประสบอุบติเหตุมาก.
เห็นถึงภาพชัดเจนดีอ่า
พี่ฮั่นกุมมือน้องไว้ด้วยย>
พี่โดมมีมี่ อย่าทะเลาะกัน:)
พี่ฮั่นมีกุมมือแล้วอ่ะ ห่วงขนาดนี้ชัดเจนสุดๆเลยนะคะเจ้านายยย ♥
~~จะรอติดตามนะคะ :)
กำลังสนุกเลยมาอัพต่อเร็วๆนะแม่หมู ^^
มาต่อหน่อยน้า....
เค้าเปนห่วงน้องแกงTT
เป็นกำลังใจให้แม่หมูนะคะ อัพต่อเร็วๆนะคะ ค้างจุง 555
พี่ฮั่นต้องเฝ้าน้องดีๆนะ ทีนี้คงยอมให้น้องเป็นบอดี้การ์ดอย่างเต็มใจแล้วละนะ